เสิ่นซือเหนียนทำตามที่แม่บอก เขาดูแลน้องสาวของเขาอย่างดีเพื่อไม่ให้เธอพูดอะไรไร้สาระ แต่อารมณ์ของเหมิงเหมิงนั้นหลุดเกินกว่าจะควบคุม ไม่มีโอกาสให้พี่ชายของเธอได้โต้ตอบอะไรเลย สิ่งแรกที่เธอพูดเมื่อเจอลุงเย่มู่ในวันถัดมาคือ: "ลุงเย่มู่ ลุงดูดีมากๆเลยค่ะ" เมื่อเสิ่นซือเหนียนที่ตามเธอมาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาคิดจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเธอ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ปากของเสิ่นเหมิงเหมิงนั้นรวดเร็วเป็นพิเศษ “หนูอยากให้ลุงเย่มู่เป็นพ่อของหนูจริงๆ” เสิ่นซือเหนียนรู้สึกท้อแท้ทันที หน้าที่ที่แม่ของเขามอบหมายให้เขานั้นได้ล้มเหลวเสียแล้ว ฉินเย่ซึ่งถือของอยู่ในมือยืนอึ้งอยู่ที่เดิมเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเสิ่นเหมิงเหมิง อาจเป็นเพราะเขาตกใจเกินไป ถุงที่ฉินเย่ถือก็หล่นลงกับพื้นเช่นกัน เสียงถุงหล่นกระทบกับพื้นทำให้คนหลายคนมองมาทางพวกเขา แต่สายตาส่วนใหญ่นั้นเป็นสายตาของเด็กๆในโรงเรียน และแม้ว่าพวกเขาจะมอง พวกเขาก็แค่สงสัยและสับสน ฉินเย่มองไปที่เหมิงเหมิงที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ มือใหญ่ๆขอ
เฉาเย่าจู่รับฟัง และเขาก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าชีวิตที่ดีของครอบครัวเขาในตอนนี้ได้รับมาจากคุณลุงคนนี้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นแม้ว่าเขาจะถูกละเลย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่ยุติธรรมในใจ วันนี้ฉินเย่ไม่ได้นำอาหารจั้งฟู๊ดมาแล้ว แต่เป็นอาหารที่เขาให้พ่อครัวทำ อาหารเหล่านั้นใส่อยู่ในกล่องอาหาร เขาเปิดฝาทีละกล่องแล้วจัดวางลงบนโต๊ะ ฉินเย่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะมาที่โรงเรียนพร้อมกล่องอาหารเหมือนพี่เลี้ยงเด็กและเอาอาหารมาส่งให้เด็กๆ เขาไม่เคยกล้าคิดเรื่องแบบนี้มาก่อน และถึงจะให้เขาทำ เขาก็จะไม่ทำ แต่ตอนนี้...ภายในใจของเขากลับเป็นสุขอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ เขาก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของเด็กทั้งสอง และเห็นความประหลาดใจในดวงตาของพวกเขาสองคน พวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะนำอาหารมากมายเช่นนี้มา ดังนั้นพวกเขาจึงประหลาดใจ เขาเปิดปากแล้วหัวเราะเบาๆ : "ไปล้างมือมาแล้วหรือยัง?" "ล้างแล้วค่า" เสิ่นเหมิงเหมิงโบกมือไปทางฉินเย่ ในขณะที่รับประทานอาหาร ฉินเย่มองไปยังเสิ่นซือเหนียนที่ยังคงเงียบสงบ และในที่สุดก็หันไปมองเสิ่นเหมิงเหมิงและถามเบา ๆ
แม้ว่าจากภายนอกแล้ว ฉินเย่เหมือนจะทำสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เขารู้ดีว่า เสิ่นซือเหนียนคงจะไม่โดนซื้อใจได่ง่ายๆนัก หากทำอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือได้ไม่ดี เขาก็จะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แม้ว่าลูกชายของเขาจะยังเด็ก แต่บุคลิกของเขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่ เหมือนกับตัวเขาเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กไม่มีผิด ทันใดนั้น ฉินเย่ก็รู้สึกเสียใจที่นิสัยของเขาเป็นเช่นนี้ ซึ่งมันทำให้เป็นการยากที่เขาจะจัดการกับลูกชายของเขาเอง ดังนั้นเมื่อเสิ่นเหมิงเหมิงกินเสร็จและพาเฉาเย่าจู่ออกไปเล่น เสิ่นซือเหนียนก็อยู่ตามลำพังกับฉินเย่ และช่วยเขาทำความสะอาดเก็บกวาด เขาไม่มีข้อตำหนิใดๆ และถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็มีความกระตือรือร้นในการทำงานมาก ฉินเย่สังเกตอยู่อย่างเงียบๆ จากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "เดี๋ยวลุงทำเอง ซือเหนียนไปเล่นกับน้องๆเถอะ" แต่เสิ่นซือเหนียนส่ายหัวอย่างเงียบๆแล้วพูดว่า "ไม่ได้ครับ หม่ามี๊บอกว่าไม่ควรอยู่แบบไร้ประโยชน์ แล้วผมก็อยากทำอะไรสักอย่างที่ผมทำได้" เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเย่ก็หัวเราะเบาๆ “ไม่ควรอยู่แบบไร้ประโยชน์งั้นเหรอ?” "อืม" ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม "ก็ได้
แต่เขาคือลุงเย่มู่ที่อยากเป็นพ่อของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกมาก และมันยังทำให้เขาคิดว่า ลุงเย่มู่รู้จักหม่ามี๊มานานแล้ว เขาจึงเข้ามาในห้องไลฟ์สดเพื่อให้รางวัลพวกเขาเสมอ หลังจากที่เขาถามคำถามนี้ ฉินเย่ก็ชะงักไป และตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่เสิ่นซือเหนียนซึ่งยืนอยู่ที่เดิมตรงหน้าเขา เขาดูเป็นคนที่โตกว่าวัยนิดหน่อย ยังเด็กขนาดนั้นแท้ๆ แต่ความหัวไวของเขานั้นช่างน่าทึ่งมาก คำถามดังกล่าวไม่ได้ถามเพราะจู่ๆก็อยากถาม ฉินเย่เปิดริมฝีปากของเขา ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วถามเสิ่นซือเหนียนกลับ “คิดว่ายังไงล่ะ เหนียนเหนียน?” ริมฝีปากของเสิ่นซือเหนียนขยับ แต่เขาไม่ตอบ เจ้าเล่ห์ คำพูดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวของเหนียนเหนียน มันเข้ากันกับลุงเย่มู่ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างมาก ทันใดนั้น เสิ่นซือเหนียนก็รู้สึกว่า ถ้าแม่และลุงเย่มู่อยู่ด้วยกัน เธอจะไม่สามารถต่อกรกับลุงเย่มู่ได้อย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็ระมัดระวังขึ้นมาทันที ฉินเย่ชะงักไป เขาคาดไม่ถึงว่าคำพูดลองใจของเขาจะทำให้ความระมัดระวังของเด็กน้อยเพิ่มขึ้นในทันที กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาไม่เพียงแต่เข้าใจในสิ่งที่เข
มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด เขาจำใจให้ตัวเองเป็นพี่ชาย และเนื่องจากเหมิงเหมิงเป็นชอบกินชอบเล่น และซุกซนเป็นอย่างมาก เขาจึงกลายเป็นคนเงียบๆโดยไม่รู้ตัว สายตาของเขาจับจ้องไปที่น้องสาวของเขาอยู่เสมอ คอยดูว่าเธอพูดอะไรไร้สาระหรือได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ตอนนี้ฉินเย่กลับพูดแบบนี้กับเขา เมื่อดวงตาของเด็กน้อยร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย ศักดิ์ศรีที่เปี่ยมล้นของเขาทำให้เขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขากลัวว่าคนอื่นจะเห็นสีหน้าของเขา ฉินเย่จะไม่เข้าใจอารมณ์ของเขาได้อย่างไร ในเวลานี้เองที่เขาตระหนักได้ว่า แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่เด็กแบบเขาก็มีศักดิ์ศรีของตนเอง เขาต้องเคารพมัน เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเย่ก็พูดเบาๆว่า: "รีบเข้าไปเถอะ เหมิงเหมิงรอนานแล้วนะ" “ครับ” เด็กน้อยพยักหน้าแล้วหันหลังเดินเข้าไป คราวนี้ เขาเดินไปไม่กี่ก้าวแล้วจึงหันกลับมามองที่ฉินเย่ “ลุงเย่มู่ เหนียนเหนียน... จะเก็บความลับให้ลุงครับ” “จริงเหรอ? ถ้างั้น ลุงเย่มู่ขอบคุณเหนียนเหนียนนะครับ” ความโค้งของริมฝีปากของฉินเย้กว้างขึ้น หลังจากที่เสิ่นซือเหนียนหายไปจากระยะสายตาของเขา มุมปากของเขาก็ค่อยๆ กลับมาตั้งตรง แต่ไม่นานม
ด้วยความทำอะไรไม่ถูก เสิ่นหยินอู้จึงรับโทรศัพท์ หลังจากเห็นเบอร์บนหน้าจอ ใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็บูดบึ้ง ฉินเย่! เธอไม่รับสายเขา เขาก็เลยโทรเข้าหาพนักงานในบริษัทของเธองั้นเหรอ? เขาทำไปเพื่ออะไรกันแน่? จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็อารมณ์เสียและพูดด้วยความโกรธว่า: "ฉินเย่ คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?" สิ่งที่ตอบกลับเธอจากปลายสายคือความเงียบที่ยาวนาน อู๋อี้ไห่ที่อยู่ข้างๆเธอรู้สึกขนลุกไปหมดทั้งร่างในทันทีที่เห็นท่าทางที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟของเธอ แม้ว่าจะรู้ว่าเสิ่นหยินอู้เคยแต่งงานกับฉินเย่มาก่อน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองน่าจะใกล้ชิดกันมาก แต่นั่นคือฉินเย่เชียวนะ เขามักจะทำหน้าและสายตาเย็นชาอยู่เสมอ อีกทั้งยังเป็นคนที่เด็ดขาด ตอนนี้ก็เป็นนักลงทุนของบริษัท เธอพูดให้มันนุ่มนวลกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ? อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เขาไม่กล้าพูดอะไรเลย เขาทำได้เพียงพยายามกลั้นหายใจและลดการมีอยู่ของเขาให้เหลือน้อยที่สุด เมื่อเห็นว่าปลายสายเงียบ เสิ่นหยินอู้ไม่คิดที่จะวางสายไปทั้งๆแบบนั้น เธอจึงพูดต่อว่า "พูดสิ?" จากการเร่งเร้าของเธอ เสียงผู้ชายที่ทุ้มหนักแน่นก็ดังขึ้นจากอีกด้าน "คุณจะให้ผมพ
เสิ่นหยินอู้รวบรวมแผนงานแล้วโทรหาฉินเย่อีกครั้ง “อีเมลของคุณคืออะไร ฉันจะส่งแผนงานให้คุณ…” “ส่งไปที่บริษัทสิ” เสิ่นหยินอู้อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า: "เดี๋ยวผมให้ผู้ช่วยหลี่ส่งที่อยู่ให้คุณ" “ส่งไปที่อีเมลของคุณไม่ได้เหรอ?” “เสิ่นหยินอู้ เงินที่ผมลงทุนไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ไม่ได้เอาไว้ให้คุณเล่น คุณควรจริงจังกับมันให้มากกว่านี้จะดีกว่า” หลังจากวางสาย เสิ่นหยินอู้ก็หายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์ จากนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อไปปริ้นต์แผนการออกแบบที่เครื่องพิมพ์ หลังจากเเสร็จแล้ว หลี่มู่ถิงก็ส่งที่อยู่ของบริษัทสาขาในเจียงเฉิงของบริษัทฉินมาให้ เสิ่นหยินอู้ใส่แผนงานลงในแฟ้มเอกสารแล้วลุกขึ้นออกไปข้างนอก เธอไปตามที่อยู่ที่หลี่มู่ถิงส่งมา และไปถึงชั้นล่างของบริษัทสาขาอย่างรวดเร็ว สมกับเป็นบริษัทฉิน แม้แต่สำนักงานสาขาในเจียงเฉิงก็มีอาคารที่อลังการอย่างยิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อได้ยินว่าเขาลงทุนในบริษัทเล็กๆของเธอ พนักงานกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาสมัครงานในทันที เสิ่นหยินอู้เดินเข้าไปพร้อมกับแฟ้มเอกสาร ถึงแม้จะเป็นสำนักงานสาขา แต่การจะเจอใครสักคนก็ต้องนัดหมายไว้ก่
ฉินเย่ยืนอยู่ที่เดิม ในตอนแรกเขาไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา ไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไร แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน “ใครเป็นคนทำแผนการออกแบบอันนี้?” เมื่อฟังน้ำเสียงของเขา เสิ่นหยินอู้ก็กระพริบเปลือกตาขึ้นมามองเขา "มีอะไรเหรอ?" "คุณทำเหรอ?" เสิ่นหยินอู้พยักหน้า "ใช่ มีอะไรเหรอ?" ทันทีที่พูดจบ ฉินเย่ก็หัวเราะเยาะเย้ย "นี่คือทั้งหมดที่คุณเรียนรู้มาในเวลาห้าปีเหรอ?" เมื่อได้ยิน สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็ซีดลงเล็กน้อย “หมายความว่าไง? แผนงานของฉันมีปัญหาอะไรเหรอ?” “ถ้าเราทำตามแผนของคุณ บริษัทก็คงล่มจมพอดี อย่าเสียเวลาเลย” “……” แม้ว่าคำพูดเหล่านี้ที่ออกมาจากปากของฉินเย่จะทำให้เสิ่นหยินอู้โกรธมาก แต่เธอรู้ว่าฉินเย่จริงจังกับงานมาโดยตลอด และไม่มีทางพูดไร้สาระ ถ้าเขาพูดแบบนี้ แสดงว่ามีปัญหากับแผนงานของเธอ แม้ว่าเขาจะโกรธเคืองอยู่ข้างใน แต่เสิ่นหยินอู้ก็ฝืนพูด “แล้วคุณมีความเห็นยังไงล่ะ?” ฉินเย่กวาดสายตาไปมองเธอ ไม่ตอบอะไร เขาเพียงถือแผนงานเดินไปที่โต๊ะแล้วโยนมันลงไปบนโต๊ะ เมื่อเห็นว่าเขาไม่สนใจเธอ เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปากของเธอแล้วเดินไป “มีปัญหาตรงไหน? ฉัน
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง
อารมณ์ของเธอในเที่ยวบินขากลับแตกต่างไปจากในตอนขามาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีก็คือการที่ไม่ว่าจะเป็นขามาหรือขากลับ ลูกๆทั้งสองคนของเธอก็ล้วนอยู่ข้างกายเธอ หลังจากที่หลี่มู่ถิงได้รับข้อความจากฉินเย่ เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆสองคนให้คุณพ่อคุณแม่ฉินฟังก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ฉินรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ตกใจและเงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็พูดว่า "เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เที่ยวบินของพวกคุณคือเที่ยวไหน เดี๋ยวถึงแล้วเราจะไปรับ" หลังจากที่หลี่มู่ถิงบอกเสิ่นหยินอู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉินบอกมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว เมื่อนึกถึงห้าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอจากไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะทักทายพวกเขาได้อย่างไรเมื่อต้องพบกันอีกครั้ง หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาทำได้เพียงคาดเดาจากการดูสีหน้าของเธอเท่านั้น เมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงถามด้วยท่าทีระมัดระวัง: "คุณหนูเสิ่น ประธานฉินบอกผมว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลอะไร คุณบอกผมได้เสมอ และเรื่องนี้ก็สามารถล้มเลิก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที