ช่วงนี้ฉันถูกบังคับให้ผูกติดอยู่กับกู้จิ่นเซินและไป๋เวยเวย เท่าที่ฉันสังเกตดู พวกเขากำลังพูดคุยกันเรื่องรายละเอียดงานแต่งงาน การลองชุดเจ้าสาวและการแต่งหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้ฉันรู้ว่ากู้จิ่นเซินสามารถทำได้ขนาดนี้เพื่องานแต่งงานตอนที่ฉันกับเขาจะแต่งงานกัน ฉันเคยอยากปรึกษาเรื่องรายละเอียดงานแต่งกับเขาหลายครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นคำตอบสั้น ๆ ของเขา “คุณไม่รู้หรือว่าผมยุ่งแค่ไหน?” “ก็แค่งานแต่ง ต้องให้ผมมานั่งปวดหัวกับมันด้วยเหรอ?” จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ไม่มีเวลา แต่นี่เป็นความแตกต่างระหว่างรักและไม่รักต่างหากตอนแรก เวลาที่ฉันมองพวกเขา ฉันยังคงเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก แต่สุดท้ายฉันก็ชินชาไปแล้วจนกระทั่งวันแต่งงานของพวกเขามาถึง กู้จิ่นเซินสวมชุดสูทที่สั่งตัดอย่างพอดีตัว ส่วนไป๋เวยเวยสวมชุดเจ้าสาวที่กู้จิ่นเซินสั่งตัดให้โดยเฉพาะ พวกเขาสมบูรณ์แบบราวกับเจ้าหญิงและเจ้าชายในนิทาน ไม่เหมือนฉันเมื่อสามปีก่อน ที่แม้แต่ชุดเจ้าสาวยังต้องเช่าในราคาแค่หมื่นกว่าบาทพวกเขายืนต้อนรับแขกที่มาร่วมงานหน้าประตู คนรอบข้างต่างมอบคำอวยพรที่จริงใจให้พวกเขา สมาชิกทีมสำรวจที่ฉันเคยร่วมเ
เมื่อทุกคนแยกย้ายกันออกไป คนที่ปรากฏออกมาคนสุดท้ายคืออู๋คุน อาจารย์ที่ฉันเคารพมากที่สุด“พ่อบุญธรรม! มาแล้วเหรอคะ?” เมื่อเห็นอู๋คุน ดวงตาของไป๋เวยเวยก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีอาจารย์อู๋คุนยื่นซองแดงหนาให้เธอ “ยัยหนู สุขสันต์วันแต่งงานนะ!”ยัยหนู? เมื่อก่อนอาจารย์ก็เคยเรียกฉันแบบนี้เหมือนกัน“กู้จิ่นเซิน ดูแลเวยเวยของพวกเราดี ๆ ล่ะ!” อาจารย์อู๋คุนยิ้ม ก่อนจะตบไหล่กู้จิ่นเซินเบาๆ“ที่ต้าจ้วงพูดไม่ผิดเลย ดีแล้วล่ะที่เจียงหวยเยว่หนีไป ไม่อย่างนั้นเธอคงจะเป็นตัวปัญหา ที่เกือบจะทำให้พวกเธอคลาดกันไป!”“บางทีอาจารย์ก็อยากให้เธอตายอยู่ที่แอนตาร์กติกานั่นแหละ ชาตินี้จะได้ไม่ต้องโผล่มาให้เราเห็นอีก!”ฉันที่ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังฟังคำพูดที่น่าขบขันของพวกเขา จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกครั้งหนึ่ง ฉันเคยเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของทีมสำรวจทางวิทยาศาสตร์ในสายตาของทุกคน แต่ตอนนี้ คนที่เคยบอกว่ารักฉันกลับไม่มีใครเชื่อในตัวฉันแม้แต่คนเดียวกู้จิ่นเซินมองอาจารย์อู๋ “อาจารย์อู๋ ไม่ต้องคิดแล้วครับ เจียงหวยเยว่ได้รับโทษแล้ว”“อาจารย์ลืมไปแล้วเหรอ? ตอนนั้นผมส่งรายงานเพิกถอนตำแหน่งและย
ฉันมองกู้จิ่นเซินที่กำลังถือโทรศัพท์และเอนตัวลงเล็กน้อย มือถือหลุดออกจากมือเขาและร่วงลงพื้นอย่างแรง ดวงตาของเขาเลื่อนลอย และจ้องมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย“จิ่นเซิน เป็นอะไรไป ใครโทรมาเหรอ?” ไป๋เวยเวยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถามด้วยความเป็นห่วง กู้จิ่นเซินเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมันออกมา “ไม่มีอะไร เพื่อนร่วมงานโทรมาน่ะ”อาจารย์อู๋คุนหัวเราะและผลักเขาเบา ๆ “กู้จิ่นเซิน วันนี้เป็นวันดีของนายนะ ทำไมถึงยังคิดเรื่องงานอยู่ได้?”“รีบเข้าไปเถอะ พิธีจะเริ่มแล้ว!” ไป๋เวยเวยเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เธอจึงพยายามดึงกู้จิ่นเซินให้เข้าไปข้างใน แต่ฉันกลับเห็นว่าร่างกายของกู้จิ่นเซิน ราวกับถูกห่อหุ้มด้วยเงามืดที่ไม่สามารถสลัดออกได้ปกคลุมอยู่ เขาจ้องไปที่ไป๋เวยเวยอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับต้องการมองให้ทะลุถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอฉันรู้ถึงความรู้สึกที่สะท้อนออกมาจากสายตาของเขาดี เพราะหลายครั้งต่อหลายครั้ง ตอนที่ไป๋เวยเวยใส่ร้ายฉัน เขาก็ใช้สายตาแบบนี้มองฉันสายตาที่เต็มไปด้วยการพิจารณา สงสัย และไม่เชื่อใจ“เป็นอะไรไป? จิ่นเซิน” น้ำเสียงของไป๋เวยเวยเริ่มตื่นตระหน
ฉันกลับมายังเตียงชันสูตรที่คุ้นเคยอีกครั้งรวมไปถึงกู้จิ่นเซิน“ทำไมถึงเป็นเธอ ทำไมถึงเป็นเธอล่ะ?”มือของกู้จิ่นเซินสั่นเทาอย่างรุนแรง เขาพยายามหลายครั้งกว่าจะเปิดถุงที่บรรจุร่างฉันได้ เมื่อเปิดออกก็มีลมเย็นโชยออกมา กู้จิ่นเซินไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้เพื่อดูใบหน้าของฉันอย่างชัดเจน แต่หน้าฉันเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะน่ากลัว ทำให้เขาแทบจะมองไม่ออกเขาเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างออก จึงรีบเบนสายตาลงมองที่หน้าท้องของฉัน บาดแผลน่ากลัวมากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณหน้าท้อง กู้จิ่นเซินมองรอยแผลแต่ละจุด จนสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่แผลเล็ก ๆ ที่ไม่สะดุดตามันเป็นแผลที่มีขนาดราว 5 เซนติเมตร อีกทั้งยังมีรอยเย็บหลงเหลืออยู่มันคือบาดแผลที่ฉันได้รับมา เพราะเข้าไปช่วยกู้จิ่นเซินเมื่อสี่ปีก่อนตอนที่ฉันคบกับเขา เมื่อสี่ปีก่อน กู้จิ่นเซินได้รับตรวจสอบคดีหนึ่งฆาตกรเป็นคนร้ายที่โหดเหี้ยมและอันตรายมาก ก่อนจะถูกจับกุม เขาพยายามที่จะฆ่ากู้จิ่นเซินเพื่อให้ตายไปด้วยกัน ตอนที่ฆาตกรจะเอามีดแทงกู้จิ่นเซิน ฉันเข้าไปขวางร่างของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วก็วันนั้นเอง ที่ฉันได้สูญเสี
กู้จิ่นเซินมองร่างของฉันอยู่นาน และในตอนที่ฉันกำลังจะคิดว่าเขาคงมองอยู่อย่างนั้นต่อไป จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้น ดึงซิปขึ้นปิด และนำฉันกลับไปวางไว้ที่เดิม เขาหยิบกุญแจและกลับบ้านทันทีแต่ทันทีที่เขาเปิดประตูบ้าน สิ่งที่ต้อนรับเขาก็คือหมัดหนัก ๆ ที่พุ่งเข้ามา “กู้จิ่นเซิน พี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ทำไมถึงทิ้งพี่เวยเวยไว้คนเดียวกลางงานแต่งแบบนั้น?”“พี่รู้ไหมว่าตอนนั้นมีคนหัวเราะเยาะเธอมากแค่ไหน?” คนที่ต่อยกู้จิ่นเซินคือต้าจ้วง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่มีต่อกู้จิ่นเซินแต่กู้จิ่นเซินราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขาเดินเข้าบ้านไปเงียบ ๆ “กู้จิ่นเซิน ถึงนายไม่อยากจะแต่งงานกับลูกบุญธรรมของฉัน แต่นายก็ไม่ควรจะทำแบบนี้!” อาจารย์อู๋คุนตบโต๊ะเสียงดังลั่นฉันดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกเฉยชา ทุกคนกำลังปกป้องไป๋เวยเวยที่เสียใจอยู่กู้จิ่นเซินนั่งลงตรงข้ามไป๋เวยเวย โดยไม่มีคำขอโทษสักคำ“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อบุญธรรม กู้จิ่นเซินมีงานด่วน ฉันเข้าใจ!” ไป๋เวยเวยยิ้ม พร้อมทั้งทำท่าทีเป็นคนใจกว้างเข้าอกเข้าใจผู้อื่น“เวยเวย แผลของคุณยังเจ็บอยู่ไหม?”จู่ ๆ กู้จิ่นเซินก็เอ่ยถ
เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้งไป ไม่มีใครพูดอะไรออกมา“พาใคร…กลับมา?” ไป๋เวยเวยถามฉันมองไป๋เวยเวย เธอตื่นตระหนกจนมือสั่นเทา เธอขบริมฝีปากแน่นกู้จิ่นเซินมีสายตาอ่านได้ยาก เขาถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง “ในภารกิจครั้งนี้ พวกเขานำศพใครบางคนกลับมาด้วย”“คนนั้นก็คือเจียงหวยเยว่”“คุณบอกว่าเจียงหวยเยว่หนีไป แต่ทำไมศพของเธอกลับอยู่ที่แอนตาร์กติกา?”ไป๋เวยเวยพยายามหาข้อแก้ตัว “อาจจะเป็นเพราะตอนเธอหนีไป…”“เธอหนีไปแล้วมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นจนเธอถึงแก่ชีวิต?” กู้จิ่นเซินหัวเราะเบา ๆ “แล้วทำไมตอนตาย เธอถึงมีบาดแผลทั่วทั้งตัว?”“ใบหน้า ลำคอ และท้องเต็มไปด้วยรอยมีด”“สิ่งที่สามารถยืนยันตัวตนของเธอได้ถูกเก็บไปจนหมด…”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสียงของกู้จิ่นเซินก็เริ่มสั่น“เวยเวย คุณจะให้ผมเชื่อคุณได้ยังไง?”“กู้จิ่นเซิน นายพูดจริงเหรอ?” อาจารย์อู๋คุนลุกขึ้น และถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมา กู้จิ่นเซินพยักหน้าอย่างเจ็บปวด“เสี่ยวเยว่คือคนที่พวกนายพากลับมาในครั้งนี้…”อาจารย์อู๋คุนทรุดตัวนั่งลงกับพื้น “หรือว่า…หรือว่าหลายปีที่ผ่านมา พวกเราเข้าใจเสี่ยวเยว่ผิดมาตลอด?”
กู้จิ่นเซินไล่ทุกคนออกไปและขังตัวเองไว้ในห้องเก็บของคนเดียว ห้องเก็บของเต็มไปด้วยฝุ่น กู้จิ่นเซินดึงกล่องใบหนึ่งออกมาจากมุมที่ลึกที่สุด ของที่อยู่ในกล่องมีไม่มากนัก ล้วนเป็นสิ่งของที่ฉันเคยให้กู้จิ่นเซิน สิ่งที่วางอยู่บนสุดคือกำไลหยก มันเป็นกำไลที่แม่ของกู้จิ่นเซินสวมให้ฉันด้วยมือตัวเองก่อนที่ท่านจะจากไป“เสี่ยวเยว่ ฉันจะต้องไปแล้วนะ จากนี้เธอกับเสี่ยวเซินต้องดูแลกันให้ดีนะ!”ตอนนั้นฉันตอบว่ายังไงนะ? ฉันตอบเธอว่า “คุณป้าสบายใจได้เลยค่ะ! ฉันจะอยู่กับกู้จิ่นเซินไปอีกนานแน่นอน คุณป้าไม่ต้องห่วง!”แต่สุดท้ายฉันก็ไม่สามารถเดินไปกับกู้จิ่นเซินจนสุดทางได้ ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ให้แม่ของเขากู้จิ่นเซินจ้องกำไลหยกอันนั้น สีหน้าของเขาแสดงอาการปวดร้าว มือที่สั่นเทาพยายามเอื้อมไปหยิบกำไลขึ้นมา แต่ยิ่งยื่นมือออกไป มือของเขาก็ยิ่งสั่นมากขึ้น ทำให้กำไลหลุดมือและตกลงไปบนพื้นจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ รอยแตกบนกำไลก็เหมือนรอยแผลบนร่างกายของฉัน“เสี่ยวเยว่…” กู้จิ่นเซินคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้อย่างหนักเหมือนกับว่าเขาได้เก็บความรู้สึกนี้มานาน ฉันนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา มองดูเขาร้องไห้เพราะฉันด้วย
ในวันที่ห้าหลังจากกู้จิ่นเซินขังตัวเองในบ้าน ในที่สุดก็มีข่าวส่งมา“กู้จิ่นเซิน นายอาจจะต้องทำใจไว้นะ” ปลายสายเป็นเสียงของอาจารย์อู๋คุนที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า“หลังจากการตรวจดีเอ็นเอพบว่าบนเรือมีรอยเลือดของเสี่ยวเยว่… ไป๋เวยเวยก็ยอมรับสารภาพแล้ว…”“ตอนนั้นไป๋เวยเวยพยายามขโมยเสบียงและหนีไป แต่เสี่ยวเยว่พบเข้าก่อน เธอจึง…”“คาดว่าเธอจะถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต”เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของอาจารย์อู๋คุนก็เริ่มสั่น “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเข้าใจเสี่ยวเยว่ผิดมาตลอด…”กู้จิ่นเซินยอมรับผลนั้นด้วยอารมณ์ที่นิ่งสงบ “ครับ ผมเข้าใจแล้ว”พูดจบ เขาก็วางสายไป และเป็นครั้งแรกในหลายวันที่เขาออกจากบ้านทันทีที่ไป๋เวยเวยเห็นกู้จิ่นเซิน แววตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา “กู้จิ่นเซิน คุณมาช่วยฉันใช่ไหม?”กู้จิ่นเซินไม่ตอบคำถามนั้น แต่ถามกลับ “ไป๋เวยเวย ตอนที่คุณฆ่าเสี่ยวเยว่ คุณกลัวไหม? คุณเสียใจบ้างไหม?”ไป๋เวยเวยมองกู้จิ่นเซินผ่านกระจก ใบหน้าของเธอนิ่งไป“คุณมาเพื่อพูดเรื่องพวกนี้เหรอ?”“ฉันจะบอกให้ก็ได้ ฉันไม่เคยเสียใจเลย เธอมีสิทธิ์อะไรถึงได้ทำงานในทีมวิจัยอย่างราบรื่น ทำไมทุกคนถึงรักเธอ แล้วเธอม