ณ โต๊ะอาหาร โม่ไป๋นั่งรอพวกเขาที่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นพวกเขามาก็ยิ้มให้เล็กน้อย "อรุณสวัสดิ์" เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาด ดังนั้นเมื่อโม่ไป๋เป็นฝ่ายทักทายพวกเขาก่อน พวกเขาก็หลบตาเล็กน้อย และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป โม่ไป๋กลับไม่ได้ถือสาเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นยังลุกขึ้นไปดึงเก้าอี้ให้พวกเขาด้วย เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเงยหน้าขึ้นมองหยินอู้และถามความเห็นของเธอ จนกระทั่งเสิ่นหยินอู้พยักหน้าให้พวกเขา ทั้งสองจึงนั่งลงบนเก้าอี้ หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นั่งลงข้างๆพวกเขา เป็นเพราะเมื่อสองวันที่แล้วเธอกังวลใจ เธอจึงไม่ค่อยได้ทานข้าว ดังนั้นวันนี้เธอจึงหิวเล็กน้อยและหยิบสิ่งที่เธอชอบขึ้นมาทานก่อน เมื่อเห็นเธอทานอาหาร โม่ไป๋ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้หัวเราะเยาะอยู่ในใจ เขาคงคิดว่าหลังจากที่เธอถูกกักขังแล้ว เธอจะอดอาหารประท้วงสินะ? ที่จริงแล้ว เธอสามารถอดอาหารเพื่อประท้วงโม่ไป๋ได้ ถ้าเขาหวังดีกับเธอจริงๆ เขาคงจะไม่ปล่อยให้เธออดอาหารอย่างแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่ทางที่เสิ่นหยินอู้ต้องการ เธอยังมีลูกๆอีกสองคน ถ้าเธออดอาหาร แล้วเด็กๆทั้งส
เสิ่นเหมิงเหมิงที่ได้รับคำชมกอดข้อมือของเสิ่นหยินอู้ด้วยความปลื้มปิติและพูดว่า "ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงจะพยายามให้มากกว่านี้ในอนาคตค่ะ" เมื่อเนียนเนียนเห็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแก้มอันอวบอิ่มของเสิ่นเหมิงเหมิง “พี่ชายไม่เอาสิ หนูไม่อยากให้พี่หยิก” เหมิงเหมิงดันมือของเสิ่นซือเหนียนออกไป จากนั้นจึงเข้าไปในอ้อมแขนของเสิ่นหยินอู้ หลังอาหารกลางวันและอาหารเย็น ทั้งสามคนก็ทำตามที่ตกลงกันไว้ พวกเขาไม่ขัดขืน เมื่อถูกเรียกให้ไปกินข้าว พวกเขาก็ไป อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโม่ไป๋จะพูดอะไรกับพวกเขาบนโต๊ะอาหาร ทั้งสามก็ไม่พูด พวกเขาเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารเพียงอย่างเดียว ทั้งสามใช้ชีวิตไม่ได้แตกต่างไปจากคนปกติ แต่พวกเขาถือว่าโม่ไป๋เป็นเหมือนอากาศธาตุไปอย่างสมบูรณ์ ในวันถัดมา เมื่อความรู้สึกที่ถูกเมินเฉยใส่ยังคงเกิดขึ้นเหมือนเดิม ในที่สุดพ่อบ้านก็เป็นคนแรกที่ทนมองดูต่อไปไม่ไหวอีก แต่เขาไม่กล้าพูดในขณะที่โม่ไป๋กำลังทานอาหารอยู่ ในที่สุดเมื่อเขาทานอาหารเสร็จ พ่อบ้านชุนหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ประธานโม่ คุณไม่โกรธเหรอครับ?” “โกรธเรื่องอะไร?” พ่อบ้านชุนห
โม่ไป๋รักษาสัญญาของเขา เมื่อเขารับปากที่จะให้เธอพบผู้ช่วยเฉิน ในบ่ายวันนั้น เสิ่นหยินอู้ได้พบกับผู้ช่วยเฉิน ผู้ช่วยเฉินยังคงแต่งตัวเหมือนเดิม เมื่อเห็นเธอ เขาก็ยังสุภาพอ่อนน้อมเหมือนเดิม “คุณหนูเสิ่น ผมได้ยินจากประธานโม่ว่าคุณตามหาผมอยู่ มีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องการให้ผมทำหรอครับ?”สายตาของเสิ่นหยินอู้จับจ้องที่เขาอยู่นาน เขายืนตัวตรง และไม่มีร่องรอยของบาดแผลบนใบหน้าหรือที่คอ ยังอยู่ครบสามสิบสองดี เมื่อคิดเช่นนั้น เธอก็ถามว่า: "คุณไม่ได้โดนทำร้ายใช่ไหม?" คำถามนี้ทำให้ผู้ช่วยเฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหัว "เปล่าครับ" “ไม่ใช่” เสิ่นหยินอู้เปิดเผยทันที: "ถ้าคุณไม่ได้โดนทำร้าย ตอนที่ฉันถามคุณ คุณควรจะสงสัยแล้วถามฉันกลับว่าทำไมฉันถึงถามแบบนั้น ไม่ใช่มาบอกฉันว่าเปล่า" หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ก้าวไปข้างหน้าและกดมือของเธอไปบนหน้าอกของเขา การกระทำของเธอเร็วมากจนผู้ช่วยเฉินคาดไม่ถึง และเธอก็ออกแรงค่อนข้างมาก เมื่อถูกเธอกดที่หน้าอก เขาก็ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด สีหน้าของเสิ่นหยินอู้เปลี่ยนไป และเธอก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงเขา "คุณไม
สั่งสอนนิดหน่อย… เขาพูดอย่างสบายๆราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติมาก เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว "งั้นนายก็คิดจะทำแบบนี้กับฉัน เหมิงเหมิง แล้วก็เหนียนเหนียนใช่ไหม?" เมื่อโม่ไป๋ซึ่งแต่เดิมยังสงบได้ยินเช่นนั้น อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและจับไหล่ของเสิ่นหยินอู้ไว้เพื่อไม่ให้เธอถอยหลังไปอีก "ไม่แน่นอนอยู่แล้ว!" มือของโม่ไป๋ที่จับอยู่บนไหล่ของเธอออกแรงค่อนข้างมาก “ผมเคยสัญญากับเธอแล้วไม่ใช่เหรอ? ผมจะเป็นพ่อที่ดีแล้วก็จะเป็นสามีที่ดี ต่อให้ผมจะลงมือกับตัวเอง แต่ผมก็จะไม่ลงไม้ลงมือกับเธอ เหมิงเหมิง แล้วก็เหนียนเหนียนเด็ดขาด” เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถทนฟังคำพูดของเขาได้แม้แต่ประโยคเดียว “นายน่ากลัวเกินไปแล้ว ปล่อยฉันนะ” “หยินอู้!” โม่ไป๋หยุดเธอ “ฟังนะ ต่อให้ต้องตาย ผมก็จะไม่ทำร้ายเธอกับลูกๆแม้แต่นิดเดียว แล้วก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายเธอทั้งนั้น” “ปล่อยฉันนะ! นายไม่เข้าใจอะไรเลย เราไม่ได้ต้องการให้นายมาปกป้องเลยสักนิด” เสิ่นหยินอู้ผลักเขาออกไปอย่างแรง โม่ไป๋ถูกผลักจนเซถอยไปสองก้าวก่อนที่เขาจะทรงตัวได้ ลมหายใจ
เป็นเวลาหลายวันติดกันที่โจวชวงชวงอยู่ที่ที่ฉินเย่เตรียมไว้ให้ เธอไม่สามารถทำงานของบริษัทให้เสร็จได้ ในตอนที่เธอมา เธอไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องลางานกี่วันเพราะสถานการณ์นี้ค่อนข้างพิเศษ เธอถึงขั้นคิดว่าจะให้เธอลาออกก็ยังได้ แต่นี่...จำกัดอยู่เพียงแค่เธอ ในตอนนี้เผยจ้าวเหิงก็ตามมาด้วยกันกับเธอ ด้วยตำแหน่งในบริษัทของเขา หากเขายังไม่กลับไป บริษัทคงจะขาดทุนหนักมาก หากเธอขาดทุน มันก็ไม่เป็นไร ท้ายที่สุดแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เป็นเพื่อนรักของเธอ แต่เผยจ้าวเหิงล่ะ? นอกจากความรู้สึกรับผิดชอบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในตอนแรกที่รู้ว่าหยินอู้ถูกลักพาตัว ตั้งแต่ที่ฉินเย่มารับพวกเขา ภารกิจของเขาก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว เวลาผ่านไปนานมากแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะกลับไปเลย โจวชวงชวงคิดที่จะไปหาเขา ทั้งสองพักอยู่ห้องข้างๆกัน โจวชวงชวงยืนเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงผู้ชายดังมาจากข้างใน: "เข้ามา" ไม่มาเปิดประตูเหรอ? ให้เธอเข้าไปงั้นเหรอ? โจวชวงชวงลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เธอบิดลูกบิดประตูแล้วเข้าไปในห้อง หลังจากเข้าไปแล้ว โจวชวงชวงก็พบว่าเผยจ้าวเหิงนั่งอยู่หน้าโน๊ตบุ๊ค เขาสว
เมื่อครู่นี้เขาประชุมอยู่ เห็นได้ชัดว่าซูหลินพยายามตามงานเขามากแค่ไหน "มีงานให้ต้องทำอีกเยอะ..." เผยจ้าวเหิงพูดประโยคนี้อีกสองครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เม้มปากแล้วพูดว่า "อืม คุณพูดถูกแล้ว ช่วงนี้งานที่บริษัทล่าช้าไปเยอะจริงๆ" "แล้วคุณ..." “แล้วคุณจะชดใช้ให้ผมทำยังไงล่ะ?” โจวชวงชวง: "?" ไม่ ทำไมปัญหาถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ล่ะ? เดิมทีเธอเพียงแค่อยากจะบอกว่าถ้าเธอทำให้งานในบริษัทล่าช้า ถ้างั้นก็ให้เขากลับไปก่อนดีกว่า แต่ใครจะรู้ว่าเขาถามเธอว่าจะชดใช้ให้เขาอย่างไร? เมื่อคิดเช่นนั้น โจวชวงชวงก็พูดด้วยสีหน้าสับสน: "ฉันเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆคนหนึ่ง ฉันจะมีปัญญาไปชดใช้อะไรให้คุณได้ยังไงล่ะ?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เผยจ้าวเหิงก็ยกมุมปากขึ้น “คุณไม่มีปัญญาจะชดใช้อะไรให้ผมเหรอ? คุณไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ?” โจวชวงชวง: "..." รู้สึกแปลกๆ เธอเม้มริมฝีปากสีแดงแล้วมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง "ประธานเผย นี่คุณ..." เผยจ้าวเหิงเลิกคิ้ว: "อะไรหรอ?" “หลังจากที่เรื่องนี้จบลงและฉันกลับไปที่บริษัทแล้ว คุณกำลังคิดที่จะกดเงินเดือนฉันสองเท่าใช่ไหม? หรือจะยกเลิกโบนัสสิ้นปีของฉันล่ะ
หลังจากนั้นก็โม่ไป๋ไม่ได้โต้เถียงอะไรกับเธออีก เพราะเขาสามารถพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดไม่ว่าเธอจะพูดอะไรออกมาก็ตาม เขาทำเรื่องที่เป็นการทำร้ายเธอแท้ๆ แต่ท่าทางของเขากลับดูเหมือนหวังดีกับเธอ ไม่ว่าเสิ่นหยินอู้จะโกรธหรือพูดอะไรที่รุนแรงแค่ไหน โม่ไป๋ก็ดูไม่สะทกสะท้านเลย ซึ่งมันทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าถึงเธอจะต่อว่าอะไรเขาเพิ่มอีก มันก็ไม่มีความหมาย เธอจึงพาเด็กทั้งสองคนออกไป หลังจากกลับไปถึงที่ห้อง เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่ริมหน้าต่าง หลังจากนั้นประมาณห้านาที เธอก็เห็นโม่ไป๋ขึ้นรถคันหนึ่งแล้วรถก็ขับออกไป และไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เสิ่นหยินอู้ยังสังเกตเห็นว่ากลุ่มคนที่ปกติจะล้อมคฤหาสน์เอาไว้ได้ถูกย้ายออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง เธอตกใจเล็กน้อย ผู้ช่วยเฉินรู้สินะว่าวันนี้เขาจะทำอะไรเช่นนี้? แต่เธอก็สงสัยเล็กน้อย เดิมทีโม่ไป๋คิดที่จะกักขังเธอไว้ที่นี่ แล้วในตอนนี้เขาย้ายคนตั้งมากมายขนาดนี้ออกไปทำไมกัน? หรือว่ามีคนหาเธอพบแล้วงั้นเหรอ? แต่ถ้ามีใครหาเธอพบ เขาก็ควรมาช่วยเธอออกไปไม่ใช่หรอ? "ก๊อกก๊อก" ความคิดของเสิ่นหยินอู้ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู เธอรีบเดินไปเปิดประตู และเ
“ไม่ต้องห่วงนะ อีกเดี๋ยวถ้าได้ออกไปก็ไม่เป็นไรแล้ว” เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้าเบาๆเป็นการบอกว่าเธอเข้าใจ เมื่อเห็นพวกเธอนอนหมอบลงไปแล้ว ผู้ช่วยเฉินก็รู้ว่าเสิ่นหยินอู้ได้ตัดสินใจแล้ว จึงพูดว่า "คุณหนูเสิ่น งั้นก็นั่งดีๆนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ รถก็เริ่มเคลื่อนตัว สายตาของผู้ช่วยเฉินมองไปทึ่ด้านหน้า เขาพูดขณะขับรถว่า: "เราจะไปถึงประตูในอีกประมาณสองนาที ถึงที่ประตูหลักจะย้ายคนออกไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังเหลือคนอยู่อีกเยอะ ผมคนเดียวจัดการพวกเขาไม่ไหว ถ้าโชคดีพวกเขาจะปล่อยผมออกไป แล้วผมจะไปส่งพวกคุณที่อีกที่หมายหนึ่งแล้วค่อยกลับมา ถ้าโชคร้ายแล้วพวกเขาอยากตรวจรถขึ้นมา ผมจะขับออกไปเลย และจะเร่งความเร็วรถ ถึงตอนนั้นพวกคุณคาดเข็มขัดแล้วดูแลตัวเองให้ดีๆนะครับ” เสิ่นหยินอู้ฟังสิ่งที่เขาพูดทีละคำ และในที่สุดเธอก็ตอบกลับไปเพียงสองคำเท่านั้น: "ขอบคุณ" ผู้ช่วยเฉินเปิดริมฝีปากของเขา แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก สองนาทีต่อมา รถก็มาถึงประตูหลัก มันแตกต่างไปจากตอนที่โม่ไป๋นั่งรถออกไป ผู้ช่วยเฉินถูกขวางเอาไว้ก่อนจะได้ออกไปข้างนอ หลังจากที่หยุดรถ ลมหายใจของเสิ่นหยินอู้เริ่มถี่ขึ้น เธอมองไปที่เด็
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี