เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้จะไม่เข้าใจได้อย่างไรมิน่าล่ะ วันนี้เขาถึงได้ทำตัวแปลกๆ ตอนอยู่กับโม่ไป๋ ที่แท้เขาก็เข้าใจผิดว่าตนชอบโม่ไป๋นี่เอง?เป็นเช่นนี้นี่เอง…เธอคิดว่าเขากำลังเอาใจตน แต่สุดท้ายก็เธอคิดมากไปเองทั้งนั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้พลันหลับตาลง แล้วมองค้อนกลับไปอย่างไม่เกรงใจ“เขาช่วยฉันไว้ แต่นอกจากความขอบคุณที่มีต่อเขาแล้ว ฉันไม่มีความรู้สึกอะไรกับเขาทั้งนั้น นายเองก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้หรอก เพราะคนที่เหมือนนายน่ะ มีไม่มากหรอก”กล่าวจบ บรรยากาศในรถก็เงียบสงบเสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าตนพูดแรงไปไหม?แต่อีกมุมหนึ่ง เขายังสงสัยตนกับโม่ไป๋เลย ตนแค่พูดเขาสักหน่อยจะเป็นไรไปถ้าเขาจะโกรธ ก็ปล่อยให้เขาโกรธไปเถอะเพราะยังไงตอนนี้คุณย่าก็ผ่าตัดผ่านไปด้วยดีแล้ว เธอไม่ต้องคิดมากอะไรขนาดนั้นหรอกเป็นไปตามคาด ฉินเย่โมโหเธอตลอดทั้งทาง ไม่พูดไม่จาใดๆเขาส่งเธอกลับบ้านหลังจากที่จอดรถ เสิ่นหยินอู้กลับไม่ได้รีบร้อนจะลงรถ แต่ถามว่า “คุณย่าเป็นยังไงบ้างแล้ว?”ฉินเย่เงียบอยู่ชั่วขณะ แล้วกล่าวว่า “ไม่แย่”“ถ้างั้นก็ดี ต้องดูอาการอีกนานแค่ไหน?”“48 ชั่วโมง”หลังจากที
บริเวณทรวงอกชาไปหมดลามมาถึงปลายนิ้วฉินเย่แค่นเสียงเย็นชาออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาใช้ฝ่ามือทาบลงบนทรวงอกของตนเสิ่นหยินอู้ได้ยินเสียงที่ออกมาจากความเจ็บปวดของเขา ก็หันไปมอง ถึงจะพบว่าเขาพิงอยู่บนพวงมาลัย สีหน้าดูไม่ดีนักทั้งสองรู้จักกันมานานหลายปีแล้ว ร่างกายของฉินเย่ดีมาโดยตลอด แทบจะไม่เคยป่วยเลยเมื่อเห็นสีหน้าเขาดูย่ำแย่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก เสิ่นหยินอู้เองก็ตกใจสะดุ้งโหยงพลางยื่นมืออกไปจับเขา“เป็นอะไร? ไม่สบายเหรอ?”ความเจ็บปวดไม่จางหายไป แต่กลับเพิ่มพูนยิ่งขึ้นตอนที่เสิ่นหยินอู้ยื่นมือมาจับ ความรู้สึกว่างเปล่าในใจก็ยิ่งมากขึ้นทว่าเมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเสิ่นหยินอู้เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยตนแล้วนั้น ความรู้สึกว่างเปล่านั่นก็ค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกอื่นเมื่อเห็นว่าฉินเย่ไม่ตอบ แต่หน้าผากกลับมีเหงื่อไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนจะไม่สบายมาก เสิ่นหยินอู้ก็ลนลานขึ้นมา แล้วควานหาโทรศัพท์ของตน “เดี๋ยวฉันเรียกรถพยาบาลให้”จากนั้นเธอไม่ทันหยิบโทรศัพท์ ข้อมือของเธอก็ถูกฉินเย่คว้าเอาไว้แน่นฝ่ามือของฉินเย่ทั้งร้อนทั้งหนัก ราวกับไฟกระทบลงผิวของเธอปานนั้นเขาจั
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หลุบตาพิงอยู่อย่างนั้น เขาที่เพิ่งผ่านความเจ็บปวดมา ภายใต้ความสลัวทำให้เขาดูเหมือนคอตกอย่างไรอย่างนั้น ดูน่าสงสารจับใจเสิ่นหยินอู้เองก็ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงมีความคิดแบบนี้ออกมาแต่กล่าวตามตรง ฉินเย่เมื่อกี้นี้ ทำเอาเธอตกใจมาก รู้จักเขามาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเขาเจ็บปวดขนาดนั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หรี่ตาสำรวจมองฉินเย่“นายเป็นอะไรกันแน่? คงไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่หายอะไรหรอกมั้ง?”ฉินเย่ที่เดิมคอตกอยู่ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้ามองเธออย่างหมดคำพูด“โรคร้ายแรงรักษาไม่หาย?” เขาหัวเราะเยาะ “ทำไม? เธออยากให้ฉันตายเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?”“แล้วทำไมนายถึงไม่ยอมไปโรงพยาบาลล่ะ?”ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังเจ็บปวดทรมานมากอยู่ แต่ก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาล การกระทำแบบนี้ ตัวเขาเองไม่คิดว่าแปลกเหรอ?ไม่รอให้เขาตอบ เสิ่นหยินอู้คิดจะถามต่อไปอีก ทว่าฉินเย่กลับปลดล็อกประตูรถ แล้วเอ่ยเสียงแหบว่า “ขึ้นไปเถอะ”เสิ่นหยินอู้อยากพูดอะไรต่อ แต่เมื่อเห็นเขาไม่สบอารมณ์ราวกับไม่อยากสาธยายกับตนต่อ เธอก็ไม่อยากใส่ใจอีกต่อไปก็จริง ถึงแม้ฉินเย่จะเป็นอะไร ก็ไม่ต้องให้ภรรยาที่จะ
หลังจากพูดประโยคนี้จบ ฉินเย่ก็คิดในใจ (เขาจะไม่ปล่อยให้ใครมาแตะต้องเธอแม้แต่ปลายนิ้ว)ไม่คิดว่าเสิ่นหยินอู้ได้ยินคำพูดของเขาแล้วจะเพียงแค่ยิ้มตอบเบาๆ“ไม่เป็นไรหรอก นายเองก็ต้องไปตามหาคน ถ้าฉันเป็นนาย ฉันก็คงทำแบบนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเหตุจำเป็น”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็อดไม่ได้ยิ้มเจื่อนเขาควรจะตอบว่าอะไร?ภรรยาของเขาใจกว้างจริงๆ เกิดเรื่องแบบนี้แล้วยังคิดหาเหตุผลให้เขาอีก?แต่ความใจเย็นของเธอก็บ่งบอกเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง…“เอาเถอะน่า ฉันจะเตรียมตัวพักผ่อนแล้ว นายเองก็เข้านอนเร็วหน่อยแล้วกัน”เสิ่นหยินอู้กลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป บทสนทนาระหว่างทั้งสองจะยิ่งอยู่ยิ่งอึดอัด จึงได้จบบทสนทนาด้วยตัวเองเสียเลยเมื่อได้ยินว่าเธอจะพักผ่อน ฉินเย่เองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไป“เธอพักผ่อนก่อน ฉันจะออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่ง”เสิ่นหยินอู้ชะงัก แล้วพยักหน้า “โอเค ขับรถดีๆ”ขณะที่ออกจากบ้านตระกูลฉิน แล้วขึ้นรถไปอีกครั้ง แววตาของฉินเย่ก็ลุ่มลึกมากบริเวณทรวงอก ดูเหมือนมีบางอย่างติดอยู่ กลืนไม่เข้าคายก็ไม่ออกทั้งๆ ที่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น แต่น้ำเสียงที่เธอพูดกับเขากลับยังคงเกรงอกเกรงใจ อ่อนโยน
ขอแค่เป็นผู้มีพระคุณของเขาหนึ่งวัน เขาก็ไม่มีทางทำไม่ดีกับตนงั้นเหรอ?ก็จริง คนตระกูลฉินให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ไม่อย่างนั้นหลายปีมานี้ตระกูลเจียงไม่มีทางก้าวกระโดดได้เร็วเพียงนี้หรอกแต่ว่าเจียงฉูฉู่กลับคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ หากมีอยู่วันหนึ่ง ฉินเย่พบว่าผู้ช่วยชีวิตเขาจริงๆ คือเสิ่นหยินอู้ ไม่ใช่ตนเข้าด้วยอุปนิสัยของเขาแล้ว เขาอาจจะฆ่าตนก็เป็นได้!เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แผ่นหลังของเจียงฉูฉู่ก็เหงื่อแตกทันทีโชคดีที่ในตอนนั้นนอกจากเสิ่นหยินอู้กับตนแล้ว ไม่มีพยานคนอื่นอีก หากเรื่องนี้มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยล่ะก็ เธอต้องจบเห่แน่ๆ“เอาอย่างงี้ เรื่องสองคนนั้นที่หนูพูดถึง เดี๋ยวพ่อจัดการเอง หนูไม่ต้องห่วง ขอแค่ประจบฉินเย่ให้ดีก็พอแล้ว”เมื่อได้ยินคำว่าประจบแล้ว เจียงฉูฉู่ก็ไม่สบอารมณ์ทันใด“พ่อคะ ประจบประเจิบอะไรกัน? ความสัมพันธ์ของหนูกับเย่เท่าเทียมกัน หนูไม่ใช่ผู้หญิงที่ขี้ประจบฉินเย่พวกนั้นหรอกนะคะ”“ใช่ๆๆ ฉูฉู่ของเราดีที่สุดแล้ว ฉินเย่ต้องชอบหนูสิไม่ว่า”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ พ่อเจียงก็เห็นแผลที่หน้าผากของเจียงฉูฉู่อีกครั้ง“ส่วนแผลที่หน้าผากของหนู ฉูฉู่เ
หลังจากที่มาถึงโรงพยาบาล เสิ่นหยินอู้เห็นคุณนายฉินที่ดีขึ้นมากแล้ว ก็ดีใจมาก เอาแต่นั่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาคุณนายฉินเห็นเธอเช่นนั้น ก็เหมือนกับเห็นเด็กน้อยวัยสิบกว่าปี อารมณ์ก็พลอยดีไปด้วย“คุณย่าคะ หิวน้ำไหมคะ? เจ็บแผลไหม? ง่วงไหม? อยากกินอะไรไหม หรือว่าอยากจะนอนต่ออีกสักหน่อยไหมคะ? หรือว่าถ้านอนไม่หลับ ให้หนูเล่านิทานให้ฟังไหมคะ?”อาจเป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป ทำให้เสิ่นหยินอู้ไม่ทันสังเกตว่าคำพูดของตนนั้นผิดปกติแต่คุณนายฉินก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอ เพียงแค่พูดว่า “ย่าไม่ง่วง ในเมื่อหยินอู้ของย่าจะเล่านิทานให้ฟัง ถ้างั้นย่าขอฟังนิทานสักหน่อยค่อยหลับแล้วกัน”หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มเล่านิทานต่างๆ นานาให้คุณนายฉินฟังคุณนายฉินฟังอย่างได้อารมณ์ มุมปากยกขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนแม่ฉินที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้สำรวจมองเธอ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าลูกสะใภ้คนนี้เข้าท่าจริงๆเพราะว่า หากเปลี่ยนเป็นตนล่ะก็ เธอคงไม่มีความอดทนมากขนาดเล่านิทานให้คนแก่ฟังหรอก แถมในสถานการณ์ที่ไม่เห็นภาพ ยังสามารถเล่าได้ดีขนาดนี้ด้วยสุดท้ายภายใต้เสียงอันอ่อนโยนของเสิ่นหยินอู้ ทำให้คุณนายฉินเคลิ้มหลับไปรอให้เธอหล
อย่างไรก็ตาม ท่าทีแบบนั้นคงจะเป็นลักษณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบและอยากดูแลล่ะมั้งตัดภาพมาที่เสิ่นหยินอู้ แม่ฉินพลันถอนหายใจใช่ว่าเสิ่นหยินอู้ไม่สวย เพียงแต่ว่าเธอแข็งแกร่งมากเกินไป เรื่องส่วนมากก็จัดการเองเสมอแต่เจียงฉูฉู่กลับ…ในฐานะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน เธอจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเจียงฉูฉู่คิดอะไรกับลูกชายตัวเอง?แต่เจียงฉูฉู่เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลฉิน ต่อหน้าแม่ฉินยังต้องเกรงอกเกรงใจหล่อนด้วยแต่ความเกรงใจนี้ เป็นความเกรงใจที่มีต่อแขกเท่านั้นหากเจียงฉูฉู่คิดจะแย่งตำแหน่งของเสิ่นหยินอู้ไปล่ะก็ เช่นนั้นเธอในฐานะแม่ต้องไม่เห็นด้วยแน่นอนแต่งตัวธรรมดาเกินไปเหรอ?ความจริงก่อนที่แม่ฉินจะกลับมา เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้แต่งตัวธรรมดาหรอกเธอเป็นคนรักสวยรักงามมาตลอด ตอนที่ตระกูลเสิ่นยังไม่ล้มละลาย เสื้อผ้าและเครื่องประดับหรือกระเป๋าของเธอล้วนแต่เป็นคอลเล็กชันใหม่ล่าสุดของซีซั่นนั้นเสมอ และเธอก็เป็นลูกค้าวีไอพีขั้นสูงสุดของแบรนด์ด้วย ทุกปีจะมีของขวัญพิเศษส่งมาเสมอ และมีการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ มากมายหลังจากที่ตระกูลเสิ่นล้มละลาย เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องพวกนั้นอีกถึงแม้ฉ
เพียงแต่เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าคำว่าไม่กี่วันของแม่ฉินจะมาเร็วเพียงนี้เพราะผ่านไปเพียงสองวัน จู่ๆ แม่ฉินก็ลากเธอมาอย่างตื่นเต้นว่า “หยินอู้ พรุ่งนี้ไปตรวจร่างกายกันเถอะ”เสิ่นหยินอู้ที่ได้ยินดังนั้นพลันชะงักทันที“แม่คะ ทำไมจู่ๆ ถึงเลื่อนเข้ามาล่ะคะ? บอกว่ารอให้คุณย่าดีขึ้นอีกหน่อยไม่ใช่เหรอคะ?”แม่ฉินยิ้มแย้ม “เพราะว่าช่วงนี้คุณย่าอาการดีขึ้นมาก หมอบอกว่าสถานการณ์ไม่แย่ อีกอย่างสองวันนี้แม่ได้ยินว่ามีหมอเก่งๆ มาแหละ น่าจะอยู่แค่ไม่กี่วัน หนูก็รีบไปตรวจร่างกายซะ ถึงตอนนั้นเราจะได้รักษากับหมอคนนั้นเลย”เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รู้สาเหตุที่แม่ฉินเลื่อนเวลาเข้ามาแล้วเธอทำได้เพียงยิ้มตอบ และคิดหาวิธีปฏิเสธ “ความจริงเราแค่ตรวจร่างกายเฉยๆ เครื่องมือธรรมดาก็สามารถบอกผลได้ หมอทั่วไปก็สามารถรักษาได้เหมือนกันแหละค่ะ”“ก็ถูก แต่ว่าโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว แม่กับย่าทักทายหมอไว้แล้ว บอกว่าช่วงนี้จะพาหนูไปตรวจร่างกาย หมอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”เสิ่นหยินอู้ที่เดิมคิดว่าหากวิธีนี้ไม่เป็นผล ก็จะใช้คุณนายฉินมาอ้าง “…”ไม่คิดว่าแม่ฉินจะทาบทามฝั่งคุณนายฉินแล้วด้วยรวดเร็วทันใจจริงๆหาก
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ