“ก็ได้ค่ะ ขอบคุณลุงโม่ไป๋นะคะ”เสิ่นหยินอู้เดินจับมือเสิ่นซือเหนียนเข้าไปหาเขา โม่ไป๋หยิบกล่องเล็กๆอีกกล่องออกมาแล้วส่งให้เสิ่นซือเหนียนน “นี่ครับ ของขวัญของเหนียนเหนียน” ไม่รู้ว่าเสิ่นซือเหนียนคิดอะไรอยู่ เขาเม้มริมฝีปากเล็กๆ และไม่ได้เอื้อมมือออกไปรับมัน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยื่นมือออกไป โม่ไป๋จึงเรียกเขา "เหนียนเหนียน?" ดังนั้นเสิ่นซือเหนียนจึงมองไปที่เสิ่นหยินอู้ เสิ่นหยินอู้ยิ้ม "ขอบคุณลุงโม่ไป๋สิลูก" คำพูดที่ไม่น่าฟังเหล่านั้นไม่ควรพูดต่อหน้าเด็กๆ ด้วยคำพูดของเสิ่นหยินอู้ เสิ่นซือเหนียนจึงกล้ารับของขวัญจากโม่ไป๋และขอบคุณเขา เสิ่นหยินอู้มองไปที่เสิ่นซือเหนียน เด็กคนนี้หัวไวเกินไป เขาถึงขั้นสามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเธองั้นเหรอ? เมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็ยอมรับของขวัญ ใบหน้าของโม่ไป๋ก็กลับมายิ้มอย่างปลื้มปิติอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเสิ่นซือเหนียนแล้วพูดว่า "ไปกันเถอะ เดี๋ยวลุงโม่ไป๋ไปส่ง" เขามาถึงที่นี่ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม และพาลูกๆขึ้นรถไปพร้อมๆกับเธอ แต่หลังจากขึ้นรถ เธอก็เงียบมาก เธอเช็คโทรศัพท์ของเธออยู่ตลอด และไม่ได้เข้าไปแทรกแซงใ
เด็กๆทั้งสองคนเข้าไปในบ้านอย่างว่านอนสอนง่าย เสิ่นหยินอู้ปิดประตู หลังจากที่เธอยืนตั้งหลักได้ ด้านหลังเธอเธอเงียบสงัด หลังจากนั้นไม่นาน เสิ่นหยินอู้ก็หันกลับมาและยิ้มให้โม่ไป๋ “นายยังไม่กินข้าวเย็นเหรอ? ฉันจำได้ว่ามีร้านอาหารใกล้ๆนี้ เราไปกินกันไหม?” ไม่รู้ว่าโม่ไป๋ไม่ได้รับผลกระทบจากเธอหรือเป็นอะไร แต่หลังจากได้ยินข้อเสนอของเธอ เขาก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆบนริมฝีปากของเขา "ไปกันเถอะ" ทั้งสองก็ลงไปชั้นล่างด้วยกัน หลังจากที่เด็กน้อยตัวเล็กทั้งสองคนเข้าไปในห้อง พวกเขาก็เงี่ยหูอยู่ที่ข้างประตูโดยต้องการจะฟังว่าที่ด้านนอกคุยอะไรกัน ตัวกันเสียงของประตูนั้นดีมากจนไม่ว่าพวกเขาจะเงี่ยหูฟังแบบใด พวกเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย หลังจากนั้นไม่นาน เสิ่นเหมิงเหมิงก็หันไปมองเสิ่นซือเหนียนซึ่งมีใบหน้าจริงจัง “พี่คะ หม่ามี๊กับลุงโม่ไป๋ทะเลาะกันหรอ?” คำว่าทะเลาะกันทำให้เสิ่นซือเหนียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า: "พี่ไม่รู้ แต่เราอย่าไปเดาซี้ซั้วเลย" “พี่คะ ถ้าหม่ามี๊กับลุงโม่ไป๋ทะเลาะกัน งั้นวันหลังเรายังจะต้องสนใจลุงโม่ไป๋อยู่อีกไหม?” หลังจากได้ยิน เสิ่นซือเหนียนก็คิดอย่างจริงจัง
โม่ไป๋ก้มตาลง“ที่เธอไม่ให้ฉันไปดูรถกับเธอตอนเย็น ก็เพราะว่าเธออยากพูดคำพูดพวกนี้กับฉันน่ะเหรอ?”“ไม่ใช่ แค่จู่ๆ ก็ไม่อยากให้นายไปด้วยเฉยๆ”เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้พลันหยุดชะงัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะนายไปหน้าโรงเรียนของเด็กๆ ฉันก็ไม่มีทางติดรถนายกลับไปด้วยหรอก ตอนนี้ก็คงไม่มานั่งคุยกับนายตรงนี้ด้วย ฉัน…รำคาญแล้ว”ได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่อบอุ่นเสมอมาของโม่ไป๋เผยให้เห็นถึงความรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย“รำคาญแล้ว?”“ใช่ ฉันไม่ชอบนาย ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกนายชัดเจนแล้ว แต่นายก็คอยรังควานฉัน แล้วฉันก็ต้องเสียเวลามารับมือกับนายทุกวันมันทำให้ฉันรู้สึกรำคาญมาก โดยเฉพาะตอนกลับมาในประเทศ ฉันไม่อยากรับมือกับนายอีกแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนายหยุดเสียเวลากับฉัน แล้วไปหาคนอื่นได้ไหม?”แววตาของโม่ไป๋มีแววเย็นชาวาบผ่าน เหมือนว่าเขาจะไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินเลยถึงขนาดมีอีกเสียงหนึ่งแว่วเข้ามาในหัวซ้อนทับกับเสียงของเสิ่นหยินอู้“แกรู้ตัวไหมว่าแกน่ารำคาญมากแค่ไหน? โลกของแกมีแค่ฉันคนเดียวหรือไง? ทำไมแกถึงต้องมารังควานฉันตลอดด้วย? แกไปรังควานพ่อแกสิ? ไอ้เด็กไร้ประโยชน์ แกจะม
เมื่อบริกรมองเห็นสายตาเป็นห่วงของโม่ไป๋หลังจากที่ถูกโม่ไป๋พยุงขึ้นแล้ว ก็รู้สึกสับสนขึ้นมาคนอบอุ่นตรงหน้า เป็นคนเดียวกันกับคนอารมณ์ร้ายเมื่อครู่นี้จริงเหรอ?“ฉัน…ฉันไม่เป็นไรค่ะ”ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ปล่อยเธอ เพียงแค่พูดขออนุญาตแล้วถกแขนเสื้อของเธอขึ้นทันทีที่ถกแขนเสื้อขึ้น โม่ไป๋ก็เห็นว่าบนแขนของหญิงสาวแดงเถือกเป็นแผ่นใหญ่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ไปล้างน้ำเย็นลดอุณหภูมิก่อนเถอะครับ”“ค่ะ…”หลังจากนั้น โม่ไป๋ก็พาเธอไปด้านหลังของร้านอาหารด้วยตัวเอง ขณะที่บริกรสาวกำลังล้างน้ำเย็นอยู่ โม่ไป๋ก็ยินพิงผนังรออยู่ข้างๆความเจ็บจากการถูกน้ำร้อนลวกค่อยๆ ลดลงตามสายน้ำเย็น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาว เมื่อเธอล้างด้วยน้ำเย็นเสร็จ แขนของเธอก็ชาจนแทบไม่มีความรู้สึกเธอเดินออกไป โม่ไป๋ก็ยืนขวางตรงหน้าเธอทันที“ขอโทษจริงๆ นะครับ ให้ผมพาไปโรงพยาบาลเถอะ”“ไม่…ไม่เป็นไรค่ะ แค่แผลน้ำร้อนลวกธรรมดาๆ ล้างน้ำเย็น เดี๋ยวก็หายค่ะ”“ไปเถอะครับ นี่เป็นความรับผิดชอบของผม”เผชิญหน้ากับใบหน้าอบอุ่นและหล่อเหลาของชายหนุ่ม ทำให้บริกรสาวไม่อาจปฏิเสธได้-เสิ่นหยินอู้กลับไปถึงบ้าน แม้ว่าในใจจ
ดูจากสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว รู้สึกว่าการคาดเดาอันแรกดูเป็นไปได้มากกว่าถ้าเป็นอันหลัง ตอนนี้เป็นช่วงพักแล้ว เขาจะไม่มีแม้แต่เวลาเปิดอ่านข้อความได้ยังไง?คิดไปคิดมา สุดท้ายเสิ่นหยินอู้ก็ตัดสินใจพักผ่อนวันรุ่งขึ้นเสิ่นหยินอู้พูดเรื่องเช่าบ้านให้อู๋อี้ไห่ฟัง เพราะเขาเป็นเจ้าถิ่น ดังนั้นก็เลยอยากถามเขาสักหน่อยว่ามีบ้านเช่าที่รู้จักแนะนำไหมอู๋อี้ไห่ได้ยินนดังนั้น “คุณจะเช่าบ้านเหรอ? กะทันหันขนาดนี้เลย? ตามหลักแล้วคุณต้องจัดการเสร็จก่อนที่จะมาเมืองเจียงเฉิงสิ”เสิ่นหยินอู้ไม่คิดจะบอกเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ดังนั้นจึงยิ้มจาๆ“ฉันมีปัญหาของฉันน่ะ นายแค่แจ้งฉันก็พอ”อู๋อี้ไห่ที่ใช้ชีวิตเป็นพวกหัวไวตั้งนานแล้วได้ยินดังนั้น ก็เลิกคิ้วพูดว่า “คงไม่ใช่เพราะว่าบ้านที่คุณอยู่ตอนนี้ คุณโม่ไป๋คนนั้นเป็นคนจัดการให้หรอกใช่ไหม? ที่ย้ายออกมากะทันหันแบบนี้ ปฏิเสธแล้วเหรอ?”เสิ่นหยินอู้ “…”คนคนนี้ทำไมถึงได้หัวไวขนาดนี้นะ?“ผู้จัดการอู๋ ถ้าคุณเอาความขี้เผือกมาใช้ในการทำงานสักหน่อย ฉันว่าบริษัทของเราอาจจะพัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่งก็ได้นะ”“โธ่ ไม่กระทบกันหรอกครับ ทำแค่งานน่ะ น่าเบื่อจะตาย แ
เมื่อนึกภาพเพราะเฉาเหย้าจู่ ทำให้เด็กสองคนมองภาพตัวเองไม่ดีแล้ว คิ้วของฉินเย่ก็ขมวดแน่นเขาทุ่มแรงมากขนาดนี้ ก็เพราะหวังว่าเสิ่นซือเหนียนจะลดกำแพงที่มีต่อเขาลง แล้วใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองด้วยแต่หากผลสุดท้ายเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับที่ตนคิดไว้ แล้วเขาจะหาคนอื่นมาทำไม?เมื่อคิดแบบนี้แล้ว สายตาของฉินเย่ที่มองเฉาเหย้าจู่ก็ยิ่งดุดันขึ้นเฉาเหย้าจู่นั่งอยู่กับที่ รู้สึกเสียวสันหลังวาบบอกไม่ถูกน่ากลัวมาก อยากกลับบ้านหลี่มู่ถิงที่นั่งอยู่ข้างหน้าทนมองต่อไปไม่ได้จึงพูดขึ้นก่อนว่า “ประธานฉิน คุณอย่าร้อนใจไปสิครับ เฉาเหย้าจู่เป็นแค่เด็กห้าขวบเอง คุณทำหน้าขรึมแบบนี้ เขาต้องกลัวคุณอยู่แล้วสิ”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่พลันหยุดชะงัก “งั้นเหรอ?”หลี่มู่ถิงถามกลับ “แล้วไม่ใช่เหรอครับ? ถ้าคุณใช้ท่าทีแบบนี้กับเหนียนเหนียนและเหมิงเหมิง คุณคิดว่าพวกเขาจะกลัวคุณเหมือนที่เฉาเหย้าจู่กลัวคุณไหม?”คำพูดของหลี่มู่ถิง ทำให้ฉินเย่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด“แล้ว…จะทำยังไง?”“ง่ายมากครับ” หลี่มู่ถิงพูดง่ายราวกับกินข้าวดื่มน้ำ “ก็แค่ทำเหมือนที่ทำกับเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนไงครับ”ฉินเย่ห
เสิ่นเหมิงเหมิงรับลูกอมมาอย่างรวดเร็วฉินเย่ยื่นให้กับเสิ่นซือเหนียนเม็ดหนึ่ง แต่เสิ่นซือเหนียนยับยั้งชั่งใจมากกว่า หลังจากรับมาก็ไม่ได้แกะกินทันทีกลับกัน เขามองไปยังเฉาเหย้าจู่ที่ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ ฉินเย่อย่างกะทันหันเฉาเหย้าจู่เองก็มองเด็กสองคนที่ดูมีเสน่ห์มากตรงหน้า ถึงแม้จะเพิ่งห้าขวบ แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ก่อเกิดขึ้นแล้วดูเหมือนว่าเด็กสองคนตรงนี้จะจะ ‘มีค่า’ มากกว่าเขามากเขาก้มหน้าก้มตา แล้วขยับไปด้านหลังฉินเย่โดยอัตโนมัติ“เอ๋??”การเคลื่อนไหวของเฉาเหย้าจู่ ทำให้เสิ่นเหมิงเหมิงสังเกตเห็น “คุณลุงเย่มู่คะ เขาเป็นลูกของคุณลุงเหรอคะ?”ฉินเย่ “…”เขาเม้มริมฝีปากบาง แล้วปฏิเสธอย่างช่วยไม่ได้ “ถือว่าใช่มั้ง แต่ว่าไม่ใช่ลูกของลุงหรอก เป็นลูกของญาติน่ะ”ได้ยินดังนั้น ดวงตาของเสิ่นเหมิงเหมิงก็เบิกตากลมโตกว้าง “เขาคือเด็กที่คุณลุงเคยบอกว่าเรียนอยู่ที่นี่เหรอคะ?”“อื้ม พ่อแม่ของเขายุ่งน่ะ ก็เลยขอให้ลุงช่วยดูโรงเรียนให้”ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ฉินเย่ไม่ใช่เรื่องโกหกหลอกลวงทั้งเพแต่เพราะหมดหนทาง เขาถึงได้ทำแบบนี้แต่เมื่อเห็นดวงตาที่ไร้เดียงสาและสดใสของเสิ่นเหมิงเหมิงแล้ว ฉินเย่
“เพราะฉะนั้น พี่แค่กลัวว่าจะฟุ่มเฟือย ไม่ใช่เพราะชอบกินแป้งใช่ไหม?”สีหน้าของเสิ่นซือเหนียนดูเจ็บปวดเล็กน้อย ใครจะชอบกินแป้งกัน?“อุ๊บ”“ขอโทษค่ะพี่ ต่อไปเดี๋ยวเหมิงเหมิงกินแป้งเอง”อาจเป็นเพราะนึกถึงภาพที่ตัวเองต้องกินแป้งแฮมเบอร์เกอร์ บนใบหน้าน้อยๆ ของเสิ่นเหมิงเหมิงจึงย่นเข้าด้วยกัน อย่าว่าแต่แป้งแฮมเบอร์เกอร์เลย ความจริงแม้แต่ผักสดในแฮมเบอร์เกอร์ เธอก็อยากแยกมันออกด้วยซ้ำแต่ว่าพี่จะช่วยเธอกินทุกครั้ง เธอก็เลยคิดว่าพี่ชอบกิน ก็เลยกินมันเด็กทั้งสองคนกำลังพูดคุยเรื่องนี้กันอยู่ ฉินเย่ตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ จนสุดท้ายหลุดหัวเราะออกมา“ถ้าไม่อยากกินทั้งสองคน งั้นคุณลุงเย่มู่ช่วยกินดีไหม?”ถึงแม้เขาเองก็ไม่ชอบกินของพวกนั้นก็ตามแฮมเบอร์เกอร์?สำหรับฉินเย่แล้ว ของแบบนั้นก็เป็นแค่อาหารขยะเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเด็กส่วนใหญ่ และวัยรุ่นจะชอบกินกันแน่นอนว่า ถ้าหากหลี่มู่ถิงที่อยู่ข้างๆ สามารถอ่านใจเขาได้ล่ะก็ ต้องพูดกับเขาด้วยสีหน้าดูถูกว่า “ประธานฉิน แล้วคุณไม่ใช่วัยรุ่นเหรอครับ?” แน่นอนเด็กทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ต่างก็หันไปมองเขาพร้อมกันเสิ่นซือเหนียนยังคงมีท่าทีระมัดระวังอยู่เห
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง
อารมณ์ของเธอในเที่ยวบินขากลับแตกต่างไปจากในตอนขามาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีก็คือการที่ไม่ว่าจะเป็นขามาหรือขากลับ ลูกๆทั้งสองคนของเธอก็ล้วนอยู่ข้างกายเธอ หลังจากที่หลี่มู่ถิงได้รับข้อความจากฉินเย่ เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆสองคนให้คุณพ่อคุณแม่ฉินฟังก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ฉินรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ตกใจและเงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็พูดว่า "เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เที่ยวบินของพวกคุณคือเที่ยวไหน เดี๋ยวถึงแล้วเราจะไปรับ" หลังจากที่หลี่มู่ถิงบอกเสิ่นหยินอู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉินบอกมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว เมื่อนึกถึงห้าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอจากไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะทักทายพวกเขาได้อย่างไรเมื่อต้องพบกันอีกครั้ง หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาทำได้เพียงคาดเดาจากการดูสีหน้าของเธอเท่านั้น เมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงถามด้วยท่าทีระมัดระวัง: "คุณหนูเสิ่น ประธานฉินบอกผมว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลอะไร คุณบอกผมได้เสมอ และเรื่องนี้ก็สามารถล้มเลิก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที