ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ขึ้นไปบนรถ ไม่นานรถก็ออกจากคฤหาสน์ ก่อนเข้าสู่ถนนสายหลัก ฉินเย่พูดกับเธอว่า: "บอกที่อยู่ของโม่ไป๋มาให้ผมหน่อย" ห้าปีกว่าแล้ว ชื่อของโม่ไป๋ออกมาจากปากของฉินเย่อีกครั้ง แต่มันกลับทำให้เขากัดฟัน “โม่ไป๋เหรอ?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ประหลาดใจเช่นกัน แต่เธอก็รีบคิดถึงเรื่องอื่น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็บอกที่อยู่ของโม่ไป๋ให้กับฉินเย่ ใช้เวลาประมาณสิบวินาที หลังจากได้รู้ที่อยู่แล้ว ฉินเย่ก็ค่อนข้างประหลาดใจ เขาคิดว่าเธอจะเถียงอะไรกับเขา แต่เขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะนึกมันออกในทันที เมื่อมีจุดหมายปลายทางแล้ว รถก็รีบขับเข้าสู่ถนนสายหลัก ระหว่างทางไปหาโม่ไป๋ ภายในรถก็เงียบมาก เสิ่นหยินอู้จมอยู่ในความคิดของเธอ ก่อนที่เธอจะมา เธอไม่เคยคิดเลยว่าโม่ไป๋จะเป็นคนพาเด็กๆไป เธอแค่คิดเพียงอย่างเดียวว่าฉินเย่ต้องการแย่งลูกๆไปจากเธอ แต่เนื่องจากเธอไม่เห็นด้วย เขาจึงต้องพาเด็กๆไปในตอนที่เธอไม่อยู่ แต่ตอนนี้เมื่อเขาพูดเช่นนั้น และนึกถึงสิ่งที่คุณครูพูดให้ดีๆอีกครั้ง เธอก็คิดได้ โม่ไป๋เคยถูกครูคิดว่าเป็นพ่อของเด็กๆทั้งสองคนมาก่อน ดังนั้นจะเข้าใจผิดเป็
ภายในรถเงียบมาก เสิ่นหยินอู้เอนตัวลงบนเบาะและไม่พูดอะไรเลย เมื่อไปถึงสี่แยกไฟจราจรข้างหน้า รถก็จอด ฉินเย่วางมือของเขาบนพวงมาลัย ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็ได้ยินเขาพูดว่า: "ในสายตาของคุณ เรื่องแย่ๆทั้งหมดล้วนเป็นผมที่เป็นคนทำเหรอ?" เสิ่นหยินอู้: "..." “ลูกคุณหายไป แว๊บแรกคุณก็คิดทันทีเลยว่าผมพาพวกเขาไป” “ไม่งั้นล่ะ?” เสิ่นหยินอู้ถามกลับ: “คุณถ่อไปโรงเรียนทุกวันเพื่อดูแลเด็กๆ ไม่ใช่เพราะคุณอยากจะพาเด็กๆไปสักวันหรือไง? คุณกล้าบอกว่าคุณไม่มีความคิดที่จะพาเด็กๆไปเลยแม้แต่นิดเดียวเหรอ?” “ที่ผมทำ ก็เพื่อชดใช้ ไม่ได้...” “ฉันไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับคุณเลย ใกล้จะไฟเขียวแล้ว ขับรถเถอะ” เมื่อเธอรู้ว่าฉินเย่ไม่ได้พาเด็กๆไป เสิ่นหยินอู้ก็เป็นกังวลมาก งั้นใครเป็นคนพาเด็กๆไปล่ะ? ต่อมาก็พบว่าโม่ไป๋เป็นคนพาไป แต่เขาไม่ได้บอกเธอ แม้ว่าเธอจะรู้สึกโล่งใจไม่น้อย แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่ ทำไมโม่ไป๋ถึงพาเด็กๆไปโดยไม่บอกเธอกันล่ะ? เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่เธอปฏิเสธเขา แล้วก็ปฏิเสธได้แบบโหดร้ายมาก เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย เธอกลัวว่าโม่ไป๋จะโกรธและทำอะไรบางอย่าง
ฉินเย่กดลิฟต์ ไม่มีใครอยู่ในนั้นพอดี เขาจึงพาเธอเข้าไป “อารมณ์ของคุณก็เขียนอยู่บนหน้าของคุณ แค่ดูก็รู้แล้ว” เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากและหยุดพูด แต่เธอสัมผัสใบหน้าของเธอโดยไม่รู้ตัว อารมณ์เขียนอยู่บนหน้าเหรอ? เธอแสดงออกไปมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? แต่หลังจากเข้าไปในลิฟต์แล้ว เสิ่นหยินอู้คิดที่จะดึงมือของเธอกลับ แต่ฉินเย่ยังคงจับมันไว้แน่น “ฉินเย่ ปล่อยมือนะ” ริมฝีปากบางของฉินเย่โค้งงอเล็กน้อยและมันช่างน่ามองเป็นอย่างยิ่ง “ถ้าปล่อยแล้วเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงจะรู้ได้ยังไงว่าเรามารับพวกเขาด้วยกัน?” “จะปล่อยไหม?” ฉินเย่ไม่ได้มองเธอและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เสิ่นหยินอู้ยังคงใช้แรงดิ้นรนไปอีกหลายครั้ง แต่เมื่อเขาเห็นว่าเขายังไม่ยอมปล่อย เธอก็โกรธมากจนกัดเขา เดิมทีฉินเย่ไม่คิดที่จะปล่อยมือไม่ว่าเธอจะเจอดิ้นรนมากแค่ไหนก็ตาม กว่าเขาจะได้จับมือเธอนั้นมันไม่ใช่ง่ายๆเลย เขาจึงไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ ไม่ว่าเธอจะดิ้นรนเพียงใด อย่างไรเสีย แรงของเธอก็น้อยกว่าเขา เขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะกัดเขา เสิ่นหยินอู้ไม่ได้กัดเขาเล่นๆ เธอกัดเข้าไปในเนื้อของเขา ฉินเย่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ข้อมื
วินาทีต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ช่วยเฉินก็หายไป น่าเสียดายที่ในขณะนี้เสิ่นหยินอู้เป็นห่วงลูกๆสองคน และไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของผู้ช่วยเฉินเลย เธอเพียงมองเข้าไปข้างในแล้วถามว่า: "ผู้ช่วยเฉิน โม่ไป๋อยู่ในนั้นหรือเปล่าคะ?" “คุณผู้ชายโม่อยู่ข้าง...” ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็เดินเข้าไปอย่างรีบร้อน เมื่อฉินเย่เห็นเช่นนั้น เขาก็ก้าวเข้าไปด้วยใบหน้าที่เย็นชาเช่นกัน เมื่อผู้ช่วยเฉินเห็นเช่นนั้น เขาก็ยกมือขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อขวางเขาไว้ ฉินเย่เงยหน้าขึ้นและมองเขาด้วยสายตาที่เฉียบคม ผู้ช่วยเฉินกลัวจนหัวหด และในที่สุด ภายใต้สายตาเชิงบังคับขู่เข็ญของฉินเย่ เขาก็ค่อยๆดึงมือกลับไป เมื่อฉินเย่เห็นเช่นนั้น เขาก็ส่งเสียง หึ อย่างเย็นชาและก้าวเข้าไป - หลังจากที่เสิ่นหยินอู้เข้าไป เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเหมิงเหมิงมาจากระยะไกลปะปนกับน้ำเสียงที่อ่อนโยนของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ เธอเดินตามเสียงไปและในที่สุดก็เห็นโม่ไป๋ เหนียนเหนียน และเหมิงเหมิงอยู่ที่ระเบียง มีของเล่นที่เป็นขนมหลายชิ้นวางอยู่บนโต๊ะที่ระเบียง แก้มของเหมิงเหมิงป่องออกมาจากขนมที่อยู่ในปาก แต่เสิ่นซือเหนียนกลับนั
จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆถ้าหากยังอยู่ที่นี่ต่อ ความคิดนี้เข้ามาในหัวของเสิ่นหยินอู้ เธอยืนขึ้นโดยอุ้มเหมิงเหมิงไว้ในอ้อมแขนของเธอ “ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ช่วยเฉินไปส่งฉันหรอก มันดึกแล้ว ให้ผู้ช่วยเฉินกลับบ้านไปทานอาหารเย็นดีกว่า ฉันกลับกับเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนได้” แน่นอนว่าทันทีที่เธอเปิดปาก โม่ไป๋ก็หันเหความสนใจไปที่เธอ เมื่อมองหน้าเธอ โม่ไป๋ยังคงรักษาสีหน้าอ่อนโยนเอาไว้ได้ “หยินอู้ ไม่จำเป็นต้องไปส่งจริงเหรอ?” “ไม่จำเป็นจริงๆ ฉันกลับเองได้” “ก็ได้ กลับดีๆนะ โทรหาผมได้ตลอดถ้าเธอต้องการอะไร” เสิ่นหยินอู้พยักหน้า "โอเค เข้าใจแล้ว" ก่อนออกไป โม่ไป๋หยิบถุงเล็กๆใบหนึ่งแล้วส่งมันให้เสิ่นเหมิงเหมิง “นี่คือของขวัญสำหรับเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียน” "ไม่……" “รับไปเถอะ เหมิงเหมิงรับมันไว้แล้ว” เมื่อทำอะไรไม่ถูก เสิ่นหยินอู้จึงทำได้เพียงปล่อยให้เหมิงเหมิงหยิบถุงใบเล็กๆมา หลังจากบอกลาโม่ไป๋แล้ว เธอก็เตรียมที่จะออกไป ฉินเย่ที่ยืนอยู่ข้างเธอมาโดยตลอดจู่ๆก็เดินมาหาเธอ ก้มลงไปอุ้มเสิ่นซือเหนียนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอขึ้นมา เสิ่นซือเหนียนตกใจและกอดคอของฉินเย่โดยไม่รู้ตัว หลังจากน
"อืม" หลังจากฝากเรื่องทั้งหมดให้ผู้ช่วยเฉินช่วยจัดการแล้ว โม่ไป๋ก็จากไปอย่างรวดเร็ว ผู้ช่วยเฉินยืนอยู่ที่เดิม มองตามแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวของเขาที่ค่อยๆห่างไกลออกไป เขารู้สึกราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องไม่ดีอะไรเกิดขึ้น เขาเดาว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างประธานโม่กับคุณหนูเสิ่น แน่นอนว่าหลายวันมานี้ประธานโม่ไม่ได้ออกไปไหน แต่กลับอยู่ที่บ้านของเขาอย่างเงียบๆ และเขาไม่ได้ไปหาเสิ่นหยินอู้ เสิ่นหยินอู้ไม่ได้มาหาเขาเช่นกัน ทั้งสองดูเหมือนเป็นคนแปลกหน้า จู่ๆก็ขาดการติดต่อระหว่างกันและกันไป จนกระทั่งวันนี้… โม่ไป๋ไม่ได้กินข้าวเที่ยงเยอะมากนัก เขาวางช้อนลงแล้วพูดกับผู้ช่วยเฉินว่า: "ผู้ช่วยเฉิน ตอนบ่ายหลังไปรับเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนหลังเลิกเรียนหน่อย ผมคิดถึงพวกเขา" เมื่อผู้ช่วยเฉินได้ยินดังนั้น เขาก็พยักหน้าทันที “ได้ครับประธานโม่ งั้นเดี๋ยวเราไปที่นั่นกันครับ” ดังงนั้น ผู้ช่วยเฉินจึงไปที่โรงเรียนกับโม่ไป๋และพาเด็กทั้งสองคนกลับบ้าน ขณะที่อยู่ในรถ ผู้ช่วยเฉินถามว่า: "ประธานโม่ คุณหนูเสิ่นคงไม่รู้เรื่องที่เรามารับเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง คุณจะบอกเธอไหมสักหน่อยไหมครับ? เธอ
ในตอนนี้เสิ่นเหมิงเหมิงที่กำลังแอบฟังบทสนทนาของพวกเขามาโดยตลอดได้ปิดปากของเธอไว้และหัวเราะเบาๆ เสิ่นหยินอู้: "..." พูดตามตรง เสิ่นหยินอู้รู้สึกโมโหเล็กน้อย เธอก้มไปมองดูลูกสาวของเธอ และไม่พูดอะไร อีกทั้งก็ไม่ได้แสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมา เพียงแค่มองเธอเงียบ ๆ เสิ่นเหมิงเหมิงที่เดิมทีแอบหัวเราะอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ เมื่อถูกเสิ่นหยินอู้จ้องมองเช่นนี้ รอยยิ้มของเธอก็หายไปในทันทีด้วยความรู้สึกผิด เธอเอามือเล็กๆของเธอลงและเม้มริมฝีปากเล็กๆแน่น ไม่กล้าที่จะแอบหัวเราะอีก เธอดูกระอักกระอ่วนมาก เนื่องจากลูกๆสองคนของเธอโดยปกติแล้วจะเชื่อฟังมาก เสิ่นหยินอู้จึงไม่ค่อยอารมณ์เสียกับลูกๆ แม้ว่าจะทำผิดพลาด เธอก็จะสอนพวกเขาก่อน หากพวกเขาไม่เชื่อฟังจริงๆ เธอถึงจะจริงจังขึ้นมา เนื่องจากวิธีการสอนของเธอไม่เหมือนใคร เธอจึงไม่จำเป็นต้องชักสีหน้าบ่อยๆ ดังนั้นแม้ว่าเธอจะมองเด็กๆอย่างเงียบๆ แต่เด็กๆก็รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด เช่นเดียวกับตอนนี้ เสิ่นเหมิงเหมิงไม่กล้าพูดอะไร เธอทำได้เพียงก้มศีรษะลงและแอบกวาดสายตาขึ้นมาเพื่อมองเธอเป็นระยะๆ เมื่อเห็นเสิ่นเหมิงเหมิงเป็นเช่นนี้แล้ว... หัวใจของเสิ่นหยินอู
"ขอบคุณคุณเย่มู่ที่มาเป็นคนขับรถให้นะคะ" ปฏิกิริยาของเธอทำให้ฉินเย่ชะงักไปชั่วคราว เขากวาดสายตาไปมองเธอด้วยความรู้สึกแปลกๆ จากนั้นจึงเปิดปากพูด “ไม่หรอกครับ ผมเต็มใจที่จะทำ” หลังจากที่เขาหันกลับไป รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็หายไปทันที เธอกลับมามีสีหน้าเฉยชาอีกครั้ง เมื่อก้มศีรษะลง เธอก็สบตากับเหนียนเหนียนโดยบังเอิญ เสิ่นหยินอู้ชะงักไป เธอไม่ได้คิดว่าจะถูกเหนียนเหนียนมองอยู่ ดังนั้นเธอจึงยิ้มอีกครั้ง แต่ดูเหมือนเสิ่นซือเหนียนจะไม่แปลกใจเลย เขาเม้มริมฝีปากเล็กๆ กอดแขนเธอแน่นขึ้น และไม่พูดอะไรต่อ ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่อยากให้ลูกๆเห็นด้านไม่ดีของเธอเลยจริงๆ แต่เหนียนเหนียน เด็กคนนี้หัวไวเกินไป... ในท้ายที่สุด เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกไปลูบหัวของเสิ่นซือเหนียน ในที่สุดรถก็มาจอดอยู่ที่ชั้นล่าง “ขอบคุณลุงเย่มู่ที่มาส่งพวกเรากลับบ้านนะคะ” ทันทีที่พวกเขามาถึง เหมิงเหมิงก็พูดขอบคุณฉินเย่ทันที ฉินเย่สบตาเธอผ่านกระจกมองหลัง พร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขา “อีกหน่อยถ้าลุงเป็นพ่อของหนูแล้ว หนูก็ไม่ต้องขอบคุณลุงอีก มันเป็นสิ่งที่ลุงสมควรทำ” อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้นั่
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ