หลังจากส่งข้อความแล้ว เสิ่นหยินอู้รออยู่ในห้องน้ำสองสามนาที แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบกลับเธอ เธอรอสักพัก แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบ เธอจึงต้องยอมแพ้ เมื่อเธอออกไปอีกครั้ง เธอพบว่าฉินเย่ได้รออยู่ข้างนอกแล้ว แต่เขาดูผิดปกติไปจากก่อนหน้าเล็กน้อย ออร่ารอบตัวเขาดูเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที และเขาก็ยืนอยู่ที่นั่นเหมือนเครื่องจักรที่ผลิตอากาศเย็นๆออกมา แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะโดดเด่นและน่าดึงดูดมาก แต่ออร่าที่เย็นจนเกือบจะแช่แข็งคนรอบตัวเขาทำให้ผู้คนต้องถอยห่างออกไป จนกระทั่งเขาเห็นเสิ่นหยินอู้เดินมา ความเยือกเย็นรอบตัวเขาก็หายไปเล็กน้อย สาวตาที่เย็นชาของเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของเธอ ริมฝีปากบางของเขาเม้มมาโดยตลอด และเขาไม่คิดที่จะพูดคุยกับเธอ หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ทำอะไรเสร็จสิ้นแล้ว เธอก็หยิบกระเป๋าแล้วเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะทักทายเขา เมื่อเดินไปถึงที่ประตู ฉินเย่ก็เดินตามเธอไป “ไปกันเถอะ ผมจะไปส่งคุณ” “ไม่จำเป็น ฉันกลับเองได้” เสิ่นหยินอู้ยังคงปฏิเสธเขา ฉินเย่ขมวดคิ้ว "คุณจะให้ผมไปนั่งคุกเข่าให้คุณที่บริษัทไหม?" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักฝีเท้า จากนั้นมองเขา
การปฏิเสธก็ชัดเจนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากเงียบไปนาน เสียงของโม่ไป๋ก็ยังคงอ่อนโยน “หยินอู้ เกิดอะไรขึ้น? ถ้าเธอไม่ต้องการให้ผมไปด้วย งั้นผมให้ผู้ช่วยเฉินไปกับเธอแทนไหม? เขารู้เรื่องรถดี คุณจะได้ไม่โดนคนขายรถหลอกตอนเลือกรถ.. ” น่าเสียดายที่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ขัดจังหวะเขาอย่างเหลืออด “ฉันดูโง่เหรอ? ดูโง่จนคนขายรถจะเข้ามาหลอกฉันได้ง่ายๆงั้นเหรอ?” “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” “ถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณหมายถึง แล้วทำไมคุณถึงต้อบให้ผู้ช่วยเฉินไปด้วยล่ะ? ฉันบอกว่าฉันไม่ต้องการ คุณไม่เข้าใจหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้พูดคำพูดที่รุนแรง เธอก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วคนที่อยู่ปลายสายก็เป็นคนที่ดีกับเธอมากๆในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แต่ถ้าเธอยังใจอ่อนต่อไปก็จะมีแต่ผลร้ายเท่านั้น แทนที่จะทำแบบนี้ต่อไป ก็ควรที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจะดีกว่า เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ยินการตอบกลับจากปลายสาย เธอคิดว่าเขาโกรธที่เธอพูดและไม่อยากคุยกับเธอต่อ แต่มันก็แปลกที่เขาโกรธแต่ไม่ยอมวางสายไป ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงวางสายไปเอง หลังจากวางสายแล้ว เธอก็ยืนอยู่ที่เดิมและถอนหายใจยาวๆ
เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา เคร่งขรึม มีออร่าเปล่งปลั่ง เปลือกตาบาง และพูดน้อยนี่เป็นความประทับใจแรกของเธอ จากอธิบายของโจวชวงชวง เธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนบ้างานคนหนึ่ง คำพูดที่ตรงไปตรงมาเหล่านี้ออกมาจากปากของเขาและดูเป็นเรื่องปกติ “เธอก็เลยจดจำแล้วนำมาใช้สินะ?” โจวชวงชวงยิ้ม: "แน่นอน" “ทำไมล่ะ ตอนนี้เธอไม่คิดว่าเจ้านายคนนั้นของเธอมีปัญหาแล้วเหรอ?” “แน่นอนว่ามี แต่ฉันไม่ปฏิเสธว่าฉันใช้คำพูดของเขามาปลอบใจเธอ เธอไม่คิดว่ามันสมเหตุสมผลเหรอ?” "อืม มันก็สมเหตุสมผลแหละ" เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบาๆ แม้ว่าปกติโจวชวงซวงมักจะพูดถึงเรื่องไร้สาระของเจ้านายของเธอมากมาย แต่การได้เห็นเธอใช้คำพูดของอีกฝ่ายมาปลอบใจเธอในครั้งนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้เห็นบางอย่างได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยในที่ทำงาน โจวชวงชวงก็ไว้ใจเจ้านายของเธอเป็นอย่างมาก ถึงกับเอาคำพูดของเขามาใช้ สิ่งที่สำคัญคือ เสิ่นหยินอู้ได้ฟังก็เห็นด้วยเช่นกัน ก็จริงนะ ทัศนคติที่ไม่เยิ่นเย้อในการจัดการกับสิ่งต่างๆของเขาคือสิ่งที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้เวลาเลิกเรียนแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เก็บโทรศัพท์และหยุดคุยกับโจวชวงชวง
แม้ว่าไม่อยากจะยอมรับ แต่มันก็บังเอิญเกินไปหน่อนยไหม? หากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมาเรียกว่าบังเอิญเกินไป แต่การที่ได้เจอกันในสนามบินที่ต่างประเทศแล้วก็บนเครื่องบินมันก็เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อเหลือเกิน นี่คือเหตุผลที่ทำไมเขาถึงอยากนัดเจอเธองั้นเหรอ? แต่...ทำไมเขาถึงไม่ยอมมาปรากฏตัวล่ะ? "หม่ามี๊ มีอะไรหรือเปล่าคะ?" เมื่อเห็นว่าเธอดูเหมือนจะจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง เสิ่นเหมิงเหมิงก็ยื่นมือออกมากอดเธอ “หม่ามี๊ กังวลหรอคะว่าลุงเย่มู่จะเป็นคนไม่ดี? หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอกนะคะ” คำพูดที่นุ่มนวลของเธอทำให้เสิ่นหยินอู้มองเธออย่างช่วยไม่ได้และยิ้มออกมา “ถึงเขาจะเป็นคนไม่ดี แต่เขาก็คงจะไม่เอาคำว่าคนไม่ดีมาแปะไว้ที่หน้าตัวเองหรอกจ๊ะ เขาคงไม่บอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีหรอก” "เอ่อ" เสิ่นเหมิงเหมิงแสดงสีหน้าสับสน ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจ ท่าทางที่ดูสับสนของเธอดูน่ารักมากในสายตาของเสิ่นหยินอู้ เธอเอื้อมมือออกไปแตะปลายจมูกของเหมิงเหมิง "เด็กโง่ตัวน้อยของแม่ ลุงเย่มู่คุยอะไรกับลูกบ้างตอนที่ลูกเจอเขาบนเครื่องบินก่อนหน้านี้" "หนูลืมไปแล้วค่ะ!"
“ก็ได้ค่ะ ขอบคุณลุงโม่ไป๋นะคะ”เสิ่นหยินอู้เดินจับมือเสิ่นซือเหนียนเข้าไปหาเขา โม่ไป๋หยิบกล่องเล็กๆอีกกล่องออกมาแล้วส่งให้เสิ่นซือเหนียนน “นี่ครับ ของขวัญของเหนียนเหนียน” ไม่รู้ว่าเสิ่นซือเหนียนคิดอะไรอยู่ เขาเม้มริมฝีปากเล็กๆ และไม่ได้เอื้อมมือออกไปรับมัน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยื่นมือออกไป โม่ไป๋จึงเรียกเขา "เหนียนเหนียน?" ดังนั้นเสิ่นซือเหนียนจึงมองไปที่เสิ่นหยินอู้ เสิ่นหยินอู้ยิ้ม "ขอบคุณลุงโม่ไป๋สิลูก" คำพูดที่ไม่น่าฟังเหล่านั้นไม่ควรพูดต่อหน้าเด็กๆ ด้วยคำพูดของเสิ่นหยินอู้ เสิ่นซือเหนียนจึงกล้ารับของขวัญจากโม่ไป๋และขอบคุณเขา เสิ่นหยินอู้มองไปที่เสิ่นซือเหนียน เด็กคนนี้หัวไวเกินไป เขาถึงขั้นสามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเธองั้นเหรอ? เมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็ยอมรับของขวัญ ใบหน้าของโม่ไป๋ก็กลับมายิ้มอย่างปลื้มปิติอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเสิ่นซือเหนียนแล้วพูดว่า "ไปกันเถอะ เดี๋ยวลุงโม่ไป๋ไปส่ง" เขามาถึงที่นี่ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม และพาลูกๆขึ้นรถไปพร้อมๆกับเธอ แต่หลังจากขึ้นรถ เธอก็เงียบมาก เธอเช็คโทรศัพท์ของเธออยู่ตลอด และไม่ได้เข้าไปแทรกแซงใ
เด็กๆทั้งสองคนเข้าไปในบ้านอย่างว่านอนสอนง่าย เสิ่นหยินอู้ปิดประตู หลังจากที่เธอยืนตั้งหลักได้ ด้านหลังเธอเธอเงียบสงัด หลังจากนั้นไม่นาน เสิ่นหยินอู้ก็หันกลับมาและยิ้มให้โม่ไป๋ “นายยังไม่กินข้าวเย็นเหรอ? ฉันจำได้ว่ามีร้านอาหารใกล้ๆนี้ เราไปกินกันไหม?” ไม่รู้ว่าโม่ไป๋ไม่ได้รับผลกระทบจากเธอหรือเป็นอะไร แต่หลังจากได้ยินข้อเสนอของเธอ เขาก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆบนริมฝีปากของเขา "ไปกันเถอะ" ทั้งสองก็ลงไปชั้นล่างด้วยกัน หลังจากที่เด็กน้อยตัวเล็กทั้งสองคนเข้าไปในห้อง พวกเขาก็เงี่ยหูอยู่ที่ข้างประตูโดยต้องการจะฟังว่าที่ด้านนอกคุยอะไรกัน ตัวกันเสียงของประตูนั้นดีมากจนไม่ว่าพวกเขาจะเงี่ยหูฟังแบบใด พวกเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย หลังจากนั้นไม่นาน เสิ่นเหมิงเหมิงก็หันไปมองเสิ่นซือเหนียนซึ่งมีใบหน้าจริงจัง “พี่คะ หม่ามี๊กับลุงโม่ไป๋ทะเลาะกันหรอ?” คำว่าทะเลาะกันทำให้เสิ่นซือเหนียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า: "พี่ไม่รู้ แต่เราอย่าไปเดาซี้ซั้วเลย" “พี่คะ ถ้าหม่ามี๊กับลุงโม่ไป๋ทะเลาะกัน งั้นวันหลังเรายังจะต้องสนใจลุงโม่ไป๋อยู่อีกไหม?” หลังจากได้ยิน เสิ่นซือเหนียนก็คิดอย่างจริงจัง
โม่ไป๋ก้มตาลง“ที่เธอไม่ให้ฉันไปดูรถกับเธอตอนเย็น ก็เพราะว่าเธออยากพูดคำพูดพวกนี้กับฉันน่ะเหรอ?”“ไม่ใช่ แค่จู่ๆ ก็ไม่อยากให้นายไปด้วยเฉยๆ”เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้พลันหยุดชะงัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะนายไปหน้าโรงเรียนของเด็กๆ ฉันก็ไม่มีทางติดรถนายกลับไปด้วยหรอก ตอนนี้ก็คงไม่มานั่งคุยกับนายตรงนี้ด้วย ฉัน…รำคาญแล้ว”ได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่อบอุ่นเสมอมาของโม่ไป๋เผยให้เห็นถึงความรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย“รำคาญแล้ว?”“ใช่ ฉันไม่ชอบนาย ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกนายชัดเจนแล้ว แต่นายก็คอยรังควานฉัน แล้วฉันก็ต้องเสียเวลามารับมือกับนายทุกวันมันทำให้ฉันรู้สึกรำคาญมาก โดยเฉพาะตอนกลับมาในประเทศ ฉันไม่อยากรับมือกับนายอีกแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนายหยุดเสียเวลากับฉัน แล้วไปหาคนอื่นได้ไหม?”แววตาของโม่ไป๋มีแววเย็นชาวาบผ่าน เหมือนว่าเขาจะไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินเลยถึงขนาดมีอีกเสียงหนึ่งแว่วเข้ามาในหัวซ้อนทับกับเสียงของเสิ่นหยินอู้“แกรู้ตัวไหมว่าแกน่ารำคาญมากแค่ไหน? โลกของแกมีแค่ฉันคนเดียวหรือไง? ทำไมแกถึงต้องมารังควานฉันตลอดด้วย? แกไปรังควานพ่อแกสิ? ไอ้เด็กไร้ประโยชน์ แกจะม
เมื่อบริกรมองเห็นสายตาเป็นห่วงของโม่ไป๋หลังจากที่ถูกโม่ไป๋พยุงขึ้นแล้ว ก็รู้สึกสับสนขึ้นมาคนอบอุ่นตรงหน้า เป็นคนเดียวกันกับคนอารมณ์ร้ายเมื่อครู่นี้จริงเหรอ?“ฉัน…ฉันไม่เป็นไรค่ะ”ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ปล่อยเธอ เพียงแค่พูดขออนุญาตแล้วถกแขนเสื้อของเธอขึ้นทันทีที่ถกแขนเสื้อขึ้น โม่ไป๋ก็เห็นว่าบนแขนของหญิงสาวแดงเถือกเป็นแผ่นใหญ่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ไปล้างน้ำเย็นลดอุณหภูมิก่อนเถอะครับ”“ค่ะ…”หลังจากนั้น โม่ไป๋ก็พาเธอไปด้านหลังของร้านอาหารด้วยตัวเอง ขณะที่บริกรสาวกำลังล้างน้ำเย็นอยู่ โม่ไป๋ก็ยินพิงผนังรออยู่ข้างๆความเจ็บจากการถูกน้ำร้อนลวกค่อยๆ ลดลงตามสายน้ำเย็น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาว เมื่อเธอล้างด้วยน้ำเย็นเสร็จ แขนของเธอก็ชาจนแทบไม่มีความรู้สึกเธอเดินออกไป โม่ไป๋ก็ยืนขวางตรงหน้าเธอทันที“ขอโทษจริงๆ นะครับ ให้ผมพาไปโรงพยาบาลเถอะ”“ไม่…ไม่เป็นไรค่ะ แค่แผลน้ำร้อนลวกธรรมดาๆ ล้างน้ำเย็น เดี๋ยวก็หายค่ะ”“ไปเถอะครับ นี่เป็นความรับผิดชอบของผม”เผชิญหน้ากับใบหน้าอบอุ่นและหล่อเหลาของชายหนุ่ม ทำให้บริกรสาวไม่อาจปฏิเสธได้-เสิ่นหยินอู้กลับไปถึงบ้าน แม้ว่าในใจจ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ