หลังจากที่เขาปล่อยมือ เอวของเสิ่นหยินอู้ก็เป็นอิสระ แล้วเธอก็ถอยหลังไปสองก้าวเพื่อรักษาระยะห่างจากฉินเย่ สายตาของฉินเย่จับจ้องไปที่เธอ “คุณหนูเสิ่น นั่งกับเราไหมครับ? เราควรดีกันไว้นะครับ ว่าไง?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่หลี่มู่ถิงที่มีท่าทางสุภาพ เธอไม่สามารถพูดอะไรที่รุนแรงกับเขาได้เลยจริงๆ ดังนั้นเธอจึงหันมาอธิบายว่า: "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมีนัด" ฉินเย่: "กับใคร?" เสิ่นหยินอู้: "เกี่ยวอะไรกับคุณ?" "ผู้ชายเหรอ?" “มันเกี่ยวกับคุณหรอ?” แม้ว่าเขาจะรู้ว่าคนที่เธอนัดคือใคร แต่ตอนนี้ฉินเย่ไม่สามารถควบคุมตัวเองจากความอิจฉาอย่างบ้าคลั่งได้ หลี่มู่ถิงที่อยู่ข้างๆรู้สึกละอายใจเมื่อได้ยินบทสนทนา ประธานฉินกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย? เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งบอกให้ทำตัวดีๆ ต้องสงบสติอารมณ์ไว้แท้ๆ แต่ทำไมถึง... แต่เมื่อนึกถึงท่าทางต่อต้านของเสิ่นหยินอู้ และต้องการที่จะไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ถ้าเขาเป็นประธานฉิน คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้อารมณ์สงบไว้ได้ ฉินเย่หัวเราะเยาะอย่างเย็นชา "มีนัดกับโม่ไป๋หรอ?" เขาอยากจะรู้มากว่าถ้าเขาไม่ได้ใช้ตัวตนของลุงเย่มู่มาบังคับให้เธอออกมา เธอจะออกไปกับโ
เมื่อเอ่ยชื่อเจียงฉู่ฉู่ออกมา บรรยากาศในรถก็เงียบลงอย่างน่าขนลุก ดูเหมือนว่ามีคูน้ำที่ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ระหว่างทั้งสอง หลังจากที่ฉินเย่ได้ยินชื่อของเจียงฉูฉู่ ดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย "เธอกับผม..." เสิ่นหยินอู้หันหน้าและพูดอย่างเย็นชา: "ฉันไม่สนใจว่าคุณกับเธอจะทำไม ฉันแค่หวังว่าคุณจะไม่มายุ่งกับฉันอีก" หลังจากได้ยิน สีหน้าของฉินเย่ก็เย็นชาขึ้นมา “ไหนตอนนั้นใครบอกว่าเราเจอกันด้วยดีก็ขอให้จากกันด้วยดี? เสิ่นหยินอู้ นี่คือสภาพที่คุณบอกว่าเจอกันด้วยดีก็ขอให้จากกันด้วยดีเหรอ? หรือคุณปิดบังอะไรบางอย่างจากผมอยู่ คุณถึงไม่อยากจากกันด้วยดี?" หลังจากพูดจบ สายตาของฉินเย่ก็จับจ้องที่เสิ่นหยินอู้ไว้แน่น แน่นอน แม้ว่าใบหน้าของเสิ่นหยินอู้จะยังดูสงบอยู่ แต่ความตื่นตระหนกก็แวบผ่านดวงตาของเธอออกมาอย่างรวดเร็วจนเขาอาจมองไม่ทันหากเขาไม่ได้จ้องมองเธอไว้ตลอด หลังจากสงบสติอารมณ์แล้วเสิ่นหยินอู้ก็หันกลับไปหาเขา “ฉันเคยพูดเหรอ? ทำไมฉันจำไม่ได้ล่ะ?” เธอใจเย็นมาก และมองเขาอย่างสงบ: "คุณมีหลักฐานที่จะพิสูจน์ในสิ่งที่ฉันเคยพูดรึไง?" “……” ฉินเย่สบตาที่สวยงามอันเย็นชาของเธ
แม้ว่าเธอจะมาถึงก่อนเวลาตามที่ตกลงกันไว้แต่เดิม แต่หากอีกฝ่ายมาแล้วไม่พบเธอ เขาคงจะโทรหาเธอ ถึงตอนนั้นบนรถคง... จากท่าทีที่ตามตื๊อของฉินเย่ หากเขาจะตามเธอแบบนี้ วันนี้เธอคงไม่มีทางเอาเงินไปให้อีกฝ่ายได้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ลูกแฝดของเธอก็สำคัญมากกว่า ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงปิดเสียงโทรศัพท์มือถือของเธออย่างเงียบๆ -ณ ร้าน 4S ที่จริงแล้ว เสิ่นหยินอู้ได้เลือกรถสกู๊ตเตอร์อันที่ถูกใจได้แล้ว ราคาของรถที่เธอถูกใจไม่สูงนัก เป็นเพียงรถสกู๊ตเตอร์ธรรมดาๆเท่านั้น แม้ว่าสมรรถนะจะไม่ดีนัก แต่ก็เป็นราคาที่ดีที่สุดในบรรดาราคาที่เธอดูอยู่อย่างแน่นอน ผลก็คือ ฉินเย่ปฏิเสธเธอทันทีเมื่อเขาเห็นมัน "รถคันที่คุณกำลังดูไม่ดี สมรรถนะต่ำเกินไป" จากนั้นเขาก็บอกชื่อแบรนด์รถให้พนักงานร้านทราบ เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อแบรนด์นั้น "ฉันจ่ายไม่ไหว" "ผมซื้อให้" คำพูดที่ออกมาอย่างรวดเร็วของฉินเย่ทำให้เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้น "ฉันไม่ต้องการ" "ทำไมคุณถึงไม่ต้องการล่ะ? พาร์ทเนอร์ของบริษัทมีรถสกู๊ตเตอร์ดีๆสักคัน มันก็การันตีงานได้ดีกว่าไม่ใช่
หลังจากมองเขาเป็นเวลานาน ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็เข้าไปในที่นั่งคนขับ ปิดประตูและรัดเข็มขัดนิรภัย การกระทำทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วอึดใจเดียว จากนั้นเธอก็เสียบกุญแจรถเข้าไปในช่องเสียบแล้วมองฉินเย่อย่างเย็นชา “คุณแน่ใจนะว่าจะนั่งรถที่ฉันขับ” ฉินเย่ยกริมฝีปากขึ้น "ทำไมล่ะ ถึงตายได้เหรอ?" เสิ่นหยินอู้ไม่ตอบเขา เธอสตาร์ทเครื่องยนต์ เหยียบเบรกและหมุนพวงมาลัย ลดกระจกรถลง พนักงานขายรถยืนอยู่ข้างนอก มองพวกเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล "คุณหนูครับ คุณผู้ชายครับ" เสิ่นหยินอู้ยกริมฝีปากของเธอขึ้น แล้วยิ้มเบาๆให้เขา: "วางใจได้ค่ะ ฉันมีประสบการณ์การขับรถ" เมื่อเห็นว่าเขาไม่เชื่อ เสิ่นหยินอู้ถึงกับส่งใบขับขี่ให้เขาดู หลังจากเห็นแล้ว คนขายรถก็โล่งใจ "งั้นก็โอเคครับ" “ฉันขอลองดูก่อนนะคะ แล้วจะกลับมาเร็วๆนี้” ฉินเย่มองเสิ่นหยินอู้หมุนพวงมาลัยด้วยสีหน้าเรียบเฉย อันที่จริง เสิ่นหยินอู้หัดขับรถเมื่อห้าปีที่แล้ว และมักจะขับรถไปกลับที่ทำงาน แต่สกิลการขับรถของเธอไม่ค่อยดีนัก เธอไม่มีปัญหาในการขับในทางโล่งๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีรถบนท้องถนนหนาแน่น เธอมักจะเสียขวัญและขับไม่ค่อยดีนัก ไม่
หลังจากส่งข้อความแล้ว เสิ่นหยินอู้รออยู่ในห้องน้ำสองสามนาที แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบกลับเธอ เธอรอสักพัก แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบ เธอจึงต้องยอมแพ้ เมื่อเธอออกไปอีกครั้ง เธอพบว่าฉินเย่ได้รออยู่ข้างนอกแล้ว แต่เขาดูผิดปกติไปจากก่อนหน้าเล็กน้อย ออร่ารอบตัวเขาดูเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที และเขาก็ยืนอยู่ที่นั่นเหมือนเครื่องจักรที่ผลิตอากาศเย็นๆออกมา แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะโดดเด่นและน่าดึงดูดมาก แต่ออร่าที่เย็นจนเกือบจะแช่แข็งคนรอบตัวเขาทำให้ผู้คนต้องถอยห่างออกไป จนกระทั่งเขาเห็นเสิ่นหยินอู้เดินมา ความเยือกเย็นรอบตัวเขาก็หายไปเล็กน้อย สาวตาที่เย็นชาของเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของเธอ ริมฝีปากบางของเขาเม้มมาโดยตลอด และเขาไม่คิดที่จะพูดคุยกับเธอ หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ทำอะไรเสร็จสิ้นแล้ว เธอก็หยิบกระเป๋าแล้วเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะทักทายเขา เมื่อเดินไปถึงที่ประตู ฉินเย่ก็เดินตามเธอไป “ไปกันเถอะ ผมจะไปส่งคุณ” “ไม่จำเป็น ฉันกลับเองได้” เสิ่นหยินอู้ยังคงปฏิเสธเขา ฉินเย่ขมวดคิ้ว "คุณจะให้ผมไปนั่งคุกเข่าให้คุณที่บริษัทไหม?" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักฝีเท้า จากนั้นมองเขา
การปฏิเสธก็ชัดเจนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากเงียบไปนาน เสียงของโม่ไป๋ก็ยังคงอ่อนโยน “หยินอู้ เกิดอะไรขึ้น? ถ้าเธอไม่ต้องการให้ผมไปด้วย งั้นผมให้ผู้ช่วยเฉินไปกับเธอแทนไหม? เขารู้เรื่องรถดี คุณจะได้ไม่โดนคนขายรถหลอกตอนเลือกรถ.. ” น่าเสียดายที่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ขัดจังหวะเขาอย่างเหลืออด “ฉันดูโง่เหรอ? ดูโง่จนคนขายรถจะเข้ามาหลอกฉันได้ง่ายๆงั้นเหรอ?” “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” “ถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณหมายถึง แล้วทำไมคุณถึงต้อบให้ผู้ช่วยเฉินไปด้วยล่ะ? ฉันบอกว่าฉันไม่ต้องการ คุณไม่เข้าใจหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้พูดคำพูดที่รุนแรง เธอก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วคนที่อยู่ปลายสายก็เป็นคนที่ดีกับเธอมากๆในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แต่ถ้าเธอยังใจอ่อนต่อไปก็จะมีแต่ผลร้ายเท่านั้น แทนที่จะทำแบบนี้ต่อไป ก็ควรที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจะดีกว่า เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ยินการตอบกลับจากปลายสาย เธอคิดว่าเขาโกรธที่เธอพูดและไม่อยากคุยกับเธอต่อ แต่มันก็แปลกที่เขาโกรธแต่ไม่ยอมวางสายไป ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงวางสายไปเอง หลังจากวางสายแล้ว เธอก็ยืนอยู่ที่เดิมและถอนหายใจยาวๆ
เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา เคร่งขรึม มีออร่าเปล่งปลั่ง เปลือกตาบาง และพูดน้อยนี่เป็นความประทับใจแรกของเธอ จากอธิบายของโจวชวงชวง เธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนบ้างานคนหนึ่ง คำพูดที่ตรงไปตรงมาเหล่านี้ออกมาจากปากของเขาและดูเป็นเรื่องปกติ “เธอก็เลยจดจำแล้วนำมาใช้สินะ?” โจวชวงชวงยิ้ม: "แน่นอน" “ทำไมล่ะ ตอนนี้เธอไม่คิดว่าเจ้านายคนนั้นของเธอมีปัญหาแล้วเหรอ?” “แน่นอนว่ามี แต่ฉันไม่ปฏิเสธว่าฉันใช้คำพูดของเขามาปลอบใจเธอ เธอไม่คิดว่ามันสมเหตุสมผลเหรอ?” "อืม มันก็สมเหตุสมผลแหละ" เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบาๆ แม้ว่าปกติโจวชวงซวงมักจะพูดถึงเรื่องไร้สาระของเจ้านายของเธอมากมาย แต่การได้เห็นเธอใช้คำพูดของอีกฝ่ายมาปลอบใจเธอในครั้งนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้เห็นบางอย่างได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยในที่ทำงาน โจวชวงชวงก็ไว้ใจเจ้านายของเธอเป็นอย่างมาก ถึงกับเอาคำพูดของเขามาใช้ สิ่งที่สำคัญคือ เสิ่นหยินอู้ได้ฟังก็เห็นด้วยเช่นกัน ก็จริงนะ ทัศนคติที่ไม่เยิ่นเย้อในการจัดการกับสิ่งต่างๆของเขาคือสิ่งที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้เวลาเลิกเรียนแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เก็บโทรศัพท์และหยุดคุยกับโจวชวงชวง
แม้ว่าไม่อยากจะยอมรับ แต่มันก็บังเอิญเกินไปหน่อนยไหม? หากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมาเรียกว่าบังเอิญเกินไป แต่การที่ได้เจอกันในสนามบินที่ต่างประเทศแล้วก็บนเครื่องบินมันก็เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อเหลือเกิน นี่คือเหตุผลที่ทำไมเขาถึงอยากนัดเจอเธองั้นเหรอ? แต่...ทำไมเขาถึงไม่ยอมมาปรากฏตัวล่ะ? "หม่ามี๊ มีอะไรหรือเปล่าคะ?" เมื่อเห็นว่าเธอดูเหมือนจะจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง เสิ่นเหมิงเหมิงก็ยื่นมือออกมากอดเธอ “หม่ามี๊ กังวลหรอคะว่าลุงเย่มู่จะเป็นคนไม่ดี? หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอกนะคะ” คำพูดที่นุ่มนวลของเธอทำให้เสิ่นหยินอู้มองเธออย่างช่วยไม่ได้และยิ้มออกมา “ถึงเขาจะเป็นคนไม่ดี แต่เขาก็คงจะไม่เอาคำว่าคนไม่ดีมาแปะไว้ที่หน้าตัวเองหรอกจ๊ะ เขาคงไม่บอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีหรอก” "เอ่อ" เสิ่นเหมิงเหมิงแสดงสีหน้าสับสน ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจ ท่าทางที่ดูสับสนของเธอดูน่ารักมากในสายตาของเสิ่นหยินอู้ เธอเอื้อมมือออกไปแตะปลายจมูกของเหมิงเหมิง "เด็กโง่ตัวน้อยของแม่ ลุงเย่มู่คุยอะไรกับลูกบ้างตอนที่ลูกเจอเขาบนเครื่องบินก่อนหน้านี้" "หนูลืมไปแล้วค่ะ!"
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง
อารมณ์ของเธอในเที่ยวบินขากลับแตกต่างไปจากในตอนขามาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีก็คือการที่ไม่ว่าจะเป็นขามาหรือขากลับ ลูกๆทั้งสองคนของเธอก็ล้วนอยู่ข้างกายเธอ หลังจากที่หลี่มู่ถิงได้รับข้อความจากฉินเย่ เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆสองคนให้คุณพ่อคุณแม่ฉินฟังก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ฉินรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ตกใจและเงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็พูดว่า "เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เที่ยวบินของพวกคุณคือเที่ยวไหน เดี๋ยวถึงแล้วเราจะไปรับ" หลังจากที่หลี่มู่ถิงบอกเสิ่นหยินอู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉินบอกมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว เมื่อนึกถึงห้าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอจากไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะทักทายพวกเขาได้อย่างไรเมื่อต้องพบกันอีกครั้ง หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาทำได้เพียงคาดเดาจากการดูสีหน้าของเธอเท่านั้น เมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงถามด้วยท่าทีระมัดระวัง: "คุณหนูเสิ่น ประธานฉินบอกผมว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลอะไร คุณบอกผมได้เสมอ และเรื่องนี้ก็สามารถล้มเลิก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที