เสิ่นหยินอู้ “…”เด็กคนนี้ตีความหมายของตนเก่งจริงๆ“หม่ามี๊ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น หม่ามี๊หมายถึงหนูรู้ได้ยังไงว่าคุณลุงเย่มู่เขาไม่มีภรรยาไม่มีลูก? เข้าใจหรือยัง?”“อ้อ”เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ความจริงก็พูดอย่างรวดเร็วว่า “ถ้างั้นหม่ามี๊ ไว้พรุ่งนี้เหมิงเหมิงจะถามคุณลุงเย่มู่ดู ถ้าคุณลุงเย่มู่ยังไม่มีภรรยา ถ้างั้นก็สามารถเป็นแด๊ดดี๊ของเหมิงเหมิงได้แล้วใช่ไหม?”เสิ่นหยินอู้ “…”เด็กคนนี้เป็นอะไรไปกัน?แต่ก่อนโม่ไป๋ดีกับเธอขนาดนั้น แต่น้อยมากที่จะเห็นเธอขอร้องให้เขามาเป็นแด๊ดดี๊ของตัวเองเหมือนตอนนี้เย่มู่เฉินจี้คนนี้เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน เธอกลับมีความคิดแบบนี้ หรือว่ากินแป้งแฮมเบอร์เกอร์ได้ยอดเยี่ยม?เสิ่นหยินอู้ตกใจมาก“เหมิงเหมิง บอกหม่ามี๊มาตามตรง คุณลุงเย่มู่พูดอะไรกับหนูหรือเปล่า?”ไม่อย่างนั้น ทำไมเธอถึงมีความคิดแบบนี้ได้?“พูดอะไรเหรอหม่ามี๊?”“อืม…อย่างเช่น เขาบอกว่าเขาอยากเป็นแด๊ดดี๊ของหนู อะไรทำนองนั้นน่ะ?”เสิ่นเหมิงเหมิงส่ายหน้า“ไม่มีค่ะ เหมิงเหมิงอยากให้คุณลุงเย่มู่มาเป็นแด็ดดี๊ของเหมิงเหมิงเอง”“ทำไมล่ะ?”“เพราะคุณลุงเย่มู่ดีกับเหมิง
เสิ่นซือเหนียนทำตามที่แม่บอก เขาดูแลน้องสาวของเขาอย่างดีเพื่อไม่ให้เธอพูดอะไรไร้สาระ แต่อารมณ์ของเหมิงเหมิงนั้นหลุดเกินกว่าจะควบคุม ไม่มีโอกาสให้พี่ชายของเธอได้โต้ตอบอะไรเลย สิ่งแรกที่เธอพูดเมื่อเจอลุงเย่มู่ในวันถัดมาคือ: "ลุงเย่มู่ ลุงดูดีมากๆเลยค่ะ" เมื่อเสิ่นซือเหนียนที่ตามเธอมาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาคิดจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเธอ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ปากของเสิ่นเหมิงเหมิงนั้นรวดเร็วเป็นพิเศษ “หนูอยากให้ลุงเย่มู่เป็นพ่อของหนูจริงๆ” เสิ่นซือเหนียนรู้สึกท้อแท้ทันที หน้าที่ที่แม่ของเขามอบหมายให้เขานั้นได้ล้มเหลวเสียแล้ว ฉินเย่ซึ่งถือของอยู่ในมือยืนอึ้งอยู่ที่เดิมเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเสิ่นเหมิงเหมิง อาจเป็นเพราะเขาตกใจเกินไป ถุงที่ฉินเย่ถือก็หล่นลงกับพื้นเช่นกัน เสียงถุงหล่นกระทบกับพื้นทำให้คนหลายคนมองมาทางพวกเขา แต่สายตาส่วนใหญ่นั้นเป็นสายตาของเด็กๆในโรงเรียน และแม้ว่าพวกเขาจะมอง พวกเขาก็แค่สงสัยและสับสน ฉินเย่มองไปที่เหมิงเหมิงที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ มือใหญ่ๆขอ
เฉาเย่าจู่รับฟัง และเขาก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าชีวิตที่ดีของครอบครัวเขาในตอนนี้ได้รับมาจากคุณลุงคนนี้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นแม้ว่าเขาจะถูกละเลย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่ยุติธรรมในใจ วันนี้ฉินเย่ไม่ได้นำอาหารจั้งฟู๊ดมาแล้ว แต่เป็นอาหารที่เขาให้พ่อครัวทำ อาหารเหล่านั้นใส่อยู่ในกล่องอาหาร เขาเปิดฝาทีละกล่องแล้วจัดวางลงบนโต๊ะ ฉินเย่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะมาที่โรงเรียนพร้อมกล่องอาหารเหมือนพี่เลี้ยงเด็กและเอาอาหารมาส่งให้เด็กๆ เขาไม่เคยกล้าคิดเรื่องแบบนี้มาก่อน และถึงจะให้เขาทำ เขาก็จะไม่ทำ แต่ตอนนี้...ภายในใจของเขากลับเป็นสุขอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ เขาก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของเด็กทั้งสอง และเห็นความประหลาดใจในดวงตาของพวกเขาสองคน พวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะนำอาหารมากมายเช่นนี้มา ดังนั้นพวกเขาจึงประหลาดใจ เขาเปิดปากแล้วหัวเราะเบาๆ : "ไปล้างมือมาแล้วหรือยัง?" "ล้างแล้วค่า" เสิ่นเหมิงเหมิงโบกมือไปทางฉินเย่ ในขณะที่รับประทานอาหาร ฉินเย่มองไปยังเสิ่นซือเหนียนที่ยังคงเงียบสงบ และในที่สุดก็หันไปมองเสิ่นเหมิงเหมิงและถามเบา ๆ
แม้ว่าจากภายนอกแล้ว ฉินเย่เหมือนจะทำสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เขารู้ดีว่า เสิ่นซือเหนียนคงจะไม่โดนซื้อใจได่ง่ายๆนัก หากทำอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือได้ไม่ดี เขาก็จะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แม้ว่าลูกชายของเขาจะยังเด็ก แต่บุคลิกของเขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่ เหมือนกับตัวเขาเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กไม่มีผิด ทันใดนั้น ฉินเย่ก็รู้สึกเสียใจที่นิสัยของเขาเป็นเช่นนี้ ซึ่งมันทำให้เป็นการยากที่เขาจะจัดการกับลูกชายของเขาเอง ดังนั้นเมื่อเสิ่นเหมิงเหมิงกินเสร็จและพาเฉาเย่าจู่ออกไปเล่น เสิ่นซือเหนียนก็อยู่ตามลำพังกับฉินเย่ และช่วยเขาทำความสะอาดเก็บกวาด เขาไม่มีข้อตำหนิใดๆ และถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็มีความกระตือรือร้นในการทำงานมาก ฉินเย่สังเกตอยู่อย่างเงียบๆ จากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "เดี๋ยวลุงทำเอง ซือเหนียนไปเล่นกับน้องๆเถอะ" แต่เสิ่นซือเหนียนส่ายหัวอย่างเงียบๆแล้วพูดว่า "ไม่ได้ครับ หม่ามี๊บอกว่าไม่ควรอยู่แบบไร้ประโยชน์ แล้วผมก็อยากทำอะไรสักอย่างที่ผมทำได้" เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเย่ก็หัวเราะเบาๆ “ไม่ควรอยู่แบบไร้ประโยชน์งั้นเหรอ?” "อืม" ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม "ก็ได้
แต่เขาคือลุงเย่มู่ที่อยากเป็นพ่อของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกมาก และมันยังทำให้เขาคิดว่า ลุงเย่มู่รู้จักหม่ามี๊มานานแล้ว เขาจึงเข้ามาในห้องไลฟ์สดเพื่อให้รางวัลพวกเขาเสมอ หลังจากที่เขาถามคำถามนี้ ฉินเย่ก็ชะงักไป และตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่เสิ่นซือเหนียนซึ่งยืนอยู่ที่เดิมตรงหน้าเขา เขาดูเป็นคนที่โตกว่าวัยนิดหน่อย ยังเด็กขนาดนั้นแท้ๆ แต่ความหัวไวของเขานั้นช่างน่าทึ่งมาก คำถามดังกล่าวไม่ได้ถามเพราะจู่ๆก็อยากถาม ฉินเย่เปิดริมฝีปากของเขา ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วถามเสิ่นซือเหนียนกลับ “คิดว่ายังไงล่ะ เหนียนเหนียน?” ริมฝีปากของเสิ่นซือเหนียนขยับ แต่เขาไม่ตอบ เจ้าเล่ห์ คำพูดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวของเหนียนเหนียน มันเข้ากันกับลุงเย่มู่ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างมาก ทันใดนั้น เสิ่นซือเหนียนก็รู้สึกว่า ถ้าแม่และลุงเย่มู่อยู่ด้วยกัน เธอจะไม่สามารถต่อกรกับลุงเย่มู่ได้อย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็ระมัดระวังขึ้นมาทันที ฉินเย่ชะงักไป เขาคาดไม่ถึงว่าคำพูดลองใจของเขาจะทำให้ความระมัดระวังของเด็กน้อยเพิ่มขึ้นในทันที กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาไม่เพียงแต่เข้าใจในสิ่งที่เข
มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด เขาจำใจให้ตัวเองเป็นพี่ชาย และเนื่องจากเหมิงเหมิงเป็นชอบกินชอบเล่น และซุกซนเป็นอย่างมาก เขาจึงกลายเป็นคนเงียบๆโดยไม่รู้ตัว สายตาของเขาจับจ้องไปที่น้องสาวของเขาอยู่เสมอ คอยดูว่าเธอพูดอะไรไร้สาระหรือได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ตอนนี้ฉินเย่กลับพูดแบบนี้กับเขา เมื่อดวงตาของเด็กน้อยร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย ศักดิ์ศรีที่เปี่ยมล้นของเขาทำให้เขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขากลัวว่าคนอื่นจะเห็นสีหน้าของเขา ฉินเย่จะไม่เข้าใจอารมณ์ของเขาได้อย่างไร ในเวลานี้เองที่เขาตระหนักได้ว่า แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่เด็กแบบเขาก็มีศักดิ์ศรีของตนเอง เขาต้องเคารพมัน เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเย่ก็พูดเบาๆว่า: "รีบเข้าไปเถอะ เหมิงเหมิงรอนานแล้วนะ" “ครับ” เด็กน้อยพยักหน้าแล้วหันหลังเดินเข้าไป คราวนี้ เขาเดินไปไม่กี่ก้าวแล้วจึงหันกลับมามองที่ฉินเย่ “ลุงเย่มู่ เหนียนเหนียน... จะเก็บความลับให้ลุงครับ” “จริงเหรอ? ถ้างั้น ลุงเย่มู่ขอบคุณเหนียนเหนียนนะครับ” ความโค้งของริมฝีปากของฉินเย้กว้างขึ้น หลังจากที่เสิ่นซือเหนียนหายไปจากระยะสายตาของเขา มุมปากของเขาก็ค่อยๆ กลับมาตั้งตรง แต่ไม่นานม
ด้วยความทำอะไรไม่ถูก เสิ่นหยินอู้จึงรับโทรศัพท์ หลังจากเห็นเบอร์บนหน้าจอ ใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็บูดบึ้ง ฉินเย่! เธอไม่รับสายเขา เขาก็เลยโทรเข้าหาพนักงานในบริษัทของเธองั้นเหรอ? เขาทำไปเพื่ออะไรกันแน่? จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็อารมณ์เสียและพูดด้วยความโกรธว่า: "ฉินเย่ คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?" สิ่งที่ตอบกลับเธอจากปลายสายคือความเงียบที่ยาวนาน อู๋อี้ไห่ที่อยู่ข้างๆเธอรู้สึกขนลุกไปหมดทั้งร่างในทันทีที่เห็นท่าทางที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟของเธอ แม้ว่าจะรู้ว่าเสิ่นหยินอู้เคยแต่งงานกับฉินเย่มาก่อน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองน่าจะใกล้ชิดกันมาก แต่นั่นคือฉินเย่เชียวนะ เขามักจะทำหน้าและสายตาเย็นชาอยู่เสมอ อีกทั้งยังเป็นคนที่เด็ดขาด ตอนนี้ก็เป็นนักลงทุนของบริษัท เธอพูดให้มันนุ่มนวลกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ? อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เขาไม่กล้าพูดอะไรเลย เขาทำได้เพียงพยายามกลั้นหายใจและลดการมีอยู่ของเขาให้เหลือน้อยที่สุด เมื่อเห็นว่าปลายสายเงียบ เสิ่นหยินอู้ไม่คิดที่จะวางสายไปทั้งๆแบบนั้น เธอจึงพูดต่อว่า "พูดสิ?" จากการเร่งเร้าของเธอ เสียงผู้ชายที่ทุ้มหนักแน่นก็ดังขึ้นจากอีกด้าน "คุณจะให้ผมพ
ที่เมืองหนานเฉิงณ โรงพยาบาลประชาชน“ยินดีด้วยนะคะคุณตั้งครรภ์แล้ว ลูกน้อยแข็งแรงดีมากเลยนะคะ”เฉินหยุนอู้กำผลรายงานในมือไว้แน่น สีหน้าดูตะลึงเล็กน้อยตั้งครรภ์งั้นเหร? เฉินหยุนอู้ทั้งตกใจแล้วก็ดีใจในเวลาเดียวกัน เธอไม่อยากจะเชื่อเลย“คราวหน้าฉันจะนัดวันให้มาตรวจซ้ำอีกทีนะคะ แล้วพ่อเด็กล่ะคะ? เรียกเขาเข้ามาด้วยสิ ฉันจะได้กำชับเขาสักหน่อย”คำพูดของแพทย์ทำให้เฉินหยุนอู้ดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง เธอยิ้มอย่างเก้อเขินและพูดขึ้นว่า“วันนี้สามีของฉันไม่ได้มาด้วยหรอกค่ะ”“จริง ๆ เลย ต่อให้จะยุ่งแค่ไหนก็ต้องอยู่มีเวลาให้ภรรยาและลูกบ้าง”ตอนที่ออกมาจากโรงพยาบาล ข้างนอกมีฝนตกปรอย ๆ เฉินหยุนอู้เอามือลูบท้องน้อยตัวเองไปมาตรงนี้ มีชีวิตน้อย ๆ ของเด็กคนหนึ่งแล้วเป็นลูกของเธอกับฉินเย่นั่นเอง...โทรศัพท์สั่นเล็กน้อย เธอจึงหยิบขึ้นมาดู เป็นข้อความจากฉินเย่สามีของเธอที่ส่งเข้ามา“ฝนตกแล้ว ช่วยส่งร่มมาตามที่อยู่นี้ที”เฉินหยุนอู้เหลือบมองที่อยู่นั้น: คลับ XX ที่นี่มันคือที่ไหนกัน? วันนี้เขาบอกว่าจะประชุมไม่ใช่เหรอ?อย่างไรก็ตาม เฉินหยุนอู้ไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก เธอบอกให้คนขับรถของตระกูลฉินไป