รหัสผ่านคือวันเกิดของเธองั้นเหรอ? นี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่? เครื่องสำรองนี้ดูใหม่มาก น่าจะเพิ่งซื้อมาไม่นาน แล้วเขาตั้งวันเกิดของเธอเป็นรหัสผ่านเปิดเครื่องเหรอ? หลังจากที่ทำร้ายเธอ เป็นคนขอให้หย่า ถึงขั้นขอให้เธอทำแท้ง แต่เขายังใช้วันเกิดของเธอเป็นรหัสผ่านเหรอ? เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างเบาๆและป้อนตัวเลขอย่างไร้สีหน้า เมื่อเห็นว่าคอมพิวเตอร์เปิดอยู่ เขาก็รู้สึกว่ามันน่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง มีสิทธิ์อะไร? เขามีสิทธิ์อะไร? เสิ่นหยินอู้เปิดไฟล์ใหม่ด้วยความขมขื่นแล้วพิมพ์ อย่าไปคิดเชียว แล้วก็ห้ามถูกหลอก แม้ว่าเขาจะใช้วันเกิดเธอเป็นรหัสผ่าน แต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร อดีตมันผ่านไปนานแล้ว ตอนนี้เธอต้องมองไปยังอนาคตและทำงานที่รับผิดชอบอยู่ให้เสร็จ อย่างไรก็ตาม แผนงานไม่ผ่านเกณฑ์ของเขา ดังนั้นเสิ่นหยินอู้ย่อมต้องการถามความคิดเห็นของเขาอยู่แล้ว เมื่อฉินเย่เห็นว่าเรื่องรหัสผ่านไม่ได้มีผลอะไรกับเธอ หัวใจของเขาก็รู้สึกจุกขึ้นมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอเป็นคนที่เขารั้งไว้ให้อยู่ต่อ แผนงานจะต้องทำให้เสร็จในวันนี้ เขาเคาะปลายนิ้วเบาๆลงบนโต๊ะ สีหน้าและการกระทำของเขาดูเหมือนจะไม
“อย่ามามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น แผนงานน่ะจะยังทำอยู่ไหม?” อาจเป็นเพราะเขายอมรับผิด เสิ่นหยินอู้จึงรู้สึกดีขึ้น แผนงานน่ะต้องทำอยู่แล้ว แต่เธอก็มีศักดิ์ศรี ดังนั้นเธอจึงพูดแซะฉินเย่เล็กน้อยก่อนที่จะนั่งลง ในเวลาทำงาน ฉินเย่ไม่พูดจาประชดประชันเหมือนแต่ก่อนอีก แต่กลับคุยเรื่องแผนงานกับเธออย่างจริงจัง อาจเป็นเพราะเธอไม่ได้กลับมาที่จีนเป็นเวลานานและไม่เข้าใจภาพรวม เสิ่นหยินอู้จึงได้ประโยชน์มากมายจากคำแนะนำของฉินเย่ ดังนั้นในท้ายที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ลืมไปว่าชายที่อยู่ข้างๆเธอเคยเป็นสามีของเธอมาก่อน เธอมุ่งความสนใจไปที่งานอย่างใจจดใจจ่อและพูดคุยกับฉินเย่ด้วยน้ำเสียงที่ปกติมาก ราวกับว่าเธอมองเขาเป็นหุ้นส่วนจริงๆ เมื่อฉินเย่ตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ สีหน้าของเขาก็หม่นลงอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ตั้งใจทำงาน เมื่อหลี่มู่ถิงมาเคาะประตูเพื่อเตือนให้ทั้งสองกินข้าว แผนงานในมือของเธอก็เกือบจะเสร็จแล้ว เธอจึงไม่สนใจและมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่โน๊ตบุ๊คต่อ หลี่มู่ถิงจึงทำได้เพียงมองไปที่ฉินเย่อย่างช่วยไม่ได้ ฉินเย่เม้มริมฝีปากบางของเขาแล้วเตือนเสียงดังว่า: "ได้เวลากินข้าวแล้ว" "อืม"
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเธอก็ยอมกิน หลี่มู่ถิงจึงรีบไปหยิบอาหารที่เตรียมไว้มาอย่างรวดเร็ว เขาเตรียมอาหารกลางวันไว้ล่วงหน้า เขาไปซื้อมาจากร้านอาหารหรู การตกแต่งในจานสวยงามและยังคงร้อนอยู่ เมื่อเปิดฝาออกก็มีกลิ่นหอมลอยออกมา เสิ่นหยินอู้กินข้าวเข้าไปหนึ่งคำ เธอนึกอะไรขึ้นได้จึงมองไปที่จานของฉินเย่ แน่นอนว่าเธอเห็นข้าวบนจานของเขา เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดโดยไม่รู้ตัว: "ตอนนี้กินข้าวได้แล้วเหรอ? ไม่ต้องบำรุงกระเพราะแล้วเหรอ?" เมื่อพูดจบ ความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณรอบๆ ก่อนที่ฉินเย่จะมองไปที่เธอ เสิ่นหยินอู้ก็รีบอธิบายทันที: "ฉันถามเพราะความเป็นหุ้นส่วน" มันก็ไม่มีอะไรถ้าเธอไม่อธิบาย แต่หลังจากที่เธออธิบาย มันก็ดูเหมือนว่าเธอปกปิดอะไรบางอย่างไว้อยู่ แน่นอน ริมฝีปากบางของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำอธิบายของเธอ “จริงเหรอ? งั้นผมจะถือว่าคุณเป็นห่วงผมแล้วกัน” ในตอนนี้ อารมณ์ด้านลบที่เกิดจากความไม่พอใจก่อนหน้านี้ของเธอได้หายไปหมดแล้ว มีเพียงความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหัวของฉินเย่ เธอเป็นห่วงเขา แม้ว่าพฤติกรรมของเธอจะดูเหมือนคนที่กำลังงอน แต่ความเป็
ฉินเย่แสกนอ่านอย่างรวดเร็ว เดิมทีเขาคิดที่จะจับผิดปัญหาบางอย่างในแผนงานเพื่อรั้งให้เธออยู่ต่อ แต่เสิ่นหยินอู้ ผู้หญิงคนนี้เรียนรู้สิ่งต่างๆได้เร็วจนเกินไป และระหว่างที่เธอเขียน เขาก็คอยดูอยู่เสมอ ดังนั้นในขณะนี้ฉินเย่จึงไม่สามารถหาข้อผิดพลาดใดๆได้แล้วจริงๆ ในที่สุดฉินเย่ก็เลือกจุดที่ผิดได้ "ตรงนี้ผิด" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้คิดมากและเดินเข้าไปหาเขา "ตรงไหน?" เมาส์ของฉินเย่ขยับ สายตาของเสิ่นหยินอู้ก็ขยับตามไปด้วย ในที่สุด เขาก็เห็นเขาขยับเมาส์ไปชี้ที่คำๆหนึ่ง ในตอนแรก เสิ่นหยินอู้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าฉินเย่หมายความว่าอะไร ดังนั้นจึงถามว่า "ตรงนี้มีปัญหาอะไร?" “มันต้องเป็นสามารถ ไม่ใช่สามาถร” ฉินเย่พูดอย่างใจเย็น เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ตระหนักได้ว่าเธอได้เขียนผิดจริงๆ เธอมองไปที่ฉินเย่ ตัวอักษรเยอะมากมายขนาดนี้ เขายังเห็นจุดผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเช่นนี้อีกเหรอ “ขอโทษ ฉันไม่ได้ดูตอนที่พิมพ์” เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงเอาโน๊ตบุ๊คกลับมาแก้ไขคำผิด จากนั้นก็ส่งให้เขาอีกรอบ “มีปัญหาอะไรอีกไหม?” ฉินเย่เปิดดูอีกครั้ง ในขณะที่รอ เสิ่นหยินอู้ก็รู
“แล้วแผนงานของฉัน...” “ผ่านแล้ว” ฉินเย่กล่าว “ผ่านแล้วเหรอ? คุณหมายความว่ามันใช้งานได้แล้วเหรอ?” "อืม" งั้นก็คือที่เขาดูไปแล้วรอบหนึ่งจริงๆแล้วมันใช้ได้ ก็เลยมาจับผิดจุดผิดพลาดเล็กๆแทนงั้นสิ? ถ้าคิดเช่นนั้น ก็ไม่ได้ถึงกับรับไม่ได้ใช่ไหม? “ในเมื่อผ่านแล้ว งั้นฉัน...” ก่อนที่เสิ่นหยินอู้จะพูดจบ ฉินเย่ก็ยืนขึ้นพร้อมกุญแจรถในมือ “ไปกันเถอะ ผมไปส่ง” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว: "ไม่ต้อง ฉันขับรถมาเอง ฉันกลับเองได้" นอกจากนี้ เดิมทีเธอมาที่นี่เพื่อส่งแผนงาน ไม่ใช่มาเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อะไรกับเขา แล้วจะให้เขาไปส่งเธอกลับได้อย่างไรกัน? เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็รีบลุกขึ้น จากนั้นก็หยิบกระเป๋าและเดินออกไป หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว ฉินเย่ก็คว้าข้อมือของเธอไว้ "ตอนที่ได้ใบขับขี่มา คุณโกงข้อสอบทฤษฎีมาหรือเปล่า?" เสิ่นหยินอู้: "?" ฉินเย่: "ไม่งั้นทำไมถึงไม่รู้ว่าไม่ควรขับรถในตอนที่เหนื่อยล้า" “ฉันหาวไปไม่กี่ครั้งเอง แล้วมันขับรถตอนเหนื่อยล้าตรงไหน? มันไม่เหมือนกันสักหน่อย” แต่ฉินเย่กลับค้านเธอ: "ถ้าไม่เหนื่อยคุณจะหาวไหม? หยุดพูดได้แล้ว ร
เมื่อพูดจบ ฉินเย่ก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งข้างใน เสิ่นหยินอู้: "..." เมื่อเขารัดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ เสิ่นหยินอู้ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นท่าทางลังเลและตกตะลึงของเธอ ฉินเย่ก็รู้สึกโล่งใจอยู่ในใจ หลังจากยกริมฝีปากบางขึ้นแบบไม่ให้ใครเห็น เขาก็เตือนว่า: "ไม่ขึ้นรถเหรอ? หรือคุณเหนื่อยเกินกว่าที่จะขึ้นรถ?" เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างของเธอแล้วเข้าไปในรถอย่างไม่เต็มใจนัก เธอไม่ได้นั่งบนที่นั่งคนขับ เธอนั่งตรงเบาะหลังโดยทำเหมือนว่าฉินเย่อยู่ในฐานะคนขับรถอย่างสมบูรณ์ หลังจากที่เธอนั่งลงแล้ว เธอก็มองใบหน้าของฉินเย่ผ่านกระจกมองหลัง และก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเขาไม่ได้โกรธเพราะเธอทำกับเขาเป็นเหมือนคนขับรถแต่อย่างใด สักพักรถก็ขับออกไปจากบริษัท แม้ว่ารถจะมีราคาถูกมากสำหรับฉินเย่ แต่ทักษะของเขาก็ดีมาก สำหรับเขา ตราบใดที่มันขับได้ เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร เสิ่นหยินอู้เอนตัวลงบนเบาะหลังและกอดอกไว้ เดิมทีเธอคิดว่าฉินเย่จะพูดอะไรกับเธอ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่พูดอะไรเลย เขาขับรถไปเงียบๆ ราวกับว่าเขาแค่อยากจะไปส่งเธอกลับเท่านั้น ภายในรถเงียบมาก หลังจากนั้นประมาณสองนาที รถก็เข้าสู่ถน
เสิ่นหยินอู้ยื่นมือออกไปในตอนแรก แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เธอก็หดมือกลับไป เธอขมวดคิ้ว “คุณหยิบมันออกมาเองไม่ได้เหรอ?” “มือของผมไม่ว่าง ขับรถอยู่” เดิมที เสิ่นหยินอู้ต้องการบอกว่า ก็แค่หยิบมันออกมาปิดเสียง มันง่ายมาก แต่เมื่อคิดว่าพอเธอพูดออกมา เขาจะใช้ความรู้ทางทฤษฎีที่เกี่ยวกับใบขับขี่มาเป็นข้ออ้างกับเธอ ดังนั้นเธอจึงปิดปากและกลับไปนั่งพิงเบาะหลัง แค่อดทนจนกว่าจะถึงบริษัท คิดว่าคงจะไปถึงในไม่ข้า ในขณะที่กำลังคิด เสียงโทรศัพท์มือถือของฉินเย่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เดิมที เสิ่นหยินอู้คิดที่จะอดทนไว้ แต่ก็ทนไม่ไหวเมื่อได้ยินเสียงอีกครั้ง เธอโน้มตัวยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขาออกมา ผลก็คือ เสิ่นหยินอู้ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่หลังจากที่เห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา โทรศัพท์ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ฉินเย่ที่กำลังขับรถคิดว่าเธอไม่รู้ว่าจะปิดเสียงโทรศัพท์ของเขาอย่างไร เขาจึงเตือนเธอเสียงดังว่า: "ดันปุ่มด้านข้างไปอีกด้านก็ปิดเสียงได้แล้ว" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ได้สติ เธอดันปุ่มด้านข้างโทรศัพท์ไปตามที่ฉินเย่บอก จากนั้นจึงคืนโทรศัพท์ให้เขาอย่างเงียบๆ
เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเย่เม้มริมฝีปากและเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "ทีหลังอย่าโทรมาติดๆกันแบบนี้อีก" น้ำเสียงของเขาเย็นสุดขั้วราวกับลูกเห็บในฤดูหนาว ที่ปลายสายเงียบไป จากนั้นน้ำเสียงรู้สึกผิดก็ดังขึ้น “ฉันขอโทษนะเย่ ฉัน ฉันแค่กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนาย ก็เลยทำแบบนี้...” “เธอกังวลอะไร?” ฉินเย่พูดแทรกเธออย่างดุดัน: “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผมจริงๆ การที่เธอโทรมตาติดๆกันแบบนี้จะช่วยอะไรได้นอกจากทำให้โทรศัพท์ของผมแบตหมด?” คำพูดของเขาตรงไปตรงมาและชัดเจน ทำให้เจียงฉูฉู่ไม่สามารถโต้กลับอะไรเขาได้ เธอทำได้เพียงพูดขอโทษเขาเบาๆ และเธอก็จะไม่ทำเช่นนี้อีก ฉินเย่ไม่ต้องการฟังคำขอโทษของเธอ ดังนั้นหลังจากบอกว่ามีธุระต้องไปทำต่อ เขาก็วางสายไป หลังจากวางสายแล้ว ฉินเย่ก็ตามไปในทางที่เสิ่นหยินอู้เดินหายไป -เสิ่นหยินอู้กลับมาที่บริษัท หลังจากออกจากลิฟต์ เธอคิดที่จะกลับไปที่ห้องทำงานของเธอ แต่เธอไม่คาดว่าจะเจอผู้ชายสวมแว่นตาที่เธอเจอครั้งก่อนที่ทางแยก ทันทีที่เขาเห็นเธอ ผู้ชายสวมแว่นก็ทักทายเธอด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อทันที "เถ้า เถ้าแก่" แม้ว่าจะอารมณ์ไม่ดี แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพนักงานข
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง
อารมณ์ของเธอในเที่ยวบินขากลับแตกต่างไปจากในตอนขามาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีก็คือการที่ไม่ว่าจะเป็นขามาหรือขากลับ ลูกๆทั้งสองคนของเธอก็ล้วนอยู่ข้างกายเธอ หลังจากที่หลี่มู่ถิงได้รับข้อความจากฉินเย่ เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆสองคนให้คุณพ่อคุณแม่ฉินฟังก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ฉินรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ตกใจและเงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็พูดว่า "เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เที่ยวบินของพวกคุณคือเที่ยวไหน เดี๋ยวถึงแล้วเราจะไปรับ" หลังจากที่หลี่มู่ถิงบอกเสิ่นหยินอู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉินบอกมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว เมื่อนึกถึงห้าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอจากไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะทักทายพวกเขาได้อย่างไรเมื่อต้องพบกันอีกครั้ง หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาทำได้เพียงคาดเดาจากการดูสีหน้าของเธอเท่านั้น เมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงถามด้วยท่าทีระมัดระวัง: "คุณหนูเสิ่น ประธานฉินบอกผมว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลอะไร คุณบอกผมได้เสมอ และเรื่องนี้ก็สามารถล้มเลิก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา