ก็แค่ตัวเองต้องการหย่าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้โม่ไป๋ต้องมาถูกต่อยตลอดแบบนี้สองหมัดเมื่อกี้นี้ เขาก็รับไปฟรีๆ แล้วทันใดนั้น ฉินเย่กวาดมองที่ใบหน้าของโม่ไป๋ แล้วหยุดอยู่ที่ข้อมือของเขา“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ปล่อยมือ”เสิ่นหยินอู้ได้ยินดังนั้นก็รีบมองไปที่โม่ไป๋ แล้วอธิบาย “เรื่องนี้ ฉันจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น โม่ไป๋ก็มองที่เธอนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมา“โอเค ฉันจะรอ”กล่าวจบ โม่ไป๋ก็ปล่อยมือเขาเพิ่งจะปล่อยมือออกหลวมๆ ฉินเย่ก็ลากคนออกไปแล้วหลังจากที่พวกเขาออกไป ผู้ช่วยของโม่ไป๋ถึงจะเดินเข้ามา แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับโม่ไป๋“คุณชายโม่ ไม่เป็นอะไรนะครับ?”โม่ไป๋รับผ้าเช็ดหน้ามา แล้วเช็ดมุมปากของตนนิ่งๆ ในตาเต็มไปด้วยความเย็นชาจุดที่ถูกฉินเย่ต่อย ทั้งๆ ที่เป็นแผลแต่เขากลับเช็ดหนักๆ เหมือนไม่รู้สึกเจ็บราวกับว่าตนเป็นร่างศพที่ไร้ความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น ผู้ช่วยมองเขาอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปหลายส่วนอีกแล้วท่าทีของคุณชายโม่แบบนี้…เขาไม่กล้าพูดอะไรต่อ ทำได้เพียงยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆผ่านไปพักหนึ่ง โม่ไป๋ก็โยนผ้าเช็ดหน้าลงถังขยะ แ
บรรยากาศอันน่าหลงใหลพลันหายไปผ่านไปนานฉินเย่ถึงจะหันหน้ากลับไปมองเธอหลังจากนั้นไม่รู้ว่าเขานึกอะไรออก ในดวงตาสีดำนั้นแฝงด้วยความหืนกาม เขาใช้มือจับคางของเธอไว้อีกครั้ง แล้วสัมผัสที่ริมฝีปากบวมแดงของเธอเบาๆ จากนั้นกล่าวว่า “แต่งงานปลอมๆ ก็จริง แต่เรื่องที่ฉันนอนกับเธอล่ะ ปลอมด้วยเหรอ?”เสิ่นหยินอู้ไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง“นายว่าอะไรนะ?”“ไม่ใช่เหรอ?” ฉินเย่เลื่อนมือลงผ่านลำคอของเธอ แล้วหยุดอยู่ที่กระดูกไหปลาร้าอันงดงามของเธอลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนไหว ดูประโยคสารเลวออกมาด้วยน้ำเสียงมึดครึ้ม“ตอนแรกตอนที่เธอขอให้ฉันนอนกับเธอ ไม่ได้เป็นแบบนี้นี่”เสิ่นหยินอู้หรี่ตาลงหลังจากนั้น เธอก็ง้างมือตบหน้าเขาอีกทีหนึ่งใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินเย่ถูกตบจนหันหน้าไปอีกทางหนึ่งอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ตบแล้วตบอีก เสิ่นนั่วนั่ว เธอคิดว่าฉันไม่กล้าลงมือกับเธอจริงๆ ใช่ไหม?”กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตบเขาอีกครั้งหนึ่งเพี๊ยะ!ฉินเย่หน้าบึ้งในบัดดลแต่เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้ที่ตาแดง จ้องเขาด้วยความโกรธอยู่ข้างล่างแล้ว เขาก็ไม่อาจลงมือกับเธอเลยจริงๆฉินเย่นึกอะไรออกพลันเบะปาก
เขาถูกต่อย แถมยังอาจแตกหักกับเพื่อนของตัวเองเพราะเรื่องของเธอด้วย แต่ตอนนี้เขากลับมาขอโทษตน เสิ่นหยินอู้รู้สึกผิดมากถึงมากที่สุด“ไม่ได้ล้มไม่เป็นท่าหรอก” เธอเอ่ยเสียงชัดเจน “ฉันไม่เป็นไร คนที่ต้องขอโทษคือฉันต่างหากที่ทำให้นายต้องพลอยถูกต่อยไปด้วย”ได้ยินดังนั้น โม่ไป๋ก็หัวเราะออกมาเบาๆ“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ผู้ชายน่ะถูกต่อยหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ”“แต่ว่าต่อไปนายกับเขา…”“วางใจเถอะ ยังไงก็เป็นเพื่อนกัน อย่างมากก็แค่ไม่คุยกับฉันสักช่วงหนึ่ง ถึงแม้จะไม่สนใจฉัน ถึงตอนนั้นฉันก็จะไปขอโทษอยู่ดี”เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็วางใจสักที“ถ้างั้นก็ดี”“แล้วทุกอย่างราบรื่นดีไหม?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า จากนั้นก็คิดได้ว่าคุยโทรศัพท์อยู่ เธอพยักหน้าโม่ไป๋ก็ไม่เห็น จึงเปลี่ยนเป็นคำพูด“อืม ชั่วคราวน่ะ”“เป็นยังไง?”เสิ่นหยินอู้อารมณ์ไม่ดีมาก คำขอโทษก่อนหน้านี้เป็นขีดจำกัดของเธอ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่อยากตอบคำถามใดๆ ทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะโม่ไป๋เคยช่วยเธอไว้ เธอคงวางสายไปตั้งนานแล้วแต่ว่าครั้งนี้เธอต้องพยายามทำให้อารมณ์ของเธอสมดุลแล้วเอ่ยว่า “โม่ไป๋ ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ น่ะ ได
ระหว่างทางไปสำนักกิจการพลเรือน ทั้งสองเงียบมากอุณหภูมิภายในรถต่ำมาก ฉินเย่ไม่เปิดแอร์ด้วยซ้ำอาจจะลืมเพราะความโกรธเสิ่นหยินอู้เพราะรีบออกจากบ้าน จึงสวมแค่เสื้อคลุมตัวเดียวก็ออกมาแล้วตอนแรกยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอนั่งนานเข้า เสิ่นหยินอู้ก็ยิ่งรู้สึกหนาวจนตัวสั่นไปทีหนึ่ง แล้วสวมเสื้อคลุมให้แน่นกว่าเดิมฉินเย่ที่ขับรถอยู่ไม่รู้คิดอะไรจึงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงตลอดเวลาเห็นเธอขยับเสื้อคลุมจากหางตา ก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่เปิดแอร์ด้วยสีหน้าเย็นชาไม่นาน อุณหภูมิในรถก็เพิ่มขึ้นเสิ่นหยินอู้อดไม่ได้หันไปมองฉินเย่สันกรามเรียมชัดของเขางดงามราวกับภาพวาด รูปลักษณ์หน้าตาที่ดูดีของเขา แม้จะมองจะด้านข้างก็ยังดูดีไร้ที่ติข้อเสียอย่างเดียวคือหน้าบึ้งตึงตลอดเวลารู้จักกันมานานหลายปี เสิ่นหยินอู้มองออกว่าฉินเย่กำลังโกรธอยู่ และโกรธมากด้วยแต่ทั้งๆ ที่เขาโกรธขนาดนี้…ก็ยังรับรู้ได้จากท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ แล้วเปิดแอร์ให้กับเธอเสิ่นหยินอู้ละสายตา แล้วก้มหน้าก้มตาจู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกเมื่อมาถึงสำนักกิจการพลเรือน ยังคงต้องต่อแถวเหมือนคราวก่อนที่มาเมื่อถึงคิวแล้ว เสิ่นหยินอู้
ที่โชคร้ายคือเธอพูดถูกเสิ่นหยินอู้เองก็ไม่รู้ว่าตนคิดยังไง ตอนที่เธอได้ยินผู้หญิงคนนี้ด่าฉินเย่นั้น ในใจกลับรู้สึก…สะใจดีเหมือนกันแต่พอย้อนกลับมาคิด เขาไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่น เขาบอกกับตนแต่แรกแล้วว่าเป็นการแต่งงานปลอมๆ เป็นเธอเองที่แอบชอบคนอื่นเขาจะโทษว่าเขาเพอร์เฟคเกินไปไม่ได้หรอกมั้ง?เฮ้อ จะให้เธอด่านั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ทำได้เพียงฟังคนอื่นด่าแล้วกัน“เฮ้อ ฉันว่านะ ผู้ชายอย่างพวกคุณน่ะมันสารเลว ถ้ามันไม่หอมหวานแล้วจะแต่งเข้าบ้านทำไม? ทำเอาต้องมาหย่ากัน ตลกจริงๆ”ผู้หญิงนั่นทำเหมือนฉินเย่เป็นศัตรูคู่แค้น ประชดประชันและด่าอย่างเต็มที่ทีแรกฉินเย่ยังทำหน้าไม่สบอารมณ์ และไม่สนใจหล่อนแต่ผู้หญิงคนนี้ปากแจ่วมากจริงๆ ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว แล้วกวาดมองไปที่หล่อนเมื่อหญิงสาวถูกเขามองเช่นนั้น ก็ตกใจจนพูดไม่ออก ถึงขนาดกลืนน้ำลายลงอย่างไม่รู้ตัวเกิดอะไรขึ้น?ผู้ชายคนนี้ออร่าแข็งแกร่งไม่พอ แต่สายตายังดุร้ายขนาดนี้ด้วย…ชั่ววินาทีนั้นราวกับจะคร่าชีวิตเธอไปอย่างไรอย่างนั้นเสิ่นหยินอู้เองก็เห็นสายตาของฉินเย่เช่นกันอย่าว่าเลย เธอที่มองอยู่ข้างๆ ยังรู้สึกกลัวเลยถึงตระหนักได้
อาจเป็นเพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้พนักงานจึงมองที่เสิ่นหยินอู้สลับมองฉินเย่ จากนั้นถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วคุณผู้ชายล่ะคะ?”ตอนที่ถาม เธอเห็นว่าในตาของผู้ชายแอบคาดหวังเล็กน้อยแต่ว่าครั้งนี้ชายหนุ่มกลับไม่ขยับเปลือกตา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ตามที่เธอว่าเลยครับ”จบกัน ดูท่าแล้วจะห้ามไม่อยู่แล้วเธอไม่พูดพล่ำอีก เพียงแค่ทำเอกสารหย่าร้างให้ทั้งสองเงียบๆปึงปัง!หลังจากประทับตรา หนังสือหย่าร้างสองเล่มก็ถูกยื่นมาตรงหน้าพวกเขาเสิ่นหยินอู้และฉินเย่ยืนอยู่ตรงนั้น ต่างก็มองหนังสือหย่าร้างนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นต่างคนต่างหยิบของตนจากนั้น ก็ออกจากสำนักกิจการพลเรือนไปทันทีที่ออกจากสำนักกิจการพลเรือน เสิ่นหยินอู้ก็สัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่พัดมา ทำให้ผมเพ้าของเธอปลิวไหวกระทบใบหน้าราวกับคมมีดเธอถือหนังสือหย่าร้างไว้ในมือ จากนั้นยื่นมืออีกข้างหนึ่งให้กับฉินเย่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ขอบคุณสำหรับการดูแลตลอดเวลาที่ผ่านมานะ”“เธอเป็นอิสระแล้ว”ฉินเย่ไม่ได้จับมือกับเธอ และไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำ เพียงแค่ทิ้งคำพูดไว้แล้วเดินจากไปทิ้งเสิ่นหยินอู้ไว้ที่เดิมต
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสื้อคลุมตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็คลุมบนร่างเธอ แล้วตามด้วยเสียงทอดถอนใจเล็กน้อย“ร้องไห้ขนาดนี้ ชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?”นี่มัน…เสียงของโม่ไป๋เสิ่นหยินอู้เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยน้ำตา แล้วเอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “ฉันคิดว่า เป็นคนแปลกหน้าซะอีก”ได้ยินแบบนั้น โม่ไป๋ก็หัวเราะเบาๆ “คนแปลกหน้าไม่ใจดีขนาดคลุมเสื้อผ้าให้เธอหรอก”กล่าวจบ โม่ไป๋ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า แล้วเช็ดน้ำตาให้กับเธออย่างอ่อนโยนหลังจากที่เช็ดน้ำตาแล้ว ทุกอย่างตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้น เสิ่นหยินอู้มองเห็นใบหน้าของโม่ไป๋ได้อย่างชัดเจน ในตาของเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง บริเวณมุมปากและใต้คางมีแผลช้ำอยู่เล็กน้อย เป็นร่องรอยจากการถูกฉินเย่ต่อยไม่นานมาก เบื้องตาของเธอก็พร่ามัวอีกครั้งน้ำตาที่เพิ่งเช็ดไปพลันไหลออกมาอีกครั้งตอนอยู่คนเดียวยังไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มีโม่ไป๋อยู่ข้างหน้าเธอ ทำให้เสิ่นหยินอู้มักรู้สึกผิดเธอพลางร้องไห้พลางพูดกับโม่ไป๋ว่า “ขอโทษนะ เหมือนว่าฉัน…จะควบคุมตัวเองไม่ได้”แววตาของโม่ไป๋แปลกไป จากนั้นเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยนต่อน่าเสียดายที่น้ำตาของเธอแห้งแล้วก็กลับมาไหลต่อ ไม่นานผ้าเ
รถจอดริมถนนหน้าสำนักงานกิจการพลเรือน โม่ไป๋มองเธอเงียบๆ อยู่นาน ตอนที่กำลังจะขับรถออกไป โทรศัพท์มือถือในอ้อมอกของเสิ่นหยินอู้ก็ดังขึ้นแต่เสิ่นหยินอู้ที่หลับลึกไม่ได้ยินเสียงเลยโม่ไป๋ไม่มีทางเลือกนอกจากหยิบโทรศัพท์ไปรับสาย“หยินอู้ ฉันมาถึงประตูสำนักงานกิจการพลเรือนแล้ว แต่ฉันไม่เห็นเธอเลย เธออยู่ไหนน่ะ?”เสียงของหญิงสาวที่ใสกังวานดังมาจากปลายสายโทรศัพท์หลังจากได้ยินดังนั้น โม่ไป๋ก็มองไปที่ประตูสำนักงานกิจการพลเรือนแล้วก็เห็นหญิงสาวสวมแจ็กเก็ตดาวน์สีดำสะพายเป้ใบเล็กยืนอยู่หน้าประตูสำนักงานกิจการพลเรือนมองหาเสิ่นหยินอู้ไปรอบๆ โม่ไป๋จำเธอได้เธอคือโจวชวงชวง เพื่อนรักของเสิ่นหยินอู้เมื่อจำอีกฝ่ายได้แล้ว โม่ไป๋ ก็ลดเสียงลงแล้วพูดว่า "สวัสดี ผมโม่ไป๋"หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูสำนักงานกิจการพลเรือนมองไปรอบๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เธอก็หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดทันทีและถามด้วยความระมัดระวัง: “โม่ไป๋? ใครน่ะ? หยินอู้ล่ะ?”โม่ไป๋ไม่พูดจนครึ่งค่อนวัน แม้แต่ตนก็ลืมแล้ว?“เธอจำฉันไม่ได้แล้วเหรอ คนที่อยู่กับหยินอู้บ่อยๆ ตอนเด็กไงล่ะ”หลังจากได้ยินเรื่องนี้ โจวชวงชวงถึงจะตั้งใจนึก