เมื่อเปรียบเทียบกับความดีใจของเสิ่นเหมิงเหมิง เสิ่นซือเหนียนก็ยังคงความนิ่งเฉยอยู่ขณะที่เฉาเหย้าจู่ที่อยู่ข้างๆ เห็นฉากนี้แล้ว ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ถึงแม้ครอบครัวของเขาจะไม่ใช่ครอบครัวยากจนอะไร รายได้ของพ่อแม่ก็ถือว่าดี แต่เงินส่วนใหญ่ก็ถูกใช้ไปกับการคืนเงินกู้บ้านราคาสูง ดังนั้นปกติแล้วของพวกนี้จึงเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับเขาเดือนหนึ่งอาจจะไม่มีโอกาสได้กินด้วยซ้ำ“อะนี่”เสิ่นเหมิงเหมิงหยิบแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นแรกออกมามอบให้กับเฉาเหย้าจู่เฉาเหย้าจู่ตั้งใจจะยื่นมือไปรับ แต่เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้จึงหยุดชะงัก แล้วหันไปมองฉินเย่ถึงแม้คุณลุงหลี่จะบอกใหเขาเรียกผู้ชายคนนี้ว่าลุง แต่ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่กล้าเรียกมันออกไปรู้สึกว่าเขาน่ากลัวมาก ถ้าตนทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา เขาจะต้องจัดการตนแน่นอนเสิ่นเหมิงเหมิงเห็นเขาหยุดชะงัก จึงหันไปมองฉินเย่ตามสายตาของเขารอยยิ้มบริเวณมุมปากของฉินเย่แข็งทื่อมองเขาทำไม?แม้แต่กินข้าวก็ต้องดูว่าเขาอนุญาตไหม? แล้วเด็กสองคนนี้จะมองตนยังไง? หลี่มู่ถิงทำให้เขาเปลี่ยนความคิดไปทางไหนกันเนี่ย“คุณลุงเย่มู่?”เสียงของเสิ่นเหมิงเหมิงดึงสติฉินเ
เฉาเหย้าจู่พยักหน้า“ถึงตอนนั้นให้ขึ้นรถของเขานะ”“ครับคุณลุง”หลังจากบอกลาเด็กๆ แล้ว ฉินเย่ก็ออกจากโรงเรียนหลังจากที่ออกจากรั้วโรงเรียนแล้ว สีหน้าของฉินเย่ก็เปลี่ยนไป เขาเอามือปิดปาก แล้วขมวดคิ้วแน่นหลี่มู่ถิงรีบยื่นแก้วเก็บความร้อนให้เขา“ประธานฉิน กระเพาะของคุณยังไม่หายดี คุณกินอาหารขยะแบบนั้นเข้าไปไม่ดีต่อกระเพาะของคุณนะ”ฉินเย่รับแก้วมา แล้วจิบสองสามทีด้วยสีหน้านิ่งขรึมหลี่มู่ถิงเห็นดังนั้น ก็หยิบยาออกมาฉินเย่เห็นยาพวกนั้นแล้ว ก็ไม่ได้รับมา“ประธานฉิน กินเถอะครับ ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมา แล้วมาเจอเด็กๆ ไม่ได้จะทำยังไง?”“…”เป็นไปตามคาด ฉินเย่เชื่อฟังคำพูดของเขา แล้วกินยาลงไปแต่โดยดีหลี่มู่ถิงแอบดีใจเยี่ยมไปเลย แต่ก่อนไม่ชอบกินยาดีนัก ชอบคิดว่าตัวเองทนไหว พอตอนนี้หาเหตุผลที่ต้องกินยาได้แล้ว ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นเยอะหลังจากกินยาไป ฉินเย่ก็นั่งพักอยู่บนรถ แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายกระเพาะอยู่เป็นอาหารขยะสมชื่อจริงๆ ฉินเย่คิดครั้งหน้าถ้าจะซื้อของกินให้เด็กๆ ต้องไม่ซื้อของพวกนี้อีก“ประธานฉิน อาการของคุณดูไม่ดีเท่าไหร่ หรือไม่…เราไปแอดมิดที่โรงพยาบาลสักสองวันดีไหมครับ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเฉาเหย้าจู่ แล้วถามเขาเบาๆ ว่า “หนูน้อย ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?”“ผม…ผมชื่อเฉาเหย้าจู่ครับ”เฉาเหย้าจู่?เป็นแซ่เดียวกันกับชื่อเจ้าของบัญชีที่เธอโอนไปให้ตอนกลางวันจริงแซ่เดียวกันแบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นญาติใกล้ชิดกันมากแน่นอน“คนที่เหมิงเหมิงพูดถึงเป็นอะไรกับเราเหรอ?”คำถามนี้เฉาเหย้าจู่รู้ เพราะหลี่มู่ถิงได้ล้างสมองเขาตั้งนานแล้ว“เป็นลุงของผมครับ?”ลุง?ไม่น่าล่ะถึงแซ่เฉาเหมือนกันหมดเมื่อคิดได้แบบนั้น เสิ่นหยินอู้จึงถามเบาๆ ว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวคุณลุงของเราจะมารับเราไหมจ๊ะ?”เฉาเหย้าจู่ส่ายหน้า“คุณลุงยุ่งครับ แต่ว่าเดี๋ยวคนขับรถมารับครับ”เขายังจำคำพูดที่ฉินเย่กำชับไว้เมื่อตอนกลางวันได้ ความจริงปกติแล้วเฉาเหย้าจู่เป็นเด็กขี้หลงขี้ลืม แต่อาจเป็นเพราะฉินเย่น่ากลัวเกินไป ดังนั้นเขาจึงจำทุกคำที่เขาพูดกับตนได้“จะมาเมื่อไหร่เหรอจ๊ะ?”“ไม่…ไม่รู้เหมือนกันครับ”ปกติเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ใช่คนใจร้อนอะไร แต่เธอเกิดความอยากรู้อยากเห็นต่อเย่มู่ ดังนั้นจึงพลั้งปากออกไปว่า “ให้น้าไปส่งไหม?”ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็มีรถหรูคันหนึ่งแล่นมาจากข้างหลัง จากนั้นคนขั
“คุณเฉา ฉันได้ยินมาว่าลูกทั้งสองคนของฉันได้เจอคุณแล้ว?”หลังจากส่งไป อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบกลับเธอสิบนาทีต่อมา เสิ่นหยินอู้เปิดดูโทรศัพท์ของเธออีกครั้ง แต่เย่มู่เฉินจี้ก็ยังไม่ตอบกลับมาเธอไม่รีบร้อน เพราะลูกบอลถูกโยนไปแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องรับมันอยู่ดีเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เสริมอีกประโยคหนึ่งว่า“ลูกของคุณก็อยู่โรงเรียนนี้ด้วยเหรอ?”หลังจากส่งไปแล้ว พี่เลี้ยงเด็กก็เรียกเธอ เสิ่นหยินอู้ขานตอบ กำลังจะวางโทรศัพท์แล้วเดินไป แต่ใครจะรู้ว่าโทรศัพท์กลับสั่น เย่มู่เฉินจี้ตอบกลับมาแล้ว“ไม่ใช่ลูกผม”ความเร็วของการตอบกลับในครั้งนี้ ทำให้เสิ่นหยินอู้ประหลาดใจ แล้วเลิกคิ้วขึ้นตอบกลับทันทีเลย?กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาเห็นข้อความของตนตั้งนานแล้ว แต่แค่ไม่ตอบกลับเท่านั้น?ทำไมถึงไม่ตอบล่ะ?เขากำลังปิดบังอะไรอยู่?ดวงตาที่สวยงามของเสิ่นหยินอู้หรี่ลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเย่มู่เฉินจี้ขึ้นมาว่าเขาต้องการอะไรบนโลกนี้?ไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบกลับเธออีกครั้ง “เป็นลูกของญาติน่ะ ผมแค่แวะไปดูบางโอกาสเท่านั้น”เสิ่นหยินอู้เบะปาก "งั้นเหรอ? คุณเฉายุ่งมากเหรอคะ?"
เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขอโทษเร็วขนาดนี้ “เจ้าหน้าที่ในโรงเรียน” คำตอบนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้หยุดชะงัก ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนรู้จักในโรงเรียนประเภทนั้น และด้วยความรู้จักนี้ หากเห็นว่าเขารู้จักเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียน ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่จะพูดถึงพ่อแม่ของพวกเขา?แต่ไม่ใช่ว่า ทุกคนในโรงเรียนจะคิดว่าโม่ไป๋เป็นพ่อกับเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนหรอกเหรอ? เขารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ? ถ้าเขารู้เรื่องนี้ แล้วทำไมเขาถึงยังนัดเจอตนอีกล่ะ? ยิ่งเธอคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เสิ่นหยินอู้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มันไม่ง่ายอย่างที่อีกฝ่ายพูด แต่ตอนนี้ เธอไม่อยากเค้นถามต่อไป ปล่อยให้เขาลดความพะวงลงก่อนแล้วกัน เมื่อคิดเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ตอบเขาไปว่า “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ รีบเข้านอนเถอะ” แค่นี้?ฉินเย่ขมวดคิ้ว แล้วเม้มริมฝีปากบางแน่นเขาโตมากับเสิ่นหยินอู้ตั้งแต่เด็ก เขารู้นิสัยของเสิ่นหยินอู้เกินไปแล้ว หากเธอนึกสงสัยขึ้นมา เธอไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ แน่นอนถึงตอนนี้จะไม่ไล่สืบต่อแล้ว ก็อาจเป็นเพราะเธอนึกบางอย่างขึ้นได้ ดังนั้นเลยไม่ถามต่
“ใช่ค่ะ ลุงของเฉาเหย้าจู่ซื้อของกินมาหาเฉาเหย้าจู่เยอะแยะมากมาย เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนจึงไปด้วยกัน ทางโรงเรียนเห็นว่าลุงของเด็กอนุญาต ก็เลยไม่ได้ว่าอะไรค่ะ”หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจสถานการณ์บางอย่าง และไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมจึงทำได้เพียงล้มเลิกความพยายามทุกอย่างดูปกติดีมากแต่ไม่รู้เพราะอะไร ในใจเธอถึงได้รู้สึกแปลกๆ ลุงของเฉาเหย้าจู่คนนี้แปลกๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแปลกระหว่างทางไปบริษัท เสิ่นหยินอู้เล่าเรื่องนี้ให้โจวชวงชวงฟัง โจวชวงชวงได้ยินดังนั้นกลับมีความคิดตรงกันข้ามกับเธอ“เธอคิดมากเกินไปหรือเปล่า?”“เหรอ?”“แต่ถึงแม้เขาจะสืบหาเรื่องเธอ พอจะเป็นไปได้ไหมว่าเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันบังเอิญมากเกินไป ดังนั้นเขาก็เลยสนใจในตัวเธอ ก็เลยสืบหาข้อมูลของเธอ?”เสิ่นหยินอู้ “…”หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็อดแซวเพื่อนสนิทตัวเองไม่ได้ว่า“ทำไมฉันรู้สึกว่าในสมองของเธอมีแต่เรื่องดราม่าไอดอลกันนะ?”“แหง่สิ คนอื่นเขามีทั้งเงินทั้งอำนาจ จะทำอะไรเธอได้? ชายหญิงน่ะ นอกจากจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว ยังมีเหตุผลอื่นต้องเข้าใกล้เธอด้วยเหรอ?”เสิ่นหยินอู้
อาจเป็นเพราะรู้ตัวว่าตนทำผิด เสิ่นเหมิงเหมิงพลันก้มหน้าลงตอนที่ถูกเธอซักถามทันที นิ้วมือขาวๆ กระทบกันตรงหน้า“ขอโทษค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงเห็นแก่กินเอง”เสิ่นซือเหนียนกินของคนอื่นแล้วใจอ่อน คราวนี้ก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกันเมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นว่าแม้แต่เสิ่นซือเหนียนก็เป็นแบบนั้น จึงโมโหจนหลุดหัวเราะออกมา“เหนียนเหนียน เราก็เห็นแก่กินแล้วเหรอ?”เมื่อได้ยินคำเปรียบเปรยนี้แล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นซือเหนียนก็แดงเถือก “ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นครับหม่ามี๊…”“เฮ้อ”เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ แล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกหนูสองคนเป็นอะไรไปเนี่ย? ก่อนหน้านี้หม่ามี๊บอกพวกหนูตลอดไม่ใช่เหรอว่าห้ามกินของจากคนแปลกหน้าน่ะ?”“แต่…แต่ว่าเมื่อวานหม่ามี๊บอกว่าพวกหนูเป็นเพื่อนกับเหย้าเหย้าแล้ว หม่ามี๊เองก็ให้ลูกอมกับเหย้าเหย้าด้วย”เสิ่นหยินอู้ “…”เธอถูกลูกสาวตัวเองเถียงจนพูดอะไรไม่ออกนั่นน่ะสิ ถ้าจะบอกว่าลุงของเฉาเหย้าจู่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นสำหรับเฉาเหย้าจู่แล้ว เธอเองก็เป็นคนแปลกหน้าไม่ใช่เหรอ?เมื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ได้แต่พูดว่า “หม่ามี๊สื่อสารผิดเอง
เสิ่นหยินอู้ “…”เด็กคนนี้ตีความหมายของตนเก่งจริงๆ“หม่ามี๊ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น หม่ามี๊หมายถึงหนูรู้ได้ยังไงว่าคุณลุงเย่มู่เขาไม่มีภรรยาไม่มีลูก? เข้าใจหรือยัง?”“อ้อ”เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ความจริงก็พูดอย่างรวดเร็วว่า “ถ้างั้นหม่ามี๊ ไว้พรุ่งนี้เหมิงเหมิงจะถามคุณลุงเย่มู่ดู ถ้าคุณลุงเย่มู่ยังไม่มีภรรยา ถ้างั้นก็สามารถเป็นแด๊ดดี๊ของเหมิงเหมิงได้แล้วใช่ไหม?”เสิ่นหยินอู้ “…”เด็กคนนี้เป็นอะไรไปกัน?แต่ก่อนโม่ไป๋ดีกับเธอขนาดนั้น แต่น้อยมากที่จะเห็นเธอขอร้องให้เขามาเป็นแด๊ดดี๊ของตัวเองเหมือนตอนนี้เย่มู่เฉินจี้คนนี้เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน เธอกลับมีความคิดแบบนี้ หรือว่ากินแป้งแฮมเบอร์เกอร์ได้ยอดเยี่ยม?เสิ่นหยินอู้ตกใจมาก“เหมิงเหมิง บอกหม่ามี๊มาตามตรง คุณลุงเย่มู่พูดอะไรกับหนูหรือเปล่า?”ไม่อย่างนั้น ทำไมเธอถึงมีความคิดแบบนี้ได้?“พูดอะไรเหรอหม่ามี๊?”“อืม…อย่างเช่น เขาบอกว่าเขาอยากเป็นแด๊ดดี๊ของหนู อะไรทำนองนั้นน่ะ?”เสิ่นเหมิงเหมิงส่ายหน้า“ไม่มีค่ะ เหมิงเหมิงอยากให้คุณลุงเย่มู่มาเป็นแด็ดดี๊ของเหมิงเหมิงเอง”“ทำไมล่ะ?”“เพราะคุณลุงเย่มู่ดีกับเหมิง
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง
อารมณ์ของเธอในเที่ยวบินขากลับแตกต่างไปจากในตอนขามาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีก็คือการที่ไม่ว่าจะเป็นขามาหรือขากลับ ลูกๆทั้งสองคนของเธอก็ล้วนอยู่ข้างกายเธอ หลังจากที่หลี่มู่ถิงได้รับข้อความจากฉินเย่ เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆสองคนให้คุณพ่อคุณแม่ฉินฟังก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ฉินรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ตกใจและเงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็พูดว่า "เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เที่ยวบินของพวกคุณคือเที่ยวไหน เดี๋ยวถึงแล้วเราจะไปรับ" หลังจากที่หลี่มู่ถิงบอกเสิ่นหยินอู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉินบอกมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว เมื่อนึกถึงห้าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอจากไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะทักทายพวกเขาได้อย่างไรเมื่อต้องพบกันอีกครั้ง หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาทำได้เพียงคาดเดาจากการดูสีหน้าของเธอเท่านั้น เมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงถามด้วยท่าทีระมัดระวัง: "คุณหนูเสิ่น ประธานฉินบอกผมว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลอะไร คุณบอกผมได้เสมอ และเรื่องนี้ก็สามารถล้มเลิก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที