อาจเป็นเพราะรู้ตัวว่าตนทำผิด เสิ่นเหมิงเหมิงพลันก้มหน้าลงตอนที่ถูกเธอซักถามทันที นิ้วมือขาวๆ กระทบกันตรงหน้า“ขอโทษค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงเห็นแก่กินเอง”เสิ่นซือเหนียนกินของคนอื่นแล้วใจอ่อน คราวนี้ก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกันเมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นว่าแม้แต่เสิ่นซือเหนียนก็เป็นแบบนั้น จึงโมโหจนหลุดหัวเราะออกมา“เหนียนเหนียน เราก็เห็นแก่กินแล้วเหรอ?”เมื่อได้ยินคำเปรียบเปรยนี้แล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นซือเหนียนก็แดงเถือก “ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นครับหม่ามี๊…”“เฮ้อ”เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ แล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกหนูสองคนเป็นอะไรไปเนี่ย? ก่อนหน้านี้หม่ามี๊บอกพวกหนูตลอดไม่ใช่เหรอว่าห้ามกินของจากคนแปลกหน้าน่ะ?”“แต่…แต่ว่าเมื่อวานหม่ามี๊บอกว่าพวกหนูเป็นเพื่อนกับเหย้าเหย้าแล้ว หม่ามี๊เองก็ให้ลูกอมกับเหย้าเหย้าด้วย”เสิ่นหยินอู้ “…”เธอถูกลูกสาวตัวเองเถียงจนพูดอะไรไม่ออกนั่นน่ะสิ ถ้าจะบอกว่าลุงของเฉาเหย้าจู่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นสำหรับเฉาเหย้าจู่แล้ว เธอเองก็เป็นคนแปลกหน้าไม่ใช่เหรอ?เมื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ได้แต่พูดว่า “หม่ามี๊สื่อสารผิดเอง
เสิ่นหยินอู้ “…”เด็กคนนี้ตีความหมายของตนเก่งจริงๆ“หม่ามี๊ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น หม่ามี๊หมายถึงหนูรู้ได้ยังไงว่าคุณลุงเย่มู่เขาไม่มีภรรยาไม่มีลูก? เข้าใจหรือยัง?”“อ้อ”เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ความจริงก็พูดอย่างรวดเร็วว่า “ถ้างั้นหม่ามี๊ ไว้พรุ่งนี้เหมิงเหมิงจะถามคุณลุงเย่มู่ดู ถ้าคุณลุงเย่มู่ยังไม่มีภรรยา ถ้างั้นก็สามารถเป็นแด๊ดดี๊ของเหมิงเหมิงได้แล้วใช่ไหม?”เสิ่นหยินอู้ “…”เด็กคนนี้เป็นอะไรไปกัน?แต่ก่อนโม่ไป๋ดีกับเธอขนาดนั้น แต่น้อยมากที่จะเห็นเธอขอร้องให้เขามาเป็นแด๊ดดี๊ของตัวเองเหมือนตอนนี้เย่มู่เฉินจี้คนนี้เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน เธอกลับมีความคิดแบบนี้ หรือว่ากินแป้งแฮมเบอร์เกอร์ได้ยอดเยี่ยม?เสิ่นหยินอู้ตกใจมาก“เหมิงเหมิง บอกหม่ามี๊มาตามตรง คุณลุงเย่มู่พูดอะไรกับหนูหรือเปล่า?”ไม่อย่างนั้น ทำไมเธอถึงมีความคิดแบบนี้ได้?“พูดอะไรเหรอหม่ามี๊?”“อืม…อย่างเช่น เขาบอกว่าเขาอยากเป็นแด๊ดดี๊ของหนู อะไรทำนองนั้นน่ะ?”เสิ่นเหมิงเหมิงส่ายหน้า“ไม่มีค่ะ เหมิงเหมิงอยากให้คุณลุงเย่มู่มาเป็นแด็ดดี๊ของเหมิงเหมิงเอง”“ทำไมล่ะ?”“เพราะคุณลุงเย่มู่ดีกับเหมิง
เสิ่นซือเหนียนทำตามที่แม่บอก เขาดูแลน้องสาวของเขาอย่างดีเพื่อไม่ให้เธอพูดอะไรไร้สาระ แต่อารมณ์ของเหมิงเหมิงนั้นหลุดเกินกว่าจะควบคุม ไม่มีโอกาสให้พี่ชายของเธอได้โต้ตอบอะไรเลย สิ่งแรกที่เธอพูดเมื่อเจอลุงเย่มู่ในวันถัดมาคือ: "ลุงเย่มู่ ลุงดูดีมากๆเลยค่ะ" เมื่อเสิ่นซือเหนียนที่ตามเธอมาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาคิดจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเธอ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ปากของเสิ่นเหมิงเหมิงนั้นรวดเร็วเป็นพิเศษ “หนูอยากให้ลุงเย่มู่เป็นพ่อของหนูจริงๆ” เสิ่นซือเหนียนรู้สึกท้อแท้ทันที หน้าที่ที่แม่ของเขามอบหมายให้เขานั้นได้ล้มเหลวเสียแล้ว ฉินเย่ซึ่งถือของอยู่ในมือยืนอึ้งอยู่ที่เดิมเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเสิ่นเหมิงเหมิง อาจเป็นเพราะเขาตกใจเกินไป ถุงที่ฉินเย่ถือก็หล่นลงกับพื้นเช่นกัน เสียงถุงหล่นกระทบกับพื้นทำให้คนหลายคนมองมาทางพวกเขา แต่สายตาส่วนใหญ่นั้นเป็นสายตาของเด็กๆในโรงเรียน และแม้ว่าพวกเขาจะมอง พวกเขาก็แค่สงสัยและสับสน ฉินเย่มองไปที่เหมิงเหมิงที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ มือใหญ่ๆขอ
เฉาเย่าจู่รับฟัง และเขาก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าชีวิตที่ดีของครอบครัวเขาในตอนนี้ได้รับมาจากคุณลุงคนนี้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นแม้ว่าเขาจะถูกละเลย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่ยุติธรรมในใจ วันนี้ฉินเย่ไม่ได้นำอาหารจั้งฟู๊ดมาแล้ว แต่เป็นอาหารที่เขาให้พ่อครัวทำ อาหารเหล่านั้นใส่อยู่ในกล่องอาหาร เขาเปิดฝาทีละกล่องแล้วจัดวางลงบนโต๊ะ ฉินเย่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะมาที่โรงเรียนพร้อมกล่องอาหารเหมือนพี่เลี้ยงเด็กและเอาอาหารมาส่งให้เด็กๆ เขาไม่เคยกล้าคิดเรื่องแบบนี้มาก่อน และถึงจะให้เขาทำ เขาก็จะไม่ทำ แต่ตอนนี้...ภายในใจของเขากลับเป็นสุขอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ เขาก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของเด็กทั้งสอง และเห็นความประหลาดใจในดวงตาของพวกเขาสองคน พวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะนำอาหารมากมายเช่นนี้มา ดังนั้นพวกเขาจึงประหลาดใจ เขาเปิดปากแล้วหัวเราะเบาๆ : "ไปล้างมือมาแล้วหรือยัง?" "ล้างแล้วค่า" เสิ่นเหมิงเหมิงโบกมือไปทางฉินเย่ ในขณะที่รับประทานอาหาร ฉินเย่มองไปยังเสิ่นซือเหนียนที่ยังคงเงียบสงบ และในที่สุดก็หันไปมองเสิ่นเหมิงเหมิงและถามเบา ๆ
แม้ว่าจากภายนอกแล้ว ฉินเย่เหมือนจะทำสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เขารู้ดีว่า เสิ่นซือเหนียนคงจะไม่โดนซื้อใจได่ง่ายๆนัก หากทำอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือได้ไม่ดี เขาก็จะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แม้ว่าลูกชายของเขาจะยังเด็ก แต่บุคลิกของเขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่ เหมือนกับตัวเขาเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กไม่มีผิด ทันใดนั้น ฉินเย่ก็รู้สึกเสียใจที่นิสัยของเขาเป็นเช่นนี้ ซึ่งมันทำให้เป็นการยากที่เขาจะจัดการกับลูกชายของเขาเอง ดังนั้นเมื่อเสิ่นเหมิงเหมิงกินเสร็จและพาเฉาเย่าจู่ออกไปเล่น เสิ่นซือเหนียนก็อยู่ตามลำพังกับฉินเย่ และช่วยเขาทำความสะอาดเก็บกวาด เขาไม่มีข้อตำหนิใดๆ และถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็มีความกระตือรือร้นในการทำงานมาก ฉินเย่สังเกตอยู่อย่างเงียบๆ จากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "เดี๋ยวลุงทำเอง ซือเหนียนไปเล่นกับน้องๆเถอะ" แต่เสิ่นซือเหนียนส่ายหัวอย่างเงียบๆแล้วพูดว่า "ไม่ได้ครับ หม่ามี๊บอกว่าไม่ควรอยู่แบบไร้ประโยชน์ แล้วผมก็อยากทำอะไรสักอย่างที่ผมทำได้" เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเย่ก็หัวเราะเบาๆ “ไม่ควรอยู่แบบไร้ประโยชน์งั้นเหรอ?” "อืม" ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม "ก็ได้
แต่เขาคือลุงเย่มู่ที่อยากเป็นพ่อของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกมาก และมันยังทำให้เขาคิดว่า ลุงเย่มู่รู้จักหม่ามี๊มานานแล้ว เขาจึงเข้ามาในห้องไลฟ์สดเพื่อให้รางวัลพวกเขาเสมอ หลังจากที่เขาถามคำถามนี้ ฉินเย่ก็ชะงักไป และตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่เสิ่นซือเหนียนซึ่งยืนอยู่ที่เดิมตรงหน้าเขา เขาดูเป็นคนที่โตกว่าวัยนิดหน่อย ยังเด็กขนาดนั้นแท้ๆ แต่ความหัวไวของเขานั้นช่างน่าทึ่งมาก คำถามดังกล่าวไม่ได้ถามเพราะจู่ๆก็อยากถาม ฉินเย่เปิดริมฝีปากของเขา ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วถามเสิ่นซือเหนียนกลับ “คิดว่ายังไงล่ะ เหนียนเหนียน?” ริมฝีปากของเสิ่นซือเหนียนขยับ แต่เขาไม่ตอบ เจ้าเล่ห์ คำพูดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวของเหนียนเหนียน มันเข้ากันกับลุงเย่มู่ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างมาก ทันใดนั้น เสิ่นซือเหนียนก็รู้สึกว่า ถ้าแม่และลุงเย่มู่อยู่ด้วยกัน เธอจะไม่สามารถต่อกรกับลุงเย่มู่ได้อย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็ระมัดระวังขึ้นมาทันที ฉินเย่ชะงักไป เขาคาดไม่ถึงว่าคำพูดลองใจของเขาจะทำให้ความระมัดระวังของเด็กน้อยเพิ่มขึ้นในทันที กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาไม่เพียงแต่เข้าใจในสิ่งที่เข
มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด เขาจำใจให้ตัวเองเป็นพี่ชาย และเนื่องจากเหมิงเหมิงเป็นชอบกินชอบเล่น และซุกซนเป็นอย่างมาก เขาจึงกลายเป็นคนเงียบๆโดยไม่รู้ตัว สายตาของเขาจับจ้องไปที่น้องสาวของเขาอยู่เสมอ คอยดูว่าเธอพูดอะไรไร้สาระหรือได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ตอนนี้ฉินเย่กลับพูดแบบนี้กับเขา เมื่อดวงตาของเด็กน้อยร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย ศักดิ์ศรีที่เปี่ยมล้นของเขาทำให้เขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขากลัวว่าคนอื่นจะเห็นสีหน้าของเขา ฉินเย่จะไม่เข้าใจอารมณ์ของเขาได้อย่างไร ในเวลานี้เองที่เขาตระหนักได้ว่า แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่เด็กแบบเขาก็มีศักดิ์ศรีของตนเอง เขาต้องเคารพมัน เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเย่ก็พูดเบาๆว่า: "รีบเข้าไปเถอะ เหมิงเหมิงรอนานแล้วนะ" “ครับ” เด็กน้อยพยักหน้าแล้วหันหลังเดินเข้าไป คราวนี้ เขาเดินไปไม่กี่ก้าวแล้วจึงหันกลับมามองที่ฉินเย่ “ลุงเย่มู่ เหนียนเหนียน... จะเก็บความลับให้ลุงครับ” “จริงเหรอ? ถ้างั้น ลุงเย่มู่ขอบคุณเหนียนเหนียนนะครับ” ความโค้งของริมฝีปากของฉินเย้กว้างขึ้น หลังจากที่เสิ่นซือเหนียนหายไปจากระยะสายตาของเขา มุมปากของเขาก็ค่อยๆ กลับมาตั้งตรง แต่ไม่นานม
ด้วยความทำอะไรไม่ถูก เสิ่นหยินอู้จึงรับโทรศัพท์ หลังจากเห็นเบอร์บนหน้าจอ ใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็บูดบึ้ง ฉินเย่! เธอไม่รับสายเขา เขาก็เลยโทรเข้าหาพนักงานในบริษัทของเธองั้นเหรอ? เขาทำไปเพื่ออะไรกันแน่? จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็อารมณ์เสียและพูดด้วยความโกรธว่า: "ฉินเย่ คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?" สิ่งที่ตอบกลับเธอจากปลายสายคือความเงียบที่ยาวนาน อู๋อี้ไห่ที่อยู่ข้างๆเธอรู้สึกขนลุกไปหมดทั้งร่างในทันทีที่เห็นท่าทางที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟของเธอ แม้ว่าจะรู้ว่าเสิ่นหยินอู้เคยแต่งงานกับฉินเย่มาก่อน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองน่าจะใกล้ชิดกันมาก แต่นั่นคือฉินเย่เชียวนะ เขามักจะทำหน้าและสายตาเย็นชาอยู่เสมอ อีกทั้งยังเป็นคนที่เด็ดขาด ตอนนี้ก็เป็นนักลงทุนของบริษัท เธอพูดให้มันนุ่มนวลกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ? อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เขาไม่กล้าพูดอะไรเลย เขาทำได้เพียงพยายามกลั้นหายใจและลดการมีอยู่ของเขาให้เหลือน้อยที่สุด เมื่อเห็นว่าปลายสายเงียบ เสิ่นหยินอู้ไม่คิดที่จะวางสายไปทั้งๆแบบนั้น เธอจึงพูดต่อว่า "พูดสิ?" จากการเร่งเร้าของเธอ เสียงผู้ชายที่ทุ้มหนักแน่นก็ดังขึ้นจากอีกด้าน "คุณจะให้ผมพ
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง
อารมณ์ของเธอในเที่ยวบินขากลับแตกต่างไปจากในตอนขามาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีก็คือการที่ไม่ว่าจะเป็นขามาหรือขากลับ ลูกๆทั้งสองคนของเธอก็ล้วนอยู่ข้างกายเธอ หลังจากที่หลี่มู่ถิงได้รับข้อความจากฉินเย่ เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆสองคนให้คุณพ่อคุณแม่ฉินฟังก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ฉินรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ตกใจและเงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็พูดว่า "เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เที่ยวบินของพวกคุณคือเที่ยวไหน เดี๋ยวถึงแล้วเราจะไปรับ" หลังจากที่หลี่มู่ถิงบอกเสิ่นหยินอู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉินบอกมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว เมื่อนึกถึงห้าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอจากไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะทักทายพวกเขาได้อย่างไรเมื่อต้องพบกันอีกครั้ง หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาทำได้เพียงคาดเดาจากการดูสีหน้าของเธอเท่านั้น เมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงถามด้วยท่าทีระมัดระวัง: "คุณหนูเสิ่น ประธานฉินบอกผมว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลอะไร คุณบอกผมได้เสมอ และเรื่องนี้ก็สามารถล้มเลิก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา