“ใช่ค่ะ ลุงของเฉาเหย้าจู่ซื้อของกินมาหาเฉาเหย้าจู่เยอะแยะมากมาย เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนจึงไปด้วยกัน ทางโรงเรียนเห็นว่าลุงของเด็กอนุญาต ก็เลยไม่ได้ว่าอะไรค่ะ”หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจสถานการณ์บางอย่าง และไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมจึงทำได้เพียงล้มเลิกความพยายามทุกอย่างดูปกติดีมากแต่ไม่รู้เพราะอะไร ในใจเธอถึงได้รู้สึกแปลกๆ ลุงของเฉาเหย้าจู่คนนี้แปลกๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแปลกระหว่างทางไปบริษัท เสิ่นหยินอู้เล่าเรื่องนี้ให้โจวชวงชวงฟัง โจวชวงชวงได้ยินดังนั้นกลับมีความคิดตรงกันข้ามกับเธอ“เธอคิดมากเกินไปหรือเปล่า?”“เหรอ?”“แต่ถึงแม้เขาจะสืบหาเรื่องเธอ พอจะเป็นไปได้ไหมว่าเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันบังเอิญมากเกินไป ดังนั้นเขาก็เลยสนใจในตัวเธอ ก็เลยสืบหาข้อมูลของเธอ?”เสิ่นหยินอู้ “…”หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็อดแซวเพื่อนสนิทตัวเองไม่ได้ว่า“ทำไมฉันรู้สึกว่าในสมองของเธอมีแต่เรื่องดราม่าไอดอลกันนะ?”“แหง่สิ คนอื่นเขามีทั้งเงินทั้งอำนาจ จะทำอะไรเธอได้? ชายหญิงน่ะ นอกจากจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว ยังมีเหตุผลอื่นต้องเข้าใกล้เธอด้วยเหรอ?”เสิ่นหยินอู้
อาจเป็นเพราะรู้ตัวว่าตนทำผิด เสิ่นเหมิงเหมิงพลันก้มหน้าลงตอนที่ถูกเธอซักถามทันที นิ้วมือขาวๆ กระทบกันตรงหน้า“ขอโทษค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงเห็นแก่กินเอง”เสิ่นซือเหนียนกินของคนอื่นแล้วใจอ่อน คราวนี้ก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกันเมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นว่าแม้แต่เสิ่นซือเหนียนก็เป็นแบบนั้น จึงโมโหจนหลุดหัวเราะออกมา“เหนียนเหนียน เราก็เห็นแก่กินแล้วเหรอ?”เมื่อได้ยินคำเปรียบเปรยนี้แล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นซือเหนียนก็แดงเถือก “ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นครับหม่ามี๊…”“เฮ้อ”เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ แล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกหนูสองคนเป็นอะไรไปเนี่ย? ก่อนหน้านี้หม่ามี๊บอกพวกหนูตลอดไม่ใช่เหรอว่าห้ามกินของจากคนแปลกหน้าน่ะ?”“แต่…แต่ว่าเมื่อวานหม่ามี๊บอกว่าพวกหนูเป็นเพื่อนกับเหย้าเหย้าแล้ว หม่ามี๊เองก็ให้ลูกอมกับเหย้าเหย้าด้วย”เสิ่นหยินอู้ “…”เธอถูกลูกสาวตัวเองเถียงจนพูดอะไรไม่ออกนั่นน่ะสิ ถ้าจะบอกว่าลุงของเฉาเหย้าจู่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นสำหรับเฉาเหย้าจู่แล้ว เธอเองก็เป็นคนแปลกหน้าไม่ใช่เหรอ?เมื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ได้แต่พูดว่า “หม่ามี๊สื่อสารผิดเอง
เสิ่นหยินอู้ “…”เด็กคนนี้ตีความหมายของตนเก่งจริงๆ“หม่ามี๊ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น หม่ามี๊หมายถึงหนูรู้ได้ยังไงว่าคุณลุงเย่มู่เขาไม่มีภรรยาไม่มีลูก? เข้าใจหรือยัง?”“อ้อ”เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ความจริงก็พูดอย่างรวดเร็วว่า “ถ้างั้นหม่ามี๊ ไว้พรุ่งนี้เหมิงเหมิงจะถามคุณลุงเย่มู่ดู ถ้าคุณลุงเย่มู่ยังไม่มีภรรยา ถ้างั้นก็สามารถเป็นแด๊ดดี๊ของเหมิงเหมิงได้แล้วใช่ไหม?”เสิ่นหยินอู้ “…”เด็กคนนี้เป็นอะไรไปกัน?แต่ก่อนโม่ไป๋ดีกับเธอขนาดนั้น แต่น้อยมากที่จะเห็นเธอขอร้องให้เขามาเป็นแด๊ดดี๊ของตัวเองเหมือนตอนนี้เย่มู่เฉินจี้คนนี้เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน เธอกลับมีความคิดแบบนี้ หรือว่ากินแป้งแฮมเบอร์เกอร์ได้ยอดเยี่ยม?เสิ่นหยินอู้ตกใจมาก“เหมิงเหมิง บอกหม่ามี๊มาตามตรง คุณลุงเย่มู่พูดอะไรกับหนูหรือเปล่า?”ไม่อย่างนั้น ทำไมเธอถึงมีความคิดแบบนี้ได้?“พูดอะไรเหรอหม่ามี๊?”“อืม…อย่างเช่น เขาบอกว่าเขาอยากเป็นแด๊ดดี๊ของหนู อะไรทำนองนั้นน่ะ?”เสิ่นเหมิงเหมิงส่ายหน้า“ไม่มีค่ะ เหมิงเหมิงอยากให้คุณลุงเย่มู่มาเป็นแด็ดดี๊ของเหมิงเหมิงเอง”“ทำไมล่ะ?”“เพราะคุณลุงเย่มู่ดีกับเหมิง
เสิ่นซือเหนียนทำตามที่แม่บอก เขาดูแลน้องสาวของเขาอย่างดีเพื่อไม่ให้เธอพูดอะไรไร้สาระ แต่อารมณ์ของเหมิงเหมิงนั้นหลุดเกินกว่าจะควบคุม ไม่มีโอกาสให้พี่ชายของเธอได้โต้ตอบอะไรเลย สิ่งแรกที่เธอพูดเมื่อเจอลุงเย่มู่ในวันถัดมาคือ: "ลุงเย่มู่ ลุงดูดีมากๆเลยค่ะ" เมื่อเสิ่นซือเหนียนที่ตามเธอมาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาคิดจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเธอ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ปากของเสิ่นเหมิงเหมิงนั้นรวดเร็วเป็นพิเศษ “หนูอยากให้ลุงเย่มู่เป็นพ่อของหนูจริงๆ” เสิ่นซือเหนียนรู้สึกท้อแท้ทันที หน้าที่ที่แม่ของเขามอบหมายให้เขานั้นได้ล้มเหลวเสียแล้ว ฉินเย่ซึ่งถือของอยู่ในมือยืนอึ้งอยู่ที่เดิมเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเสิ่นเหมิงเหมิง อาจเป็นเพราะเขาตกใจเกินไป ถุงที่ฉินเย่ถือก็หล่นลงกับพื้นเช่นกัน เสียงถุงหล่นกระทบกับพื้นทำให้คนหลายคนมองมาทางพวกเขา แต่สายตาส่วนใหญ่นั้นเป็นสายตาของเด็กๆในโรงเรียน และแม้ว่าพวกเขาจะมอง พวกเขาก็แค่สงสัยและสับสน ฉินเย่มองไปที่เหมิงเหมิงที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ มือใหญ่ๆขอ
เฉาเย่าจู่รับฟัง และเขาก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าชีวิตที่ดีของครอบครัวเขาในตอนนี้ได้รับมาจากคุณลุงคนนี้ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นแม้ว่าเขาจะถูกละเลย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่ยุติธรรมในใจ วันนี้ฉินเย่ไม่ได้นำอาหารจั้งฟู๊ดมาแล้ว แต่เป็นอาหารที่เขาให้พ่อครัวทำ อาหารเหล่านั้นใส่อยู่ในกล่องอาหาร เขาเปิดฝาทีละกล่องแล้วจัดวางลงบนโต๊ะ ฉินเย่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะมาที่โรงเรียนพร้อมกล่องอาหารเหมือนพี่เลี้ยงเด็กและเอาอาหารมาส่งให้เด็กๆ เขาไม่เคยกล้าคิดเรื่องแบบนี้มาก่อน และถึงจะให้เขาทำ เขาก็จะไม่ทำ แต่ตอนนี้...ภายในใจของเขากลับเป็นสุขอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ เขาก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสายตาของเด็กทั้งสอง และเห็นความประหลาดใจในดวงตาของพวกเขาสองคน พวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะนำอาหารมากมายเช่นนี้มา ดังนั้นพวกเขาจึงประหลาดใจ เขาเปิดปากแล้วหัวเราะเบาๆ : "ไปล้างมือมาแล้วหรือยัง?" "ล้างแล้วค่า" เสิ่นเหมิงเหมิงโบกมือไปทางฉินเย่ ในขณะที่รับประทานอาหาร ฉินเย่มองไปยังเสิ่นซือเหนียนที่ยังคงเงียบสงบ และในที่สุดก็หันไปมองเสิ่นเหมิงเหมิงและถามเบา ๆ
แม้ว่าจากภายนอกแล้ว ฉินเย่เหมือนจะทำสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เขารู้ดีว่า เสิ่นซือเหนียนคงจะไม่โดนซื้อใจได่ง่ายๆนัก หากทำอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือได้ไม่ดี เขาก็จะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แม้ว่าลูกชายของเขาจะยังเด็ก แต่บุคลิกของเขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่ เหมือนกับตัวเขาเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กไม่มีผิด ทันใดนั้น ฉินเย่ก็รู้สึกเสียใจที่นิสัยของเขาเป็นเช่นนี้ ซึ่งมันทำให้เป็นการยากที่เขาจะจัดการกับลูกชายของเขาเอง ดังนั้นเมื่อเสิ่นเหมิงเหมิงกินเสร็จและพาเฉาเย่าจู่ออกไปเล่น เสิ่นซือเหนียนก็อยู่ตามลำพังกับฉินเย่ และช่วยเขาทำความสะอาดเก็บกวาด เขาไม่มีข้อตำหนิใดๆ และถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็มีความกระตือรือร้นในการทำงานมาก ฉินเย่สังเกตอยู่อย่างเงียบๆ จากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "เดี๋ยวลุงทำเอง ซือเหนียนไปเล่นกับน้องๆเถอะ" แต่เสิ่นซือเหนียนส่ายหัวอย่างเงียบๆแล้วพูดว่า "ไม่ได้ครับ หม่ามี๊บอกว่าไม่ควรอยู่แบบไร้ประโยชน์ แล้วผมก็อยากทำอะไรสักอย่างที่ผมทำได้" เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินเย่ก็หัวเราะเบาๆ “ไม่ควรอยู่แบบไร้ประโยชน์งั้นเหรอ?” "อืม" ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม "ก็ได้
แต่เขาคือลุงเย่มู่ที่อยากเป็นพ่อของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกมาก และมันยังทำให้เขาคิดว่า ลุงเย่มู่รู้จักหม่ามี๊มานานแล้ว เขาจึงเข้ามาในห้องไลฟ์สดเพื่อให้รางวัลพวกเขาเสมอ หลังจากที่เขาถามคำถามนี้ ฉินเย่ก็ชะงักไป และตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่เสิ่นซือเหนียนซึ่งยืนอยู่ที่เดิมตรงหน้าเขา เขาดูเป็นคนที่โตกว่าวัยนิดหน่อย ยังเด็กขนาดนั้นแท้ๆ แต่ความหัวไวของเขานั้นช่างน่าทึ่งมาก คำถามดังกล่าวไม่ได้ถามเพราะจู่ๆก็อยากถาม ฉินเย่เปิดริมฝีปากของเขา ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วถามเสิ่นซือเหนียนกลับ “คิดว่ายังไงล่ะ เหนียนเหนียน?” ริมฝีปากของเสิ่นซือเหนียนขยับ แต่เขาไม่ตอบ เจ้าเล่ห์ คำพูดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวของเหนียนเหนียน มันเข้ากันกับลุงเย่มู่ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างมาก ทันใดนั้น เสิ่นซือเหนียนก็รู้สึกว่า ถ้าแม่และลุงเย่มู่อยู่ด้วยกัน เธอจะไม่สามารถต่อกรกับลุงเย่มู่ได้อย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็ระมัดระวังขึ้นมาทันที ฉินเย่ชะงักไป เขาคาดไม่ถึงว่าคำพูดลองใจของเขาจะทำให้ความระมัดระวังของเด็กน้อยเพิ่มขึ้นในทันที กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาไม่เพียงแต่เข้าใจในสิ่งที่เข
มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด เขาจำใจให้ตัวเองเป็นพี่ชาย และเนื่องจากเหมิงเหมิงเป็นชอบกินชอบเล่น และซุกซนเป็นอย่างมาก เขาจึงกลายเป็นคนเงียบๆโดยไม่รู้ตัว สายตาของเขาจับจ้องไปที่น้องสาวของเขาอยู่เสมอ คอยดูว่าเธอพูดอะไรไร้สาระหรือได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ตอนนี้ฉินเย่กลับพูดแบบนี้กับเขา เมื่อดวงตาของเด็กน้อยร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย ศักดิ์ศรีที่เปี่ยมล้นของเขาทำให้เขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขากลัวว่าคนอื่นจะเห็นสีหน้าของเขา ฉินเย่จะไม่เข้าใจอารมณ์ของเขาได้อย่างไร ในเวลานี้เองที่เขาตระหนักได้ว่า แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่เด็กแบบเขาก็มีศักดิ์ศรีของตนเอง เขาต้องเคารพมัน เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเย่ก็พูดเบาๆว่า: "รีบเข้าไปเถอะ เหมิงเหมิงรอนานแล้วนะ" “ครับ” เด็กน้อยพยักหน้าแล้วหันหลังเดินเข้าไป คราวนี้ เขาเดินไปไม่กี่ก้าวแล้วจึงหันกลับมามองที่ฉินเย่ “ลุงเย่มู่ เหนียนเหนียน... จะเก็บความลับให้ลุงครับ” “จริงเหรอ? ถ้างั้น ลุงเย่มู่ขอบคุณเหนียนเหนียนนะครับ” ความโค้งของริมฝีปากของฉินเย้กว้างขึ้น หลังจากที่เสิ่นซือเหนียนหายไปจากระยะสายตาของเขา มุมปากของเขาก็ค่อยๆ กลับมาตั้งตรง แต่ไม่นานม