“ใช่สิ ก็มีเงิน อยากได้อะไรก็ได้!”จ้าวไห่ส่ายหัวพลางยิ้ม "เงิน ถ้ามีเงินก็ต้องใช้ อีกอย่าง รถเฟอร์รารี่ก็เป็นรถแบบเปิดประทุนด้วย"“ประธานจ้าวสุดยอดไปเลย!”“งั้นขับพาพวกเรานั่งสักสองสามรอบสิ”จ้าวไห่ยิ้ม และพูดว่า "ได้สิ ๆ"ซูหย่าก็จ้องไปที่จ้าวไห่อย่างตื่นเต้น ดูเหมือนว่าเธอจะเลือกถูกคนรถเฟอร์รารี่!คันละยี่สิบสามสิบล้านบาท!แต่ในบทสนทนาครั้งนี้ จู่ ๆ ใครก็ไม่รู้เข้ามาแทรก“พระเจ้า! ดูนี่สิ หัวข้อมาแรง ประธานจ้าว ร้านสปาติงเหม่ยถูกซื้อไปในราคาสี่ร้อยล้านบาท!” คนนั้นอุทานด้วยประหลาดใจ"เท่าไหร่นะ?!"ทุกคนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน!ใช้เงินสี่ร้อยล้านเพื่อซื้อร้านสปาติงเหม่ยเหรอ?พวกเขาเคยเป็นพนักงานของร้านสปาติงเหม่ยมาก่อนจ้าวไห่ตกตะลึง และประหลาดใจมาก "ซื้อร้านสปาติงเหม่ยในราคาสี่ร้อยล้านบาทเหรอ? นั่นมันรวยมากนะ แสดงว่าโจวเฟิงฮว๋าก็ได้กำไรเยอะเลยสิ แล้วคนซื้อผู้ลึกลับคนนั้นเป็นใครกัน มีบอกไหม?"“ไม่มี มีแค่ภาพที่ถ่านยจากด้านข้าง”ชายคนนั้นส่ายหัว และซูมภาพในโทรศัพท์เข้าไปทุกคนมารวมหัวกันดูภาพนี้ และเบิกตากว้างนี่มันรวยเกินไปแล้วภาพถ่ายค่อนข้างเบลอ และอยู่ห่างมาก ซึ่งมั
เมื่อกี้พวกเขายังเยาะเย้ยหลี่โม่กันอยู่เลย แต่ตอนนี้หลังจากที่พวกเขาได้เห็นรูปภาพทุกอย่างก็เปลี่ยนไปมาก พวกเขารู้สึกรับไม่ได้ และไม่อยากที่จะยอมรับคนกระจอกอย่างหลี่โม่ จะเปลี่ยนไปได้จริง ๆ เหรอ?บรรยากาศตอนนี้ค่อนข้างอึดอัดวันนี้พวกเขายกย่องจ้าวไห่มาตลอด แล้วก็ประจบประแจงเขาเพื่อต้องการให้จ้าวไห่ดูแลพวกเขามากขึ้นในอนาคตแต่ตอนนี้ หลังจากที่ทุกคนเหยียบย่ำหลี่โม่ จู่ ๆ เขาก็โผล่ออกมา แล้วบอกว่าเขาใช้เงินสี่ร้อยล้านเพื่อซื้อร้านสปาติงเหม่ย!พูดเป็นเล่น!เขาจะรวยได้ขนาดนี้เลยเหรอ?หลี่โม่แตะจมูกของเขา และยิ้มอย่างใจเย็น "อย่ามองฉันแบบนั้น มันเป็นแค่เงินเพียงเล็กน้อย การเกาะผู้หญิงกินนี่มันดีจริง ๆ หรือว่าฉันควรแนะนำนายให้รู้จักกับผู้หญิงที่ร่ำรวยคนอื่น ๆ ดีล่ะ?"ทุกคนแน่นิ่งอีกครั้ง!‘นี่แกชอบขี้โม้โอ้อวดเหรอ ให้ตายเถอะ!’จ้าวไห่ปรายตาของเขา และยิ้มอย่างเย็นชา "หลี่โม่ นายขี้โม้เกินไปหรือเปล่า? นายบอกว่านายใช้เงินไปสี่ร้อยล้านเหรอ?"หลี่โม่ต้องขี้โม้แน่ ๆ !เจ้าคนไร้ประโยชน์คนนี้คงไม่พอใจที่เพื่อน ๆ ไม่สนใจเขาจ้าวไห่อารมณ์เสียมาก เขามาจากเคทีวีจนถึงที่นี่ แต่สุดท้าย หลี่โม่
ตอนนี้มันเสียหายหมดแล้ว เธอต้องรับผิดชอบทันใดนั้น พนักงานเสิร์ฟก็เริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นซูหย่ายังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง และพยายามจะหนี เธอจึงคว้าตัวหล่อนไว้ และตะโกนทันทีว่า "คุณยังจะหนีอีกเหรอ? คุณผู้หญิง คุณทำไวน์ลาฟิตของเราเสียหาย! กรุณาจ่ายค่าเสียหายด้วยค่ะ!"“อะไรนะ? อย่ามาพูดไร้สาระ ฉันขอเตือนไว้ก่อน ฉันไม่ได้ชนเธอ เธอเผลอทำตกเองต่างหากอย่ามาใส่ร้ายคนอื่น!”ซูหย่าส่ายหัวอย่างหมดหวัง เธอกังวลมาก และอยากจะหนีไปเดี๋ยวนี้เธอรู้ว่าในเวลาแบบนี้ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด แต่ต้องแกล้งทำตัวเข้มแข็งแทน!ดังนั้น เธอจึงชี้ไปที่หน้าของอีกฝ่ายโดยตรง และเริ่มสบถด่าส่วนทางพนักงานเสิร์ฟก็ไม่ยอมแพ้ และทั้งสองก็แสดงความไม่พอใจไม่นาน ผู้พบเห็นกลุ่มหนึ่งก็มารวมตัวกันที่นี่ และทุกคนก็ชี้ไปที่พวกเขา“ไม่ได้ชนเหรอ? ได้ งั้นมาดูกล้องวงจรปิดกัน!” พนักงานเสิร์ฟพูดเสียงดังในตอนนี้ ซูหย่าตื่นตระหนกอย่างหนัก และยอมรับความผิดของเธอทันที เธอขอโทษ “ฉัน… ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่ระวังเอง”ตอนนี้ซูหย่าร้องห่มร้องไห้ ทั้งเศร้าโศก และน่าสงสารมาก“ไม่ได้ตั้งใจเหรอ? แล้วทำไมเมื่อกี้คุณถึงปฏิเสธล่ะ แล้วตอนนี
ทุกคนตกใจ และจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่จู่ ๆ ก็โผล่มาเขาดูเป็นผู้ชายธรรมดามาก แต่ทำไมเขาถึงพูดแบบนี้?หรือว่า เขาอยากจะพระเอกที่มาช่วยสาวงาม?นี่มันสี่แสนนะ!หลายคนต่างดูถูกเหยียดหยามเขา!หนุ่มคนนี้แต่งตัวธรรมดา แต่ทำเป็นพูดเสียงดัง“ฮึฮึ เป็นแค่เด็กยากจน แต่อยู่ที่นี่ก็แกล้งทำเป็นคนรวย”“คงเป็นเพราะเห็นความสวยของเธอ ก็เลยพูดไม่คิดล่ะมั้ง”"เขาน่ะเหรอ? แต่งตัวอย่างกับคนขายของแผงลอย ดูเหมือนพวกขยะ"หลายคนเหยียดหยาม และเยาะเย้ยหลี่โม่โดยไม่สนใจความรู้สึกของเขาเลยซูหย่าเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาที่นองหน้า เธอเห็นหลี่โม่ก็รู้สึกอายทันที ในสายตาของเธอ หลี่โม่เป็นเพียงคนกระจอกขี้โม้ไร้ประโยชน์ เธอจะไม่โมโหได้อย่างไรที่เขามาเห็นเธอในสถานการณ์ที่น่าอับอายแบบนี้?และเธอก็คิดว่าหลี่โม่คงจะมาเยาะเย้ยเธอ!“หลี่โม่ นายมาทำอะไร? ไปซะ ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนาย!” ซูหย่าด่าด้วยความอับอายในขณะนี้เอง ซ่งเหวินเหวินก็วิ่งเข้ามาท่ามกลางฝูงชน“พี่หย่าหยา เกิดอะไรขึ้น?”“เหวินเหวิน…” เมื่อเห็นซ่งเหวินเหวินกำลังเดินมา ซูหย่าก็ร้องไห้ออกมา เธอกอดหล่อนไว้ และร้องไห้อย่างหนัก“
ในเวลานี้เอง จ้าวไห่อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้าไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของซูหย่า ทำให้แก้มของซูหย่าแดงระเรื่อ และขาของเธอบิดเข้าหากันอย่างประหม่าจากนั้น จ้าวไห่ก็จงพูดอย่างเย็นชาว่า "สี่แสนใช่ไหม? ลงบิลฉันได้เลย เดี๋ยวฉันจัดการทีหลัง"พนักงานเสิร์ฟมองไปที่จ้าวไห่ เขาดูเหมือนเจ้านายใหญ่ เธอจึงพยักหน้าเห็นด้วยแต่ทันใดนั้น!ชายในชุดสูทก็เดินเข้ามาที่นั่น เขาคือผู้จัดการโรงแรม เขาถามอย่างเย็นชาว่า "เสี่ยวจ้าว เกิดอะไรขึ้น? ทำไมแถวนี้คนเยอะจัง"ก่อนหน้านี้ ผู้จัดการโรงแรมฟางโจวก็ได้ยินเสียงวุ่นวายจากทางด้านนี้ ตอนนี้เมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ เขาก้เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นพนักงานเสิร์ฟเห็นว่า ผู้จัดการโรงแรมกำลังเดินเข้ามา เธอจึงรีบก้มลงและพูดว่า "ผู้จัดการฟาง ลูกค้าผู้หญิงท่านนี้บังเอิญชนไวน์ลาฟิตที่แขกของเราสั่งแตกไปสี่ขวดค่ะ ดิฉันกำลังจัดการอยู่"ฟางโจวพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และไม่ได้พูดอะไร จากนั้น เขาก็พูดคำสุภาพสองสามคำกับจ้าวไห่แต่ เมื่อเขาก้มลงมองขวดไวน์ที่แตกบนพื้น เขาก็ตกใจทันที!“เมื่อกี้เธอให้พวกเขาจ่ายเท่าไหร่? สี่แสนเหรอ?” ฟางโจวถามอย่างเร่งรีบพนักงานเสิร์ฟพยักหน้า แ
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้นก็ตกใจ!เห็นแก่หน้าเขาหมายความว่าอย่างไรกัน?หน้าของเขามีค่าถึง 22 ล้านเลยเหรอ?จ้าวไห่ขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นหลี่โม่โผล่มา เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก และพูดอย่างเยาะเย้ย "หลี่โม่ นายโง่เหรอ? นายไม่ได้ยินที่เขาพูดหรือไง สี่ขวด 22 ล้าน หน้าของนายใหญ่พอที่จะมีค่า 22 ล้านหรือไง?"หลี่โม่มันคงจะโผล่มาแกล้งทำเป็นอวดดีแน่ ๆ !มันขึ้นอยู่กับวิธีการที่เขาทำมันว่าเป็นอย่างไรซูหย่าทั้งโกรธ ละหงุดหงิด หลี่โม่มันพยายามแกล้งเป็นทำอวดดีหลายครั้ง เขาไม่ได้แค่ทำให้ตัวเองขายหน้า แต่ยังทำให้เธออับอายด้วย“หลี่โม่ ไปให้พ้นซะ! ไม่ใช่เรื่องของนาย!” ซูหย่าตะโกนขู่ทั้งน้ำตาเธอโกรธมากจริง ๆเวลาแบบนี้คนกระจอกอย่างหลี่โม่ยังจะแกล้งทำเป็นอวดดีอีกหลี่โม่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วยิ้มแม้ว่าซูหย่าและจ้าวไห่จะไม่เชื่อหลี่โม่ แต่เขาก็ยังต้องการจะช่วย เพราะอย่างไรพวกเขาทั้งหมดก็เป็นเพื่อนร่วมงานเก่ากันรู้สึกผิดเหรอ?ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นพนักงานเสิร์ฟเลิกคิ้วขึ้น และมองหลี่โม่จากหัวจรดเท้า เธอพูดอย่างดูถูกว่า "คุณจะจ่ายแทนเหรอคะ? คุณลูกค้า ช่วยฟังให้ดีนะคะ นี่คือไวน์ลาฟิตปีค.ศ.
ซูหย่าขมวดคิ้ว และมองไปที่หลี่โม่ที่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าไม่แยแสด้วยความงุนงงหลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว เธอก็ขอบคุณหลี่โม่ "หลี่โม่ ครั้งนี้ขอบคุณนะ ถ้านายมีเวลา เรา… เราสามารถ..."สิ่งที่ซูหย่าสามารถทำได้คงจะมีเพียงการชดเชยให้เขาโดยใช้ร่างกายของเธอที่หลี่โม่ช่วยเธอ เขาไม่มีจุดประสงค์อะไรหรอกเหรอ?พวกผู้ชายโรคจิตต่างก็พยายามทำทุกอย่างเพียงเพื่อที่จะครอบครองร่างกายของเธอแต่ว่าในใจของซูหย่าก็ยังรู้สึกหวั่นไหวอยู่ ด้านหนึ่งคือจ้าวไห่ ส่วนอีกด้านคือหลี่โม่จ้าวไห่รู้และเห็นทุกอย่าง แต่กับหลี่โม่ ตอนนี้ซูหย่าก็ยังสับสนตัวตนของเขาเป็นใครกันแน่?เขาซื้อร้านสปาติงเหม่ยด้วยเงินสี่ร้อยล้านจริง ๆ เหรอ? มันไม่ใช่ข่าวลือเหรอ?หลี่โม่ตอบอย่างใจเย็นว่า "ไม่เป็นไร ยังไงก็เป็นเพื่อนร่วมงานเก่ากัน เรื่องเล็กน้อย"หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกไปรับสายโทรศัพท์โดยที่ไม่ได้รอทุกคนทุกคนที่นี่ต่างแยกย้ายกันไป จ้าวไห่รู้สึกไม่พอใจคนอื่น ๆ อย่างมาก เขาโบกมือและเดินออกไปอย่างโกรธเคืองซูหย่าและซ่งเหวินเหวินก็นั่งพักเพื่อรอหลี่โม่“พี่หย่าหยา ฉันคิดว่าหลี่โม่คงไม่ใช่คนธรรมดา นี่มัน 22 ล้านบ
ซูหย่าและซ่งเหวินเหวินเดินไปที่รถเบนท์ลีย์สีน้ำเงินเข้มที่จอดอยู่ตรงนั้นยิ่งเข้าไปใกล้ ๆ สีหน้าของซูหย่าก็ยิ่งดูแปลกใจมากขึ้น เพราะคนคนนั้นเหมือนหลี่โม่มาก ๆ แม้จะเห็นเพียงด้านข้าง แล้วเขาก็ยังพูดคุยและสูบบุหรี่กับชายที่ดูมีอำนาจใหญ่โตอยู่“หลี่โม่?” ซูหย่าพยายามตะโกนอีกฝ่ายหันกลับมา และเห็นว่าเป็นซูหย่า สีหน้าของเขาดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด และเขาก็ถามว่า “ยังไม่กลับเหรอ?”หลี่โม่เองก็ทำอะไรไม่ถูก เขาไม่คาดคิดว่าในขณะที่เขาและเฉียวเจิ้งหลงกำลังสูบบุหรี่กัน จะบังเอิญเจอซู่หยาเข้าซูหย่ากลอกตา และจ้องไปที่หลี่โม่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็จ้องมองตรงไปที่เฉียวเจิ้งหลงรถคันนี้ต้องเป็นของผู้ชายคนนี้หรือว่ารถเบนท์ลีย์สีน้ำเงินเข้มคันนี้จะเป็นของหลี่โม่?ไม่มีทางเป็นไปได้!เขาก็แค่คนกระจอกที่ขี่สกู๊ตเตอร์ถูก ๆ เท่านั้นดังนั้น เป็นครั้งแรกที่ซูหย่าเกี่ยวแขนของซ่งเหวินเหวิน และเริ่มเปิดฉากจีบเฉียวเจิ้งหลงอย่างหนัก “พ่อรูปหล่อ นี่รถคุณเหรอคะ?”เฉียวเจิ้งหลงมองไปที่ซูหย่าและซ่งเหวินเหวินอย่างงง ๆ ผู้หญิงสองคนนี้หน้าตา และรูปร่างดูดีทีเดียวเขากำลังจะปฏิเสธ แต่ก่อนที่เฉียวเจิ้งหลงจะได้พูด
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา