แชร์

บทที่ 62

ผู้เขียน: ลิ่วเยว่
มู่หรงเจี้ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่จะใช้เหตุผลใดในการปิดตำหนักเล่า? จะปิดตำหนักโดยไร้เหตุผลมิได้ เหล่าขุนนางจะคิดอย่างไร?”

มู่หรงเจี้ยนเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ยังไม่มีบารมีอย่างฮ่องเต้ ขุนนางที่มีอำนาจในราชสำนักล้วนเป็นคนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนไว้วางใจ ไม่ได้ภักดีต่อเขามากนัก ดังนั้น ตอนนี้ไม่ว่าจะมากหรือน้อย เขาก็ต้องเกรงใจความคิดเห็นของเหล่าขุนนาง

ไทฮองไทเฮาทอดพระเนตรมองเขาครู่หนึ่ง ตรัสอย่างช้า ๆ “ก่อนหน้านี้ นางไม่ได้แสดงละครฉากใหญ่ที่ตำหนักเสด็จแม่ของเจ้า จะฆ่าตัวตายตามฮ่องเต้พระองค์ก่อนไปหรอกหรือ? ก็ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ บอกว่านางเศร้าโศกเสียใจกับการสวรรคตของฮ่องเต้พระองค์ก่อน จนทำให้ไร้ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ จึงปลงผมบวชชีในวัง เพื่อแสดงความอาลัยต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อน ส่วนเจ้าในฐานะโอรส ก็ออกคำสั่งห้ามมิให้ผู้ใดไปรบกวนการบำเพ็ญภาวนาของนาง เช่นนี้ก็เรียบร้อยแล้วมิใช่หรือ?”

มู่หรงเจี้ยนตรัสอย่างเขินอาย “แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่านางเพิ่งเข้าวังได้แค่วันเดียว เสด็จพ่อก็สวรรคตแล้ว เช่นนี้จะบอกว่าเศร้าโศกต่อการสวรรคตของเสด็จพ่อจนต้องหนีเข้าทางธรรมได้อย่างไร?”

พระวรกายของไทฮองไทเฮาต
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อที่ GoodNovel
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 63

    “ไปเถิด ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว!” ไทฮองไทเฮาทรงไล่เขาไปมู่หรงเจี้ยนกำลังพูดอย่างออกรส อยากจะเล่าเรื่องนโยบายที่เขาถูกเซ่อเจิ้งอ๋องปฏิเสธให้ไทฮองไทเฮาฟัง แต่เมื่อเห็นไทฮองไทเฮาไล่เขาไป ในใจก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง จึงลุกขึ้นทูลลาตอนที่เขายังเป็นรัชทายาท เขาสุภาพอ่อนน้อมต่อไทฮองไทเฮา เชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง แต่หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว เขาก็เริ่มเหลิงขึ้นมาก ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาอีกต่อไปหลังจากเขาออกไปแล้ว ไทฮองไทเฮาก็ส่ายพระพักตร์พลางตรัสกับหมัวมัวข้างกาย “หย่าจู้ เจ้าเห็นหรือไม่? เขาไม่พอใจข้าแล้ว!”หย่าจู้ยิ้ม “เหล่าจู่จ้งอย่าได้เสียพระทัยไปเลยเพคะ อีกไม่นานฮ่องเต้ก็จะสำนึกผิดเอง”“เขาจะสำนึกหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เดิมทีข้าหวังว่าเขาจะมีความอดทน รับมือกับมู่หรงฉิงเทียนอย่างใจเย็น แล้วค่อยช่วงชิงอำนาจของเขาคืนมา แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เขาก็มีแต่จะถูกเล่นงานเท่านั้น ด้วยทัศนคติและความสามารถของเขาในเวลานี้ จะไปเป็นคู่ต่อสู้ของมู่หรงฉิงเทียนได้อย่างไร?”หย่าจู้ประคองนางลุกขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แม้แต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังรับมือไม่ได้ จะหวังให้ฮ่องเต้จัดการได้อย่างไร? ได้แต่หวังว่าสองสามปี

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 64

    จิ้นหรูเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่ว่าทะ...คุณหนูใหญ่ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนนี่เพคะ?”“ไปเถอะ ข้ามีวิธีของข้า” จ่านเหยียนเร่งเร้าจิ้นหรูเป็นนางกำนัลขั้นหนึ่งในวัง แน่นอนว่าสามารถเข้าออกตำหนักหรูหลานได้อย่างอิสระนางพาหมอหลวงมาถึงอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็เปิดม่าน เข้าไปในตำหนักด้านใน แล้วก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยกับหมอหลวงว่า “ท่านหมอหลวงโปรดรอสักครู่ ข้าจะเชิญไทเฮาออกมาเดี๋ยวนี้”“ได้!” หมอหลวงรับคำผ่านไปครู่หนึ่ง จี๋เสียงและหรูอี้ก็ประคองจ่านเหยียนออกมา จ่านเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางอ่อนแรง ดวงตาเรียวงามดุจหงส์เหลือบมองหมอหลวงครู่หนึ่ง หมอหลวงหลายคนรีบก้าวเข้ามาถวายบังคม “กระหม่อมถวายบังคมหมู่โฮ่วฮองไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”“อืม!” จ่านเหยียนยกพระหัตถ์ขึ้นเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้เขาลุกขึ้นจิ้นหรูเอ่ยกับหมอหลวง “ท่านรีบมาดูอาการของไทเฮาว่าทรงประชวรด้วยโรคอันใดกันแน่?”หมอหลวงเดินเข้าไปอย่างนอบน้อม หยิบเส้นสีแดงออกมาจากกล่องยา ยื่นให้กับจิ้นหรูกูกู “รบกวนกูกูผูกที่ข้อมือของไทเฮาด้วย”เขาคุกเข่าลงตรงหน้าจ่านเหยียน ทูลถามด้วยความเคารพ “ไทเฮาทรงรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”จ่านเหยี

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 65

    “ไทเฮาเพคะ...” กัวอวี้เสียนคิดว่านางไม่เชื่อ จึงพยายามจะอธิบาย แต่จ่านเหยียนกลับเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าชื่อกัวอวี้เสียน ข้าคิดว่าตอนนี้เจ้าควรจะใช้ชื่อกัวอวี้ไปก่อนเถิด แล้วค่อยดูว่าต่อไปเจ้าจะคู่ควรกับคำว่าเสียนหรือไม่”กัวอวี้เสียนมองหลงจ่านเหยียนด้วยความตกตะลึง ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายในคำพูดของนาง นางกำลังให้โอกาสตน ในใจพลันเกิดความรู้สึกยินดีหลังจากที่กัวอวี้เสียนออกไปต้มยาแล้ว ตำหนักบรรทมอันใหญ่โตก็เหลือจ่านเหยียนเพียงผู้เดียว ปกติแล้ว นางไม่ต้องการให้ใครมาคอยปรนนิบัติข้างกาย หากไม่ได้รับอนุญาตจากนาง แม้แต่จิ้นหรูก็ห้ามเข้ามาในตำหนักบรรทมสายลมหนาวเย็นวูบหนึ่งไม่รู้พัดมาจากที่ใด ปลิวเข้ามากระทบม่านหนาหลายชั้นภายในตำหนักบรรทมท่ามกลางแสงสลัว ๆ จ่านเหยียนเห็นกลุ่มควันสีเขียวลอยขึ้นมาอย่างกะทันหัน ซึ่งอยู่ห่างออกไปเบื้องหน้าสามจั้งควันสีเขียวค่อย ๆ กลายเป็นรูปร่างคน และกลายเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามนางเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “ท่านเซียน ข้ากลับมาแล้ว!”“อืม ได้ยินอะไรมาบ้าง?” จ่านเหยียนถามพลางยกเปลือกตาขึ้นอย่างเฉื่อยชา“นางเฒ่าผู้นั้นคิดจะช่วงชิงแผ่นดินของตระกูลมู่หรงจริง ๆ ความทะเย

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 66

    กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกชั่วพริบตาเดียว เวลาหนึ่งปีก็ล่วงเลยผ่านไปอย่างไร้ร่องรอยในปีนี้ ภายในวังเกิดเรื่องราวขึ้นไม่น้อย จ่านเหยียนล้วนได้ยินมาจากปากของจิ้นหรูตัวอย่างเช่น เมื่อปลายปีที่แล้ว ฮ่องเต้ทรงคัดเลือกนางสนม นางสนมในวังก็เพิ่มขึ้นจากหลักหน่วยเป็นหลักสิบ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยและในบรรดานางสนม ผู้ที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดคือบุตรสาวของเฉินไท่ฟู่ ปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งเป็นหยวนเฟย ได้ยินมาว่าหยวนเฟยนั้นงามล่มเมือง ทำให้ฮ่องเต้ลุ่มหลง แม้แต่วันขึ้นหนึ่งค่ำและสิบห้าค่ำ ที่ควรจะเสด็จไปยังตำหนักบรรทมของฮองเฮาก็ลืมเสียแล้ว กลับเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับหยวนเฟยส่วนฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นหลานสาวของถงไทเฮา มีนามว่าถงเหยียน ตอนที่ฮ่องเต้ยังทรงเป็นรัชทายาท ก็ได้อภิเษกสมรสกับพระองค์แล้ว ปัจจุบันมีพระธิดาด้วยกันหนึ่งพระองค์ตระกูลถงมีอำนาจล้นฟ้า ฮองเฮาจึงมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานหยวนเฟย แม้แต่นางก็ยังถูกละเลย ก็ย่อมไม่ยอม จึงได้โวยวายอาละวาดหลายครั้ง จนบีบให้ถงไทเฮาต้องออกพระราชเสาวนีย์ลดขั้นหยวนเฟยเป็นหยวนผิน และยังกำชับให้

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 67

    “เช่นนั้นความหมายของชีวิตท่านคืออะไร? ท่านก็อายุมากแล้ว หรือว่าท่านยังคิดจะหาคนแต่งงานด้วยอีกหรือ?” อาเสอมักจะใช้คำพูดที่กล่าวด้วยความโมโหเหล่านี้มาทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจจ่านเหยียนรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดนี้อย่างยิ่ง อายุสามร้อยกว่าปีในแดนสวรรค์แล้ว ถือว่าเป็นแค่เด็กทารกกระมัง? เทพเซียนองค์ใดบ้างที่อายุไม่ถึงพันปีหมื่นปี?อีกอย่าง นางคือจิตวิญญาณของมหาเทพผานกู่ที่แปลงกายมา ใบหน้าจึงหยุดอยู่ที่ช่วงเวลาที่งดงามที่สุด ตราบใดที่จิตใจของนางยังเยาว์วัย หากบอกว่านางอายุสิบหก ใครจะกล้าสงสัย?แน่นอนว่า คำพูดนี้ก็แค่คำพูดสวยหรูที่เอาไว้ปิดปากอาเสอเท่านั้น ตัวนางเองรู้ดีว่า สามร้อยกว่าปีที่ผ่านมาที่นางกุมอำนาจกฎแห่งสามภพ นางเหนื่อยจนน้ำตาแทบไหล จิตใจจะไม่แก่ได้อย่างไร?ส่วนเรื่องที่อาเสอพูดถึงการหาคนแต่งงานนั้น นางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ อยู่คนเดียวสบายกว่าตั้งเยอะ? เหตุใดจึงต้องหาใครสักคนมาผูกมัดตัวเองด้วย?เทศกาลเช็งเม้งฝนตกโปรยปราย ฝนตกติดต่อกันหลายวัน จ่านเหยียนก็ไม่ออกจากวังแล้ว พักอยู่ที่ตำหนักหรูหลาน วัน ๆ คอยฟังจิ้นหรูเล่าเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดีในวังหลังส่วนอาเสอกลับบอกว่านางจงใจไม่อ

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 68

    หยวนผินเงยหน้าขึ้นมองจ่านเหยียนด้วยแววตาตื่นตระหนก บนใบหน้าขาวซีดฉายแววสงสัยเล็กน้อยจิ้นหรูกำลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก หยวนผินตกใจจนตัวสั่นเทา คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับเสียงดังตุบ “ท่านผู้สูงศักดิ์ ท่านโปรดช่วยข้าด้วย!”จ่านเหยียนมองนางด้วยความตกตะลึง ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเท่าไรนัก“เสียงฝีเท้าดังขึ้นเรื่อย ๆ และใกล้เข้ามาทุกที จ่านเหยียนส่งสายตาให้จิ้นหรู จิ้นหรูรีบเข้าไปดึงหยวนผินให้ลุกขึ้น “พระสนม รีบตามบ่าวเข้ามาเถิดเพคะ”กัวอวี้กางร่มแล้วรีบเดินออกไป ข้างหลังมีจี๋เสียงและหรูอี้เดินตาม“เอ๊ะ? องครักษ์หยาง?” กัวอวี้เพิ่งก้าวออกจากประตูตำหนักหรูหลานก็เห็นองครักษ์หยางนำองครักษ์และข้าราชบริพารมา จึงมองเขาด้วยความประหลาดใจ“เป็นกัวกูกู ขอถามกูกู ไม่ทราบว่าเห็นพระสนมหยวนผินหรือไม่?” องครักษ์หยางเอ่ยถามกัวอวี้ส่ายหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “องครักษ์หยางล้อเล่นแล้ว ตำหนักหรูหลานห้ามคนนอกเข้ามาโดยตลอด อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ผีเสื้อก็บินเข้ามาไม่ได้”“แต่มีคนเห็นพระสนมหยวนผินวิ่งมาทางนี้ ที่นี่นอกจากตำหนักหรูหลาน ก็ไม่มีที่อื่น” องครักษ์หยางกล่าวด้วยสีหน้าไม่เชื่

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 69

    หยวนผินตกใจ “ที่นี่คือตำหนักหรูหลาน?”“หน้าประตูตำหนักมิได้แขวนป้ายใหญ่โตไว้หรอกหรือ?” จิ้นหรูเอ่ยถามหยวนผินเอ่ยอย่างละอายใจเล็กน้อย “หม่อมฉันมัวแต่วิ่งหนี ไม่ทันได้สังเกต เห็นประตูตำหนักที่นี่เปิดอยู่ จึงวิ่งเข้ามา ล่วงเกินหมู่โฮ่วฮองไทเฮาแล้ว โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”พูดจบ นางก็คุกเข่าลงถวายบังคมจ่านเหยียนอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันหยวนฟางถวายพระพรหมู่โฮ่วฮองไทเฮาเพคะ!”หยวนฟาง?จ่านเหยียนยิ้ม “บิดาของเจ้า คือเฉินไท่ฟู่ใช่หรือไม่?”“เพคะ หม่อมฉันมีนามว่าเฉินหยวนฟาง” หยวนผินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่จ่านเหยียนรู้เรื่องของนาง“หยวนฟางเป็นชื่อที่ดี!” จ่านเหยียนยิ้ม พลางส่งสัญญาณให้จิ้นหรูประคองนางลุกขึ้นจี๋เสียงยกน้ำชาเข้ามา จากนั้นค้อมตัวถอยออกไปจ่านเหยียนกล่าวกับหยวนผิน “ดื่มชาก่อนสิ จะได้หายตกใจ”หลังจากที่หยวนผินกล่าวขอบคุณแล้ว ก็ใช้มือที่ยังคงสั่นเทา ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มหลายอึกติดต่อกันแล้วจึงวางลงจ่านเหยียนเห็นสีหน้าของนางดูสงบลงบ้างแล้ว จึงเอ่ยถาม “แล้วองครักษ์เหล่านั้น ไล่ตามเจ้ามาทำไม?”หยวนผินยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “เหลียงกุ้ยเหรินแท้งแล้ว ฮองเฮาตรัสว่าเป็นเพราะหม

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 70

    จ่านเหยียนยิ้ม “จิ้นหรู เจ้าอยู่ในวังหลังมานานหลายปี เหตุการณ์เหล่านี้ยังทำให้เจ้าโกรธได้อีกหรือ? เจ้ายังสู้หยวนผินมิได้ นางเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ยังสามารถทำใจให้สงบได้ขนาดนี้”จิ้นหรูถอนหายใจ “จะทำใจให้สงบได้อย่างไรเพคะ? เห็นเหตุการณ์พวกนี้ ก็เหมือนกับกลืนแมลงวันตัวหนึ่งเข้าไปในปาก จะกลืนลงไปก็ไม่ได้ คายออกมาก็รู้สึกขยะแขยง”“หากเจ้าใส่ใจมากเช่นนี้ เช่นนั้นเราก็ตามไปที่ตำหนักเฟยเฟิ่งกัน” จ่านเหยียนเสนอ“หากพวกเราสามารถต่อกรกับฮองเฮาได้ การไปก็ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ในตอนนี้พวกเราจะไปต่อกรกับฮองเฮาได้อย่างไร? ถ้าไปแล้ว เกรงว่าแม้แต่ชีวิตที่สงบสุขในตอนนี้ก็จะหายไป การช่วยเหลือผู้อื่น ต้องดูว่าตนเองมีความสามารถหรือไม่ เรื่องนี้บ่าวรับใช้ทราบดีเพคะ คุณหนูใหญ่อย่าได้ลองเชิงบ่าวเลย” จิ้นหรูตอบ“ข้าไม่ได้ลองเชิงเจ้า” จ่านเหยียนกล่าวพลางเลิกคิ้ว“เช่นนั้นคุณหนูใหญ่คิดจะไปจริง ๆ หรือ? อย่าลืมนะเพคะว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันนั้นสกุลถง” จิ้นหรูมองจ่านเหยียนด้วยความประหลาดใจ นางหลบเลี่ยงผู้คนมาหนึ่งปี แม้กระทั่งข่าวลือข้างนอกที่ว่านางมีความสัมพันธ์กับนักดนตรีก็ไม่คิดจะอธิบาย ตอนนี้กลับจะออกไปเ

บทล่าสุด

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 100

    หลงจ่านซินพึงพอใจกับความเยินยอของจ่านเหยียนเป็นอย่างยิ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองหลงจ่านเหยียน แล้วยิ้มภาคภูมิใจออกมา “เมื่อก่อนยามมีแขกมาเยือนถึงบ้าน พอพูดถึงพวกเราสองพี่น้อง ต่างก็บอกว่าข้างามยิ่งกว่าพี่หญิง บัดนี้มาคิดดูแล้วเห็นจะไม่ใช่คำโกหก”หลงจ่านเหยียนยิ้มเล็กน้อย ยามมีแขกมาเยือนถึงประตูบ้าน หลงจ่านเหยียนไหนเลยจะได้ออกมาเผยโฉม?เดิมทีงานนี้เป็นงานเลี้ยงยามเย็นที่เป็นทางการยิ่ง เนื่องจากการมาถึงของหลงจ่านซิน บรรยากาศจึงแปลกประหลาดไปคนที่ยังสามารถรักษาสีหน้าให้เป็นปกติได้ มีเพียงแค่เซ่อเจิ้งอ๋องมู่หรงฉิงเทียนคนเดียวเท่านั้นเขาถือจอกสุรา ตรงมุมปากเผยความเย็นชา หลังจากดื่มสุราไปหลายจอก สีหน้าของเขาก็ยังไม่แปรเปลี่ยน มีเพียงกลิ่นสุราเท่านั้นที่โชยออกมา กระทั่งจ่านเหยียนที่นั่งอยู่ข้างเขาก็ยังได้กลิ่นสุราที่มอมให้คนเมามายในสถานการณ์เช่นนี้ หากมีใครสักคนเปิดหัวข้ออะไรสักอย่างขึ้นมา เพื่อให้งานเลี้ยงยามเย็นดำเนินต่อไปได้ ย่อมไม่เป็นปัญหาอะไรทว่ามีแต่คนที่อยากจะใช้โอกาสนี้ เผยหน้าแสดงให้เห็นถึงการมีตัวตนต่อหน้าใต้เท้ามากมายขนาดนี้หงฮวาอยู่แถวนั้น นางเดินผ่านเย่เต๋อโหรว แล้วเข้าไปพู

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 99

    ไม่ไม่เพียงแต่ประหลาดใจ ไม่มีมนุษย์คนไหนมีชีวิตอยู่ทั้งที่หัวใจไม่เต้น ที่เป็นเช่นนั้นมีอยู่ด้วยกันสามเหตุผล หนึ่ง มีของวิเศษไม่ก็ของศักดิ์สิทธิ์อยู่ในร่างกาย คอยประคองรักษาชีวิตเขาไว้สอง คือเป็นซอมบี้ แต่ซอมบี้จะต้องมีกลิ่นศพแผ่ออกมาจากกาย ไม่อาจเห็นแสงตะวัน ใบหน้าก็จะขาวซีดราวกับกระดาษ ไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป ดังนั้นจึงมิใช่เหตุผลนี้ความเป็นไปได้สุดท้าย ก็คือผีดิบที่โดดออกมาจากสามโลกไม่อยู่ในห้าธาตุ แต่เขาไม่ใช่ผีดิบสภาพการณ์ของเขานั้น ตรงกับเหตุผลข้อที่หนึ่งเซ่อเจิ้งอ๋องมีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ให้กับคำสรรเสริญของหลงฉางเทียนเท่านั้น มิได้ตอบกลับไปแต่อย่างใดขณะที่จ่านเหยียนกำลังจมอยู่ในความคิด ก็ได้ยินน้ำเสียงจงใจดัดให้นุ่มนวลดังขึ้นมา “จ่านเหยียนคารวะฉีชินอ๋อง”เนื่องจากนางเงยหน้าขึ้นกะทันหัน ไม่ทันได้เตรียมพร้อม ทำให้ตกใจจนดวงตาทั้งสองข้างแทบจะถลนออกมาหลงจ่านซินใส่ชุดกระโปรงยาวจับจีบเผยช่วงอกสีแดงไข่มุกปักลายดอกเบญจมาศสีทองดอกใหญ่ ช่วงบนคลุมไว้ด้วยผ้าโปร่งบาง ช่วยบดบังได้ราง ๆ ทว่ากลับปิดความเย้ายวนไม่ได้ท่ามกลางความวับ ๆ แวม ๆ ผ้าโปร่งบางสีแดงยิ่งขับให้ผิวขา

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 98

    บนบันไดหินหน้าระเบียงทางเดิน คนกลุ่มหนึ่งเดิมห้อมล้อมเซ่อเจิ้งอ๋องมู่หรงฉิงเทียนเข้ามาท่ามกลางแสงเทียนเลือนราง จ่านเหยียนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเขาสวมใส่ชุดคลุมสีขาวนวลดั่งแสงจันทร์ คาดผ้าคาดเอวสีทองไว้บนช่วงเอว บริเวณกลางผ้าคาดเอวฝังหยกโมราสีเขียวขนาดเท่าไข่นกกระทาไว้หนึ่งชิ้น มันทอประกายหลากสีสันออกมาใต้แสงเทียนนี่เป็นครั้งที่สามที่จ่านเหยียนได้พบเขา ทว่าบุรุษผู้นี้มักมอบความสะเทือนขวัญใหม่ ๆ แก่นางทุกครั้งที่ได้เจอใบหน้าของเขาและฉีชินอ๋องมู่หรงหานเทียนละม้ายคล้ายคลึงกันสามถึงสี่ส่วน ทว่าแฝงไปด้วยความเด็ดขาดสองอย่างที่ต่างกันออกไปสามารถใช้คำว่าอ่อนโยนดุจหยกมาบรรยายได้ฉีชินอ๋อง ส่วนเขานั้นกลับมีรัศมีองอาจดุดันแผ่ออกมาทั้งกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาไม่ได้ตั้งแต่แผ่ความองอาจดุดันนี้ออกมา ทว่าเพียงแค่เจ้าเห็นเขา ต่อให้เขาไม่แสดงสีหน้าอันใดเลย เจ้าก็ยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายองอาจดุดันที่แผ่ออกมากดดันผู้คนท่ามกลางความองอาจดุดันนั้นแฝงไปด้วยเสน่ห์แสนน่าประหวั่นที่ทำให้ผู้คนใจสั่น อืม ใช่แล้ว คำว่าเสน่ห์สุดแสนร้ายกาจที่มักจะถูกใช้บรรยายอยู่ในนิยายนั่นแหละ เมื่อก่อนนางไม่เคยเข้าใจเลย

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 97

    พูดอีกอย่างก็คือ มิใช่เขาที่เป็นคนชมชอบจ่านเหยียนชะงักไปเล็กน้อย นางไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ ยังนึกอยู่เลยว่าเขาเต็มใจแต่งงานนางกล่าวออกไปไม่ตรงกับที่ใจคิดว่า “น้องหญิงเป็นคนร่าเริงฉลาดเฉลียว งดงามแลใจกว้าง เป็นแม่นางน้อยที่ไม่เลวเลยนางหนึ่ง”นอกจากจะชอบแทงเข็มใส่เล็บคนอื่นเขาทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดกับชอบตะโกนเรียกผู้อื่นมาตบบ้องหูทั้งที่เขายังไม่ทันทำอะไรเลยแล้ว ที่เหลือก็คงไม่มีข้อบกพร่องอะไรแล้วอย่างน้อย นางก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นน่ะนะฉีชินอ๋องยิ้มเย็นชา “อย่างนั้นหรือ?”จากที่เขารู้ ที่ว่าร่าเริงฉลาดเฉลียวนั้นสามารถตีความได้หลากหลายแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาบรรยายหลงจ่านซินจ่านเหยียนเห็นว่าเขามีสีหน้าไม่ดี ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาไม่ค่อยพอใจนัก จึงปลอบไปว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องกลัดกลุ้มไป หากไม่ไหวจริง ๆ ก็คิดเสียว่าแต่งงานกับแจกันดอกไม้เพื่อเอากลับไปเชยชมก็พอ ถึงอย่างไรมีสตรีงามให้ได้เชยชม ก็ถือว่าเป็นที่เจริญตาเจริญใจเรื่องหนึ่งมิใช่หรือ?”ฉีชินอ๋องยกมุมปากเผยรอยยิ้มไม่แยแสออกมา “ขอบพระทัยพระเชษฐภคินีที่ทรงปลอบ”“เรื่องที่กำหนดไว้แล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์” จ่านเหยียนเอ่ยค

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 96

    ครั้นหลงฉางเทียนกล่าวจบ จ่านเหยียนจึงเริ่มตกรางวัลนี่เป็นรายการที่สกุลหลงตั้งตาคอยที่สุด ถึงอย่างไรก็ได้ยินมาจากคนของกรมพิธีการแล้วว่าครานี้ไทฮองไทเฮาลงทุนไปไม่น้อย ของที่เลือกมาล้วนเป็นของล้ำค่าในวังทั้งสิ้นของรางวัลแต่ละชุดวางอยู่บนโต๊ะ ทั้งหมดล้วนบรรจุไว้ในกล่องของขวัญ ยามตกรางวัลก็มิได้พูดชัดเจนว่าคืออะไร เรียกความสับสนงุนงงจากคนที่มาร่วมงาน การตกรางวัลโดยปกติแล้ว มักจะแจ้งชื่อเรียกของรางวัลนั้น ๆ เพื่อให้คนรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย การตกรางวัลที่ดูลึกลับเช่นนี้ นับเป็นครั้งแรกทว่าในเมื่อไทเฮาไม่พูด จึงไม่มีคนกล้าเปิดออกดู ได้แต่สั่งให้บ่าวรับใช้ส่งกลับไปที่เรือนของตนเองก่อน กลับไปแล้วค่อยเปิดดูหงฮวาอยากเห็นมาตลอดว่าของรางวัลที่นางได้เป็นอะไร ทว่าเห็นคนอื่นไม่เปิดดู นางเองก็ไม่กล้าเปิดเช่นกันอันที่จริงนางไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เพราะตกรางวัลมาให้นางเพียงชุดเดียว จะดีร้ายอย่างไรยามนี้นางก็ตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลหลง แม้บุตรจะยังไม่คลอดออกมา แต่ก็ควรให้เพิ่มขึ้นอีกสักสุดนางเอื้อมมือออกไปรั้งแขนเสื้อเย่เต๋อโหรว กระซิบถามว่า “ฮูหยิน ท่านว่านางควรจะตกรางวัลให้ข้าเพิ่มอีกสัก

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 95

    จ่านเหยียนร้องเฮอะ “ที่หลงฉางเทียนมีนิสัยไม่มีเหตุผล ไร้ความเมตตาต่อผู้อื่นเช่นนี้ล้วนได้มาจากบรรพบุรุษอย่างที่คิดจริง ๆ”“เจ้ากล้านักนะ อยู่ในศาลบรรพชนตระกูลหลงของข้าแล้วยังจะกล้าพูดจาอวดดีเช่นนี้อีก?” ผู้เฒ่าผมขาวมองมาด้วยสายตาเดือดดาลจ่านเหยียนแย้มยิ้มชั่วร้าย “กระทั่งข้าเจ้าก็ยังไม่รู้จัก เมื่อไม่รู้จักก็เลยกล้าพูดจาสามหาวกับข้าเช่นนี้สินะ?” เมื่อจ่านเหยียนพูดจบ ก็ชูมือขาวผ่องขึ้น แหปลาสีทองปากหนึ่งพลันหล่นลงมาจากฟากฟ้า ปกคลุมกลุ่มดวงวิญญาณของสกุลหลงกลุ่มนั้นไว้ นางคว้าแหจับปลาแล้วใช้มือเหวี่ยงออกไป แหจับปลากลับหดเล็กลงเป็นกลุ่มก้อน แล้วบีบไว้ในมือแน่นหยางจิ่วเม่ยตกตะลึง รีบก้าวเข้าไปด้วยอยากจะร้องขอความเมตตา ทว่าจ่านเหยียนกลับมองนางด้วยสายตาเรียบนิ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าสนใจแต่ตัวเจ้าเองก็พอ”หยางจิ่วเม่ยชะงัก ก้าวถอยหลังไปอย่างระมัดระวัง“ขึ้นไปบนแท่นบูชาเถิด ข้าจะส่งเจ้าขึ้นไปด้วยมือของข้าเอง ไม่มีใครไล่เจ้าไปได้หรอก” จ่านเหยียนชูฝ่ามือขึ้นปล่อยพลังตรงไปดันหยางจิ่วเม่ยขึ้นไปวิญญาณของหยางจิ่วเม่ยกลายเป็นดอกบัวดอกหนึ่ง แล้วค่อย ๆ หายในแท่นบูชาจ่านเหยียนใช้พลังหยินกักขังบ

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 94

    ก่อนงานเลี้ยงยามเย็นจะเริ่ม อยู่ ๆ จ่านเหยียนกลับบอกว่าอยากไปกราบไหว้หยางจิ่วเม่ยมารดาแท้ ๆ ของตนที่ศาลบรรพชนสักหน่อยเย่เต๋อโหรวสั่งให้คนไปนำแท่นบูชาออกมาเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว กำชับให้วางไว้ข้าง ๆ เหล่าบรรพชนสกุลหลง ทั้งให้วางกระถางธูปไว้ด้วยหลงจ่านเหยียนเจาะจงจะให้เย่เต๋อโหรวไปกับนางด้วย มาตรแม้นว่าเย่เต๋อโหรวจะไม่ยินยอม ทว่าก็ยังตามเข้าไปด้วยท่าทีระมัดระวังเนื่องจากนางมีฐานะเป็นไทเฮา ย่อมไม่จำเป็นต้องคุกเข่าจิ้นหรูจุดธูปให้นาง แล้วจึงถอยออกไปในศาลบรรพชนหลงเหลือแค่จ่านเหยียนกับเย่เต๋อโหรวเท่านั้น คนรับใช้ล้วนรออยู่ด้านนอกจ่านเหยียนมองไปยังแท่นบูชาของหยางจิ่วเม่ย จึงรู้ว่าเพิ่งจะนำออกมาวางไปใหม่ เพราะว่าแท่นบูชานั้นใหม่เอี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีร่องรอยควันธูปเจิมเลยสักนิด“ฮูหยิน ท่านสร้างภาพได้ไม่เลวเลย” จ่านเหยียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย่เต๋อโหรวกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “บัดนี้ไทเฮามีฐานะสูงส่ง กระทั่งคำว่ามารดาก็ไม่ยอมเรียกขานกันสักคำหรือเพคะ?”“มารดา?” จ่านเหยียนหัวเราะเสียดสี “ข้าแค่กลัวว่าถ้าเรียกออกไป แล้วท่านจะรับไม่ไหวน่ะสิ”“กฎแห่งฟ้าดินแลศีลธรรมของ

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 93

    นางเฉินเพิ่งเดินออกไป หงฮวาก็เข้ามาแล้ว นางตั้งท้องได้เจ็ดแปดเดือนแล้ว บัดนี้กำลังสวมใส่ชุดสีชมพูอมม่วง ทันทีที่ก้าวเข้ามาก็กล่าวว่า “ฮูหยิน ไยเงินเดือนของเดือนนี้ถึงได้น้อยเช่นนี้เล่าเจ้าคะ? ท่านก็รู้ว่าตอนนี้ข้ากำลังท้องกำลังไส้ มีที่ที่ให้ต้องใช้เงินมากมายไปหมด เงินเล็กน้อยแค่นี้ แค่ครึ่งเดือนก็ยังไม่พอเลย”เย่เต๋อโหรวมองนางเล็กน้อย แล้วกล่าว “เดือนนี้ในจวนมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ เงินเดือนของทุกเรียนจึงลดลงเช่นกันหมด มิใช่ว่าให้ไฉ่หลีไปบอกเจ้าแล้วหรือ?”“ท่านลดเงินของผู้อื่นก็ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ แต่นี่ข้ากำลังท้องอยู่ หมอบอกว่าครรภ์นี้ของข้าเป็นผู้ชาย หากมีอะไรผิดพลาดไป ท่านแม่ทัพต้องไม่ปล่อยข้าไว้แน่” หงฮวากล่าวด้วยดวงตาเยือกเย็นซึ่งเจือแววข่มขู่เล็กน้อยเย่เต๋อโหรวกล่าวด้วยความเหนื่อยหน่าย “พอแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะแบ่งจากส่วนของข้าให้เจ้าครึ่งหนึ่ง แล้วสั่งให้คนนำไปมอบให้เจ้า เช่นนี้พอใจแล้วกระมัง?”หงฮวาถึงได้ยิ้มออกมา “ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”นางชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวขึ้นมาอีกว่า “นึกไม่ถึงว่าหลงจ่านเหยียนจะกลับมาเยี่ยมบ้านมารดา การต้อนรับคงใช้จ่ายเงินไปไม่น้อยสินะเจ้า

  • ข้ามเวลามาเป็นไทเฮาสุดแกร่ง   บทที่ 92

    เช้าวันต่อมา รางวัลของกรมพิธีการก็มาถึง บรรจุเอาไว้เต็มรถม้าสองคันใหญ่ ล้วนเป็นของที่ไทฮองไทเฮาพระราชทานให้แก่หมู่โฮ่วฮองไทเฮาเอาไว้แจกจ่ายเป็นรางวัลระหว่างที่เดินทางกลับบ้านที่เรียกว่ากลับสู่บ้านเกิดในสภาพเต็มยศ ก็เป็นเช่นนี้เองเกี้ยวหงส์หยุดอยู่ในตรอกตำหนักหรูหลาน ขันทีแลนางกำนัลยืนเรียงเป็นสองแถว ตามอยู่ด้านหลังกองทหารเกียรติยศ ห่างไกลกันถึงหนึ่งลี้จิ้นหรูและกัวอวี้ประคองจ่านเหยียนออกมา วันนี้จ่านเหยียนสวมชุดชาววังจากผ้าไหมปักลายดอกโบตั๋นสีชมพูดอกบัวดอกใหญ่ซึ่งสวมใส่เป็นประจำ เครื่องประดับเกศาก็ปักอย่างเรียบง่าย บนผมทรงอาชาร่วงปักปิ่นทองห้อยหางหงส์ พร้อมด้วยปิ่นหยกเขียวที่ช่วยเสริมให้ดูสง่างามขึ้นท่ามกลางความงดงามนางนั่งอยู่บนเกี้ยวหงส์ กองทหารเกียรติยศคอยเปิดทางให้อยู่ด้านหน้าราตรีอันมืดมิดคืนหนึ่งเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน นางก็ถูกหามเข้าวังไปเช่นนี้ กะพริบตาเพียงครั้ง เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหนึ่งปีเสียแล้ว คนสกุลหลงรอรับเกี้ยวหงส์ที่หน้าประตูจวนตั้งแต่เช้าแล้ว ครั้นได้ยินเสียงของกองทหารเกียรติยศดังขึ้น หลงฉางเทียนก็รีบสั่งให้คนออกมาต้อนรับทันทีพรมสีแดงผืนหนึ่งทอดยาวตั้งแต่

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status