ดูจากสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว รู้สึกว่าการคาดเดาอันแรกดูเป็นไปได้มากกว่าถ้าเป็นอันหลัง ตอนนี้เป็นช่วงพักแล้ว เขาจะไม่มีแม้แต่เวลาเปิดอ่านข้อความได้ยังไง?คิดไปคิดมา สุดท้ายเสิ่นหยินอู้ก็ตัดสินใจพักผ่อนวันรุ่งขึ้นเสิ่นหยินอู้พูดเรื่องเช่าบ้านให้อู๋อี้ไห่ฟัง เพราะเขาเป็นเจ้าถิ่น ดังนั้นก็เลยอยากถามเขาสักหน่อยว่ามีบ้านเช่าที่รู้จักแนะนำไหมอู๋อี้ไห่ได้ยินนดังนั้น “คุณจะเช่าบ้านเหรอ? กะทันหันขนาดนี้เลย? ตามหลักแล้วคุณต้องจัดการเสร็จก่อนที่จะมาเมืองเจียงเฉิงสิ”เสิ่นหยินอู้ไม่คิดจะบอกเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ดังนั้นจึงยิ้มจาๆ“ฉันมีปัญหาของฉันน่ะ นายแค่แจ้งฉันก็พอ”อู๋อี้ไห่ที่ใช้ชีวิตเป็นพวกหัวไวตั้งนานแล้วได้ยินดังนั้น ก็เลิกคิ้วพูดว่า “คงไม่ใช่เพราะว่าบ้านที่คุณอยู่ตอนนี้ คุณโม่ไป๋คนนั้นเป็นคนจัดการให้หรอกใช่ไหม? ที่ย้ายออกมากะทันหันแบบนี้ ปฏิเสธแล้วเหรอ?”เสิ่นหยินอู้ “…”คนคนนี้ทำไมถึงได้หัวไวขนาดนี้นะ?“ผู้จัดการอู๋ ถ้าคุณเอาความขี้เผือกมาใช้ในการทำงานสักหน่อย ฉันว่าบริษัทของเราอาจจะพัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่งก็ได้นะ”“โธ่ ไม่กระทบกันหรอกครับ ทำแค่งานน่ะ น่าเบื่อจะตาย แ
เมื่อนึกภาพเพราะเฉาเหย้าจู่ ทำให้เด็กสองคนมองภาพตัวเองไม่ดีแล้ว คิ้วของฉินเย่ก็ขมวดแน่นเขาทุ่มแรงมากขนาดนี้ ก็เพราะหวังว่าเสิ่นซือเหนียนจะลดกำแพงที่มีต่อเขาลง แล้วใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองด้วยแต่หากผลสุดท้ายเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับที่ตนคิดไว้ แล้วเขาจะหาคนอื่นมาทำไม?เมื่อคิดแบบนี้แล้ว สายตาของฉินเย่ที่มองเฉาเหย้าจู่ก็ยิ่งดุดันขึ้นเฉาเหย้าจู่นั่งอยู่กับที่ รู้สึกเสียวสันหลังวาบบอกไม่ถูกน่ากลัวมาก อยากกลับบ้านหลี่มู่ถิงที่นั่งอยู่ข้างหน้าทนมองต่อไปไม่ได้จึงพูดขึ้นก่อนว่า “ประธานฉิน คุณอย่าร้อนใจไปสิครับ เฉาเหย้าจู่เป็นแค่เด็กห้าขวบเอง คุณทำหน้าขรึมแบบนี้ เขาต้องกลัวคุณอยู่แล้วสิ”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่พลันหยุดชะงัก “งั้นเหรอ?”หลี่มู่ถิงถามกลับ “แล้วไม่ใช่เหรอครับ? ถ้าคุณใช้ท่าทีแบบนี้กับเหนียนเหนียนและเหมิงเหมิง คุณคิดว่าพวกเขาจะกลัวคุณเหมือนที่เฉาเหย้าจู่กลัวคุณไหม?”คำพูดของหลี่มู่ถิง ทำให้ฉินเย่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด“แล้ว…จะทำยังไง?”“ง่ายมากครับ” หลี่มู่ถิงพูดง่ายราวกับกินข้าวดื่มน้ำ “ก็แค่ทำเหมือนที่ทำกับเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนไงครับ”ฉินเย่ห
เสิ่นเหมิงเหมิงรับลูกอมมาอย่างรวดเร็วฉินเย่ยื่นให้กับเสิ่นซือเหนียนเม็ดหนึ่ง แต่เสิ่นซือเหนียนยับยั้งชั่งใจมากกว่า หลังจากรับมาก็ไม่ได้แกะกินทันทีกลับกัน เขามองไปยังเฉาเหย้าจู่ที่ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ ฉินเย่อย่างกะทันหันเฉาเหย้าจู่เองก็มองเด็กสองคนที่ดูมีเสน่ห์มากตรงหน้า ถึงแม้จะเพิ่งห้าขวบ แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ก่อเกิดขึ้นแล้วดูเหมือนว่าเด็กสองคนตรงนี้จะจะ ‘มีค่า’ มากกว่าเขามากเขาก้มหน้าก้มตา แล้วขยับไปด้านหลังฉินเย่โดยอัตโนมัติ“เอ๋??”การเคลื่อนไหวของเฉาเหย้าจู่ ทำให้เสิ่นเหมิงเหมิงสังเกตเห็น “คุณลุงเย่มู่คะ เขาเป็นลูกของคุณลุงเหรอคะ?”ฉินเย่ “…”เขาเม้มริมฝีปากบาง แล้วปฏิเสธอย่างช่วยไม่ได้ “ถือว่าใช่มั้ง แต่ว่าไม่ใช่ลูกของลุงหรอก เป็นลูกของญาติน่ะ”ได้ยินดังนั้น ดวงตาของเสิ่นเหมิงเหมิงก็เบิกตากลมโตกว้าง “เขาคือเด็กที่คุณลุงเคยบอกว่าเรียนอยู่ที่นี่เหรอคะ?”“อื้ม พ่อแม่ของเขายุ่งน่ะ ก็เลยขอให้ลุงช่วยดูโรงเรียนให้”ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ฉินเย่ไม่ใช่เรื่องโกหกหลอกลวงทั้งเพแต่เพราะหมดหนทาง เขาถึงได้ทำแบบนี้แต่เมื่อเห็นดวงตาที่ไร้เดียงสาและสดใสของเสิ่นเหมิงเหมิงแล้ว ฉินเย่
“เพราะฉะนั้น พี่แค่กลัวว่าจะฟุ่มเฟือย ไม่ใช่เพราะชอบกินแป้งใช่ไหม?”สีหน้าของเสิ่นซือเหนียนดูเจ็บปวดเล็กน้อย ใครจะชอบกินแป้งกัน?“อุ๊บ”“ขอโทษค่ะพี่ ต่อไปเดี๋ยวเหมิงเหมิงกินแป้งเอง”อาจเป็นเพราะนึกถึงภาพที่ตัวเองต้องกินแป้งแฮมเบอร์เกอร์ บนใบหน้าน้อยๆ ของเสิ่นเหมิงเหมิงจึงย่นเข้าด้วยกัน อย่าว่าแต่แป้งแฮมเบอร์เกอร์เลย ความจริงแม้แต่ผักสดในแฮมเบอร์เกอร์ เธอก็อยากแยกมันออกด้วยซ้ำแต่ว่าพี่จะช่วยเธอกินทุกครั้ง เธอก็เลยคิดว่าพี่ชอบกิน ก็เลยกินมันเด็กทั้งสองคนกำลังพูดคุยเรื่องนี้กันอยู่ ฉินเย่ตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ จนสุดท้ายหลุดหัวเราะออกมา“ถ้าไม่อยากกินทั้งสองคน งั้นคุณลุงเย่มู่ช่วยกินดีไหม?”ถึงแม้เขาเองก็ไม่ชอบกินของพวกนั้นก็ตามแฮมเบอร์เกอร์?สำหรับฉินเย่แล้ว ของแบบนั้นก็เป็นแค่อาหารขยะเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเด็กส่วนใหญ่ และวัยรุ่นจะชอบกินกันแน่นอนว่า ถ้าหากหลี่มู่ถิงที่อยู่ข้างๆ สามารถอ่านใจเขาได้ล่ะก็ ต้องพูดกับเขาด้วยสีหน้าดูถูกว่า “ประธานฉิน แล้วคุณไม่ใช่วัยรุ่นเหรอครับ?” แน่นอนเด็กทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ต่างก็หันไปมองเขาพร้อมกันเสิ่นซือเหนียนยังคงมีท่าทีระมัดระวังอยู่เห
“ขอโทษนะครับ เมื่อวานผมติดธุระด่วน ก็เลยไม่ได้ไป”เขาไม่ไป ตนก็ไม่ได้ไปเช่นกันตนขอโทษแล้ว เขาเองก็ขอโทษแล้วเสิ่นหยินอู้เองก็โกรธไม่ลง เพราะเธอก็ไม่มีสิทธิ์อะไร ได้แต่ถามกลับไปว่า“แล้วคุณยังต้องการเงินสดอยู่ไหมคะ? หรือว่าให้ฉันโอนให้แทนไหมคะ?”ตอนแรกเธอคิดว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้เขากลับตอบตกลง ผ่านไปสักพักเขาก็แจ้งเลขบัญชีกับชื่อมา“เฉาหานอวี่?”เขาแซ่เฉาเหรอ?เสิ่นหยินอู้เองก็ไม่คิดอะไรมาก แล้วกดโอนเงินให้กับคนแซ่เฉาทันทีหลังจากที่ส่งข้อความบอกอีกฝ่ายว่าโอนเรียบร้อยแล้วถึงจะเข้าห้องประชุมไปหลังจากที่ฉินเย่ได้รับข้อความ ก็หันไปบอกหลี่มู่ถิง หลี่มู่ถิงรีบแจ้งเฉาหานอวี่ เฉาหานอวี่ทราบเรื่อง ก็รีบโอนเงินคืนหลี่มู่ถิงทันทีถึงแม้ตอนที่เขาเห็นเงินหลายหมื่นนั่นแล้วรู้สึกตาร้อนแต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันนี้ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงบางอย่าง เขาเป็นคนทำงานมาหลายปี ถึงจะไม่มีความสามารถถึงขนาดเป็นผู้จัดการได้ แต่เรื่องบางเรื่องเขาก็พอสัมผัสได้อยู่ผ่านไปนานขนาดนี้ ตระกูลฉินแห่งเมืองหนานเฉิงไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน การที่พวกเขาอยากจะสร้างเครือข่ายด้วยนั้นแทบจะเป
เมื่อเปรียบเทียบกับความดีใจของเสิ่นเหมิงเหมิง เสิ่นซือเหนียนก็ยังคงความนิ่งเฉยอยู่ขณะที่เฉาเหย้าจู่ที่อยู่ข้างๆ เห็นฉากนี้แล้ว ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ถึงแม้ครอบครัวของเขาจะไม่ใช่ครอบครัวยากจนอะไร รายได้ของพ่อแม่ก็ถือว่าดี แต่เงินส่วนใหญ่ก็ถูกใช้ไปกับการคืนเงินกู้บ้านราคาสูง ดังนั้นปกติแล้วของพวกนี้จึงเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับเขาเดือนหนึ่งอาจจะไม่มีโอกาสได้กินด้วยซ้ำ“อะนี่”เสิ่นเหมิงเหมิงหยิบแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นแรกออกมามอบให้กับเฉาเหย้าจู่เฉาเหย้าจู่ตั้งใจจะยื่นมือไปรับ แต่เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้จึงหยุดชะงัก แล้วหันไปมองฉินเย่ถึงแม้คุณลุงหลี่จะบอกใหเขาเรียกผู้ชายคนนี้ว่าลุง แต่ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่กล้าเรียกมันออกไปรู้สึกว่าเขาน่ากลัวมาก ถ้าตนทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา เขาจะต้องจัดการตนแน่นอนเสิ่นเหมิงเหมิงเห็นเขาหยุดชะงัก จึงหันไปมองฉินเย่ตามสายตาของเขารอยยิ้มบริเวณมุมปากของฉินเย่แข็งทื่อมองเขาทำไม?แม้แต่กินข้าวก็ต้องดูว่าเขาอนุญาตไหม? แล้วเด็กสองคนนี้จะมองตนยังไง? หลี่มู่ถิงทำให้เขาเปลี่ยนความคิดไปทางไหนกันเนี่ย“คุณลุงเย่มู่?”เสียงของเสิ่นเหมิงเหมิงดึงสติฉินเ
เฉาเหย้าจู่พยักหน้า“ถึงตอนนั้นให้ขึ้นรถของเขานะ”“ครับคุณลุง”หลังจากบอกลาเด็กๆ แล้ว ฉินเย่ก็ออกจากโรงเรียนหลังจากที่ออกจากรั้วโรงเรียนแล้ว สีหน้าของฉินเย่ก็เปลี่ยนไป เขาเอามือปิดปาก แล้วขมวดคิ้วแน่นหลี่มู่ถิงรีบยื่นแก้วเก็บความร้อนให้เขา“ประธานฉิน กระเพาะของคุณยังไม่หายดี คุณกินอาหารขยะแบบนั้นเข้าไปไม่ดีต่อกระเพาะของคุณนะ”ฉินเย่รับแก้วมา แล้วจิบสองสามทีด้วยสีหน้านิ่งขรึมหลี่มู่ถิงเห็นดังนั้น ก็หยิบยาออกมาฉินเย่เห็นยาพวกนั้นแล้ว ก็ไม่ได้รับมา“ประธานฉิน กินเถอะครับ ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมา แล้วมาเจอเด็กๆ ไม่ได้จะทำยังไง?”“…”เป็นไปตามคาด ฉินเย่เชื่อฟังคำพูดของเขา แล้วกินยาลงไปแต่โดยดีหลี่มู่ถิงแอบดีใจเยี่ยมไปเลย แต่ก่อนไม่ชอบกินยาดีนัก ชอบคิดว่าตัวเองทนไหว พอตอนนี้หาเหตุผลที่ต้องกินยาได้แล้ว ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นเยอะหลังจากกินยาไป ฉินเย่ก็นั่งพักอยู่บนรถ แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายกระเพาะอยู่เป็นอาหารขยะสมชื่อจริงๆ ฉินเย่คิดครั้งหน้าถ้าจะซื้อของกินให้เด็กๆ ต้องไม่ซื้อของพวกนี้อีก“ประธานฉิน อาการของคุณดูไม่ดีเท่าไหร่ หรือไม่…เราไปแอดมิดที่โรงพยาบาลสักสองวันดีไหมครับ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเฉาเหย้าจู่ แล้วถามเขาเบาๆ ว่า “หนูน้อย ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?”“ผม…ผมชื่อเฉาเหย้าจู่ครับ”เฉาเหย้าจู่?เป็นแซ่เดียวกันกับชื่อเจ้าของบัญชีที่เธอโอนไปให้ตอนกลางวันจริงแซ่เดียวกันแบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นญาติใกล้ชิดกันมากแน่นอน“คนที่เหมิงเหมิงพูดถึงเป็นอะไรกับเราเหรอ?”คำถามนี้เฉาเหย้าจู่รู้ เพราะหลี่มู่ถิงได้ล้างสมองเขาตั้งนานแล้ว“เป็นลุงของผมครับ?”ลุง?ไม่น่าล่ะถึงแซ่เฉาเหมือนกันหมดเมื่อคิดได้แบบนั้น เสิ่นหยินอู้จึงถามเบาๆ ว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวคุณลุงของเราจะมารับเราไหมจ๊ะ?”เฉาเหย้าจู่ส่ายหน้า“คุณลุงยุ่งครับ แต่ว่าเดี๋ยวคนขับรถมารับครับ”เขายังจำคำพูดที่ฉินเย่กำชับไว้เมื่อตอนกลางวันได้ ความจริงปกติแล้วเฉาเหย้าจู่เป็นเด็กขี้หลงขี้ลืม แต่อาจเป็นเพราะฉินเย่น่ากลัวเกินไป ดังนั้นเขาจึงจำทุกคำที่เขาพูดกับตนได้“จะมาเมื่อไหร่เหรอจ๊ะ?”“ไม่…ไม่รู้เหมือนกันครับ”ปกติเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ใช่คนใจร้อนอะไร แต่เธอเกิดความอยากรู้อยากเห็นต่อเย่มู่ ดังนั้นจึงพลั้งปากออกไปว่า “ให้น้าไปส่งไหม?”ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็มีรถหรูคันหนึ่งแล่นมาจากข้างหลัง จากนั้นคนขั
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง
อารมณ์ของเธอในเที่ยวบินขากลับแตกต่างไปจากในตอนขามาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีก็คือการที่ไม่ว่าจะเป็นขามาหรือขากลับ ลูกๆทั้งสองคนของเธอก็ล้วนอยู่ข้างกายเธอ หลังจากที่หลี่มู่ถิงได้รับข้อความจากฉินเย่ เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆสองคนให้คุณพ่อคุณแม่ฉินฟังก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ฉินรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ตกใจและเงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็พูดว่า "เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เที่ยวบินของพวกคุณคือเที่ยวไหน เดี๋ยวถึงแล้วเราจะไปรับ" หลังจากที่หลี่มู่ถิงบอกเสิ่นหยินอู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉินบอกมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว เมื่อนึกถึงห้าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอจากไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะทักทายพวกเขาได้อย่างไรเมื่อต้องพบกันอีกครั้ง หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาทำได้เพียงคาดเดาจากการดูสีหน้าของเธอเท่านั้น เมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงถามด้วยท่าทีระมัดระวัง: "คุณหนูเสิ่น ประธานฉินบอกผมว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลอะไร คุณบอกผมได้เสมอ และเรื่องนี้ก็สามารถล้มเลิก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที