ก็แค่ตัวเองต้องการหย่าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้โม่ไป๋ต้องมาถูกต่อยตลอดแบบนี้สองหมัดเมื่อกี้นี้ เขาก็รับไปฟรีๆ แล้วทันใดนั้น ฉินเย่กวาดมองที่ใบหน้าของโม่ไป๋ แล้วหยุดอยู่ที่ข้อมือของเขา“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ปล่อยมือ”เสิ่นหยินอู้ได้ยินดังนั้นก็รีบมองไปที่โม่ไป๋ แล้วอธิบาย “เรื่องนี้ ฉันจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น โม่ไป๋ก็มองที่เธอนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมา“โอเค ฉันจะรอ”กล่าวจบ โม่ไป๋ก็ปล่อยมือเขาเพิ่งจะปล่อยมือออกหลวมๆ ฉินเย่ก็ลากคนออกไปแล้วหลังจากที่พวกเขาออกไป ผู้ช่วยของโม่ไป๋ถึงจะเดินเข้ามา แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับโม่ไป๋“คุณชายโม่ ไม่เป็นอะไรนะครับ?”โม่ไป๋รับผ้าเช็ดหน้ามา แล้วเช็ดมุมปากของตนนิ่งๆ ในตาเต็มไปด้วยความเย็นชาจุดที่ถูกฉินเย่ต่อย ทั้งๆ ที่เป็นแผลแต่เขากลับเช็ดหนักๆ เหมือนไม่รู้สึกเจ็บราวกับว่าตนเป็นร่างศพที่ไร้ความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น ผู้ช่วยมองเขาอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปหลายส่วนอีกแล้วท่าทีของคุณชายโม่แบบนี้…เขาไม่กล้าพูดอะไรต่อ ทำได้เพียงยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆผ่านไปพักหนึ่ง โม่ไป๋ก็โยนผ้าเช็ดหน้าลงถังขยะ แ
บรรยากาศอันน่าหลงใหลพลันหายไปผ่านไปนานฉินเย่ถึงจะหันหน้ากลับไปมองเธอหลังจากนั้นไม่รู้ว่าเขานึกอะไรออก ในดวงตาสีดำนั้นแฝงด้วยความหืนกาม เขาใช้มือจับคางของเธอไว้อีกครั้ง แล้วสัมผัสที่ริมฝีปากบวมแดงของเธอเบาๆ จากนั้นกล่าวว่า “แต่งงานปลอมๆ ก็จริง แต่เรื่องที่ฉันนอนกับเธอล่ะ ปลอมด้วยเหรอ?”เสิ่นหยินอู้ไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง“นายว่าอะไรนะ?”“ไม่ใช่เหรอ?” ฉินเย่เลื่อนมือลงผ่านลำคอของเธอ แล้วหยุดอยู่ที่กระดูกไหปลาร้าอันงดงามของเธอลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนไหว ดูประโยคสารเลวออกมาด้วยน้ำเสียงมึดครึ้ม“ตอนแรกตอนที่เธอขอให้ฉันนอนกับเธอ ไม่ได้เป็นแบบนี้นี่”เสิ่นหยินอู้หรี่ตาลงหลังจากนั้น เธอก็ง้างมือตบหน้าเขาอีกทีหนึ่งใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินเย่ถูกตบจนหันหน้าไปอีกทางหนึ่งอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ตบแล้วตบอีก เสิ่นนั่วนั่ว เธอคิดว่าฉันไม่กล้าลงมือกับเธอจริงๆ ใช่ไหม?”กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตบเขาอีกครั้งหนึ่งเพี๊ยะ!ฉินเย่หน้าบึ้งในบัดดลแต่เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้ที่ตาแดง จ้องเขาด้วยความโกรธอยู่ข้างล่างแล้ว เขาก็ไม่อาจลงมือกับเธอเลยจริงๆฉินเย่นึกอะไรออกพลันเบะปาก
เขาถูกต่อย แถมยังอาจแตกหักกับเพื่อนของตัวเองเพราะเรื่องของเธอด้วย แต่ตอนนี้เขากลับมาขอโทษตน เสิ่นหยินอู้รู้สึกผิดมากถึงมากที่สุด“ไม่ได้ล้มไม่เป็นท่าหรอก” เธอเอ่ยเสียงชัดเจน “ฉันไม่เป็นไร คนที่ต้องขอโทษคือฉันต่างหากที่ทำให้นายต้องพลอยถูกต่อยไปด้วย”ได้ยินดังนั้น โม่ไป๋ก็หัวเราะออกมาเบาๆ“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ผู้ชายน่ะถูกต่อยหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ”“แต่ว่าต่อไปนายกับเขา…”“วางใจเถอะ ยังไงก็เป็นเพื่อนกัน อย่างมากก็แค่ไม่คุยกับฉันสักช่วงหนึ่ง ถึงแม้จะไม่สนใจฉัน ถึงตอนนั้นฉันก็จะไปขอโทษอยู่ดี”เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็วางใจสักที“ถ้างั้นก็ดี”“แล้วทุกอย่างราบรื่นดีไหม?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า จากนั้นก็คิดได้ว่าคุยโทรศัพท์อยู่ เธอพยักหน้าโม่ไป๋ก็ไม่เห็น จึงเปลี่ยนเป็นคำพูด“อืม ชั่วคราวน่ะ”“เป็นยังไง?”เสิ่นหยินอู้อารมณ์ไม่ดีมาก คำขอโทษก่อนหน้านี้เป็นขีดจำกัดของเธอ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่อยากตอบคำถามใดๆ ทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะโม่ไป๋เคยช่วยเธอไว้ เธอคงวางสายไปตั้งนานแล้วแต่ว่าครั้งนี้เธอต้องพยายามทำให้อารมณ์ของเธอสมดุลแล้วเอ่ยว่า “โม่ไป๋ ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ น่ะ ได
ระหว่างทางไปสำนักกิจการพลเรือน ทั้งสองเงียบมากอุณหภูมิภายในรถต่ำมาก ฉินเย่ไม่เปิดแอร์ด้วยซ้ำอาจจะลืมเพราะความโกรธเสิ่นหยินอู้เพราะรีบออกจากบ้าน จึงสวมแค่เสื้อคลุมตัวเดียวก็ออกมาแล้วตอนแรกยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอนั่งนานเข้า เสิ่นหยินอู้ก็ยิ่งรู้สึกหนาวจนตัวสั่นไปทีหนึ่ง แล้วสวมเสื้อคลุมให้แน่นกว่าเดิมฉินเย่ที่ขับรถอยู่ไม่รู้คิดอะไรจึงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงตลอดเวลาเห็นเธอขยับเสื้อคลุมจากหางตา ก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่เปิดแอร์ด้วยสีหน้าเย็นชาไม่นาน อุณหภูมิในรถก็เพิ่มขึ้นเสิ่นหยินอู้อดไม่ได้หันไปมองฉินเย่สันกรามเรียมชัดของเขางดงามราวกับภาพวาด รูปลักษณ์หน้าตาที่ดูดีของเขา แม้จะมองจะด้านข้างก็ยังดูดีไร้ที่ติข้อเสียอย่างเดียวคือหน้าบึ้งตึงตลอดเวลารู้จักกันมานานหลายปี เสิ่นหยินอู้มองออกว่าฉินเย่กำลังโกรธอยู่ และโกรธมากด้วยแต่ทั้งๆ ที่เขาโกรธขนาดนี้…ก็ยังรับรู้ได้จากท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ แล้วเปิดแอร์ให้กับเธอเสิ่นหยินอู้ละสายตา แล้วก้มหน้าก้มตาจู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกเมื่อมาถึงสำนักกิจการพลเรือน ยังคงต้องต่อแถวเหมือนคราวก่อนที่มาเมื่อถึงคิวแล้ว เสิ่นหยินอู้
ที่โชคร้ายคือเธอพูดถูกเสิ่นหยินอู้เองก็ไม่รู้ว่าตนคิดยังไง ตอนที่เธอได้ยินผู้หญิงคนนี้ด่าฉินเย่นั้น ในใจกลับรู้สึก…สะใจดีเหมือนกันแต่พอย้อนกลับมาคิด เขาไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่น เขาบอกกับตนแต่แรกแล้วว่าเป็นการแต่งงานปลอมๆ เป็นเธอเองที่แอบชอบคนอื่นเขาจะโทษว่าเขาเพอร์เฟคเกินไปไม่ได้หรอกมั้ง?เฮ้อ จะให้เธอด่านั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ทำได้เพียงฟังคนอื่นด่าแล้วกัน“เฮ้อ ฉันว่านะ ผู้ชายอย่างพวกคุณน่ะมันสารเลว ถ้ามันไม่หอมหวานแล้วจะแต่งเข้าบ้านทำไม? ทำเอาต้องมาหย่ากัน ตลกจริงๆ”ผู้หญิงนั่นทำเหมือนฉินเย่เป็นศัตรูคู่แค้น ประชดประชันและด่าอย่างเต็มที่ทีแรกฉินเย่ยังทำหน้าไม่สบอารมณ์ และไม่สนใจหล่อนแต่ผู้หญิงคนนี้ปากแจ่วมากจริงๆ ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว แล้วกวาดมองไปที่หล่อนเมื่อหญิงสาวถูกเขามองเช่นนั้น ก็ตกใจจนพูดไม่ออก ถึงขนาดกลืนน้ำลายลงอย่างไม่รู้ตัวเกิดอะไรขึ้น?ผู้ชายคนนี้ออร่าแข็งแกร่งไม่พอ แต่สายตายังดุร้ายขนาดนี้ด้วย…ชั่ววินาทีนั้นราวกับจะคร่าชีวิตเธอไปอย่างไรอย่างนั้นเสิ่นหยินอู้เองก็เห็นสายตาของฉินเย่เช่นกันอย่าว่าเลย เธอที่มองอยู่ข้างๆ ยังรู้สึกกลัวเลยถึงตระหนักได้
อาจเป็นเพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้พนักงานจึงมองที่เสิ่นหยินอู้สลับมองฉินเย่ จากนั้นถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วคุณผู้ชายล่ะคะ?”ตอนที่ถาม เธอเห็นว่าในตาของผู้ชายแอบคาดหวังเล็กน้อยแต่ว่าครั้งนี้ชายหนุ่มกลับไม่ขยับเปลือกตา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ตามที่เธอว่าเลยครับ”จบกัน ดูท่าแล้วจะห้ามไม่อยู่แล้วเธอไม่พูดพล่ำอีก เพียงแค่ทำเอกสารหย่าร้างให้ทั้งสองเงียบๆปึงปัง!หลังจากประทับตรา หนังสือหย่าร้างสองเล่มก็ถูกยื่นมาตรงหน้าพวกเขาเสิ่นหยินอู้และฉินเย่ยืนอยู่ตรงนั้น ต่างก็มองหนังสือหย่าร้างนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นต่างคนต่างหยิบของตนจากนั้น ก็ออกจากสำนักกิจการพลเรือนไปทันทีที่ออกจากสำนักกิจการพลเรือน เสิ่นหยินอู้ก็สัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่พัดมา ทำให้ผมเพ้าของเธอปลิวไหวกระทบใบหน้าราวกับคมมีดเธอถือหนังสือหย่าร้างไว้ในมือ จากนั้นยื่นมืออีกข้างหนึ่งให้กับฉินเย่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ขอบคุณสำหรับการดูแลตลอดเวลาที่ผ่านมานะ”“เธอเป็นอิสระแล้ว”ฉินเย่ไม่ได้จับมือกับเธอ และไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำ เพียงแค่ทิ้งคำพูดไว้แล้วเดินจากไปทิ้งเสิ่นหยินอู้ไว้ที่เดิมต
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสื้อคลุมตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็คลุมบนร่างเธอ แล้วตามด้วยเสียงทอดถอนใจเล็กน้อย“ร้องไห้ขนาดนี้ ชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?”นี่มัน…เสียงของโม่ไป๋เสิ่นหยินอู้เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยน้ำตา แล้วเอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “ฉันคิดว่า เป็นคนแปลกหน้าซะอีก”ได้ยินแบบนั้น โม่ไป๋ก็หัวเราะเบาๆ “คนแปลกหน้าไม่ใจดีขนาดคลุมเสื้อผ้าให้เธอหรอก”กล่าวจบ โม่ไป๋ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า แล้วเช็ดน้ำตาให้กับเธออย่างอ่อนโยนหลังจากที่เช็ดน้ำตาแล้ว ทุกอย่างตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้น เสิ่นหยินอู้มองเห็นใบหน้าของโม่ไป๋ได้อย่างชัดเจน ในตาของเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง บริเวณมุมปากและใต้คางมีแผลช้ำอยู่เล็กน้อย เป็นร่องรอยจากการถูกฉินเย่ต่อยไม่นานมาก เบื้องตาของเธอก็พร่ามัวอีกครั้งน้ำตาที่เพิ่งเช็ดไปพลันไหลออกมาอีกครั้งตอนอยู่คนเดียวยังไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มีโม่ไป๋อยู่ข้างหน้าเธอ ทำให้เสิ่นหยินอู้มักรู้สึกผิดเธอพลางร้องไห้พลางพูดกับโม่ไป๋ว่า “ขอโทษนะ เหมือนว่าฉัน…จะควบคุมตัวเองไม่ได้”แววตาของโม่ไป๋แปลกไป จากนั้นเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยนต่อน่าเสียดายที่น้ำตาของเธอแห้งแล้วก็กลับมาไหลต่อ ไม่นานผ้าเ
รถจอดริมถนนหน้าสำนักงานกิจการพลเรือน โม่ไป๋มองเธอเงียบๆ อยู่นาน ตอนที่กำลังจะขับรถออกไป โทรศัพท์มือถือในอ้อมอกของเสิ่นหยินอู้ก็ดังขึ้นแต่เสิ่นหยินอู้ที่หลับลึกไม่ได้ยินเสียงเลยโม่ไป๋ไม่มีทางเลือกนอกจากหยิบโทรศัพท์ไปรับสาย“หยินอู้ ฉันมาถึงประตูสำนักงานกิจการพลเรือนแล้ว แต่ฉันไม่เห็นเธอเลย เธออยู่ไหนน่ะ?”เสียงของหญิงสาวที่ใสกังวานดังมาจากปลายสายโทรศัพท์หลังจากได้ยินดังนั้น โม่ไป๋ก็มองไปที่ประตูสำนักงานกิจการพลเรือนแล้วก็เห็นหญิงสาวสวมแจ็กเก็ตดาวน์สีดำสะพายเป้ใบเล็กยืนอยู่หน้าประตูสำนักงานกิจการพลเรือนมองหาเสิ่นหยินอู้ไปรอบๆ โม่ไป๋จำเธอได้เธอคือโจวชวงชวง เพื่อนรักของเสิ่นหยินอู้เมื่อจำอีกฝ่ายได้แล้ว โม่ไป๋ ก็ลดเสียงลงแล้วพูดว่า "สวัสดี ผมโม่ไป๋"หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูสำนักงานกิจการพลเรือนมองไปรอบๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เธอก็หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดทันทีและถามด้วยความระมัดระวัง: “โม่ไป๋? ใครน่ะ? หยินอู้ล่ะ?”โม่ไป๋ไม่พูดจนครึ่งค่อนวัน แม้แต่ตนก็ลืมแล้ว?“เธอจำฉันไม่ได้แล้วเหรอ คนที่อยู่กับหยินอู้บ่อยๆ ตอนเด็กไงล่ะ”หลังจากได้ยินเรื่องนี้ โจวชวงชวงถึงจะตั้งใจนึก
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง
อารมณ์ของเธอในเที่ยวบินขากลับแตกต่างไปจากในตอนขามาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าโชคดีก็คือการที่ไม่ว่าจะเป็นขามาหรือขากลับ ลูกๆทั้งสองคนของเธอก็ล้วนอยู่ข้างกายเธอ หลังจากที่หลี่มู่ถิงได้รับข้อความจากฉินเย่ เขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กๆสองคนให้คุณพ่อคุณแม่ฉินฟังก่อนขึ้นเครื่องบิน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ฉินรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ตกใจและเงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็พูดว่า "เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เที่ยวบินของพวกคุณคือเที่ยวไหน เดี๋ยวถึงแล้วเราจะไปรับ" หลังจากที่หลี่มู่ถิงบอกเสิ่นหยินอู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ฉินบอกมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว เมื่อนึกถึงห้าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอจากไป เธอจึงไม่รู้ว่าจะทักทายพวกเขาได้อย่างไรเมื่อต้องพบกันอีกครั้ง หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เขาทำได้เพียงคาดเดาจากการดูสีหน้าของเธอเท่านั้น เมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงถามด้วยท่าทีระมัดระวัง: "คุณหนูเสิ่น ประธานฉินบอกผมว่าถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลอะไร คุณบอกผมได้เสมอ และเรื่องนี้ก็สามารถล้มเลิก
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที