บทที่ 46 เข้าเฝ้าเผิงฟู่หลินลืมตาขึ้นในช่วงเช้าของวันใหม่ ใบหน้าคมเข้มที่อยู่ใกล้เพียงลมหายใจทำให้นางชะงักลงไป สองตายังคงหลับพริ้มราวกับคนที่อ่อนล้ามานาน เผิงฟู่หลินค้อนขวับใส่เขาในทันที ก่อนจะค่อยๆ ขยับกายออกมาจากร่างแกร่ง แม้หัวใจของนางจะยังคงเต้นรัวแรง หากแต่เผิงฟู่หลินจำต้องแข็งใจเอาไว้และนางจะไม่ยอมหลงกลชายหนุ่มตรงหน้าอีกแล้วเผิงฟู่หลินรีบผลัดเปลี่ยนชุดก่อนจะก้าวออกมาภายนอกห้องอย่างต้องการหนีหน้าหนี่เส้าจวินในทันทีเจ้าจูที่เห็นเผิงฟู่หลินก็อมยิ้มพร้อมมองหน้านางอย่างนึกล้อเลียน แต่เมื่อเห็นสายตาดุพร้อมใบหน้าถมึงทึงที่ส่งกลับมาทำให้เจ้าจูถึงกับหุบยิ้มลงไปในทันทีเผิงฟู่หลินก้าวเดินออกไปยังสวนโดยไม่สนใจเจ้าจูที่รีบเร่งเดินตามมาติดๆระหว่างทางเดิน เผิงฟู่หลินที่ได้พบกับเสี่ยวเหวินโหลเข้าโดยบังเอิญ นางยิ้มกว้างออกมา พร้อมปรี่เข้าไปหาเขาในทันที“เสี่ยวเหวินโหล เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง สบายดีหรือไม่” เผิงฟู่หลินทักทายเขาออกไปด้วยใบหน้าที่สดชื่นขึ้นเสี่ยวเหวินโหลพยายามอมยิ้มเอาไว้พร้อมทั้งพยายามสงวนท่าทีที่มี “ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง ข้าน้อยสบายดีขอรับ”เผิงฟู่หลินหุบยิ้มลงไป “เสี่ยวเหวินโหล
บทที่ 47 ข้าถูกใส่ร้ายบรรยากาศภายในท้องพระโรงที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดกลับเงียบสงัดลงอีกครั้ง ทุกคนต่างมีสีหน้าและแววตาที่เคร่งเครียดกันเป็นอย่างมากฮ่องเต้หยิบเอกสารฉบับหนึ่งขึ้นมา พร้อมโยนมันลงบนพื้นอย่างเต็มแรง เขาหันไปจ้องมองหนี่ซูเว่ย บุตรชายที่เขาคิดจะมอบบัลลังก์ทองแห่งนี้ให้ด้วยสายตาที่ทั้งตำหนิทั้งผิดหวังเป็นอย่างมาก “ลูกข้าช่างโง่เขลายิ่งนัก เจ้ายังมิรู้ความผิดอีกหรือ”หนี่ซูเว่ยตกตะลึงเมื่อสิ้นเสียงของพระบิดา เขาก้มลงหยิบเอกสารที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา เมื่อหนี่ซูเว่ยพิจารณาเนื้อความด้านในก็ถึงกับผงะไปในทันที ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงด้วยความตื่นตระหนก สองมือลู่ตกลงข้างลำตัวอย่างหมดแรงหนี่ซูเว่ยหันมามองหน้าเผิงเสี่ยวว่านอย่างไม่อาจเชื่อสายตา เผิงเสี่ยวว่านเองก็มีสีหน้าแปลกใจเช่นเดียวกัน “ท่านพี่เกิดอะไรขึ้น”เผิงเสี่ยวว่านยกมือขึ้นหยิบเอกสารในมือของหนี่ซูเว่ยออกมา พร้อมกับก้มลงอ่านเนื้อความด้านใน ทันใดนั้นนางก็เบิกตากว้างอย่างไม่อาจเชื่อสายตาตนเอง สองมือสั่นเทาจนยากจะควบคุม “ไม่จริง...ข้ามิได้ทำ...ท่านพี่...ข้ามิได้ทำ” เผิงเสี่ยวว่านร้องออกมาพร้อมคุกเข่าลงตรงหน้าหนี่ซูเว่ย สองมือ
บทที่ 48 เรื่องราวของเจ้ายังไม่จบหลังจากเผิงอันอวี้รายงานการศึกเรียบร้อยแล้ว หนี่เส้าจวินเองก็ไม่รอช้า เขาก้าวออกมาด้านหน้า พร้อมคุกเข่าลงก่อนจะรายงานต่อ “ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันมีหลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์แท้งบุตรของเผิงเสี่ยวว่านที่จวนของหม่อมฉันพ่ะย่ะค่ะ”ทันทีที่หนี่เส้าจวินกล่าวจบ เขาก็หันไปตะโกนสั่งการทหารที่รออยู่ด้านนอกด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ทหาร นำตัวเข้ามาเดี๋ยวนี้”ทหารจำนวนหนึ่งก้าวเข้ามาในท้องพระโรง พร้อมกับนำตัวหญิงสาวสามคนและชายชราหนึ่งคนเข้ามายังด้านใน สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เหล่าผู้ถูกคุมตัวเผิงเสี่ยวว่านจับตามองหญิงสาวที่ถูกนำตัวเข้ามา ใบหน้านางซีดเผือดลงอีกหนที่ได้เห็นหวังเหม่ยหลิงและจงหลีพร้อมกับสาวใช้นางหนึ่งถูกลากเข้ามาในท้องพระโรงในสภาพที่ดูสะบักสะบอม เผิงเสี่ยวว่านเบิกตากว้างจนลืมหายใจไปชั่วขณะ นางแทบจะสิ้นสติลงไปอีกครั้ง“ขอท่านอ๋องเมตตาด้วย ไว้ชีวิตข้าด้วย พระชายาสั่งให้พวกข้าทำ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” หวังเหม่ยหลิงร้องคร่ำครวญอย่างน่าเวทนา“เจ้าจงบอกความจริงมาเดี๋ยวนี้” หนี่เส้าจวินคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด“พระชายาเผิงเสี่ยวว่านเจ้าค่ะ พระชายามอบเงินให
บทที่ 49 เจ้ามองเพียงสิ่งที่เจ้ามิได้ครอบครองฮูหยินเซียงยืนอยู่เบื้องหน้าเผิงเสี่ยวว่านด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน นัยน์ตาของนางแฝงไปด้วยความสมเพชอย่างลึกซึ้ง “แม่ของเจ้ามีเจ้าตั้งแต่ก่อนแต่งงานกับนายท่าน แต่เพราะนายท่านรักแม่ของเจ้ามาก เขาจึงยอมปิดตาข้างหนึ่งและยอมรับเจ้าเป็นบุตรคนหนึ่ง แต่เพราะแม่ของเจ้าตัดใจมิได้ นายท่านจึงได้รับความเฉยชาจากแม่ของเจ้ามาโดยตลอด จนกระทั่งแม่ของเจ้าสิ้นลม คนผู้เดียวที่นางเพ้อฝันก็ยังคงเป็นพ่อของเจ้า คนที่นางมิเคยเอ่ยออกมาว่าเป็นผู้ใด นายท่านสงสารเจ้าจึงรักและดูแลเจ้าในฐานะบุตรสาวคนโตของสกุลเผิง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าขอถามเจ้าว่าเจ้าควรโกรธแค้นผู้ใดกันแน่” ฮูหยินเซียงตวาดออกมาอย่างหมดความอดกลั้น แม้ผู้คนต่างรับรู้ว่าราชครูเผิงโปรดปรานนางมากเพียงใด แต่มีเพียงนางที่รู้ดียิ่งกว่าใครว่าหัวใจของเขามอบให้กับแม่ของเผิงเสี่ยวว่านมาโดยตลอด และนั่นคือสิ่งที่นางต้องอดกลั้นเก็บงำความลับที่ฟอนเฟะของเผิงเสี่ยวว่านเอาไว้กับตัว โดยที่ไม่เคยเปิดเผยออกมา“ไม่จริง” เผิงเสี่ยวว่านส่ายหัวอย่างแรง “ไม่จริง...แม่ข้ามิใช่คนเช่นนั้น...เจ้าโกหก...เจ้าใส่ร้ายแม่ข้า....” เสียงของเผิง
บทที่ 50 ฟ้าหลังฝนหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น บรรยากาศภายในจวนสกุลเผิงก็กลับมาปกติอีกครั้งแม้ภายในใจของทุกคนจะเต็มไปด้วยความสะเทือนใจและเศร้าสลดภายในห้องโถงใหญ่เผิงฟู่หลินยืนหน้าบึ้งมองเผิงอันอวี้ด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่า นางรัวกำปั้นกระหน่ำลงบนแผงอกของพี่ชายอย่างไม่ยั้ง“พี่ใหญ่ ท่านใจร้ายยิ่งนัก ท่านทำให้ข้าและท่านแม่เป็นห่วง ท่านพ่อและท่านแม่ล้มป่วยไปอยู่หลายหน ท่านจะรับผิดชอบเช่นใด” น้ำเสียงของเผิงฟู่หลินแม้จะเต็มไปด้วยความแง่งอน แต่นางก็รู้สึกยินดียิ่งที่บัดนี้พี่ชายของนางแคล้วคลาดปลอดภัยเผิงอันอวี้ยืนนิ่งยิ้มกว้างให้กับน้องสาวของตน “หลินเอ๋อร์... เจ้าก็รู้ดีว่าข้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้ แผนการครั้งนี้สำคัญมาก ข้าไม่มีทางเลือก ข้าต้องล่วงหน้าเพื่อตลบหลังทัพของเมืองศัตรู อีกทั้งต้องทำลายความเชื่อมั่นของไส้ศึกที่คอยสอดแนมอยู่ หากไม่ทำเช่นนี้ ข้าจะรักษาชีวิตเจ้าและครอบครัวได้อย่างไร”เผิงฟู่หลินฟังคำอธิบายพร้อมใบหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนก็ได้แต่ใจอ่อนลง นางเพียงค้อนใส่เขาอย่างรักษาท่าที “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...เหตุใดท่านจึงไม่ยอมบอกให้ข้ารู้ด้วยเล่า”น้ำเสียงที่ยังคงแง่งอนของเผิงฟู
บทที่ 51 เข้าใจแต่ไม่อาจยอมรับภายในจวนอ๋องหนี่เส้าจวิน บรรยากาศยามค่ำคืนอันเงียบงัน สายลมหนาวพัดพาใบไม้ไหวไปตามจังหวะ หนี่เส้าจวินนั่งอยู่ภายในเรือนนอนด้วยความกระวนกระวายใจ เขาเฝ้ามองไปทางประตูเป็นระยะเพื่อรอคอยการกลับมาของเผิงฟู่หลิน นับตั้งแต่เกิดเรื่องในวัง เขาก็ยังมิมีโอกาสได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับนางสักหนหนึ่ง หนี่เส้าจวินรู้ดีว่าเผิงฟู่หลินโกรธเขามาเพียงใด และที่ผ่านมานางต้องเจ็บช้ำมากแค่ไหน แต่ทุกสิ่งที่เขาทำส่วนหนึ่งนั้นเพื่อบ้านเมือง แต่อีกส่วนก็เพื่อปกป้องนางอันเป็นที่รักยิ่งของเขา หนี่เส้าจวินจึงได้แต่หวังเพียงให้เผิงฟู่หลินเข้าใจและไม่ถือโทษเขาในที่สุดบานประตูค่อยๆ เลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ เผิงฟู่หลินที่เดินเข้ามาหลังจากกลับจากจวนสกุลเผิง นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้าไปทางร่างกายและจิตใจ แม้ว่าเรื่องราวต่างๆ จะผ่านพ้นไปได้แต่กลับสร้างบาดแผลใหญ่ให้กับคนในจวนมิใช่น้อย ราชครูเผิงตั้งแต่เกิดเรื่องก็เอาแต่เก็บตัวด้วยความรู้สึกหดหู่และเศร้าหมองเผิงฟู่หลินนึกถึงสิ่งที่เผิงอันอวี้เล่าให้ฟังว่าบิดาของตนถวายฎีกาขอลาออกจากราชการด้วยเหตุผลเรื่องที่ตนนั้นด้อยความสามารถทำให้สร้างป
บทที่ 52 จากลาข่าวเรื่องการหย่าร้างของหนี่เส้าจวินและเผิงฟู่หลินแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างเล่าลือกันไปทั่วอย่างสนุกปาก บรรดาคุณหนูจากสกุลต่างๆ เริ่มมีความหวังอีกครั้งในการผูกสมัครและเกี่ยวดองเพื่อให้ได้เป็นพระชายาอ๋อง ไม่ต่างจากบรรดาคุณชายทั้งหลายที่แม้เผิงฟู่หลินจะเป็นหญิงหย่าร้าง แต่นางก็นับว่าขึ้นชื่อเรื่องความงดงาม อีกทั้งสกุลเผิงเองก็มีอำนาจและอิทธิพลเป็นอย่างมาก หากได้เกี่ยวดองกันย่อมหมายถึงความรุ่งโรจน์ของตระกูลของตน“หลินเอ๋อร์ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เจ้าไม่ควรวู่วามเช่นนี้” เผิงอันอวี้พยายามทัดทานอย่างมาก“หลินเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นก่อนเถิด ท่านอ๋องมีเหตุผลที่ทำเช่นนั้น เจ้าก็สมควรให้อภัยเขาเสียเถอะ” ฮูหยินเซียงก็ไม่ต่างกันมีเพียงราชครูเผิงที่นั่งฟังอย่างสงบโดยมิได้ออกความเห็นใดๆ ออกมา และแม้ว่าครอบครัวสกุลเผิงจะพยายามทัดทานเผิงฟู่หลินมากเพียงใด แต่นางก็ยังคงยืนกรานที่จะหย่าขาดกับหนี่เส้าจวินเช่นเดิม คนอื่นต่างหาว่านางเป็นคนไร้เหตุผล แต่ใครจะล่วงรู้ นางยากลำบากเพียงใดกว่าจะเปิดใจยอมรับเขาเข้ามา แต่เมื่อถึงเวลาที่นางสามารถตัดใจได้อีกหน กำแพงที่กั้นขวางในใจย่อ
บทที่ 53 หลีกหนีคนหนึ่งเจออีกคนหนึ่งเผิงฟู่หลินเดินตามทางเดินภายในราชวังโดยมีขันทีใกล้ชิดฮองเฮานำทาง จนกระทั่งถึงตำหนักของฮองเฮา เผิงฟู่หลินรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย นับจากที่ตบแต่งเข้าจวนอ๋องหนี่เส้าจวิน นางก็มิได้ย่างกรายมายังตำหนักแห่งนี้อีกเลยเผิงฟู่หลินเดินเข้าไปด้านในอย่างสง่างาม ด้านหน้าฮองเฮากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ใหญ่กลางห้อง ท่าทีของฮองเฮายังคงฉายใบหน้าที่งดงามและดูสูงส่ง สายตาที่มองมายังนางยังคงอ่อนโยนเฉกเช่นที่เคย“หลินเอ๋อร์ ถวายพระพรฮองเฮา” เผิงฟู่หลินย่อกายคำนับฮองเฮาในทันทีรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮองเฮา นางลุกขึ้นพร้อมก้าวเข้ามาด้านหน้าเผิงฟู่หลิน ก่อนจะพยุงนางไปนั่งที่โต๊ะด้านข้างของตนอย่างไม่ถือสา แววตาและท่าทางของฮองเฮาฉายความเอ็นดูในตัวเผิงฟู่หลินเป็นอันมาก“หลินเอ๋อร์ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ข้าได้ยินข่าวของเจ้าแล้ว รู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก” ฮองเฮาเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย สองมือกอบกุมมือของเผิงฟู่หลินเอาไว้บ่งบอกถึงกับความรักความโปรดปรานในใจที่มีเผิงฟู่หลินยิ้มรับออกมา “หม่อมฉันสบายดีเพคะ ทำให้ฮองเฮาต้องเป็นกังวล หม่อมฉันรู้สึกผิดยิ่งนัก”ฮอง
บทที่ 64 งานมงคลพิธีสมรสพระราชทานระหว่างหนี่เส้าจวินและเผิงฟู่หลินถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ เหล่าบรรดาแขกเหรื่อมากมายต่างเดินทางมาเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ โต๊ะจัดเลี้ยงถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ พรมแดงยาวทอดจากประตูหน้าจวนเข้าสู่ห้องโถงใหญ่เผิงฟู่หลินสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มผืนยาวพลิ้วไหวจากผ้าไหมชั้นดี นางแต่งกายงดงามสมกับชื่อเสียงเรื่องความโฉมสะคราญ เผิงฟู่หลินก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สง่างามยิ่งนักหนี่ซูเว่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับพระชายาของเขา หนี่ซูเว่ยเฝ้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยความรู้สึกที่ปนเประหว่างความเศร้าและความยินดี หัวใจของเขาหนักหน่วงขึ้นมาจากความรู้สึกที่ฝังลึกลงไปในใจ เผิงซูเว่ยทอดถอนหายใจออกมา ก่อนจะปรับสีหน้าและยิ้มกว้างออกมาให้นางด้วยความยินดี “หลินเอ๋อร์...เจ้าคู่ควรกับความสุขนี้” เขากระซิบกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความจริงใจในขณะที่บรรยากาศภายในงานดำเนินไปอย่างราบรื่น ทางด้านนอกห้องโถงอันเงียบสงัด เสี่ยวเหวินโหลยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน เขามองภาพของเผิงฟู่หลินที่เดินเข้ามาในงานด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
บทที่ 63 ท่านเป็นท่านพ่อข้าหรอกหรือยามสายของวันใหม่อากาศปลอดโปร่งยิ่งนัก หนี่เส้าจวินพิงกายขึ้นนั่ง ดวงตาคู่คมเข้มของเขาจับจ้องใบหน้าของเผิงฟู่หลินที่กำลังหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียจากการถูกเขารังแกไม่หยุดในค่ำคืนที่ผ่านมา แววตาของเขาฉายแววลึกซึ้ง ทั้งหวงแหน ทั้งรักใคร่ เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้นโดยไม่ยอมลุกขึ้นหรือปลุกหญิงสาวจากการหลับใหล รอยยิ้มกรุ้มกริ่มฉายความเจ้าเล่ห์ออกมา หนี่เส้าจวินยังคงจ้องมองหน้านางอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้หนี่เส้าจวินหันหน้าไปมองด้วยสายตาขัดใจที่ถูกรบกวน เผิงฟู่หลินปรือตาขึ้นมาเมื่อเห็นเจ้าจูยืนอยู่ข้างหน้าประตู เจ้าจูได้แต่ก้มหน้านิ่งพร้อมใบหน้าแดงก่ำด้วยความกระดากอาย“ท่านอ๋องและคุณหนู ได้เวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ” เจ้าจูพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยไม่แม้แต่จะมองสภาพภายในห้องที่ราวกับผ่านศึกสงครามครั้งใหญ่“เจ้ามาช่วยข้าที” เผิงฟู่หลินบอกกล่าวออกไป“พวกเรามิต้องเร่งรีบนักหรอก ทุกคนคงเข้าใจได้ดี” หนี่เส้าจวินพูดขึ้นมาหน้าตาเฉยท่าทางราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวอันใด เผิงฟู่หลินได้แต่นึกหมั่นไส้คนตรงหน้าพร้อมค้อนขวับใส่เขาไปหนึ่งที“ท่านอ๋องลืมแ
บทที่ 62 บุตรของข้าท้องฟ้าภายนอกยังคงมืดมิด เสียงลมพัดผ่านเบาๆ ทำให้ผ้าม่านสีขาวบางบนหน้าต่างสะบัดเล็กน้อย เผิงฟู่หลินขยับกายช้าๆ ไล่ความเมื่อยขบที่ได้รับจากการเคี่ยวกรำของหนี่เส้าจวินอย่างต่อเนื่อง แม้นางจะยังคงอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่ทว่าร่างหนาของหนี่เส้าจวินที่เกยก่ายนางเอาไว้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมาหนี่เส้าจวินนอนอยู่ข้างกาย เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ยามหลับตาใบหน้าของเขาดูผ่อนคลาย ไม่ดุดันและเคร่งขรึมเฉกเช่นยามปกติเผิงฟู่หลินพลิกตัวขึ้นจ้องมองดูใบหน้าของหนี่เส้าจวินอย่างเต็มสองตา บุรุษที่มักมารบกวนนางในยามหลับฝัน บัดนี้อยู่ใกล้เพียงลมหายใจเข้าออก เผิงฟู่หลินเหม่อมองอย่างใจลอย ความลืมตัวทำให้นางขยับมือขึ้นมาลูบไล้ไปตามใบหน้าของหนี่เส้าจวินอย่างแผ่วเบา นิ้วเรียวสัมผัสไปตามหน้าผากไล้ไปตามแผงคิ้วสีดำเข้มไล่ลงมาที่สันจมูกที่คมเข้ม ริมฝีปากที่หนาเชิดรับกับใบหน้า ทำให้เขาดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อเผิงฟู่หลินอดที่จะยกยิ้มออกมาอย่างเสียมิได้ แต่ทันใดนั้นร่างของเธอก็ปลิวขึ้นมาทาบอยู่บนตัวของหนี่เส้าจวิน เขาปรือตาขึ้นพร้อมดึงตัวนางขึ้นมาก่ายเกยแนบชิดที่หน้าอก ร
บทที่ 61 สะสางหนี่เส้าจวินสาวเท้าก้าวเข้ามาภายในเรือนนอนของเผิงฟู่หลิน ทุกย่างก้าวของเขาหนักแน่นและดุดัน แววตาของเขาเย็นยะเยือกจนน่าหวาดหวั่นใจเผิงฟู่หลินพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่หนี่เส้าจวินกลับใช้พละกำลังที่มีรัดนางจนแทบขยับไม่ได้ สองมือปัดป่ายทุบตีไปตามแผ่นหลัง แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดก็มิได้ส่งผลอันใดกลับมาหนี่เส้าจวินเดินตรงไปยังที่เตียงนอน ก่อนจะโยนร่างของเผิงฟู่หลินลงบนเตียงในทันที จากนั้นเขาจึงหันหลังเดินกลับไปแล้วปิดประตูลงอย่างเต็มแรงเสียงประตูที่ปิดกระแทกลงเสียงดังสนั่นทำเอาเผิงฟู่หลินถึงกับสะดุ้งสุดตัว นางถูกโยนลงบนเตียงอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้สะโพกของนางกระแทกลงบนฟูกอย่างแรงเผิงฟู่หลินรีบหยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยความขุ่นเคืองใจ ลมหายใจหอบเหนื่อยจากการดิ้นรนเมื่อครู่ นางยืนประจันหน้ากับหนี่เส้าจวินอีกครั้งหนี่เส้าจวินหันมาเผชิญหน้ากับเผิงฟู่หลินด้วยสายตาที่ดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ความโกรธเคืองที่มีร้อนระอุไปทั่วร่างกายของเขา นางหายตัวไปเกือบหกปีทั้งยังกลับมาพร้อมเด็กชายอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกนางว่า “แม่” เสียอีก แค่เพียงคิดว่านางคลอเคลียกับบุรุษคนอื่นก็ทำเอาหนี้เส้าจวินแทบค
บทที่ 60 พบกันอีกคราเผิงฟู่หลินเดินทางกลับมายังจวนสกุลเผิง นางเงยหน้าขึ้นมองประตูที่หน้าจวนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก หกปีแล้วที่นางจากไปแต่ทว่าจวนสกุลเผิงยังคงสงบไม่แตกต่างจากในวันวานเผิงฟู่หลินก้าวเท้าเข้าไปภายในจวน พ่อบ้านรีบเข้ามาต้อนรับพร้อมรายงานว่านายท่านทั้งสามอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เผิงฟู่หลินจึงเดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อพบกับครอบครัวในทันทีราชครูเผิง ฮูหยินเซียงและเผิงอันอวี้กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ทันทีที่ทั้งสามเห็นเผิงฟู่หลินก็แสดงสีหน้าดีใจอย่างยิ่ง ฮูหยินเซียงรีบก้าวเท้าเข้ามากอดเผิงฟู่หลินเอาไว้แน่น “หลินเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว”“หลินเอ๋อร์...เจ้ากลับมาครั้งนี้คงมิคิดจะออกเดินทางอีกใช่หรือไม่” เผิงอันอวี้ที่ก้าวเท้ามาตรงหน้าเผิงฟู่หลิน พร้อมกล่าวดักคอน้องสาวของตนในทันที“พี่ใหญ่ ข้าได้เดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว สถานที่ใดที่ข้าเคยใฝ่ฝันข้าล้วนได้เห็นกับตาตนเองทั้งสิ้น บัดนี้ข้าจะกลับมาอยู่บ้าน ข้าจะกลับมาอยู่กับครอบครัวของข้า” เผิงฟู่หลินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส หกปีที่ผ่านมานางได้เดินทางไปทั่ว ทั้งดินแดนตอนเหนือจนถึงดินแดนตอนใต้ สถานที่ที่นางเคยได้แต่จินตนาการจากการ
บทที่ 59 เจ้าหนีข้าไปแล้วหนี่เส้าจวินแทบคลุ้มคลั่งเมื่อได้รับข่าวว่าเผิงฟู่หลินได้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะกล้าทำเช่นนี้กับเขา เผิงฟู่หลิน...นางหนีจากเขาไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำ“พวกเจ้าออกตามหาพระชายาทุกเส้นทาง ต้องตามหานางให้เจอ” คำสั่งที่ดุดันแฝงความโกรธเคือง ทำให้เหล่าองครักษ์รีบรับคำสั่งพร้อมกระจายตัวออกตามหาในทันที“ว่าไงนะ” เสียงตะคอกดังลั่นไปทั่วจวน เมื่อองครักษ์กลับมารายงานว่าไม่พบร่องรอยของเผิงฟู่หลินเลยแม้แต่น้อยหนี้เส้าจวินที่หัวเสียอย่างมาก เขาทุบโต๊ะเสียงดังสนั่นไปทั่วห้องอักษร ทำเอาเหล่าองครักษ์ได้แต่ยืนแข็งเกร็ง เหงื่อไหลซึมออกมาด้วยกลัวโทสะของหนี่เส้าจวิน“ตามหาต่อไป แม่ทัพเผิงแจ้งข่าวว่านางเดินทางไปดินแดนใต้ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะหานางไม่พบ”ทั้งที่หนี่เส้าจวินคิดว่าเผิงฟู่หลินไม่มีทางหนีไปไหนได้ไกล ทว่าเวลาผ่านไปเกือบเดือนก็ยังคงไม่มีวี่แววใดๆ ของนาง เขาสั่งการให้ทหารออกตามหาเผิงฟู่หลินในทุกเส้นทางและทุกทิศที่นางอาจจะเดินทางได้ แต่หนี้เส้าจวินกลับไม่รู้ว่าเผิงฟู่หลินได้เปลี่ยนเส้นทางขึ้นไปยังดินแดนทางเหนือแล้ว ดังนั้นการตามหาของเขาก็ไม่ต่างจากการง
บทที่ 58 การเดินทางไกลในช่วงสายของวัน เผิงฟู่หลินและเจ้าจูก็ได้เดินทางออกจากจวนโดยมิได้ร่ำลาผู้ใด พวกนางออกจากประตูเมืองและตามไปสมทบกับเสี่ยวเหวินโหลที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองเสี่ยวเหวินโหลเห็นเผิงฟู่หลินก็รู้สึกยินดียิ่ง เขายิ้มกว้างออกมาอย่างลืมตัว“คำนับคุณหนูเผิง” เสี่ยวเหวินโหลทักทายอย่างเกรงใจ“ท่านอย่าเกรงใจเช่นนี้อีกเลย ต่อไปพวกเราทั้งสามถือเสียว่าเป็นสหายร่วมเดินทางกัน ต่อไปข้าเรียกเจ้าว่าฟู่หลิน ส่วนข้าจะเรียกเจ้าว่าพี่เหวินโหลแล้วกัน” เผิงฟู่หลินเสนอออกไปเสี่ยวเหวินโหลถึงกับก้มหน้าข่มความเคอะเขินที่มี “ฟู่หลิน...”รถม้าถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย ทำให้การเดินทางของเผิงฟู่หลิน เจ้าจู และเสี่ยวเหวินโหลค่อนข้างเป็นไปด้วยความราบรื่นลมหนาวยามเช้าพัดผ่านป่าเขาอันเงียบสงบ เสียงใบไม้ปลิวไสวกระทบกันดั่งเสียงดนตรีแห่งธรรมชาติ บนทางเดินที่เต็มไปด้วยหินกรวด รถม้ายังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพักเผิงฟู่หลินที่นั่งอยู่ในด้านเปิดม่านขึ้นพร้อมยื่นหน้าออกไปชมทิวทัศน์ด้านนอก ความสวยงามและความเขียวขจีทำให้ใจของนางรู้สึกสงบลงไปอย่างมาก แสงอาทิตย์อ่อน ๆ แผ่วเบาส่องทะลุทิวไม้ ทำให้เงาใบไม้ส่อง
บทที่ 57 ค่ำคืนสุดท้ายในค่ำคืนนี้แสงจันทร์สลัวสาดส่องเข้ามาภายในห้อง เผิงฟู่หลินนั่งนิ่งอยู่ที่เตียงนอน ดวงตาของนางจับจ้องไปยังประตูดั่งคนที่กำลังรอคอยบางอย่างอยู่ สีหน้าของนางค่อนข้างแสดงถึงความกังวลใจที่มี สองมือบิดเกร็งไปมาด้วยความกระสับกระส่ายคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เผิงฟู่หลินจะอยู่ที่เมืองหลวงเนื่องจากนางได้นัดแนะกับเจ้าจูและเสี่ยวเหวินโหลในการออกเดินทางไกลในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเผิงฟู่หลินจึงอยากที่จะพบกับหนี่เส้าจวินอีกสักครั้งเพราะอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกันอีกทันใดนั้น ร่างใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างเตียง หนี่เส้าจวินก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเงียบขรึม ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องไปที่ร่างบางของเผิงฟู่หลินเผิงฟู่หลินเงยหน้าขึ้นมองหนี่เส้าจวินด้วยสายตาที่เศร้าสลดลง ก่อนจะปรับสีหน้ายกยิ้มให้เขาอีกครั้ง เผิงฟู่หลินลุกขึ้นเดินไปยืนตรงหน้าของหนี่เส้าจวิน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าคมเข้มนั้นอย่างเบามือหนี่เส้าจวินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจกับท่าทีที่เผิงฟู่หลินมีให้ แม้ทั้งคู่จะเข้ากันได้ดียามอยู่บนเตียง แต่ทุกครั้งที่เขามาหานาง เผิงฟู่หลินมักแสดงท่าทีผลักไสและ
บทที่ 56 ทำตามความใฝ่ฝันแสงตะวันยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในเรือน เผิงฟู่หลินปรือตาขึ้นด้วยความเมื่อยขบไปทั้งตัว ใบหน้างดงามขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกขัดเคืองใจ เมื่อคืนหนี่เส้าจวินเคี่ยวกรำนางไม่หยุดราวกับคนที่อดอยากหิวโหยก็ไม่ปาน ทว่าบัดนี้หนี่เส้าจวินได้ออกจากห้องไปตั้งแต่ยามรุ่งสาง แต่สัมผัสของเขายังคงติดตรึงอบอวลอยู่ไปทั่วบริเวณเจ้าจูเข้ามาภายในห้องพร้อมทำหน้าประหลาดใจ สภาพของเผิงฟู่หลินราวกับผ่านสมรภูมิอันดุเดือด จนเสื้อผ้าและผมเผ้านั้นยุ่งเหยิงไปหมด“คุณหนู...ท่าน...” เจ้าจูรีบปิดปากเมื่อคาดเดาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน“เจ้าอย่าพูดมาก รีบพาข้าไปอาบน้ำที” เผิงฟู่หลินขยับกายลุกขึ้นอย่างอ่อนแรงเจ้าจูรีบเข้ามาประคองพร้อมพานายหญิงของตนไปที่อ่างน้ำทันทีหลังจากแต่งตัวเป็นที่เรียบร้อย เผิงฟู่หลินกำชับเจ้าจูมิให้บอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด เจ้าจูรับคำโดยเร็วแต่ยังคงอดสงสัยมิได้ว่าผู้ใดกันที่กล้าบุกรุกจวนสกุลเผิงเช่นนี้นับแต่นั้นหนี่เส้าจวินก็มักจะลักลอบเข้าหาเผิงฟู่หลินไม่ต่างจากชายชู้ในบทนิยาย เผิงฟู่หลินแม้จะยอมรับว่าร่างกายของนางเองก็ต้องการเขาไม่ต่างกัน แต่ภายในใจกลับหวาดหวั่นและยังคงสร้างก