“แล้วแผนงานของฉัน...” “ผ่านแล้ว” ฉินเย่กล่าว “ผ่านแล้วเหรอ? คุณหมายความว่ามันใช้งานได้แล้วเหรอ?” "อืม" งั้นก็คือที่เขาดูไปแล้วรอบหนึ่งจริงๆแล้วมันใช้ได้ ก็เลยมาจับผิดจุดผิดพลาดเล็กๆแทนงั้นสิ? ถ้าคิดเช่นนั้น ก็ไม่ได้ถึงกับรับไม่ได้ใช่ไหม? “ในเมื่อผ่านแล้ว งั้นฉัน...” ก่อนที่เสิ่นหยินอู้จะพูดจบ ฉินเย่ก็ยืนขึ้นพร้อมกุญแจรถในมือ “ไปกันเถอะ ผมไปส่ง” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว: "ไม่ต้อง ฉันขับรถมาเอง ฉันกลับเองได้" นอกจากนี้ เดิมทีเธอมาที่นี่เพื่อส่งแผนงาน ไม่ใช่มาเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อะไรกับเขา แล้วจะให้เขาไปส่งเธอกลับได้อย่างไรกัน? เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็รีบลุกขึ้น จากนั้นก็หยิบกระเป๋าและเดินออกไป หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว ฉินเย่ก็คว้าข้อมือของเธอไว้ "ตอนที่ได้ใบขับขี่มา คุณโกงข้อสอบทฤษฎีมาหรือเปล่า?" เสิ่นหยินอู้: "?" ฉินเย่: "ไม่งั้นทำไมถึงไม่รู้ว่าไม่ควรขับรถในตอนที่เหนื่อยล้า" “ฉันหาวไปไม่กี่ครั้งเอง แล้วมันขับรถตอนเหนื่อยล้าตรงไหน? มันไม่เหมือนกันสักหน่อย” แต่ฉินเย่กลับค้านเธอ: "ถ้าไม่เหนื่อยคุณจะหาวไหม? หยุดพูดได้แล้ว ร
เมื่อพูดจบ ฉินเย่ก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งข้างใน เสิ่นหยินอู้: "..." เมื่อเขารัดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ เสิ่นหยินอู้ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นท่าทางลังเลและตกตะลึงของเธอ ฉินเย่ก็รู้สึกโล่งใจอยู่ในใจ หลังจากยกริมฝีปากบางขึ้นแบบไม่ให้ใครเห็น เขาก็เตือนว่า: "ไม่ขึ้นรถเหรอ? หรือคุณเหนื่อยเกินกว่าที่จะขึ้นรถ?" เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างของเธอแล้วเข้าไปในรถอย่างไม่เต็มใจนัก เธอไม่ได้นั่งบนที่นั่งคนขับ เธอนั่งตรงเบาะหลังโดยทำเหมือนว่าฉินเย่อยู่ในฐานะคนขับรถอย่างสมบูรณ์ หลังจากที่เธอนั่งลงแล้ว เธอก็มองใบหน้าของฉินเย่ผ่านกระจกมองหลัง และก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเขาไม่ได้โกรธเพราะเธอทำกับเขาเป็นเหมือนคนขับรถแต่อย่างใด สักพักรถก็ขับออกไปจากบริษัท แม้ว่ารถจะมีราคาถูกมากสำหรับฉินเย่ แต่ทักษะของเขาก็ดีมาก สำหรับเขา ตราบใดที่มันขับได้ เขาก็ไม่มีปัญหาอะไร เสิ่นหยินอู้เอนตัวลงบนเบาะหลังและกอดอกไว้ เดิมทีเธอคิดว่าฉินเย่จะพูดอะไรกับเธอ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่พูดอะไรเลย เขาขับรถไปเงียบๆ ราวกับว่าเขาแค่อยากจะไปส่งเธอกลับเท่านั้น ภายในรถเงียบมาก หลังจากนั้นประมาณสองนาที รถก็เข้าสู่ถน
เสิ่นหยินอู้ยื่นมือออกไปในตอนแรก แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เธอก็หดมือกลับไป เธอขมวดคิ้ว “คุณหยิบมันออกมาเองไม่ได้เหรอ?” “มือของผมไม่ว่าง ขับรถอยู่” เดิมที เสิ่นหยินอู้ต้องการบอกว่า ก็แค่หยิบมันออกมาปิดเสียง มันง่ายมาก แต่เมื่อคิดว่าพอเธอพูดออกมา เขาจะใช้ความรู้ทางทฤษฎีที่เกี่ยวกับใบขับขี่มาเป็นข้ออ้างกับเธอ ดังนั้นเธอจึงปิดปากและกลับไปนั่งพิงเบาะหลัง แค่อดทนจนกว่าจะถึงบริษัท คิดว่าคงจะไปถึงในไม่ข้า ในขณะที่กำลังคิด เสียงโทรศัพท์มือถือของฉินเย่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เดิมที เสิ่นหยินอู้คิดที่จะอดทนไว้ แต่ก็ทนไม่ไหวเมื่อได้ยินเสียงอีกครั้ง เธอโน้มตัวยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขาออกมา ผลก็คือ เสิ่นหยินอู้ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่หลังจากที่เห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา โทรศัพท์ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ฉินเย่ที่กำลังขับรถคิดว่าเธอไม่รู้ว่าจะปิดเสียงโทรศัพท์ของเขาอย่างไร เขาจึงเตือนเธอเสียงดังว่า: "ดันปุ่มด้านข้างไปอีกด้านก็ปิดเสียงได้แล้ว" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ได้สติ เธอดันปุ่มด้านข้างโทรศัพท์ไปตามที่ฉินเย่บอก จากนั้นจึงคืนโทรศัพท์ให้เขาอย่างเงียบๆ
เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเย่เม้มริมฝีปากและเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "ทีหลังอย่าโทรมาติดๆกันแบบนี้อีก" น้ำเสียงของเขาเย็นสุดขั้วราวกับลูกเห็บในฤดูหนาว ที่ปลายสายเงียบไป จากนั้นน้ำเสียงรู้สึกผิดก็ดังขึ้น “ฉันขอโทษนะเย่ ฉัน ฉันแค่กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนาย ก็เลยทำแบบนี้...” “เธอกังวลอะไร?” ฉินเย่พูดแทรกเธออย่างดุดัน: “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผมจริงๆ การที่เธอโทรมตาติดๆกันแบบนี้จะช่วยอะไรได้นอกจากทำให้โทรศัพท์ของผมแบตหมด?” คำพูดของเขาตรงไปตรงมาและชัดเจน ทำให้เจียงฉูฉู่ไม่สามารถโต้กลับอะไรเขาได้ เธอทำได้เพียงพูดขอโทษเขาเบาๆ และเธอก็จะไม่ทำเช่นนี้อีก ฉินเย่ไม่ต้องการฟังคำขอโทษของเธอ ดังนั้นหลังจากบอกว่ามีธุระต้องไปทำต่อ เขาก็วางสายไป หลังจากวางสายแล้ว ฉินเย่ก็ตามไปในทางที่เสิ่นหยินอู้เดินหายไป -เสิ่นหยินอู้กลับมาที่บริษัท หลังจากออกจากลิฟต์ เธอคิดที่จะกลับไปที่ห้องทำงานของเธอ แต่เธอไม่คาดว่าจะเจอผู้ชายสวมแว่นตาที่เธอเจอครั้งก่อนที่ทางแยก ทันทีที่เขาเห็นเธอ ผู้ชายสวมแว่นก็ทักทายเธอด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อทันที "เถ้า เถ้าแก่" แม้ว่าจะอารมณ์ไม่ดี แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพนักงานข
"ทำอะไรเนี่ย?"เสิ่นหยินอู้ถูกดึงไปจนทำรายงานที่อยู่ในมือหล่น แต่ดูเหมือนว่าฉินเย่จะถูกกระตุ้นจากบางสิ่ง เขาไม่ได้สนใจเธอเลย และยังคงดึงเธอไปด้านหน้า "เดี๋ยวก่อน" ในที่สุดชายสวมแว่นก็ตอบสนองได้ เขารีบไปด้านหน้าเพื่อขวางพวกเขาไว้ “คุณ คุณต้องการจะทำอะไรกับเจ้านายของเรา? ปล่อยเธอไปนะ!” ฉินเย่มองไปที่ชายสวมแว่นที่ดูเหมือนลูกไก่ซึ่งขวางอยู่ตรงหน้าเขา บังเอิญมากที่ชายคนนี้สวมแว่นตากรอบสีทอง ทำให้เขานึกถึงคนที่ชอบสวมแว่นทรงแบบนี้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ตอนที่เขาออกจากลิฟต์ เขาเห็นชายคนนี้จ้องมองไปที่เสิ่นหยินอู้อย่างคลั่งไคล้ สองจุดนี้ทำให้ฉินเย่อารมณ์ไม่ดี เขายิ้มเยาะ มองไปที่อีกฝ่ายแล้วพูดเย้ย: "คุณมีปัญญาขวางผมหรอ?" ออร่าของเขาแข็งแกร่งมากจนทำให้ชายสวมแว่นตกใจมาก เสิ่นหยินอู้ยังคงดิ้นรน "ฉินเย่ ปล่อยนะ คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?" ชายสวมแว่นเห็นเช่นนั้น เขาคิดที่จะก้าวไปข้างหน้า: "ปล่อยเถ้าแก่ของผมนะ" "ไสหัวไป!" ฉินเย่คำรามออกมาด้วยความโกรธ: "อย่าให้ผมต้องลงไม้ลงมือ" หลังจากพูดจบ เขาก็ลากเสิ่นหยินอู้ออกไป จากนั้นครู่หนึ่ง ชายสวมแว่นจึงตอบสนองได้ เขาคิดที่จะตามไป แต่เม
“จะคิดก็ได้ ใครจะไม่ชอบผู้หญิงที่ทั้งสวยและฉลาดล่ะ? รีบกลับไปตั้งใจทำงานเถอะ” ชายหนุ่มลากฝีเท้าอันหนักอึ้งของเขาออกไปอย่างหดหู่ อู๋อี้ไห่ส่ายหัวและกลับไปทำงานของเขา - ฉินเย่ลากเสิ่นหยินอู้ไปในที่มุมที่ไม่มีคน จากนั้นก็หยุดเดิน เสิ่นหยินอู้ที่ยังคงดิ้นรนในตอนแรก แต่ต่อมาเธอก็เห็นว่ามือใหญ่ๆของเขาจับเธอไว้แน่นราวกับโซ่เหล็ก การดิ้นรนของเธอนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ดังนั้นในท้ายที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ไม่เสียแรงอีก ปล่อยให้เขาลากเธอต่อไป อาจเป็นเพราะเธอเงียบไป มันจึงค่อยๆส่งผลต่ออารมณ์ของฉินเย่ เขาหยุดเดินหลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองเธอ ทั้งสองสบตากันอย่างเงียบๆครู่หนึ่ง จากนั้นสายตาของเสิ่นหยินอู้ก็เลื่อนลงไปที่ข้อมือของเขาที่จับเธอไว้ “ตอนนี้ปล่อยได้หรือยัง?” น้ำเสียงของเธอสงบ ชัดเจน และไม่มีความโกรธเคือง เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว ไม่เพียงไม่ปล่อยมือเธอ แต่กลับใช้โอกาสนี้จับข้อมือของเธอไว้แน่นขึ้นและก้าวไปข้างหน้าสองก้าวให้ใกล้เธอมากขึ้น “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ” ทันทีที่เขาเข้าใกล้ กลิ่นอายเย็นๆก็ปกคลุมเธอไว้ กลิ่นนั้นเหมือนกันกับใ
เสิ่นหยินอู้คาดไม่ถึงว่าจะมีวันที่มีคนมาใช้คำว่าท่าทีที่แย่และท่าทีที่แย่ลงกว่าเดิมของเธอเพื่อมาอธิบายอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเธอ “แล้วไงล่ะ? ท่าทีของฉันที่มีต่อคุณแย่ลงไปอีก แล้วมันหมายความว่ายังไง?” ฉินเย่หยุดพูดและจ้องมองเธออย่างเงียบๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูด เสิ่นหยินอู้จึงพยายามบอกให้เขาปล่อยเธอไป"ปล่อยฉันก่อน" เขาไม่ตอบ ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงพยายามผลักเขาออกไป เพราะไม่ต้องการให้เธอเห็นสีหน้าอันมืดมนของเขา ฉินเย่จึงโน้มตัวมาบังเธอไว้ “คุณคิดจะ……”ก่อนที่จะพูดจบ เธอก็ถูกเขาโอบกอด ความอบอุ่นจากร่างกายของเขาก็แผ่กระจายสู่ร่างกายของเธอในทันที เสิ่นหยินอู้ตกตะลึงอยู่กับที่ เธอคิดว่าเขาจะจูบเธอ “ใช่ บางทีในสายตาของคุณ นี่อาจไม่ได้มีความหมายอะไรเลย แต่สำหรับผม มันหมายถึงบางสิ่งที่สำคัญมาก” เสียงของฉินเย่อยู่ที่ข้างๆหูเธอ มันทั้งต่ำและทุ้มลึก “ตอนนี้ผมจะทำอะไรได้ล่ะ? ผมทำได้แค่อาศัยความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆนี้มาวิเคราะห์ว่าคุณยังมีความรู้สึกให้ผมหลงเหลืออยู่บ้างไหม แม้จะเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวก็ตาม” ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือการเสแสร้ง หรือไม่ว่ามันกำลังจะหายไป เขาก็ต้องค
สายตาของเขาลึกซึ้งมาก เขาค่อยๆโน้มตัวไปข้างหน้าทีละนิด เขาเห็นริมฝีปากสีแดงทั้งสองที่เขาต้องการจะจูบ และมันตามหลอกหลอนทำให้เขาฝันถึงมันทุกคืนตลอดห้าปีที่ผ่านมาจนเขาแทบบ้า แต่ในขณะที่ริมฝีปากกำลังจะสัมผัสกัน เสียงหัวเราะอันดูถูกดูแคลนก็ออกมาจากริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ ดังนั้นเคลื่อนไหวของเขาจึงหยุดลงอย่างกะทันหัน "แล้วไงล่ะ?" เสิ่นหยินอู้มองไปที่ฉินเย่ที่อยู่ใกล้กันมากอย่างขบขัน เธอใช้นิ้วมือขาวบางของเธอจิ้มไปที่หน้าอกของฉินเย่และน้ำเสียงของเธอก็ดูเหยียดหยามเป็นอย่างยิ่ง “แค่เพราะคุณเสียใจ ฉันเลยต้องตกลงหรอ? ฉินเย่ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร คุณมีสิทธิ์อะไรที่อยากไปก็ไป อยากกลับมาก็กลับ? คุณมีสิทธิ์อะไร?” “ผมไม่มี” ฉินเย่ทำได้เพียงขมวดคิ้วและปฏิเสธ “โอ้ะ คุณนี่ขี้ลืมจริงๆนะ แม้แต่เรื่องที่ตอนนั้นคุณเป็นคนพูดเรื่องหย่าขึ้นมาก่อน คุณก็ยังลืมไปเลยด้วยซ้ำ” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉินเย่กัดฟัน "ได้ งั้นก็คิดซะว่ามันเป็นความผิดของผม แล้วคุณล่ะ? ตอนนั้นคุณไม่สนใจหรอกใช่ไหมว่าผมจะพูดถึงเรื่องหย่าหรือไม่พูดน่ะ? ผมพูดถึงมันขึ้นมาเพราะนั่นมันคือความต้องการของคุณ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหย
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ