นักธุรกิจยักษ์ใหญ่ของท้องถิ่นเมืองฮั่นกำลังยืนอยู่หน้าภัตตาคารอาหารไห่เยี่ยนรอหลี่โม่ที่กำลังจะมาถึงได้ข่าวว่าครั้งนี้พวกเขาต้องต้อนรับนายน้อยของแดนมังกร พวกนักธุรกิจยักษ์ใหญ่เหล่านี้ตื่นเต้นเป็นอย่างมากธุรกิจที่เขาถืออยู่ ถือว่ายิ่งใหญ่และหลากหลายมาก แค่เศษเสี้ยวของธุรกิจของนายน้อยแดนมังกรก็สามารถทำให้พวกนักธุรกิจเหล่านี้มีเงินจนสุขสบายไปทั้งชาติยิ่งเข้าไปตีสนิทกับนายน้อยแดนมังกร หรือได้ทำการค้าร่วมกับแดนมังกรได้ ก็จะทำให้ร่ำรวยจนมีทรัพย์สินมหาศาล“ได้ข่าวว่านายน้อยแดนมังกรยังหนุ่มอยู่เลยนะ วันนี้ฉันให้ลูกสาวของฉันมาต้อนรับ หวังว่าลูกสาวของฉันจะเข้าตานายน้อยของแดนมังกรบ้าง”“ไม่รู้ว่านายน้อยของแดนมังกรแต่งงานหรือยัง ถ้ายังไม่แต่ง ลูกสาวของพวกเราก็ต้องแข่งขันกันแล้วล่ะ”“ถึงนายน้อยของแดนมังกรจะแต่งงานแล้วก็ไม่ใช่ปัญหา ถ้าเป็นอนุภรรยาของนายน้อยแดนมังกรก็ถือเป็นบุญของพวกเธอแล้ว ครั้งนี้นอกจากลูกสาวของฉันจะมาแล้ว ฉันยังพาหลานพาญาติมาด้วย”นักธุรกิจยักษ์ใหญ่เหล่านี้คุยกระซิบกระซาบกัน เหมือนเกรงว่าคนอื่นจะได้ยินกู้ชิงหลินและเพื่อนสนิทได้มาถึงที่ภัตตาคารอาหารไห่เยี่ยน เห็นนักธุรก
หลี่โม่ตอบรับ และก้าวลงจากรถเบนท์ลีย์หลี่โม่รีบมาด้วยความเร่งรีบ เขาจึงไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อหลี่โม่ลงจากรถแล้ว หวงฝูชิ่งและพวกที่เห็นเสื้อผ้าของหลี่โม่แล้วรู้สึกลายตาถ้าหลี่โม่ไม่ได้นั่งรถเบนท์ลีย์ของแดนมังกรมา พวกของหวงฝูชิ่งอาจจะคิดว่าหลี่โม่ปลอมตัวมาเป็นนายน้อยของแดนมังกรแน่ ๆหวงฝูชิ่งเหมือนมีอะไรจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะกลัวจะทำให้หลี่โม่ไม่พอใจ เขาเลยหันกลับไปมองนักธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังอีกหลายคน และสบตากับพวกเขาหวงฝูชิ่ง “ตอนนี้งานเลี้ยงดินเนอร์เขาแต่งตัวแบบไม่เป็นทางการแบบนี้แล้วหรือ? พวกเราแต่งตัวเป็นทางการแบบนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะกับนายน้อยแดนมังกร”ประธานจาง “นายน้อยแต่งตัวแบบนี้ คงเป็นเพราะต้องการเป็นผู้นำแฟชั่นเสื้อผ้า พวกเราควรเดินตามรอยของนายน้อยนะ”ประธานหลี่ “ใช่ ๆ ๆ เป็นความคิดที่ดีนะ พวกเรารีบให้คนส่งเสื้อผ้ามาเลย พวกเราต้องแต่งตัวตามนายน้อย”หลี่โม่ก้มมองเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่ และมองไปที่พวกหวงฝูชิ่งซึ่งใส่เสื้อผ้าแบรนด์ดังระดับโลก จึงยิ้มและเอ่ยถามว่า “เสื้อผ้าของฉัน...”หลี่โม่ยังไม่ทันจะพูดจบ หวงฝูชิ่งก็รีบพูดแทรกขึ้นมา “นายน้อย รสนิยม
หลี่โม่สวมหน้ากาก ส่วนหวงฝูชิ่งและคนอื่น ๆ ซึ่งได้หน้ากากตือโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ม้ามังกรขาวและอื่น ๆ พวกเขาก็หยิบหน้ากากขึ้นมาสวมเช่นกันตอนนี้ไม่ว่าหลี่โม่จะทำอะไร พวกเขาก็จะทำตาม เพราะอิทธิพลของแดนมังกรนั้นยิ่งใหญ่มาก หากไม่ทำตาม ทรัพย์สินเป็นหมื่นล้านอาจจะหายไปในพริบตาก็ได้เมื่อใส่หน้ากากเสร็จ หลี่โม่พาพวกหวงฝูชิ่งเดินเข้าไปที่ภัตตาคารอาหารไห่เยี่ยน คนในภัตตาคารไห่เยี่ยนเมื่อเห็นหลี่โม่และคนอื่น ๆ พวกเขาแสดงสีหน้าสงสัยออกมา เป็นครั้งแรกที่มีคนแต่งตัวแบบนี้เข้ามาที่ภัตตาคารไห่เยี่ยนซึ่งเป็นสถานที่ที่มีระดับเช่นนี้มีคนคิดว่ามีคนรวยบางคนอยากเพิ่มสีสันให้กับงาน เลยจ้างนักแสดงมาที่งานนี้ชั้นสูงสุดของภัตตาคารไห่เยี่ยนที่เป็นห้องอันโอ่อ่า กู้ชิงหลินที่เพิ่งแต่งหน้าและสวมชุดราตรี CHANEL ออกมา ถูกเพื่อนสนิทกับพวกเศรษฐีเดินห้อมล้อมไปที่บิลเลียนท์ฮอลล์บิลเลียนท์ฮอลล์เป็นห้องโถงที่หรูที่สุดของภัตตาคารอาหารไห่เยี่ยน วันธรรมดาหากไม่มีแขกคนสำคัญมาร่วมงาน บิลเลียนท์ฮอลล์จะไม่เปิดต้อนรับแขก ห้องโถงนี้จะเปิดก็ต่อเมื่อ มีแขกคนสำคัญมากจริง ๆ ถึงจะเปิดรับรองเพราะนายน้อยแดนมังกรที่เป็นแขกคนสำคัญ
“โอ้โห มีคนใส่หน้ากากเข้ามาด้วยหรือ เป็นครั้งแรกที่เห็นแบบนี้เลยนะ” เจียงหยางตั้งใจพูดให้เสียงดังกู้ชิงหลินและเพื่อนค่อย ๆ หันไปมองด้านหลังด้วยความสงสัย พวกเธอที่เห็นภาพนี้แล้วก็รู้สึกขำ“โลกนี้แปลกจริง ๆ คนพวกนี้ทำไมถึงต้องใส่หน้ากากด้วยนะ ดูสิเสื้อผ้าก็ดูไร้ราคา น่าจะมาทำการแสดงสินะ”เพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่ง แสดงสีหน้าเยาะเย้ย“ภัตตาคารอาหารไห่เยี่ยนเป็นสถานที่แบบไหนกัน ต่อให้มาทำการแสดง ก็ควรเป็นนักแสดงระดับประเทศ นักแสดงที่แต่งตัวแบบนี้จะมาแสดงที่นี่ได้ยังไง” เจียงหยางพูดเสริมพร้อมท่าทีโอ้อวดกู้ชิงหลินมองไปที่คนพวกนั้น ในใจของเธอรู้สึกรังเกียจ และรู้สึกว่าตนเองเพิ่งจะแต่งหน้าแต่งตัวมาใหม่ การที่ต้องมาเจอคนประเภทนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน“เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ภัตตาคารอาหารไห่เยี่ยนเป็นที่ที่คนทั่วไปสามารถเข้ามาได้แล้วเหรอ? ถ้าเข้ามาแบบนี้ ทำเสียบรรยากาศแน่ แล้วที่นี่ก็เป็นทางเข้าของบิลเลียนท์ฮอลล์ รีบเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาไล่คนพวกนี้ออกไปเร็ว” กู้ชิงหลินพูดด้วยความโกรธไม่เพียงกู้ชิงหลินคนเดียวเท่านั้น ที่รู้สึกว่าการปรากฏตัวของคนเหล่านี้ จะทำให้คุณภาพของงานเลี้ยง
“แน่นอนว่ามีปัญหา ห้องโถงสุดหรูมีข้อกำหนดในการระบุตัวตน พวกคุณที่มีเพียงบัตรประจำตัวประชาชน แต่ไม่มีสถานะสูงส่ง ก็เหมาะเพียงที่จะกินแถวแผงลอยริมถนนเท่านั้น!” หลังจากที่เจียงหยางพูดจบก็ยกมือขึ้น และผลักหลี่โม่ที่ใส่หน้ากากออกไป เมื่อเห็นพฤติกรรมเหลือขอของลูกชาย เจียงเฉิงก็เกิดอาการโกรธจัดขึ้นมา คิดอยากจะถอดหน้ากากและด่าว่าลูกชายของเขา ล่วงเกินหลี่โม่ด้วยคำพูด ถึงเวลาต้องขอโทษและขอขมาอย่างเหมาะสม ถ้าหากว่าคำพูดนั้นได้ทำร้ายจิตใจหลี่โม่เข้า ก็เกรงว่าจะจัดการปัญหาได้ไม่ง่ายแล้ว บางทีตระกูลเจียงทั้งหมดอาจถูกกวาดล้าง! ในขณะนี้เจียงเฉิงเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่า อำนาจนั้นสามารถย้อนกลับมาทำร้ายตนได้ เขาเสียใจมากที่เคยตามใจลูกชายตั้งแต่เด็กจนเสียคนเช่นนี้ ประธานจางดึงแขนเจียงเฉิงไว้ เพื่อหยุดเจียงเฉิงไม่ให้ดึงหน้ากากลง และเตือนเขาว่า “คุณเจียง ใจเย็น ๆ ก่อน อย่าทำให้นายน้อยอารมณ์เสียเลย” “ผมจะใจเย็นได้ไง? ไอ้เด็กที่ก่อปัญหาคือลูกชายนิสัยเสียของผม ตอนที่ไอ้เด็กนี่เกิดมาผมน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากซะ!” ตอนนี้เจียงเฉิงโกรธจนแทบบ้า ประธานจางแอบยิ้มในใจ และปลอบเขาต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้น ต
กู้ชิงหลินจ้องไปยังหลี่โม่ที่สวมหน้ากากทันทีด้วยใบหน้าดุร้าย และตะโกนด้วยเสียงเย็นชาว่า "กล้าดียังไงมาต่อยนายน้อยเจียง รู้ไหมว่าพ่อของนายน้อยเจียงเป็นใคร? เขาเป็นถึงคนใหญ่คนโตและมีชื่อเสียงในเมืองฮั่นเชียวนะ ขยะอย่างแกจบเห่แน่!" “จะเสียเวลาพูดไปทำไม เดี๋ยวก็จับไอ้ขยะนีได้แล้ว แค่นายน้อยเจียงเอ่ยปาก ก็ทำให้ไอ้ขยะนี่ไปนอนเล่นในคุกได้แล้ว” เพื่อนสนิทของกู้ชิงหลินก็พูดขึ้นมาเช่นกัน “ให้ตายเถอะ! อวดดีนักนะแก รอก่อนเถอะ ฉันจะโทรหาพ่อเดี๋ยวนี้แหละ แกได้ชดใช้แน่!” เจียงหยางที่เสียหน้า ก็กัดฟันกรอดจ้องไปที่หลี่โม่ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเจียงเฉิงพ่อของเขา ในตอนนี้ เจียงหยางดูไม่ต่างกับเด็กน้อยที่ถูกเพื่อนรังแก ความคิดอย่างแรกเลยคือ การโทรฟ้องพ่อแม่ แล้วให้พ่อแม่แก้แค้นแทนตัวเอง เมื่อเห็นเจียงหยางโทรออก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็เงียบกริบ ในเวลาเดียวกันก็จ้องมองไปยังชายหนุ่มที่สวมหน้ากากอย่างเย็นชา ไอ้ขยะนี้ จบสิ้นแล้ว! กล้ายั่วยุนายน้อยตระกูลเจียง รนหาที่ตาย! อย่างไรก็ตาม เจียงหยางไม่ใช่คนธรรมดา พ่อของเขาเจียงเฉิงเป็นถึงประธานเจียงซานกรุ๊ป เจียงซานกรุ๊ปถือเป็นกล
เจียงหยางที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นและจับเป้าของเขา เจ็บจนเหงื่อเย็นที่หลังได้ซึมซับเข้าที่เสื้อผ้า ลูกเตะเมื่อสักครู่นั้น เจียงเฉิงได้เตะออกไปสุดแรง เกรงว่าวันนี้คนผมขาวจะเป็นคนส่งคนผมดำไปก่อน เพราะไม่สามารถล่วงเกินนายน้อยแห่งแดนมังกรได้ กู้ชิงหลินและคนอื่น ๆ ต่างมองไปที่หลี่โม่ที่สวมหน้ากากอยู่ด้วยความประหลาดใจ มองไปที่เสื้อผ้าธรรมดาของอีกฝ่าย และมองไปที่หน้ากากสีขาวบริสุทธิ์ของอีกฝ่าย ต่างก็รู้สึกว่าชายผู้นี้ลึกลับมาก ข่าวลือว่ามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในตำนาน กลับสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาเรียบง่าย แล้วยังสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า นี่มันเพื่ออะไรกัน? ในความคิดของทุกคนต่างเกิดคำถามเดียวกัน และต่างคิดไม่ออกว่า มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดนี้ตั้งใจจะทำอะไร อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเจียงหยางเจ็บปวดอย่างนี้ ในใจของทุกคนในที่นี้ต่างรู้สึกหนาวสั่น และรู้สึกว่าเลือดของพวกเขาเย็นลง คราวนี้ไม่เพียงแต่ล่วงเกินมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในตำนานเท่านั้น แต่ยังทำให้ธุรกิจยักษ์ใหญ่ในท้องถิ่นที่มีอำนาจมากที่สุดขุ่นเคืองไปด้วย ใบหน้าของประธานหวงและลูกหลานคนอื่น ๆ ต่างแสดงสีหน้าดูไม่ได้ อย่างกับพ่อเสียอย่าง
เจียงหยางที่จมอยู่ในความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่โม่ พลันรู้สึกไม่ดีไปทั่วร่าง เขารู้สึกว่านี่เป็นคำสั่งเอาชีวิตเขาชัด ๆ ! "พ่อ!" เจียงหยางตะโกนด้วยความเศร้าโศก และมองไปที่ผู้เป็นพ่ออย่างอ้อนวอน ดวงตาของเจียงเฉิงกลายเป็นสีแดงไปแล้ว ในหัวเอาแต่คิดในสิ่งที่หลี่โม่พูดว่า รู้แต่เลี้ยงลูกแต่ไม่รู้จักอบรม นี่เห็นได้ชัดว่านายน้อยไม่พอใจตน และไม่พอใจการอบรมสั่งสอนของตนด้วย! “ไอ้ลูกไม่รักดี! อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อ ตั้งแต่เด็กจนโตก็ทำให้ฉันกังวลอยู่เรื่อย จะสอนแกยังไงแกก็ไม่ปรับปรุงตัว วันนี้ล่วงเกินนายน้อย แกถือเป็นคนบาปตระกูลเจียงของฉัน จากนี้ไปฉันจะตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกกับแก แกไม่ใช่คนของตระกูลเจียงอีกต่อไปแล้ว!” เจียงเฉิงพูดอย่างโมโหจัด สีหน้าของเขาแดงก่ำ “นอกจากนี้ กองทุน หุ้น บ้าน และรถยนต์ทั้งหมดภายใต้ชื่อของแก ฉันจะยึดให้หมด! แทนที่จะเป็นมอดตอมข้าวแบบนี้ แกไปเข้าสังคมเรียนรู้วิธีประพฤติตัว เรียนรู้วิธีการเป็นจริงจังซะ!" หัวใจของเจียงหยางแตกสลายในทันที ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกก็โหดร้ายพอแล้ว แต่นี่ยังยึดเงิน บ้านและรถไปอีก แล้วในอนาคตเขาจะเอา
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา