ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเหลือบมองหลี่โม่ที่กำลังอับอาย พร้อมแอบเยาะเย้ย จากนั้นเปิดประตู BMW X6 และเชิญกู้เจี้ยนหมิน และภรรยาของหลี่โม่ขึ้นรถอย่างกระตือรือร้น“หยุนหลาน ดูซิว่าฮั๋วเจี้ยนเฟิงหล่อแค่ไหน เขากลับมาแล้ว เขาเคยทำงานต่างประเทศด้วยนะ ตอนนี้เขาเป็นเจ้านายของบริษัทการลงทุน ลูกเขยที่รักช่างดีอะไรอย่างนี้ ฟังแม่นะ แกหย่ากับเจ้าคนไร้ค่านั่นเถอะ อย่ามัวชักช้าต่อไปเลย”หวังฟางเกลี้ยกล่อมกู้หยุนหลานอย่างสุภาพ“แม่คะ อย่าพูดอีกเลยค่ะ พวกเราแต่งงานกันมาสี่ปีแล้ว แล้วเขาเป็นพ่อของซีซี”กู้หยุนหลานเม้มริมฝีปากและมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นร่างของหลี่โม่ “หลี่โม่ล่ะ?”เมื่อกี้เขายังอยู่ตรงนี้อยู่เลย ไปไหนแล้วล่ะ“ทำไมแกถึงดื้อแบบนี้ ยังจะนึกถึงมันอยู่อีก ลืมสิ่งที่แม่เพิ่งพูดไปแล้วเหรอ?!”หวังฟางกระทืบเท้าอย่างกังวล“หนูจะไปหาหลี่โม่ พวกแม่ไปก่อนเถอะ”กู้หยุนหลานหันหลังและเดินกลับ โดยไม่สนใจเสียงตะโกนของหวังฟางแม้แต่น้อยฮั๋วเจี้ยนเฟิงพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “คุณลุงกับคุณป้าขึ้นรถก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะไปส่งที่นั่นก่อน แล้วจะกลับมารับหยุนหลาน ปล่อยให้พวกเราคุยกันเป็นการส่วนตัวดีกว่าครับ”“พวกวั
เมื่อได้ฟังคำพูดของญาติพี่น้องตระกูลกู้ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะอวดดีขึ้นมา จนอยากจะตะโกนดัง ๆ ออกมาว่า นี่คือห้องVIPที่ตนจองมาได้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดตนก็เป็นคนจ่าย!ถึงแม้จะอิงจากรายรับของฮั๋วเจี้ยนเฟิง ค่าใช้จ่ายต่ำสุดขอห้องVIPชั้นบนสุด ก็ยังสูงถึงสิบล้าน ถือว่าเจ็บปวดใจไม่น้อยแต่เพื่อที่จะได้อุ้มสาวงามกลับไปเชยชม ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็ยอมเทหมดหน้าตัก ฮั๋วเจี้ยนเฟิงซึ่งเรียนทางด้านการเงินมานั้น เข้าใจดีว่า มีเพียงการลงทุนที่สูงเท่านั้นถึงจะได้ผลตอบแทนที่สูงเช่นกันกู้ชิงหลินมองดูความหล่อเหลาภายนอกของฮั๋วเจี้ยนเฟิง แล้วหันมองห้องVIPที่ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำสุดสิบล้าน ก็รู้สึกปวดใจจนพูดไม่ออกหากไม่เกิดเรื่องที่ภัตตาคารอาหารไห่เยี่ยนขึ้น กู้ชิงหลินเองก็ยังไม่ชอบหน้าฮั๋วเจี้ยนเฟิงนักทว่าช่วงนี้ทายาทเศรษฐีพวกนั้นล้วนไม่มีใครสนใจกู้ชิงหลิน ทำให้กู้ชิงหลินรู้สึกไร้ซึ่งชีวิตที่หรูหราเมื่อชายตามองฮั๋วเจี้ยนเฟิงที่จบการศึกษาจากต่างประเทศกลับมาอย่างโดดเด่น อีกทั้งยังไม่รังเกียจกู้หยุนหลานที่แต่งงานมีลูกแล้ว ยังคอยตามจีบไม่หยุด กู้ชิงหลินจึงเกิดความหดหู่ใจขึ้นมาหากคืนนั้นที่ภัตตาคารอาหารไห่เ
กู้ซิ่งเหว่ยคิดอยากซื้อกระเป๋าหนังจระเข้สยามสักใบมาตลอด แต่เมื่อเห็นว่ามีมูลค่าหลายแสน เขาก็ได้แต่หวังแต่กลับไม่กล้าซื้อ“คุณลุงกู้ ผมมาอย่างเร่งรีบ ไม่เตรียมของขวัญชิ้นพิเศษอะไรมา ก็เลยทำได้เพียงเตรียมของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ขอให้คุณลุงกู้อภัยด้วยครับ”ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเอ่ยอย่างสุภาพจบ จากนั้นจึงนำกล่องสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินเข้มขนาดไม่ใหญ่นัก วางลงที่ด้านหน้าของกู้เจี้ยนหมินกล่องสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินเข้มดูเรียบง่าย และไม่มีความหรูหราเลยแม้แต่น้อยพวกของกู้ชิงหลินมองไปที่กล่องใบนั้น ต่างรู้สึกสงสัยเล็กน้อย รู้สึกว่าแม้แต่เงินสิบล้าน ฮั๋วเจี้ยนเฟิงก็ยอมควักออกมาแล้ว แต่ทำไมพอถึงช่วงเวลาสำคัญที่จะมอบของขวัญให้กู้เจี้ยนหมิน กลับคาดไม่ถึงว่าจะหยิบเพียงกล่องเรียบ ๆ กล่องหนึ่งออกมา ช่างไม่สอดคล้องกับบรรยากาศในตอนนี้เลยหวังฟางขมวดคิ้ว แล้วหันกลับไปมองฮั๋วเจี้ยนเฟิงที่มีสีหน้ายิ้มแย้มฮั๋วเจี้ยนเฟิงหัวเราะพลางพูดว่า “คุณลุงกู้ลองเปิดดูสักหน่อยสิครับว่าพอใจไหม”กู้เจี้ยนหมินพยักหน้าเล็กน้อย ในใจคิดว่า ฮั๋วเจี้ยนเฟิงสามารถจองห้องVIPชั้นหนึ่งของห้องอาหารกวานเหรินมาได้ ก็ทำให้ตนเองมีหน้ามีตาแล้ว ถึง
หวังฟางเห็นเช่นนั้นก็พูดเสียงสูงขึ้นมา “ไม่มีความรู้ก็อย่าได้เสแสร้งเลย โดยเฉพาะหลี่โม่ นายฟังให้ดีนะ ฟังเจี้ยนเฟิงแนะนำนาฬิกาที่เขามอบให้เรือนนี้ จะได้เพิ่มพูนความรู้ให้มากหน่อย”หลี่โม่มองไปที่หวังฟางด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นจึงหันกลับไปมองฮั๋วเจี้ยนเฟิงสายตาของฮั๋วเจี้ยนเฟิงและหลี่โม่ปะทะกัน ความรู้สึกเย่อหยิ่งประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นในใจของฮั๋วเจี้ยนเฟิง'ฉันเป็นนักเรียนนอก เคยคลุกคลีอยู่ที่วอลล์สตรีท เห็นโลกมามากกว่านายเยอะ!''คนจนอย่างนายจะมาแข่งอะไรกับฉัน อ่านสถานการณ์ออกว่าต้องทำยังไง ก็รีบถอยออกไปแล้วเปิดทางซะ'สายตาของฮั๋วเจี้ยนเฟิงแสดงออกอย่างเงียบ ๆ ถึงสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจส่วนหลี่โม่ดูราวกับเครื่องรับสัญญาณวิทยุที่ใช้การไม่ได้ ไม่รับรู้ถึงสารที่ส่งผ่านมาทางสายตาของฮั๋วเจี้ยนเฟิงเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงใช้สายตาที่ว่างเปล่า จ้องมองไปที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอย่างเงียบ ๆฮั๋วเจี้ยนเฟิงรู้สึกตกใจกับสายตาของหลี่โม่เล็กน้อย ในใจคิดว่า ตนนั้นเป็นกระเบื้องเคลือบชั้นดีหายาก จะนำไปรู่กับเศษหินอย่างหลี่โม่ไม่ได้ถ้าเจ้าตัวสกปรกอย่างหลี่โม่ จู่ ๆ เกิดเสียสติ กลายเป็นสุนัขบ้ากัดตนเองขึ้นมา
อย่างไรเสียหลี่โม่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเห็นการกระทำของหลี่โม่ กู้หยุนหลานก็อดไม่ได้ที่จะพูดขัดขึ้นมา เธอไม่อยากเห็นหลี่โม่ต้องเสียหน้าต่อผู้คนมากมายอีก จึงยิ้มเล็กน้อย และพูดกับทุกคนว่า “ของที่หลี่โม่เตรียมไว้ลืมอยู่ที่บ้าน รอกลับไปแล้วเขาจะเอามาให้คุณพ่อของฉันเอง”กู้ชิงหลินเดินมาข้าง ๆ หลี่โม่แล้ว จากนั้นจึงใช้มือขวาจับที่ข้อมือของหลี่โม่ และใช้แรงดึงขึ้นมาทันที เพื่อยกมือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของหลี่โม่ออกมามือที่กำลังถือกล่องไม้ของหลี่โม่ จึงถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคน“ฮ่า ๆ นี่ก็คือของขวัญที่คนไร้ค่าอย่างนายเตรียมไว้สินะ รีบเปิดออกให้ฉันสิ เร็วเข้า ดูซิว่าคนจนอย่างนายเตรียมของดีอะไรไว้”กู้ชิงหลินหัวเราะเสียงดัง สีหน้าดูถูกเยาะเย้ย และรอที่จะชมเรื่องสนุก“ใช่แล้ว ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตา ไม่แน่ว่าพวกเราอาจไม่รู้จัก และต้องให้นายช่วยแนะนำก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น นายก็คงได้หน้ายกใหญ่”“กล่องไม้นี่ดูไปแล้วธรรมดาจริง พอมองไปแล้ว ลายไม้ที่ติดอยู่บนกล่องก็เป็นของเลียนแบบ แค่มองกล่องเปล่า ๆ ก็รู้ว่า เป็นของที่หาซื้อได้ตามท้องถนนทั่วไป”คนหลายคน เธอพูดคำ ฉันพูดคำ คำพูดที่พูดออกมาล้วนไม่น่าฟ
เสียงชายชราก้องกังวานอย่างมาก เพียงพูดขึ้นเสียงก็ดังไปทั่วทั้งห้องคนที่กำลังระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก็ค่อย ๆ ยิ้มค้าง แล้วจึงหันมองชายชราที่พูดขึ้น สีหน้าท่าทางเริ่มดูแปลกออกไปกู้ซิ่งเหว่ยมองชายชรา และไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรมอบหยกขาวแกะสลักลายมังกรในมือของเขาให้ชายชรา“นี่คือหยกมังกร? อีกทั้งยังเป็นของในตำนานอีก? คุณปู่ คุณมองผิดไปหรือเปล่า”กู้ซิ่งเหว่ยไม่พอใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ ชายชราก็พูดขึ้นมา ดังนั้นจึงพูดอย่างไม่เกรงใจ“เหอะ ๆ นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? ตั้งแต่ฉันเกิดมาจนถึงตอนนี้ มองสิ่งของไม่เคยพลาดมาก่อน”ชายชราเอามือไขว้หลังแล้วยืดอกขึ้น แสดงออกถึงท่าทางที่ไม่ธรรมดา“เหล่าสวี่ ของสิ่งนี้เป็นหยกมังกรจริงหรือ? ”กู้เจี้ยนหมินเอ่ยอย่างประหลาดใจ“อะแฮ่ม ๆ เช่นนั้นต้องดูให้ละเอียดถึงจะรู้”ชายชราแสร้งพูดอย่างผู้ทรงภูมิมาหนึ่งประโยค“ซิ่งเหว่ย ส่งของมานี่ ท่านนี้คือสวี่ฝานเม่า หัวหน้าคณะกรรมการประเมินพิพิธภัณฑ์เมืองฮั่น และก็เป็นเพื่อนเก่าแก่ของอามานานปี” กู้เจี้ยนหมินแนะนำขึ้นหลายครั้งหลายครา การส่งของขวัญทางการค้า ล้วนแล้วแต่ต้องส่งของเก่าแก่เพื่อยืนยันว่า สิ่งของเก่าแก
หวังฟางหน้านิ่วคิ้วขมวด หันมองไปที่สวี่ฝานเม่า รู้สึกว่าสวี่ฝานเม่ากำลังทำลายบรรยากาศอันดีงามนี้“เจี้ยนหมิน สวี่ฝานเม่าคนนี้เชื่อถือได้ไหม? ได้ยินว่าคนที่ทำงานประเมิน หลายคนก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถนัก” หวังฟางกระซิบถามกู้เจี้ยนหมินจ้องหวังฟางตาเขม็ง และวางมาดของหัวหน้าครอบครัวขึ้นมา“ผู้หญิงนี่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย คุณสวี่นั่นเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในการประเมินวัตถุ เคยเข้าร่วมการจำแนกระดับขั้นของระบบโบราณวัตถุ รับผิดชอบการประเมินสมบัติทางวัฒนธรรมระดับชาติ ผู้คนในแวดวงสะสมล้วนเชื่อถือในผลการชี้ขาดของคุณสวี่”หวังฟางฟังแล้วก็แอบตกใจ คิดไม่ถึงว่าสวี่ฝานเม่าที่ดูขัดหูขัดตาคนนี้ จะมีความสามารถระดับนี้กู้หยุนหลานเองก็ตกใจเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องนี้ ทำให้ในใจของกู้หยุนหลานรู้สึกปั่นป่วน คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของหลี่โม่ที่บอกว่า จะพิสูจน์ตัวเอง หรือว่านี่คือการพิสูจน์ของเขา?เธอหันไปมองหลี่โม่เล็กน้อย หลี่โม่เห็นกู้หยุนหลานมองมาที่ตนเอง ก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยทันที สายตาสื่อความหมายว่าให้กู้หยุนหลานวางใจกู้หยุนหลานเหลือบมอง และหันหน้ากลับอย่างรวดเร็
ตอนที่กู้ซิ่งเหว่ยถามว่า หยกมังกรมูลค่าเท่าไหร่นั้น ในใจก็รู้สึกกังวลอย่างมาก เมื่อครู่เขาเย้ยหยันหลินโม่ไว้ไม่น้อยเหลือบตามองหลี่โม่ที่กำลังมอบหยกมังกรของพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ออกไป กู้ซิ่งเหว่ยก็รู้สึกอับอายเล็กน้อยสีหน้าของกู้ชิงหลินและคนอื่น ๆ ต่างก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทุกคนต่างขมวดคิ้วแน่น ราวกับว่ายิ่งหยกมังกรมีค่ามากเท่าไหร่ พวกเขายิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่พูดว่า หยกมังกรมีค่าแค่สองร้อยบาทเมื่อครู่ ตอนนี้ยิ่งรู้สึกอับอายจนหน้าแดงก่ำ หากบนพื้นมีรอยแยกแล้วล่ะก็ คงจะพาตนเองมุดลงไปซ่อนตัวด้านในอย่างแน่นอนคิ้วคู่งามของฮั๋วเจี้ยนเฟิงผูกเป็นปมขึ้นมา และรู้สึกกระวนกระวายใจเดิมคิดว่าจองห้องVIPราคาสิบล้านกว่าได้ และมอบนาฬิกาเหรียญทองที่มีมูลค่ากว่า 3.5 ล้านได้ จะสามารถกลายเป็นพระเอกของงานในวันนี้ได้ แต่ดูไปแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป!ก่อนหน้านี้ใครพูดว่าหลี่โม่เป็นคนไร้ค่า เป็นคนจนกัน?คนจนไร้ค่าสามารถมอบสิ่งของที่ราชวงศ์ใช้ได้ด้วยหรือ?ฮั๋วเจี้ยนเฟิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเจ็บใจ หากจัดการได้ไม่ดี ไม่แน่ว่าเงินสองล้านในวันนี้ อาจเสียไปโดยเปล่าประโยชน์!ฮั๋วเจี
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา