เสิ่นซือเหนียนทำตามที่แม่บอก เขาดูแลน้องสาวของเขาอย่างดีเพื่อไม่ให้เธอพูดอะไรไร้สาระ แต่อารมณ์ของเหมิงเหมิงนั้นหลุดเกินกว่าจะควบคุม ไม่มีโอกาสให้พี่ชายของเธอได้โต้ตอบอะไรเลย สิ่งแรกที่เธอพูดเมื่อเจอลุงเย่มู่ในวันถัดมาคือ: "ลุงเย่มู่ ลุงดูดีมากๆเลยค่ะ" เมื่อเสิ่นซือเหนียนที่ตามเธอมาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาคิดจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเธอ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ปากของเสิ่นเหมิงเหมิงนั้นรวดเร็วเป็นพิเศษ “หนูอยากให้ลุงเย่มู่เป็นพ่อของหนูจริงๆ” เสิ่นซือเหนียนรู้สึกท้อแท้ทันที หน้าที่ที่แม่ของเขามอบหมายให้เขานั้นได้ล้มเหลวเสียแล้ว ฉินเย่ซึ่งถือของอยู่ในมือยืนอึ้งอยู่ที่เดิมเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเสิ่นเหมิงเหมิง อาจเป็นเพราะเขาตกใจเกินไป ถุงที่ฉินเย่ถือก็หล่นลงกับพื้นเช่นกัน เสียงถุงหล่นกระทบกับพื้นทำให้คนหลายคนมองมาทางพวกเขา แต่สายตาส่วนใหญ่นั้นเป็นสายตาของเด็กๆในโรงเรียน และแม้ว่าพวกเขาจะมอง พวกเขาก็แค่สงสัยและสับสน ฉินเย่มองไปที่เหมิงเหมิงที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ มือใหญ่ๆขอ
เฉาเย่าจู่รับฟัง และเขาก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าชีวิตที่ดีของครอบครัวเขาในตอนนี้ได้รับมาจากคุณลุงคนนี้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นแม้ว่าเขาจะถูกละเลย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่ยุติธรรมในใจ วันนี้ฉินเย่ไม่ได้นำอาหารจั้งฟู๊ดมาแล้ว แต่เป็นอาหารที่เขาให้พ่อครัวทำ อาหารเหล่านั้นใส่อยู่ในกล่องอาหาร เขาเปิดฝาทีละกล่องแล้วจัดวางลงบนโต๊ะ ฉินเย่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะมาที่โรงเรียนพร้อมกล่องอาหารเหมือนพี่เลี้ยงเด็กและเอาอาหารมาส่งให้เด็กๆ เขาไม่เคยกล้าคิดเรื่องแบบนี้มาก่อน และถึงจะให้เขาทำ เขาก็จะไม่ทำ แต่ตอนนี้...ภายในใจของเขากลับเป็นสุขอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ เขาก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของเด็กทั้งสอง และเห็นความประหลาดใจในดวงตาของพวกเขาสองคน พวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะนำอาหารมากมายเช่นนี้มา ดังนั้นพวกเขาจึงประหลาดใจ เขาเปิดปากแล้วหัวเราะเบาๆ : "ไปล้างมือมาแล้วหรือยัง?" "ล้างแล้วค่า" เสิ่นเหมิงเหมิงโบกมือไปทางฉินเย่ ในขณะที่รับประทานอาหาร ฉินเย่มองไปยังเสิ่นซือเหนียนที่ยังคงเงียบสงบ และในที่สุดก็หันไปมองเสิ่นเหมิงเหมิงและถามเบา ๆ
แม้ว่าจากภายนอกแล้ว ฉินเย่เหมือนจะทำสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เขารู้ดีว่า เสิ่นซือเหนียนคงจะไม่โดนซื้อใจได่ง่ายๆนัก หากทำอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือได้ไม่ดี เขาก็จะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แม้ว่าลูกชายของเขาจะยังเด็ก แต่บุคลิกของเขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่ เหมือนกับตัวเขาเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กไม่มีผิด ทันใดนั้น ฉินเย่ก็รู้สึกเสียใจที่นิสัยของเขาเป็นเช่นนี้ ซึ่งมันทำให้เป็นการยากที่เขาจะจัดการกับลูกชายของเขาเอง ดังนั้นเมื่อเสิ่นเหมิงเหมิงกินเสร็จและพาเฉาเย่าจู่ออกไปเล่น เสิ่นซือเหนียนก็อยู่ตามลำพังกับฉินเย่ และช่วยเขาทำความสะอาดเก็บกวาด เขาไม่มีข้อตำหนิใดๆ และถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็มีความกระตือรือร้นในการทำงานมาก ฉินเย่สังเกตอยู่อย่างเงียบๆ จากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "เดี๋ยวลุงทำเอง ซือเหนียนไปเล่นกับน้องๆเถอะ" แต่เสิ่นซือเหนียนส่ายหัวอย่างเงียบๆแล้วพูดว่า "ไม่ได้ครับ หม่ามี๊บอกว่าไม่ควรอยู่แบบไร้ประโยชน์ แล้วผมก็อยากทำอะไรสักอย่างที่ผมทำได้" เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเย่ก็หัวเราะเบาๆ “ไม่ควรอยู่แบบไร้ประโยชน์งั้นเหรอ?” "อืม" ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม "ก็ได้
แต่เขาคือลุงเย่มู่ที่อยากเป็นพ่อของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกมาก และมันยังทำให้เขาคิดว่า ลุงเย่มู่รู้จักหม่ามี๊มานานแล้ว เขาจึงเข้ามาในห้องไลฟ์สดเพื่อให้รางวัลพวกเขาเสมอ หลังจากที่เขาถามคำถามนี้ ฉินเย่ก็ชะงักไป และตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่เสิ่นซือเหนียนซึ่งยืนอยู่ที่เดิมตรงหน้าเขา เขาดูเป็นคนที่โตกว่าวัยนิดหน่อย ยังเด็กขนาดนั้นแท้ๆ แต่ความหัวไวของเขานั้นช่างน่าทึ่งมาก คำถามดังกล่าวไม่ได้ถามเพราะจู่ๆก็อยากถาม ฉินเย่เปิดริมฝีปากของเขา ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วถามเสิ่นซือเหนียนกลับ “คิดว่ายังไงล่ะ เหนียนเหนียน?” ริมฝีปากของเสิ่นซือเหนียนขยับ แต่เขาไม่ตอบ เจ้าเล่ห์ คำพูดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวของเหนียนเหนียน มันเข้ากันกับลุงเย่มู่ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างมาก ทันใดนั้น เสิ่นซือเหนียนก็รู้สึกว่า ถ้าแม่และลุงเย่มู่อยู่ด้วยกัน เธอจะไม่สามารถต่อกรกับลุงเย่มู่ได้อย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็ระมัดระวังขึ้นมาทันที ฉินเย่ชะงักไป เขาคาดไม่ถึงว่าคำพูดลองใจของเขาจะทำให้ความระมัดระวังของเด็กน้อยเพิ่มขึ้นในทันที กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาไม่เพียงแต่เข้าใจในสิ่งที่เข
มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด เขาจำใจให้ตัวเองเป็นพี่ชาย และเนื่องจากเหมิงเหมิงเป็นชอบกินชอบเล่น และซุกซนเป็นอย่างมาก เขาจึงกลายเป็นคนเงียบๆโดยไม่รู้ตัว สายตาของเขาจับจ้องไปที่น้องสาวของเขาอยู่เสมอ คอยดูว่าเธอพูดอะไรไร้สาระหรือได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ตอนนี้ฉินเย่กลับพูดแบบนี้กับเขา เมื่อดวงตาของเด็กน้อยร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย ศักดิ์ศรีที่เปี่ยมล้นของเขาทำให้เขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขากลัวว่าคนอื่นจะเห็นสีหน้าของเขา ฉินเย่จะไม่เข้าใจอารมณ์ของเขาได้อย่างไร ในเวลานี้เองที่เขาตระหนักได้ว่า แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่เด็กแบบเขาก็มีศักดิ์ศรีของตนเอง เขาต้องเคารพมัน เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเย่ก็พูดเบาๆว่า: "รีบเข้าไปเถอะ เหมิงเหมิงรอนานแล้วนะ" “ครับ” เด็กน้อยพยักหน้าแล้วหันหลังเดินเข้าไป คราวนี้ เขาเดินไปไม่กี่ก้าวแล้วจึงหันกลับมามองที่ฉินเย่ “ลุงเย่มู่ เหนียนเหนียน... จะเก็บความลับให้ลุงครับ” “จริงเหรอ? ถ้างั้น ลุงเย่มู่ขอบคุณเหนียนเหนียนนะครับ” ความโค้งของริมฝีปากของฉินเย้กว้างขึ้น หลังจากที่เสิ่นซือเหนียนหายไปจากระยะสายตาของเขา มุมปากของเขาก็ค่อยๆ กลับมาตั้งตรง แต่ไม่นานม
ด้วยความทำอะไรไม่ถูก เสิ่นหยินอู้จึงรับโทรศัพท์ หลังจากเห็นเบอร์บนหน้าจอ ใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็บูดบึ้ง ฉินเย่! เธอไม่รับสายเขา เขาก็เลยโทรเข้าหาพนักงานในบริษัทของเธองั้นเหรอ? เขาทำไปเพื่ออะไรกันแน่? จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็อารมณ์เสียและพูดด้วยความโกรธว่า: "ฉินเย่ คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?" สิ่งที่ตอบกลับเธอจากปลายสายคือความเงียบที่ยาวนาน อู๋อี้ไห่ที่อยู่ข้างๆเธอรู้สึกขนลุกไปหมดทั้งร่างในทันทีที่เห็นท่าทางที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟของเธอ แม้ว่าจะรู้ว่าเสิ่นหยินอู้เคยแต่งงานกับฉินเย่มาก่อน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองน่าจะใกล้ชิดกันมาก แต่นั่นคือฉินเย่เชียวนะ เขามักจะทำหน้าและสายตาเย็นชาอยู่เสมอ อีกทั้งยังเป็นคนที่เด็ดขาด ตอนนี้ก็เป็นนักลงทุนของบริษัท เธอพูดให้มันนุ่มนวลกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ? อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เขาไม่กล้าพูดอะไรเลย เขาทำได้เพียงพยายามกลั้นหายใจและลดการมีอยู่ของเขาให้เหลือน้อยที่สุด เมื่อเห็นว่าปลายสายเงียบ เสิ่นหยินอู้ไม่คิดที่จะวางสายไปทั้งๆแบบนั้น เธอจึงพูดต่อว่า "พูดสิ?" จากการเร่งเร้าของเธอ เสียงผู้ชายที่ทุ้มหนักแน่นก็ดังขึ้นจากอีกด้าน "คุณจะให้ผมพ
ที่เมืองหนานเฉิงณ โรงพยาบาลประชาชน“ยินดีด้วยนะคะคุณตั้งครรภ์แล้ว ลูกน้อยแข็งแรงดีมากเลยนะคะ”เฉินหยุนอู้กำผลรายงานในมือไว้แน่น สีหน้าดูตะลึงเล็กน้อยตั้งครรภ์งั้นเหร? เฉินหยุนอู้ทั้งตกใจแล้วก็ดีใจในเวลาเดียวกัน เธอไม่อยากจะเชื่อเลย“คราวหน้าฉันจะนัดวันให้มาตรวจซ้ำอีกทีนะคะ แล้วพ่อเด็กล่ะคะ? เรียกเขาเข้ามาด้วยสิ ฉันจะได้กำชับเขาสักหน่อย”คำพูดของแพทย์ทำให้เฉินหยุนอู้ดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง เธอยิ้มอย่างเก้อเขินและพูดขึ้นว่า“วันนี้สามีของฉันไม่ได้มาด้วยหรอกค่ะ”“จริง ๆ เลย ต่อให้จะยุ่งแค่ไหนก็ต้องอยู่มีเวลาให้ภรรยาและลูกบ้าง”ตอนที่ออกมาจากโรงพยาบาล ข้างนอกมีฝนตกปรอย ๆ เฉินหยุนอู้เอามือลูบท้องน้อยตัวเองไปมาตรงนี้ มีชีวิตน้อย ๆ ของเด็กคนหนึ่งแล้วเป็นลูกของเธอกับฉินเย่นั่นเอง...โทรศัพท์สั่นเล็กน้อย เธอจึงหยิบขึ้นมาดู เป็นข้อความจากฉินเย่สามีของเธอที่ส่งเข้ามา“ฝนตกแล้ว ช่วยส่งร่มมาตามที่อยู่นี้ที”เฉินหยุนอู้เหลือบมองที่อยู่นั้น: คลับ XX ที่นี่มันคือที่ไหนกัน? วันนี้เขาบอกว่าจะประชุมไม่ใช่เหรอ?อย่างไรก็ตาม เฉินหยุนอู้ไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก เธอบอกให้คนขับรถของตระกูลฉินไป
ท่ามกลางเสียงเชียร์ของฝูงชน ฉินอี้ลดสายตาลงและตอบข้อความกลับไปหาเสิ่นหยินอู้อย่างรวดเร็ว“ไม่ต้องใช้ร่มแล้ว เธอกลับไปก่อนเลย”เมื่อได้รับข้อความนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยอยู่ในใจ และตอบกลับไปว่า:"เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?"เธอลดสายตาลงและรออยู่ครู่หนึ่ง แต่ฉินเย่ก็ไม่ตอบข้อความกลับมาอีกเลยบางที อาจมีเรื่องยุ่งอยู่จริง ๆ ก็ได้เสิ่นหยินอู้จึงตัดสินใจกลับไปก่อน"เดี๋ยวก่อน"มีคนเรียกเธอมาจากด้านหลัง เสิ่นหยินอู้หันกลับมา และเห็นหญิงสาวที่แต่งตัวตามสไตล์แฟชั่นสองคนเดินมายังตรงหน้าเธอคนตัวสูงในหมู่พวกเธอจ้องมองมาที่เธอ และถามอย่างเหยียดหยามว่า: "เธอคือเสิ่นหยินอู้เหรอ?"ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยคำว่า "มาแบบไม่ดี" สี่คำนี้ปรากฏอยู่บนใบหน้า เสิ่นหยินอู้เองก็อารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย จึงตอบกลับไปด้วยท่าทีที่ไม่ถ่อมตัวแต่ก็ไม่หยิ่งผยองจนเกินไปว่า: "เธอคือ?"“ฉันคือใครมันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือฉูฉู่กลับมาแล้ว ถ้าเธอรู้จักปรับตัวสักนิดก็เอาตัวเองไสหัวออกไปจากข้างกายของฉินเย่ซะ”รูม่านตาของเสิ่นหยินอู้หดตัวลงนานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ยินชื่อนี้ มันนานมากจน…...เธอเกือบลืมไปแล้วว่ามี