หลังจากนั้นไม่นาน โจวชวงชวงก็อดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายถามฉินเย่ขึ้นมา “คุณใจเย็นขนาดนี้ มีวิธีอะไรแล้วงั้นเหรอ?” "กำลังหาอยู่" ฉินเย่ตอบเธอ โจวชวงชวง: "..." กำลังหาอยู่งั้นเหรอ? เธอก็รู้ว่าต้องหาวิธี แต่จะไปหาเธอได้ที่ไหนล่ะ? “เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ ถ้าเราอยากหาเธอที่นี่ มันก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร” ฉินเย่ไม่ตอบ แต่สีหน้าของเขาเย็นชา โจวชวงชวงเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย ในตอนแรก เธอต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เผยจ้าวเหิงกลับหยุดเธอไว้ โจวชวงชวงมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ต่อหน้าเผยจ้าวเหิง "คุณจะทำอะไร?" เผยจ้าวเหิงรับโทรศัพท์ของเธอมา แล้วเขียนตอบกลับเธอที่บรรทัดด้านล่างที่เธอพิมพ์ “คุณคิดว่าเขาร้อนใจหรือคุณที่ร้อนใจ? อย่างที่คุณบอก เด็กๆเป็นลูกของเขา ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรไว้แล้ว เขาจะนั่งอยู่ที่นี่อย่างสบายใจไหม?” หลังจากฟังการวิเคราะห์ของเผยจ้าวเหิงแล้ว โจวชวงชวงก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมาก ถ้าพูดตามหลักการแล้ว ฉินเย่น่าจะร้อนใจมากกว่าเธอ แม้ว่าเขาจะไม่เป็นห่วงหยินอู้ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ต้องเป็นห่วงลูกๆของเขา ในเมื่อตอน
ณ โต๊ะอาหาร โม่ไป๋นั่งรอพวกเขาที่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นพวกเขามาก็ยิ้มให้เล็กน้อย "อรุณสวัสดิ์" เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาด ดังนั้นเมื่อโม่ไป๋เป็นฝ่ายทักทายพวกเขาก่อน พวกเขาก็หลบตาเล็กน้อย และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป โม่ไป๋กลับไม่ได้ถือสาเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นยังลุกขึ้นไปดึงเก้าอี้ให้พวกเขาด้วย เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเงยหน้าขึ้นมองหยินอู้และถามความเห็นของเธอ จนกระทั่งเสิ่นหยินอู้พยักหน้าให้พวกเขา ทั้งสองจึงนั่งลงบนเก้าอี้ หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นั่งลงข้างๆพวกเขา เป็นเพราะเมื่อสองวันที่แล้วเธอกังวลใจ เธอจึงไม่ค่อยได้ทานข้าว ดังนั้นวันนี้เธอจึงหิวเล็กน้อยและหยิบสิ่งที่เธอชอบขึ้นมาทานก่อน เมื่อเห็นเธอทานอาหาร โม่ไป๋ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้หัวเราะเยาะอยู่ในใจ เขาคงคิดว่าหลังจากที่เธอถูกกักขังแล้ว เธอจะอดอาหารประท้วงสินะ? ที่จริงแล้ว เธอสามารถอดอาหารเพื่อประท้วงโม่ไป๋ได้ ถ้าเขาหวังดีกับเธอจริงๆ เขาคงจะไม่ปล่อยให้เธออดอาหารอย่างแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่ทางที่เสิ่นหยินอู้ต้องการ เธอยังมีลูกๆอีกสองคน ถ้าเธออดอาหาร แล้วเด็กๆทั้งส
เสิ่นเหมิงเหมิงที่ได้รับคำชมกอดข้อมือของเสิ่นหยินอู้ด้วยความปลื้มปิติและพูดว่า "ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงจะพยายามให้มากกว่านี้ในอนาคตค่ะ" เมื่อเนียนเนียนเห็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแก้มอันอวบอิ่มของเสิ่นเหมิงเหมิง “พี่ชายไม่เอาสิ หนูไม่อยากให้พี่หยิก” เหมิงเหมิงดันมือของเสิ่นซือเหนียนออกไป จากนั้นจึงเข้าไปในอ้อมแขนของเสิ่นหยินอู้ หลังอาหารกลางวันและอาหารเย็น ทั้งสามคนก็ทำตามที่ตกลงกันไว้ พวกเขาไม่ขัดขืน เมื่อถูกเรียกให้ไปกินข้าว พวกเขาก็ไป อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโม่ไป๋จะพูดอะไรกับพวกเขาบนโต๊ะอาหาร ทั้งสามก็ไม่พูด พวกเขาเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารเพียงอย่างเดียว ทั้งสามใช้ชีวิตไม่ได้แตกต่างไปจากคนปกติ แต่พวกเขาถือว่าโม่ไป๋เป็นเหมือนอากาศธาตุไปอย่างสมบูรณ์ ในวันถัดมา เมื่อความรู้สึกที่ถูกเมินเฉยใส่ยังคงเกิดขึ้นเหมือนเดิม ในที่สุดพ่อบ้านก็เป็นคนแรกที่ทนมองดูต่อไปไม่ไหวอีก แต่เขาไม่กล้าพูดในขณะที่โม่ไป๋กำลังทานอาหารอยู่ ในที่สุดเมื่อเขาทานอาหารเสร็จ พ่อบ้านชุนหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ประธานโม่ คุณไม่โกรธเหรอครับ?” “โกรธเรื่องอะไร?” พ่อบ้านชุนห
โม่ไป๋รักษาสัญญาของเขา เมื่อเขารับปากที่จะให้เธอพบผู้ช่วยเฉิน ในบ่ายวันนั้น เสิ่นหยินอู้ได้พบกับผู้ช่วยเฉิน ผู้ช่วยเฉินยังคงแต่งตัวเหมือนเดิม เมื่อเห็นเธอ เขาก็ยังสุภาพอ่อนน้อมเหมือนเดิม “คุณหนูเสิ่น ผมได้ยินจากประธานโม่ว่าคุณตามหาผมอยู่ มีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องการให้ผมทำหรอครับ?”สายตาของเสิ่นหยินอู้จับจ้องที่เขาอยู่นาน เขายืนตัวตรง และไม่มีร่องรอยของบาดแผลบนใบหน้าหรือที่คอ ยังอยู่ครบสามสิบสองดี เมื่อคิดเช่นนั้น เธอก็ถามว่า: "คุณไม่ได้โดนทำร้ายใช่ไหม?" คำถามนี้ทำให้ผู้ช่วยเฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหัว "เปล่าครับ" “ไม่ใช่” เสิ่นหยินอู้เปิดเผยทันที: "ถ้าคุณไม่ได้โดนทำร้าย ตอนที่ฉันถามคุณ คุณควรจะสงสัยแล้วถามฉันกลับว่าทำไมฉันถึงถามแบบนั้น ไม่ใช่มาบอกฉันว่าเปล่า" หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ก้าวไปข้างหน้าและกดมือของเธอไปบนหน้าอกของเขา การกระทำของเธอเร็วมากจนผู้ช่วยเฉินคาดไม่ถึง และเธอก็ออกแรงค่อนข้างมาก เมื่อถูกเธอกดที่หน้าอก เขาก็ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด สีหน้าของเสิ่นหยินอู้เปลี่ยนไป และเธอก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงเขา "คุณไม
สั่งสอนนิดหน่อย… เขาพูดอย่างสบายๆราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติมาก เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว "งั้นนายก็คิดจะทำแบบนี้กับฉัน เหมิงเหมิง แล้วก็เหนียนเหนียนใช่ไหม?" เมื่อโม่ไป๋ซึ่งแต่เดิมยังสงบได้ยินเช่นนั้น อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและจับไหล่ของเสิ่นหยินอู้ไว้เพื่อไม่ให้เธอถอยหลังไปอีก "ไม่แน่นอนอยู่แล้ว!" มือของโม่ไป๋ที่จับอยู่บนไหล่ของเธอออกแรงค่อนข้างมาก “ผมเคยสัญญากับเธอแล้วไม่ใช่เหรอ? ผมจะเป็นพ่อที่ดีแล้วก็จะเป็นสามีที่ดี ต่อให้ผมจะลงมือกับตัวเอง แต่ผมก็จะไม่ลงไม้ลงมือกับเธอ เหมิงเหมิง แล้วก็เหนียนเหนียนเด็ดขาด” เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถทนฟังคำพูดของเขาได้แม้แต่ประโยคเดียว “นายน่ากลัวเกินไปแล้ว ปล่อยฉันนะ” “หยินอู้!” โม่ไป๋หยุดเธอ “ฟังนะ ต่อให้ต้องตาย ผมก็จะไม่ทำร้ายเธอกับลูกๆแม้แต่นิดเดียว แล้วก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายเธอทั้งนั้น” “ปล่อยฉันนะ! นายไม่เข้าใจอะไรเลย เราไม่ได้ต้องการให้นายมาปกป้องเลยสักนิด” เสิ่นหยินอู้ผลักเขาออกไปอย่างแรง โม่ไป๋ถูกผลักจนเซถอยไปสองก้าวก่อนที่เขาจะทรงตัวได้ ลมหายใจ
เป็นเวลาหลายวันติดกันที่โจวชวงชวงอยู่ที่ที่ฉินเย่เตรียมไว้ให้ เธอไม่สามารถทำงานของบริษัทให้เสร็จได้ ในตอนที่เธอมา เธอไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องลางานกี่วันเพราะสถานการณ์นี้ค่อนข้างพิเศษ เธอถึงขั้นคิดว่าจะให้เธอลาออกก็ยังได้ แต่นี่...จำกัดอยู่เพียงแค่เธอ ในตอนนี้เผยจ้าวเหิงก็ตามมาด้วยกันกับเธอ ด้วยตำแหน่งในบริษัทของเขา หากเขายังไม่กลับไป บริษัทคงจะขาดทุนหนักมาก หากเธอขาดทุน มันก็ไม่เป็นไร ท้ายที่สุดแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เป็นเพื่อนรักของเธอ แต่เผยจ้าวเหิงล่ะ? นอกจากความรู้สึกรับผิดชอบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในตอนแรกที่รู้ว่าหยินอู้ถูกลักพาตัว ตั้งแต่ที่ฉินเย่มารับพวกเขา ภารกิจของเขาก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว เวลาผ่านไปนานมากแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะกลับไปเลย โจวชวงชวงคิดที่จะไปหาเขา ทั้งสองพักอยู่ห้องข้างๆกัน โจวชวงชวงยืนเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงผู้ชายดังมาจากข้างใน: "เข้ามา" ไม่มาเปิดประตูเหรอ? ให้เธอเข้าไปงั้นเหรอ? โจวชวงชวงลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เธอบิดลูกบิดประตูแล้วเข้าไปในห้อง หลังจากเข้าไปแล้ว โจวชวงชวงก็พบว่าเผยจ้าวเหิงนั่งอยู่หน้าโน๊ตบุ๊ค เขาสว
เมื่อครู่นี้เขาประชุมอยู่ เห็นได้ชัดว่าซูหลินพยายามตามงานเขามากแค่ไหน "มีงานให้ต้องทำอีกเยอะ..." เผยจ้าวเหิงพูดประโยคนี้อีกสองครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เม้มปากแล้วพูดว่า "อืม คุณพูดถูกแล้ว ช่วงนี้งานที่บริษัทล่าช้าไปเยอะจริงๆ" "แล้วคุณ..." “แล้วคุณจะชดใช้ให้ผมทำยังไงล่ะ?” โจวชวงชวง: "?" ไม่ ทำไมปัญหาถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ล่ะ? เดิมทีเธอเพียงแค่อยากจะบอกว่าถ้าเธอทำให้งานในบริษัทล่าช้า ถ้างั้นก็ให้เขากลับไปก่อนดีกว่า แต่ใครจะรู้ว่าเขาถามเธอว่าจะชดใช้ให้เขาอย่างไร? เมื่อคิดเช่นนั้น โจวชวงชวงก็พูดด้วยสีหน้าสับสน: "ฉันเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆคนหนึ่ง ฉันจะมีปัญญาไปชดใช้อะไรให้คุณได้ยังไงล่ะ?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เผยจ้าวเหิงก็ยกมุมปากขึ้น “คุณไม่มีปัญญาจะชดใช้อะไรให้ผมเหรอ? คุณไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ?” โจวชวงชวง: "..." รู้สึกแปลกๆ เธอเม้มริมฝีปากสีแดงแล้วมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง "ประธานเผย นี่คุณ..." เผยจ้าวเหิงเลิกคิ้ว: "อะไรหรอ?" “หลังจากที่เรื่องนี้จบลงและฉันกลับไปที่บริษัทแล้ว คุณกำลังคิดที่จะกดเงินเดือนฉันสองเท่าใช่ไหม? หรือจะยกเลิกโบนัสสิ้นปีของฉันล่ะ
หลังจากนั้นก็โม่ไป๋ไม่ได้โต้เถียงอะไรกับเธออีก เพราะเขาสามารถพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดไม่ว่าเธอจะพูดอะไรออกมาก็ตาม เขาทำเรื่องที่เป็นการทำร้ายเธอแท้ๆ แต่ท่าทางของเขากลับดูเหมือนหวังดีกับเธอ ไม่ว่าเสิ่นหยินอู้จะโกรธหรือพูดอะไรที่รุนแรงแค่ไหน โม่ไป๋ก็ดูไม่สะทกสะท้านเลย ซึ่งมันทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าถึงเธอจะต่อว่าอะไรเขาเพิ่มอีก มันก็ไม่มีความหมาย เธอจึงพาเด็กทั้งสองคนออกไป หลังจากกลับไปถึงที่ห้อง เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่ริมหน้าต่าง หลังจากนั้นประมาณห้านาที เธอก็เห็นโม่ไป๋ขึ้นรถคันหนึ่งแล้วรถก็ขับออกไป และไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เสิ่นหยินอู้ยังสังเกตเห็นว่ากลุ่มคนที่ปกติจะล้อมคฤหาสน์เอาไว้ได้ถูกย้ายออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง เธอตกใจเล็กน้อย ผู้ช่วยเฉินรู้สินะว่าวันนี้เขาจะทำอะไรเช่นนี้? แต่เธอก็สงสัยเล็กน้อย เดิมทีโม่ไป๋คิดที่จะกักขังเธอไว้ที่นี่ แล้วในตอนนี้เขาย้ายคนตั้งมากมายขนาดนี้ออกไปทำไมกัน? หรือว่ามีคนหาเธอพบแล้วงั้นเหรอ? แต่ถ้ามีใครหาเธอพบ เขาก็ควรมาช่วยเธอออกไปไม่ใช่หรอ? "ก๊อกก๊อก" ความคิดของเสิ่นหยินอู้ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู เธอรีบเดินไปเปิดประตู และเ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ