เมื่อเปรียบเทียบกับความดีใจของเสิ่นเหมิงเหมิง เสิ่นซือเหนียนก็ยังคงความนิ่งเฉยอยู่ขณะที่เฉาเหย้าจู่ที่อยู่ข้างๆ เห็นฉากนี้แล้ว ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ถึงแม้ครอบครัวของเขาจะไม่ใช่ครอบครัวยากจนอะไร รายได้ของพ่อแม่ก็ถือว่าดี แต่เงินส่วนใหญ่ก็ถูกใช้ไปกับการคืนเงินกู้บ้านราคาสูง ดังนั้นปกติแล้วของพวกนี้จึงเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับเขาเดือนหนึ่งอาจจะไม่มีโอกาสได้กินด้วยซ้ำ“อะนี่”เสิ่นเหมิงเหมิงหยิบแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นแรกออกมามอบให้กับเฉาเหย้าจู่เฉาเหย้าจู่ตั้งใจจะยื่นมือไปรับ แต่เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้จึงหยุดชะงัก แล้วหันไปมองฉินเย่ถึงแม้คุณลุงหลี่จะบอกใหเขาเรียกผู้ชายคนนี้ว่าลุง แต่ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่กล้าเรียกมันออกไปรู้สึกว่าเขาน่ากลัวมาก ถ้าตนทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา เขาจะต้องจัดการตนแน่นอนเสิ่นเหมิงเหมิงเห็นเขาหยุดชะงัก จึงหันไปมองฉินเย่ตามสายตาของเขารอยยิ้มบริเวณมุมปากของฉินเย่แข็งทื่อมองเขาทำไม?แม้แต่กินข้าวก็ต้องดูว่าเขาอนุญาตไหม? แล้วเด็กสองคนนี้จะมองตนยังไง? หลี่มู่ถิงทำให้เขาเปลี่ยนความคิดไปทางไหนกันเนี่ย“คุณลุงเย่มู่?”เสียงของเสิ่นเหมิงเหมิงดึงสติฉินเ
เฉาเหย้าจู่พยักหน้า“ถึงตอนนั้นให้ขึ้นรถของเขานะ”“ครับคุณลุง”หลังจากบอกลาเด็กๆ แล้ว ฉินเย่ก็ออกจากโรงเรียนหลังจากที่ออกจากรั้วโรงเรียนแล้ว สีหน้าของฉินเย่ก็เปลี่ยนไป เขาเอามือปิดปาก แล้วขมวดคิ้วแน่นหลี่มู่ถิงรีบยื่นแก้วเก็บความร้อนให้เขา“ประธานฉิน กระเพาะของคุณยังไม่หายดี คุณกินอาหารขยะแบบนั้นเข้าไปไม่ดีต่อกระเพาะของคุณนะ”ฉินเย่รับแก้วมา แล้วจิบสองสามทีด้วยสีหน้านิ่งขรึมหลี่มู่ถิงเห็นดังนั้น ก็หยิบยาออกมาฉินเย่เห็นยาพวกนั้นแล้ว ก็ไม่ได้รับมา“ประธานฉิน กินเถอะครับ ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมา แล้วมาเจอเด็กๆ ไม่ได้จะทำยังไง?”“…”เป็นไปตามคาด ฉินเย่เชื่อฟังคำพูดของเขา แล้วกินยาลงไปแต่โดยดีหลี่มู่ถิงแอบดีใจเยี่ยมไปเลย แต่ก่อนไม่ชอบกินยาดีนัก ชอบคิดว่าตัวเองทนไหว พอตอนนี้หาเหตุผลที่ต้องกินยาได้แล้ว ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นเยอะหลังจากกินยาไป ฉินเย่ก็นั่งพักอยู่บนรถ แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายกระเพาะอยู่เป็นอาหารขยะสมชื่อจริงๆ ฉินเย่คิดครั้งหน้าถ้าจะซื้อของกินให้เด็กๆ ต้องไม่ซื้อของพวกนี้อีก“ประธานฉิน อาการของคุณดูไม่ดีเท่าไหร่ หรือไม่…เราไปแอดมิดที่โรงพยาบาลสักสองวันดีไหมครับ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเฉาเหย้าจู่ แล้วถามเขาเบาๆ ว่า “หนูน้อย ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?”“ผม…ผมชื่อเฉาเหย้าจู่ครับ”เฉาเหย้าจู่?เป็นแซ่เดียวกันกับชื่อเจ้าของบัญชีที่เธอโอนไปให้ตอนกลางวันจริงแซ่เดียวกันแบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นญาติใกล้ชิดกันมากแน่นอน“คนที่เหมิงเหมิงพูดถึงเป็นอะไรกับเราเหรอ?”คำถามนี้เฉาเหย้าจู่รู้ เพราะหลี่มู่ถิงได้ล้างสมองเขาตั้งนานแล้ว“เป็นลุงของผมครับ?”ลุง?ไม่น่าล่ะถึงแซ่เฉาเหมือนกันหมดเมื่อคิดได้แบบนั้น เสิ่นหยินอู้จึงถามเบาๆ ว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวคุณลุงของเราจะมารับเราไหมจ๊ะ?”เฉาเหย้าจู่ส่ายหน้า“คุณลุงยุ่งครับ แต่ว่าเดี๋ยวคนขับรถมารับครับ”เขายังจำคำพูดที่ฉินเย่กำชับไว้เมื่อตอนกลางวันได้ ความจริงปกติแล้วเฉาเหย้าจู่เป็นเด็กขี้หลงขี้ลืม แต่อาจเป็นเพราะฉินเย่น่ากลัวเกินไป ดังนั้นเขาจึงจำทุกคำที่เขาพูดกับตนได้“จะมาเมื่อไหร่เหรอจ๊ะ?”“ไม่…ไม่รู้เหมือนกันครับ”ปกติเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ใช่คนใจร้อนอะไร แต่เธอเกิดความอยากรู้อยากเห็นต่อเย่มู่ ดังนั้นจึงพลั้งปากออกไปว่า “ให้น้าไปส่งไหม?”ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็มีรถหรูคันหนึ่งแล่นมาจากข้างหลัง จากนั้นคนขั
“คุณเฉา ฉันได้ยินมาว่าลูกทั้งสองคนของฉันได้เจอคุณแล้ว?”หลังจากส่งไป อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบกลับเธอสิบนาทีต่อมา เสิ่นหยินอู้เปิดดูโทรศัพท์ของเธออีกครั้ง แต่เย่มู่เฉินจี้ก็ยังไม่ตอบกลับมาเธอไม่รีบร้อน เพราะลูกบอลถูกโยนไปแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องรับมันอยู่ดีเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เสริมอีกประโยคหนึ่งว่า“ลูกของคุณก็อยู่โรงเรียนนี้ด้วยเหรอ?”หลังจากส่งไปแล้ว พี่เลี้ยงเด็กก็เรียกเธอ เสิ่นหยินอู้ขานตอบ กำลังจะวางโทรศัพท์แล้วเดินไป แต่ใครจะรู้ว่าโทรศัพท์กลับสั่น เย่มู่เฉินจี้ตอบกลับมาแล้ว“ไม่ใช่ลูกผม”ความเร็วของการตอบกลับในครั้งนี้ ทำให้เสิ่นหยินอู้ประหลาดใจ แล้วเลิกคิ้วขึ้นตอบกลับทันทีเลย?กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาเห็นข้อความของตนตั้งนานแล้ว แต่แค่ไม่ตอบกลับเท่านั้น?ทำไมถึงไม่ตอบล่ะ?เขากำลังปิดบังอะไรอยู่?ดวงตาที่สวยงามของเสิ่นหยินอู้หรี่ลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเย่มู่เฉินจี้ขึ้นมาว่าเขาต้องการอะไรบนโลกนี้?ไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบกลับเธออีกครั้ง “เป็นลูกของญาติน่ะ ผมแค่แวะไปดูบางโอกาสเท่านั้น”เสิ่นหยินอู้เบะปาก "งั้นเหรอ? คุณเฉายุ่งมากเหรอคะ?"
เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขอโทษเร็วขนาดนี้ “เจ้าหน้าที่ในโรงเรียน” คำตอบนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้หยุดชะงัก ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนรู้จักในโรงเรียนประเภทนั้น และด้วยความรู้จักนี้ หากเห็นว่าเขารู้จักเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียน ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่จะพูดถึงพ่อแม่ของพวกเขา?แต่ไม่ใช่ว่า ทุกคนในโรงเรียนจะคิดว่าโม่ไป๋เป็นพ่อกับเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนหรอกเหรอ? เขารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ? ถ้าเขารู้เรื่องนี้ แล้วทำไมเขาถึงยังนัดเจอตนอีกล่ะ? ยิ่งเธอคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เสิ่นหยินอู้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มันไม่ง่ายอย่างที่อีกฝ่ายพูด แต่ตอนนี้ เธอไม่อยากเค้นถามต่อไป ปล่อยให้เขาลดความพะวงลงก่อนแล้วกัน เมื่อคิดเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ตอบเขาไปว่า “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ รีบเข้านอนเถอะ” แค่นี้?ฉินเย่ขมวดคิ้ว แล้วเม้มริมฝีปากบางแน่นเขาโตมากับเสิ่นหยินอู้ตั้งแต่เด็ก เขารู้นิสัยของเสิ่นหยินอู้เกินไปแล้ว หากเธอนึกสงสัยขึ้นมา เธอไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ แน่นอนถึงตอนนี้จะไม่ไล่สืบต่อแล้ว ก็อาจเป็นเพราะเธอนึกบางอย่างขึ้นได้ ดังนั้นเลยไม่ถามต่
“ใช่ค่ะ ลุงของเฉาเหย้าจู่ซื้อของกินมาหาเฉาเหย้าจู่เยอะแยะมากมาย เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนจึงไปด้วยกัน ทางโรงเรียนเห็นว่าลุงของเด็กอนุญาต ก็เลยไม่ได้ว่าอะไรค่ะ”หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจสถานการณ์บางอย่าง และไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมจึงทำได้เพียงล้มเลิกความพยายามทุกอย่างดูปกติดีมากแต่ไม่รู้เพราะอะไร ในใจเธอถึงได้รู้สึกแปลกๆ ลุงของเฉาเหย้าจู่คนนี้แปลกๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแปลกระหว่างทางไปบริษัท เสิ่นหยินอู้เล่าเรื่องนี้ให้โจวชวงชวงฟัง โจวชวงชวงได้ยินดังนั้นกลับมีความคิดตรงกันข้ามกับเธอ“เธอคิดมากเกินไปหรือเปล่า?”“เหรอ?”“แต่ถึงแม้เขาจะสืบหาเรื่องเธอ พอจะเป็นไปได้ไหมว่าเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันบังเอิญมากเกินไป ดังนั้นเขาก็เลยสนใจในตัวเธอ ก็เลยสืบหาข้อมูลของเธอ?”เสิ่นหยินอู้ “…”หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็อดแซวเพื่อนสนิทตัวเองไม่ได้ว่า“ทำไมฉันรู้สึกว่าในสมองของเธอมีแต่เรื่องดราม่าไอดอลกันนะ?”“แหง่สิ คนอื่นเขามีทั้งเงินทั้งอำนาจ จะทำอะไรเธอได้? ชายหญิงน่ะ นอกจากจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว ยังมีเหตุผลอื่นต้องเข้าใกล้เธอด้วยเหรอ?”เสิ่นหยินอู้
อาจเป็นเพราะรู้ตัวว่าตนทำผิด เสิ่นเหมิงเหมิงพลันก้มหน้าลงตอนที่ถูกเธอซักถามทันที นิ้วมือขาวๆ กระทบกันตรงหน้า“ขอโทษค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงเห็นแก่กินเอง”เสิ่นซือเหนียนกินของคนอื่นแล้วใจอ่อน คราวนี้ก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกันเมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นว่าแม้แต่เสิ่นซือเหนียนก็เป็นแบบนั้น จึงโมโหจนหลุดหัวเราะออกมา“เหนียนเหนียน เราก็เห็นแก่กินแล้วเหรอ?”เมื่อได้ยินคำเปรียบเปรยนี้แล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นซือเหนียนก็แดงเถือก “ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นครับหม่ามี๊…”“เฮ้อ”เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ แล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกหนูสองคนเป็นอะไรไปเนี่ย? ก่อนหน้านี้หม่ามี๊บอกพวกหนูตลอดไม่ใช่เหรอว่าห้ามกินของจากคนแปลกหน้าน่ะ?”“แต่…แต่ว่าเมื่อวานหม่ามี๊บอกว่าพวกหนูเป็นเพื่อนกับเหย้าเหย้าแล้ว หม่ามี๊เองก็ให้ลูกอมกับเหย้าเหย้าด้วย”เสิ่นหยินอู้ “…”เธอถูกลูกสาวตัวเองเถียงจนพูดอะไรไม่ออกนั่นน่ะสิ ถ้าจะบอกว่าลุงของเฉาเหย้าจู่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นสำหรับเฉาเหย้าจู่แล้ว เธอเองก็เป็นคนแปลกหน้าไม่ใช่เหรอ?เมื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ได้แต่พูดว่า “หม่ามี๊สื่อสารผิดเอง
เสิ่นหยินอู้ “…”เด็กคนนี้ตีความหมายของตนเก่งจริงๆ“หม่ามี๊ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น หม่ามี๊หมายถึงหนูรู้ได้ยังไงว่าคุณลุงเย่มู่เขาไม่มีภรรยาไม่มีลูก? เข้าใจหรือยัง?”“อ้อ”เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ความจริงก็พูดอย่างรวดเร็วว่า “ถ้างั้นหม่ามี๊ ไว้พรุ่งนี้เหมิงเหมิงจะถามคุณลุงเย่มู่ดู ถ้าคุณลุงเย่มู่ยังไม่มีภรรยา ถ้างั้นก็สามารถเป็นแด๊ดดี๊ของเหมิงเหมิงได้แล้วใช่ไหม?”เสิ่นหยินอู้ “…”เด็กคนนี้เป็นอะไรไปกัน?แต่ก่อนโม่ไป๋ดีกับเธอขนาดนั้น แต่น้อยมากที่จะเห็นเธอขอร้องให้เขามาเป็นแด๊ดดี๊ของตัวเองเหมือนตอนนี้เย่มู่เฉินจี้คนนี้เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน เธอกลับมีความคิดแบบนี้ หรือว่ากินแป้งแฮมเบอร์เกอร์ได้ยอดเยี่ยม?เสิ่นหยินอู้ตกใจมาก“เหมิงเหมิง บอกหม่ามี๊มาตามตรง คุณลุงเย่มู่พูดอะไรกับหนูหรือเปล่า?”ไม่อย่างนั้น ทำไมเธอถึงมีความคิดแบบนี้ได้?“พูดอะไรเหรอหม่ามี๊?”“อืม…อย่างเช่น เขาบอกว่าเขาอยากเป็นแด๊ดดี๊ของหนู อะไรทำนองนั้นน่ะ?”เสิ่นเหมิงเหมิงส่ายหน้า“ไม่มีค่ะ เหมิงเหมิงอยากให้คุณลุงเย่มู่มาเป็นแด็ดดี๊ของเหมิงเหมิงเอง”“ทำไมล่ะ?”“เพราะคุณลุงเย่มู่ดีกับเหมิง
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ