กู้จิ่นเซินมองร่างของฉันอยู่นาน และในตอนที่ฉันกำลังจะคิดว่าเขาคงมองอยู่อย่างนั้นต่อไป จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้น ดึงซิปขึ้นปิด และนำฉันกลับไปวางไว้ที่เดิม เขาหยิบกุญแจและกลับบ้านทันทีแต่ทันทีที่เขาเปิดประตูบ้าน สิ่งที่ต้อนรับเขาก็คือหมัดหนัก ๆ ที่พุ่งเข้ามา “กู้จิ่นเซิน พี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ทำไมถึงทิ้งพี่เวยเวยไว้คนเดียวกลางงานแต่งแบบนั้น?”“พี่รู้ไหมว่าตอนนั้นมีคนหัวเราะเยาะเธอมากแค่ไหน?” คนที่ต่อยกู้จิ่นเซินคือต้าจ้วง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่มีต่อกู้จิ่นเซินแต่กู้จิ่นเซินราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขาเดินเข้าบ้านไปเงียบ ๆ “กู้จิ่นเซิน ถึงนายไม่อยากจะแต่งงานกับลูกบุญธรรมของฉัน แต่นายก็ไม่ควรจะทำแบบนี้!” อาจารย์อู๋คุนตบโต๊ะเสียงดังลั่นฉันดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกเฉยชา ทุกคนกำลังปกป้องไป๋เวยเวยที่เสียใจอยู่กู้จิ่นเซินนั่งลงตรงข้ามไป๋เวยเวย โดยไม่มีคำขอโทษสักคำ“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อบุญธรรม กู้จิ่นเซินมีงานด่วน ฉันเข้าใจ!” ไป๋เวยเวยยิ้ม พร้อมทั้งทำท่าทีเป็นคนใจกว้างเข้าอกเข้าใจผู้อื่น“เวยเวย แผลของคุณยังเจ็บอยู่ไหม?”จู่ ๆ กู้จิ่นเซินก็เอ่ยถ
เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนต่างก็นิ่งอึ้งไป ไม่มีใครพูดอะไรออกมา“พาใคร…กลับมา?” ไป๋เวยเวยถามฉันมองไป๋เวยเวย เธอตื่นตระหนกจนมือสั่นเทา เธอขบริมฝีปากแน่นกู้จิ่นเซินมีสายตาอ่านได้ยาก เขาถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง “ในภารกิจครั้งนี้ พวกเขานำศพใครบางคนกลับมาด้วย”“คนนั้นก็คือเจียงหวยเยว่”“คุณบอกว่าเจียงหวยเยว่หนีไป แต่ทำไมศพของเธอกลับอยู่ที่แอนตาร์กติกา?”ไป๋เวยเวยพยายามหาข้อแก้ตัว “อาจจะเป็นเพราะตอนเธอหนีไป…”“เธอหนีไปแล้วมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นจนเธอถึงแก่ชีวิต?” กู้จิ่นเซินหัวเราะเบา ๆ “แล้วทำไมตอนตาย เธอถึงมีบาดแผลทั่วทั้งตัว?”“ใบหน้า ลำคอ และท้องเต็มไปด้วยรอยมีด”“สิ่งที่สามารถยืนยันตัวตนของเธอได้ถูกเก็บไปจนหมด…”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสียงของกู้จิ่นเซินก็เริ่มสั่น“เวยเวย คุณจะให้ผมเชื่อคุณได้ยังไง?”“กู้จิ่นเซิน นายพูดจริงเหรอ?” อาจารย์อู๋คุนลุกขึ้น และถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมา กู้จิ่นเซินพยักหน้าอย่างเจ็บปวด“เสี่ยวเยว่คือคนที่พวกนายพากลับมาในครั้งนี้…”อาจารย์อู๋คุนทรุดตัวนั่งลงกับพื้น “หรือว่า…หรือว่าหลายปีที่ผ่านมา พวกเราเข้าใจเสี่ยวเยว่ผิดมาตลอด?”
กู้จิ่นเซินไล่ทุกคนออกไปและขังตัวเองไว้ในห้องเก็บของคนเดียว ห้องเก็บของเต็มไปด้วยฝุ่น กู้จิ่นเซินดึงกล่องใบหนึ่งออกมาจากมุมที่ลึกที่สุด ของที่อยู่ในกล่องมีไม่มากนัก ล้วนเป็นสิ่งของที่ฉันเคยให้กู้จิ่นเซิน สิ่งที่วางอยู่บนสุดคือกำไลหยก มันเป็นกำไลที่แม่ของกู้จิ่นเซินสวมให้ฉันด้วยมือตัวเองก่อนที่ท่านจะจากไป“เสี่ยวเยว่ ฉันจะต้องไปแล้วนะ จากนี้เธอกับเสี่ยวเซินต้องดูแลกันให้ดีนะ!”ตอนนั้นฉันตอบว่ายังไงนะ? ฉันตอบเธอว่า “คุณป้าสบายใจได้เลยค่ะ! ฉันจะอยู่กับกู้จิ่นเซินไปอีกนานแน่นอน คุณป้าไม่ต้องห่วง!”แต่สุดท้ายฉันก็ไม่สามารถเดินไปกับกู้จิ่นเซินจนสุดทางได้ ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ให้แม่ของเขากู้จิ่นเซินจ้องกำไลหยกอันนั้น สีหน้าของเขาแสดงอาการปวดร้าว มือที่สั่นเทาพยายามเอื้อมไปหยิบกำไลขึ้นมา แต่ยิ่งยื่นมือออกไป มือของเขาก็ยิ่งสั่นมากขึ้น ทำให้กำไลหลุดมือและตกลงไปบนพื้นจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ รอยแตกบนกำไลก็เหมือนรอยแผลบนร่างกายของฉัน“เสี่ยวเยว่…” กู้จิ่นเซินคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้อย่างหนักเหมือนกับว่าเขาได้เก็บความรู้สึกนี้มานาน ฉันนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา มองดูเขาร้องไห้เพราะฉันด้วย
ในวันที่ห้าหลังจากกู้จิ่นเซินขังตัวเองในบ้าน ในที่สุดก็มีข่าวส่งมา“กู้จิ่นเซิน นายอาจจะต้องทำใจไว้นะ” ปลายสายเป็นเสียงของอาจารย์อู๋คุนที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า“หลังจากการตรวจดีเอ็นเอพบว่าบนเรือมีรอยเลือดของเสี่ยวเยว่… ไป๋เวยเวยก็ยอมรับสารภาพแล้ว…”“ตอนนั้นไป๋เวยเวยพยายามขโมยเสบียงและหนีไป แต่เสี่ยวเยว่พบเข้าก่อน เธอจึง…”“คาดว่าเธอจะถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต”เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของอาจารย์อู๋คุนก็เริ่มสั่น “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเข้าใจเสี่ยวเยว่ผิดมาตลอด…”กู้จิ่นเซินยอมรับผลนั้นด้วยอารมณ์ที่นิ่งสงบ “ครับ ผมเข้าใจแล้ว”พูดจบ เขาก็วางสายไป และเป็นครั้งแรกในหลายวันที่เขาออกจากบ้านทันทีที่ไป๋เวยเวยเห็นกู้จิ่นเซิน แววตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา “กู้จิ่นเซิน คุณมาช่วยฉันใช่ไหม?”กู้จิ่นเซินไม่ตอบคำถามนั้น แต่ถามกลับ “ไป๋เวยเวย ตอนที่คุณฆ่าเสี่ยวเยว่ คุณกลัวไหม? คุณเสียใจบ้างไหม?”ไป๋เวยเวยมองกู้จิ่นเซินผ่านกระจก ใบหน้าของเธอนิ่งไป“คุณมาเพื่อพูดเรื่องพวกนี้เหรอ?”“ฉันจะบอกให้ก็ได้ ฉันไม่เคยเสียใจเลย เธอมีสิทธิ์อะไรถึงได้ทำงานในทีมวิจัยอย่างราบรื่น ทำไมทุกคนถึงรักเธอ แล้วเธอม
ฉันลอยอยู่กลางอากาศ มองร่างที่อยู่บนเตียงชันสูตรอย่างตกใจ นั่นมันไม่ใช่คนแล้ว เนื้อและผิวหนังทั่วทั้งร่างถูกเปิดออก อีกทั้งยังมีน้ำแข็งบาง ๆ ปกคลุมอยู่ด้านบนแม้แต่ฉันก็ยังจำไม่ได้ว่านั่นคือตัวเอง“พี่กู้ มาแล้วเหรอ?” ผู้ช่วยที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นกู้จิ่นเซินเดินเข้ามาก็เอ่ยทักทาย “ครั้งนี้ทีมสำรวจเจอศพที่แอนตาร์กติกา”“ใบหน้าถูกกรีดจนเละ หลักฐานที่สามารถใช้ยืนยันตัวตนก็หายไป พวกเราสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรมโดยเจตนา”เมื่อได้ยินว่าศพนี้ถูกลากขึ้นมาจากแอนตาร์กติกา กู้จิ่นเซินก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะสวมถุงมือปลอดเชื้อด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ฉันลอยอยู่กลางอากาศ จ้องผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าไม่วางตา สามปี ฉันตายไปสามปีแล้ว หลังจากที่ตายไป วิญญาณของฉันถูกขังอยู่ในแอนตาร์กติกา ต้องทนทุกข์ทรมานกับความหนาวเย็นทุกวัน จนในที่สุดก็มีคนเจอฉัน และพาฉันกลับมา แต่ฉันไม่คิดเลยว่า ครั้งนี้คนที่จะทำการชันสูตรศพของฉันกับมือคือกู้จิ่นเซินเมื่อเห็นใบหน้าที่ถูกกรีดจนเสียโฉมของฉัน แม้แต่กู้จิ่นเซิน แพทย์นิติเวชมากประสบการณ์ ยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่นเซินยังไม่ได้ลงมือผ่าในทันที แต่ก
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองไปทำกรรมอะไรไว้ ถึงขั้นต้องเห็นภาพนี้หลังจากที่ตายไปแล้วถึงสามปีฉันลอยลงมามองดูตัวอ่อนเล็ก ๆ ในครรภ์ เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเด็กคนนี้ตอนที่ฉันถูกไป๋เวยเวยฆ่า ฉันไม่ได้ร้องไห้ แม้ตอนที่มองกู้จิ่นเซินผ่าชันสูตรศพฉันด้วยมือของเขาเอง ฉันก็ไม่ได้ร้องไห้ แต่ตอนนี้ น้ำตาของฉันกลับไหลลงมาเหมือนกับสร้อยลูกปัดที่สายขาดเด็กคนนี้มีทั้งมือและเท้าแล้ว ถ้าสามปีก่อนฉันไม่ได้ถูกไป๋ไป๋เวยเวยฆ่า ตอนนี้เด็กคนนี้คงจะอายุสองขวบกว่าแล้วเขาคงจะกอดฉันและเรียกฉันว่าแม่ ฉันคงจะมอบทุกสิ่งที่ดีที่สุดมาประเคนใส่มือของเขา แต่ตอนนี้ ทุกอย่างกลับว่างเปล่า“ยังไม่สามารถระบุตัวผู้ตายได้แน่ชัด ให้พวกเขาไปตรวจสอบและเทียบดีเอ็นเอก่อน”น่าเสียดายจริง ๆ เลยนะ กู้จิ่นเซิน ถ้าคุณใส่ใจมากกว่านี้อีกสักหน่อย คุณก็จะเห็นรอยแผลเป็นจากการช่วยชีวิตคุณในวันนั้นอยู่บนหน้าท้องได้แต่พวกเราก็พลาดกันอีกครั้งผู้ช่วยรับของที่ต้องการนำไปตรวจสอบ พลางเหลือบมองบันทึก ก่อนจะถามต่อ“พี่กู้ ผู้หญิงคนนี้ตายนานเท่าไหร่แล้ว พี่ยังไม่ได้บอกเลย”มือของกู้จิ่นเซินที่กำลังเก็บอุปกรณ์ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่
วิญญาณของฉันถูกบังคับให้ตามกู้จิ่นเซินกลับบ้าน ที่ที่เคยเป็นบ้านของฉัน แต่ตอนนี้กลับไม่มีร่องรอยใด ๆ ของฉันหลงเหลืออยู่เลย ทุกอย่างถูกแทนด้วยของที่ไป๋เวยเวยและกู้จิ่นเซินใช้ร่วมกัน“กลับมาแล้วเหรอคะ?” เมื่อไป๋เวยเวยเห็นว่ากู้จิ่นเซินกลับมาแล้ว จึงเดินเข้ามากอดเอวของเขาทันที กู้จิ่นเซินกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน ก่อนจะฝังหน้าลงกับซอกคอของเธอพร้อมหลับตาลง ช่างรักกันหวานชื่นจริง ๆ การกระทำที่ดูสนิทสนมและเป็นธรรมชาติแบบนี้ กู้จิ่นเซินไม่เคยทำกับฉันเลยสักครั้ง“ยังเจ็บมืออยู่ไหม?” กู้จิ่นเซินถาม ไป๋เวยเวยส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ไม่เจ็บแล้ว!”กู้จิ่นเซินมองเธอด้วยความเป็นห่วง “คุณแอบกินยาแก้ปวดอีกแล้วใช่ไหม? “ “ตอนนั้นเจียงหวยเยว่ใช้มีดแทงคุณตั้งหลายครั้ง! อาการเหล่านั้นยังหลงเหลือมาจนถึงตอนนี้อยู่เลย”ฉันลอยอยู่กลางอากาศ ฉันอยากจะโต้แย้งว่าไม่ใช่ฉัน ฉันไม่ได้เป็นคนทำ! ทำไมแค่คำพูดใส่ร้ายที่ออกจากปากของไป๋เวยเวย เขาถึงได้ตัดสินฉันทันทีเลยล่ะ? กู้จิ่นเซิน คุณไม่เคยเชื่อฉันเลยสักครั้งก่อนที่ฉันจะคบกับกู้จิ่นเซิน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไป๋เวยเวยเป็นคนรักของเขา หลังจากเ
ช่วงนี้ฉันถูกบังคับให้ผูกติดอยู่กับกู้จิ่นเซินและไป๋เวยเวย เท่าที่ฉันสังเกตดู พวกเขากำลังพูดคุยกันเรื่องรายละเอียดงานแต่งงาน การลองชุดเจ้าสาวและการแต่งหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้ฉันรู้ว่ากู้จิ่นเซินสามารถทำได้ขนาดนี้เพื่องานแต่งงานตอนที่ฉันกับเขาจะแต่งงานกัน ฉันเคยอยากปรึกษาเรื่องรายละเอียดงานแต่งกับเขาหลายครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นคำตอบสั้น ๆ ของเขา “คุณไม่รู้หรือว่าผมยุ่งแค่ไหน?” “ก็แค่งานแต่ง ต้องให้ผมมานั่งปวดหัวกับมันด้วยเหรอ?” จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ไม่มีเวลา แต่นี่เป็นความแตกต่างระหว่างรักและไม่รักต่างหากตอนแรก เวลาที่ฉันมองพวกเขา ฉันยังคงเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก แต่สุดท้ายฉันก็ชินชาไปแล้วจนกระทั่งวันแต่งงานของพวกเขามาถึง กู้จิ่นเซินสวมชุดสูทที่สั่งตัดอย่างพอดีตัว ส่วนไป๋เวยเวยสวมชุดเจ้าสาวที่กู้จิ่นเซินสั่งตัดให้โดยเฉพาะ พวกเขาสมบูรณ์แบบราวกับเจ้าหญิงและเจ้าชายในนิทาน ไม่เหมือนฉันเมื่อสามปีก่อน ที่แม้แต่ชุดเจ้าสาวยังต้องเช่าในราคาแค่หมื่นกว่าบาทพวกเขายืนต้อนรับแขกที่มาร่วมงานหน้าประตู คนรอบข้างต่างมอบคำอวยพรที่จริงใจให้พวกเขา สมาชิกทีมสำรวจที่ฉันเคยร่วมเ