คำพูดนี้ฟังดูหวานแหววมาก ทำเอาพยาบาลรู้สึกอิจฉาเสิ่นหยินอู้ขึ้นมาทันทีที่แท้ยังไม่เป็นแฟนกัน ก็ดีต่อคนอื่นเขาเพียงนี้แล้ว แถมยังอ่อนโยนมากด้วย น้ำเสียงตอนอธิบายก็อ่อนนุ่ม ซ้ำยังขอบคุณที่เธออวยพรด้วยทำไมบนโลกนี้ถึงได้มีคนอ่อนโยนขนาดนี้เนี่ย?พยาบาลกำลังคิดเหม่อลอยอยู่ ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกคนผลักเปิดออกฉินเย่ที่รูปร่างสูงยาวเดินเข้ามา บนตัวเขายังเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยือกอีกด้วย ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเย็นชาถึงขีดสุดทันทีที่เข้าไปในห้องผู้ป่วย สายตาของเขาก็ตกอยู่ที่ร่างกายของหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยทันทีหลังจากที่กวาดมองไปรอบหนึ่งถึงจะเปลี่ยนไปมองที่โม่ไป๋หลังจากนั้น เขาก็เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ฉันมารับเธอกลับบ้าน”บ้าน?เมื่อได้ยินคำคำนี้แล้ว พยาบาลก็ตกตะลึงในใจถึงกับใช้คำว่าบ้านด้วยกันแล้วเหรอเนี่ย หรือว่าสองคนนี้ถึงจะเป็นคู่จริงคู่แท้?เผชิญกับคำพูดตรงไปตรงมาของฉินเย่แล้ว โม่ไป๋เองก็ไม่โกรธ เพียงแค่กล่าวอย่างอ่อนโยนเหมือนเดิมว่า “นายจะพาเธอกลับไปได้ แต่ต้องรอให้เธอตื่นก่อน”ฉินเย่ปั้นหน้าเขียวก่อนที่ยังเข้ามา เขาแอบได้ยินบทสนทนาระหว่างโม่ไป๋กับพยาบาลแล้ว
โม่ไป๋อมยิ้ม“เย่ ฉันไม่ได้จะโทษนายหรอกนะ การที่นายออกหน้าแทนฉูฉู่ ฉันเข้าใจมาก เพราะยังไงซะ ความรู้สึกที่นายมีต่อหล่อน ก็เหมือนกับที่ฉันรู้สึกต่อหยินอู้ การจะออกหน้าแทนนั้นเป็นเรื่องปกติ”ฉินเย่ขมวดคิ้ว เม้มปากเป็นเส้นตรงเขาเข้าใจแล้ว คำพูดทุกถ้อยคำของโม่ไป๋หนีไม่พ้นเจียงฉูฉู่เลย ไม่ว่าอย่างไรก็จะจับคู่เขากับเจียงฉูฉู่ให้ได้ แล้วจับคู่ตัวเขาเองกับเสิ่นหยินอู้เขากำลังขับไล่ไสสงเขาออกจากเสิ่นหยินอู้อย่างหน้าซื่อเมื่อคิดเช่นนั้น ดวงตาที่กรุ่นโกรธของฉินเย่พลันกลอกไปมา เขากัดฟันกรามเบาๆ เสียงของเขาแฝงด้วยกลิ่นอายของการขบเคี้ยวเขี้ยวฟันแต่ทว่า บัดนี้เขากลับเถียงอะไรไม่ออกผ่านไปครู่หนึ่ง โม่ไป๋จึงกล่าวขึ้นราวกับนึกบางอย่างออก “ขอโทษที เมื่อกี้ฉันพูดแรงไปใช่ไหม?”ฉินเย่ “…”ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินเย่รู้สึกว่าโม่ไป๋เป็นคนที่ทำให้คนอื่นรู้สึกเกลียดขนาดนี้_เสิ่นหยินอู้ฝัน ฝันว่าตนอยู่ในห้องผู้ป่วย โดยมีฉินเย่และโม่ไป๋นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งสองฝั่ง ริมฝีปากบางของทั้งสองเหมือนว่ากำลังพูดพร่ำอะไรอยู่สักอย่างเธอเหมือนจะเห็นชัด แต่ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขากำ
แต่ไม่นาน ฉินเย่ก็รู้ว่าโม่ไป๋คิดอะไรอยู่เพราะหลังจากที่เขามอบของกลับคืนไป เสิ่นหยินอู้ก็กล่าวขอบคุณเขาอย่างซาบซึ้งใจโม่ไป๋ยิ้มจนแก้มจะฉีก“ยินดีมาก กลับบ้านไปก็พักผ่อนดีๆ ล่ะ”“อื้ม”ฉินเย่มองโม่ไป๋ด้วยสายตาหมดคำจะพูด แต่ก่อนทำไมถึงไม่รู้ว่าเขาเล่ห์เหลี่ยมขนาดนี้นะ?แต่ฉินเย่ก็ไม่อยากจะสนใจเขา เพียงแค่ถือเสื้อคลุมเดินไปข้างๆ เสิ่นหยินอู้เสิ่นหยินอู้กำลังจะรับมาสวมใส่ด้วยตนเอง แต่ทว่าฉินเย่กลับปัดมือเธอออกเสิ่นหยินอู้ “?”ไม่คิดว่าฉินเย่จะพูดออกมาว่า “ฉันใส่ให้”“…”อยู่ดีไม่ว่าดี ทำไมเขาถึงมาใส่เสื้อผ้าให้เธอล่ะ?เธอใส่เองไม่ได้เหรอ?จากนั้นไม่รอให้เธอได้ตอบสนอง ฉินเย่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ยื่นมือมา”เสิ่นหยินอู้อยากปฏิเสธ เพราะอย่างไรในห้องนี้ก็ยังมีโม่ไป๋อยู่ แถมโม่ไป๋ก็รู้เรื่องที่พวกเขากำลังจะหย่ากันด้วยเพราะการผ่าตัดของคุณย่าก็ผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว…ขณะเดียวกัน นี่ก็หมายความว่าเส้นทางระหว่างเธอกับฉินเย่ได้สิ้นสุดลงแล้วเวลาแบบนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไปแล้วมั้ง?แต่เมื่อสบเข้าที่ตาดำขลับของฉินเย่แล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไม่อาจพูดปฏิเสธออกมาได้ ดังน
เสิ่นหยินอู้ได้สติ ก็ส่ายศีรษะเงียบๆมือของเธอยังคงคล้องไว้ที่คอของฉินเย่ เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ เสิ่นหยินอู้จึงได้ปล่อยมือออกทว่านางเพิ่งขยับได้เล็กน้อย ฉินเย่ก็เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “กอดไว้”เสิ่นหยินอู้ “…”กล่าวตามตรง เสิ่นหยินอู้ไม่อยากฟังฉินเย่เหมือนจะรู้ความคิดของเธอ จึงได้จงใจปล่อยมือออกเล็กน้อยขณะที่เธอกำลังจะปล่อยมือออกเสิ่นหยินอู้พลันกอดคอของฉินเย่แน่นราวกับสัญชาตญาณข้อมือของเธออ่อนนุ่ม ผิวพรรณขาวนวล เมื่อคล้องไว้ที่คอของเขา ทำให้ดูเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนหลังจากที่รู้ตัวว่าตนทำอะไรลงไป สีหน้าของเสิ่นหยินอู้จึงเปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสได้ถึงความละเอียดอ่อนของผิวพรรณของเธอ ฉินเย่ก็ยกมุมปากขึ้น“กอดแน่นๆ อย่าตกลงไปล่ะ”ครั้งนี้เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ปล่อยมือ แต่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง และแอบมองฉินเย่เป็นครั้งคราวฉินเย่ที่อุ้มเธอไว้ ไม่เสียแรงขณะเดินเลยแม้แต่น้อย ลมหายใจและฝีเท้ายังคงมั่นคงแน่วแน่และเมื่อมองจากมุมของเธอแล้วยังสามารถเห็นสันกรามอันงดงามของฉินเย่ บวกกับมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยของเขาที่ยังไม่หุบกลับเข้าที่เดิมด้วยเธอไม่เข้าใจหากวันนี้เป็นเพราะเขา
เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้จะไม่เข้าใจได้อย่างไรมิน่าล่ะ วันนี้เขาถึงได้ทำตัวแปลกๆ ตอนอยู่กับโม่ไป๋ ที่แท้เขาก็เข้าใจผิดว่าตนชอบโม่ไป๋นี่เอง?เป็นเช่นนี้นี่เอง…เธอคิดว่าเขากำลังเอาใจตน แต่สุดท้ายก็เธอคิดมากไปเองทั้งนั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้พลันหลับตาลง แล้วมองค้อนกลับไปอย่างไม่เกรงใจ“เขาช่วยฉันไว้ แต่นอกจากความขอบคุณที่มีต่อเขาแล้ว ฉันไม่มีความรู้สึกอะไรกับเขาทั้งนั้น นายเองก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้หรอก เพราะคนที่เหมือนนายน่ะ มีไม่มากหรอก”กล่าวจบ บรรยากาศในรถก็เงียบสงบเสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าตนพูดแรงไปไหม?แต่อีกมุมหนึ่ง เขายังสงสัยตนกับโม่ไป๋เลย ตนแค่พูดเขาสักหน่อยจะเป็นไรไปถ้าเขาจะโกรธ ก็ปล่อยให้เขาโกรธไปเถอะเพราะยังไงตอนนี้คุณย่าก็ผ่าตัดผ่านไปด้วยดีแล้ว เธอไม่ต้องคิดมากอะไรขนาดนั้นหรอกเป็นไปตามคาด ฉินเย่โมโหเธอตลอดทั้งทาง ไม่พูดไม่จาใดๆเขาส่งเธอกลับบ้านหลังจากที่จอดรถ เสิ่นหยินอู้กลับไม่ได้รีบร้อนจะลงรถ แต่ถามว่า “คุณย่าเป็นยังไงบ้างแล้ว?”ฉินเย่เงียบอยู่ชั่วขณะ แล้วกล่าวว่า “ไม่แย่”“ถ้างั้นก็ดี ต้องดูอาการอีกนานแค่ไหน?”“48 ชั่วโมง”หลังจากที
บริเวณทรวงอกชาไปหมดลามมาถึงปลายนิ้วฉินเย่แค่นเสียงเย็นชาออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาใช้ฝ่ามือทาบลงบนทรวงอกของตนเสิ่นหยินอู้ได้ยินเสียงที่ออกมาจากความเจ็บปวดของเขา ก็หันไปมอง ถึงจะพบว่าเขาพิงอยู่บนพวงมาลัย สีหน้าดูไม่ดีนักทั้งสองรู้จักกันมานานหลายปีแล้ว ร่างกายของฉินเย่ดีมาโดยตลอด แทบจะไม่เคยป่วยเลยเมื่อเห็นสีหน้าเขาดูย่ำแย่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก เสิ่นหยินอู้เองก็ตกใจสะดุ้งโหยงพลางยื่นมืออกไปจับเขา“เป็นอะไร? ไม่สบายเหรอ?”ความเจ็บปวดไม่จางหายไป แต่กลับเพิ่มพูนยิ่งขึ้นตอนที่เสิ่นหยินอู้ยื่นมือมาจับ ความรู้สึกว่างเปล่าในใจก็ยิ่งมากขึ้นทว่าเมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเสิ่นหยินอู้เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยตนแล้วนั้น ความรู้สึกว่างเปล่านั่นก็ค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกอื่นเมื่อเห็นว่าฉินเย่ไม่ตอบ แต่หน้าผากกลับมีเหงื่อไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนจะไม่สบายมาก เสิ่นหยินอู้ก็ลนลานขึ้นมา แล้วควานหาโทรศัพท์ของตน “เดี๋ยวฉันเรียกรถพยาบาลให้”จากนั้นเธอไม่ทันหยิบโทรศัพท์ ข้อมือของเธอก็ถูกฉินเย่คว้าเอาไว้แน่นฝ่ามือของฉินเย่ทั้งร้อนทั้งหนัก ราวกับไฟกระทบลงผิวของเธอปานนั้นเขาจั
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หลุบตาพิงอยู่อย่างนั้น เขาที่เพิ่งผ่านความเจ็บปวดมา ภายใต้ความสลัวทำให้เขาดูเหมือนคอตกอย่างไรอย่างนั้น ดูน่าสงสารจับใจเสิ่นหยินอู้เองก็ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงมีความคิดแบบนี้ออกมาแต่กล่าวตามตรง ฉินเย่เมื่อกี้นี้ ทำเอาเธอตกใจมาก รู้จักเขามาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเขาเจ็บปวดขนาดนั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หรี่ตาสำรวจมองฉินเย่“นายเป็นอะไรกันแน่? คงไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่หายอะไรหรอกมั้ง?”ฉินเย่ที่เดิมคอตกอยู่ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้ามองเธออย่างหมดคำพูด“โรคร้ายแรงรักษาไม่หาย?” เขาหัวเราะเยาะ “ทำไม? เธออยากให้ฉันตายเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?”“แล้วทำไมนายถึงไม่ยอมไปโรงพยาบาลล่ะ?”ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังเจ็บปวดทรมานมากอยู่ แต่ก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาล การกระทำแบบนี้ ตัวเขาเองไม่คิดว่าแปลกเหรอ?ไม่รอให้เขาตอบ เสิ่นหยินอู้คิดจะถามต่อไปอีก ทว่าฉินเย่กลับปลดล็อกประตูรถ แล้วเอ่ยเสียงแหบว่า “ขึ้นไปเถอะ”เสิ่นหยินอู้อยากพูดอะไรต่อ แต่เมื่อเห็นเขาไม่สบอารมณ์ราวกับไม่อยากสาธยายกับตนต่อ เธอก็ไม่อยากใส่ใจอีกต่อไปก็จริง ถึงแม้ฉินเย่จะเป็นอะไร ก็ไม่ต้องให้ภรรยาที่จะ
หลังจากพูดประโยคนี้จบ ฉินเย่ก็คิดในใจ (เขาจะไม่ปล่อยให้ใครมาแตะต้องเธอแม้แต่ปลายนิ้ว)ไม่คิดว่าเสิ่นหยินอู้ได้ยินคำพูดของเขาแล้วจะเพียงแค่ยิ้มตอบเบาๆ“ไม่เป็นไรหรอก นายเองก็ต้องไปตามหาคน ถ้าฉันเป็นนาย ฉันก็คงทำแบบนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเหตุจำเป็น”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็อดไม่ได้ยิ้มเจื่อนเขาควรจะตอบว่าอะไร?ภรรยาของเขาใจกว้างจริงๆ เกิดเรื่องแบบนี้แล้วยังคิดหาเหตุผลให้เขาอีก?แต่ความใจเย็นของเธอก็บ่งบอกเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง…“เอาเถอะน่า ฉันจะเตรียมตัวพักผ่อนแล้ว นายเองก็เข้านอนเร็วหน่อยแล้วกัน”เสิ่นหยินอู้กลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป บทสนทนาระหว่างทั้งสองจะยิ่งอยู่ยิ่งอึดอัด จึงได้จบบทสนทนาด้วยตัวเองเสียเลยเมื่อได้ยินว่าเธอจะพักผ่อน ฉินเย่เองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไป“เธอพักผ่อนก่อน ฉันจะออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่ง”เสิ่นหยินอู้ชะงัก แล้วพยักหน้า “โอเค ขับรถดีๆ”ขณะที่ออกจากบ้านตระกูลฉิน แล้วขึ้นรถไปอีกครั้ง แววตาของฉินเย่ก็ลุ่มลึกมากบริเวณทรวงอก ดูเหมือนมีบางอย่างติดอยู่ กลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออกทั้งๆ ที่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น แต่น้ำเสียงที่เธอพูดกับเขากลับยังคงเกรงอกเกรงใจ อ่อนโยน