“กระหม่อมคิดว่า….เรื่องนี้พระองค์ทรงตรัสกับพระชายาเองจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เป็นนายหันมามองหน้าองครักษ์หนุ่มคู่กายด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง เขาเดินออกจากห้องทรงงานและมุ่งตรงไปยังห้องส่งตัวที่ถูกจัดเตรียมไว้ดูยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ก่อนหน้านั้นรับพระสนม เขาไม่เคยมาห้องส่งตัวพวกนางมาก่อนเลย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะเป็นการรับพระชายา พิธีส่งตัวจึงจำเป็นต้องทำ
“เปิดประตู”
“ท่านอ๋อง หากว่ากระหม่อมปิดประตูนี้แล้ว คืนนี้พระองค์ต้องอยู่ในห้องจนถึงเช้าวันพรุ่งขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
“จางจื่อเจ้าอยากเปลี่ยนอาชีพไปเป็นพ่อสื่องั้นหรือ”
“ท่านอ๋อง คือเรื่องนี้…”
“ข้ารู้แล้ว ออกไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องเดินเข้ามายังห้องส่งตัว เขามองไปยังเตียงที่มีเจ้าสาวในชุดสีแดงนั่งอยู่พร้อมกับผ้าปิดหน้า นางนั่งตัวเอียงแปลกๆเมื่อเทียบกับเจ้าสาวที่ตื่นเต้นในคืนส่งตัว
“นี่นางคงไม่ใช่ว่า…กำลังหลับอยู่หรอกนะ”
ลั่วอ๋องลำพึงเบาๆเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ เขายืนตรงหน้านางอยู่นานจนฟังเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของคนตรงหน้า นางหลับไปแล้วจริงๆ
เขาจึงเดินไปหยิบไม้มงคลมาเพื่อเปิดดูหน้าของนาง อย่างน้อยเขาก็ควรจะรู้ว่าเขาแต่งงานกับผู้ใด เขาเดินนำไม้ไปเปิดหน้าเจ้าสาว จังหวะเดียวกันที่นางคว้าข้อมือเขาเอาไว้ได้
“เจ้าเป็นผู้ใด หากว่าไม่แจ้งอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
เสียงดุดันราวแม่เสือพึ่งตื่นนอนทำเอาเขานึกตกใจ เมื่อครู่เขาฟังเสียงลมหายใจจนแน่ชัดแล้วว่านางหลับ?? มิใช่หรือ เหตุใดจึงตื่นแล้วล่ะ
“ข้าเป็นสามีของเจ้า”
มือนั้นปล่อยข้อมือของเขาลงพร้อมกับลุกขึ้นจนลั่วอ๋องนึกตกใจ เขาตั้งท่ารับทันทีคิดว่านางจะโจมตีเขา แต่นางทำเพียงย่อกายลงคำนับเขาเท่านั้น
โชคดีที่ผ้าแดงนั้นปิดอยู่มิเช่นนั้นเขาคงทำตัวไม่ถูกอย่างแน่นอน แม้ว่าจะรับพระสนมมาเจ็ดคนแล้ว แต่พิธีการเปิดหน้าเจ้าสาว ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
“อืม ข้า…เปิดหน้าเจ้าได้หรือยัง”
“เชิญเพคะ”
ท่านอ๋องรู้สึกว่ามือของเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อนางพูดจบ หัวใจเริ่มเต้นแรงแค่ฟังเสียงนาง เอาเข้าจริงๆแล้วน้อยครั้งมากที่เขาจะเข้าใกล้สตรีถึงเพียงนี้ แม้ว่าเจ็ดครั้งที่ผ่านมารับสนมเข้าตำหนัก
แต่เขากับพวกนางไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้ากัน บางคนอยู่ในตำหนักเขาไม่ถึงเดือน ยาวสุดคือสองเดือนและสั้นที่สุดคือหกวัน
“ท่านอ๋องเพคะ”
“ว่าอย่างไร”
“เอ่อ…ช่วยเร็วหน่อยก็ดีเพคะ หม่อมฉันง่วงแล้ว”
เขานึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อยเมื่อได้ยินแต่ก็อยากรีบทำให้จบพิธีเช่นกันเมื่อไม้นั้นผ่านเข้าไปและนางจับข้อมือเขาอีกครั้ง
“ท่านอ๋องเพคะ จะจิ้มตาหม่อมฉันแล้วนะเพคะ พระองค์คงไม่คิดจะฆ่าหม่อมฉันเลยหรอกนะเพคะ อย่างน้อยให้หม่อมฉันได้พักเหนื่อยก่อนได้หรือไม่เพคะ”
“ข้า…เจ้าเอามือออกไปก่อนข้าจะเปิดแล้ว”
ฟ่างชิงเยี่ยนปล่อยมือเขาอีกครั้ง คราวนี้ท่านอ๋องเปิดผ้านางออกมา ใบหน้าที่ขาวเนียนถูกแต่งแต้มสีสันจัดจ้าน ปากที่ทาด้วยชาดสีแดง ดวงตากลมโตที่มองมาที่เขานั้นให้ความรู้สึกราวกับลูกแมวตัวหนึ่ง
ชิงเยี่ยนเองก็มองผู้ที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน แม้ว่าจะได้ยินชื่อเสียๆของเขามาเยอะ แต่คนที่ยืนตรงหน้ากลับดูต่างกับสิ่งที่เคยได้ยินมา
เขาดูจะมีอายุมากกว่านางไม่มาก แววตาคมเข้มดุจพยัคฆ์ที่จ้องมองมาที่นางด้วยความระแวงและสงสัย นอกจากสายตาที่ดุดันนั่นแล้ว ใบหน้ารูปไข่
จมูกเป็นสันได้รูปที่รับกับหน้าราวกับเทพบุตรนั้นทำเอาผู้มองแอบหวั่นไหวไม่น้อย นี่จะใช่อ๋องโลหิตที่ว่านั่นจริงงั้นหรือ
“เจ้า…มีนามว่าอย่างไร”
“หม่อมฉันฟ่างชิงเยี่ยนเพคะ”
ทั้งคู่สบตากันสักพัก แต่ละคนมองหน้ากันด้วยพิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดรอบคอบโดยที่ไม่พูดอะไรกัน จนลั่วอ๋องนั้นได้สติขึ้นมาก่อน เขาจึงหยิบสุราสองจอกมายื่นให้นาง
“ดูเหมือนว่าเราต้องดื่มสุรามงคลนี่ด้วย”
“ดูเหมือนว่า..จะเป็นเช่นนั้นเพคะ”
ทั้งคู่ยกสุราขึ้นมาพร้อมกันและมองหน้ากัน
“อะฮึ่ม ….คือว่า เห็นว่าจะต้อง….เจ้า…”
“อ้อ เพคะ หม่อมฉันทราบ ต้องคล้องแขนกันเพื่อดื่มด้วยเพคะ”
ทั้งคู่เริ่มคล้องแขนกันด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ เพราะประหม่าไม่น้อย ฟ่างชิงเยี่ยนกลับคิดว่าท่านอ๋องตรงหน้านี้แม้ว่าจะดูดุดันแต่เขาก็ไม่ต่างกับคนธรรมดาทั่วไป และยังดูเป็นมิตรมากกว่าคนในสกุลฟ่างบางคนเสียอีก โดยเฉพาะ…บิดาของนาง
“โอ๊ย…ท่านอ๋องเพคะ ปิ่นนั่น”
“เดี๋ยวก่อน เจ้าอยู่เฉยๆ ข้าจะดึงออกให้”
เครื่องประดับของชิงเยี่ยนเผลอไปติดกับเข็มกลัดที่อกของท่านอ๋องเมื่อพวกเขาคล้องแขนดื่มสุรากันเสร็จแล้วและนางก้มคำนับให้เขา
ทั้งคู่ต่างก็ตกใจ หากว่าเขาดึงแรงไปก็อาจจะทำให้นางเจ็บได้ ซึ่งเขาไม่ถนัดเรื่องเช่นนี้เลย นี่คือความน่ารำคาญของสตรีที่เขาพยายามหลีกหนีมาตลอด
“น่ารำคาญยิ่งนัก อยู่เฉยๆข้าจะตัดมันออก”
“อย่านะเพคะ!!”
“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร จะให้อยู่ท่านี้ทั้งคืนงั้นหรือ”
“หม่อมฉันจัดการเองเพคะ”
ฟ่างชิงเยี่ยนค่อยๆหันและปรับหน้าเข้าไปพร้อมกับดันตัวท่านอ๋องมานั่งที่เตียงนางหันหน้าจนมาชนอกของเขาและเริ่มแกะปิ่นเจ้าปัญหานั่นออกจากเข็มกลัดหน้าอกของเขา เสียงหัวใจของเขาดังรัวถี่เช่นเดียวกับหัวใจของนาง
“ออกหรือยัง”
“ใกล้แล้วเพคะ”
ชิงเยี่ยนบอกเขา เมื่อนางค่อยๆแกะเครื่องประดับออกมาจนได้พร้อมกับเขาที่ก้มลงไปลอบมองดูหน้านางในตอนนี้ หัวใจเขาเริ่มเต้นผิดจังหวะอย่างน่าประหลาด
“ออกแล้วเพคะ”
ชิงเยี่ยนดึงเครื่องประดับนั้นออกมาได้สำเร็จจนมุกที่ติดอยู่กับปิ่นของนางหลุดออกมาอย่างน่าเสียดาย
“น่าเสียดาย หลุดจนได้ ช่างเถอะพรุ่งนี้ค่อย…..”
ชิงเยี่ยนรู้สึกว่าเริ่มควบคุมสติไม่อยู่ นางรู้สึกแปลกๆหรือนางจะเริ่มง่วงกันนะ
“นี่…เจ้าเป็นอะไรไป….นี่..เดี๋ยวนะ…ในเหล้านั่น!!…พระชายา!!”
ชิงเยี่ยนล้มลง ลั่วอ๋องรีบวิ่งมารับนางและอุ้มไปที่เตียงตอนนี้นางเริ่มหายใจหอบรัว นี่คงเป็นครั้งแรกที่นางถูกวางยาเช่นนี้ ในสุรานั่นมียาผสมอยู่ ยาที่จะให้พวกเขาเข้าพิธีส่งตัวอย่างสมบูรณ์ สุรานี่เป็นสุราพระราชทาน เช่นนั้นผู้ที่ทำเรื่องนี้ได้มีแค่คนเดียว……
“ฝ่าบาท….เดี๋ยวพระชายา นั่นเจ้า…จะทำอะไร”
“ร้อน….ไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย น้ำ..น้ำ หิวน้ำ”
ชิงเยี่ยนลุกลงจากเตียงและวิ่งไปยังเหยือกที่วางอยู่
“อย่านะ!! นั่นไม่ใช่น้ำ ฟ่างชิงเยี่ยน!!”
นางกรอกสุรานั้นเข้าปากไปจนหมดรวดเดียวพร้อมกับเริ่มถอดชุดออกอย่างรวดเร็วและเดินมายังที่ลั่วอ๋องนั่งอยู่ เขาพยายามจะรวบรวมปราณแต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขากลับทำอะไรไม่ได้ เมื่อนางเดินเข้ามาพร้อมกับโอบรอบคอของเขา
“นี่ท่านอ๋อง คืนนี้เป็น…คืน..เข้าหอ…เอิ้ก….”
“นี่เจ้า…เมาแล้ว”
“อืม…อีกไม่นานก็ต้องตายอยู่ดี ได้นอนกับคนรูปงาม…เอิ๊ก…เช่นท่าน….อาา….พ่อหนุ่มรูปงาม…ข้า..ร้อน ช่วยด้วย”
ลั่วหมิงจ้านเริ่มทนไม่ไหวเมื่อนางเริ่มถอดชุดของนางจนเหลือเพียงชั้นในบางเบานางไม่เพียงได้รับยามากกว่าเขา ในตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว
“พระชายา เจ้าออกไปก่อน มิเช่นนั้นเราจะควบคุมมันไม่ได้”
“ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ต้องการข้าน่ะท่านอ๋อง ข้าแต่งให้ท่าน …เรื่องนี้ อ๊าา…ร้อนน เร็วเข้าสิ ร้อน…”
ปากอวบอิ่มนั้นรีบประกบไปที่ปากของอ๋องหนุ่มทันทีเพื่อไม่ให้เขาพูด นางเริ่มจัดการชุดของเขาออก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแรงมากขนาดนี้คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาเป็นแน่ ท่านอ๋องพยายามผลักนางออกไป แต่ตอนนี้เขาเองก็เริ่มจะต้านทานฤทธิ์ยานั่นไม่ไหวแล้วเช่นกัน
“ฟ่างชิงเยี่ยน ข้าขอพูด…เป็นครั้งสุดท้าย…อาา เจ้าจะทำอะไร”
“ข้าต้องการท่าน อย่าพูดมาก เข้าหอกันเถอะเร็วเข้า!!”
ท่านอ๋องไม่เคยถูกจู่โจมเช่นนี้มาก่อน เขาไม่ทันระวัง ตอนนี้ชิงเยี่ยนเริ่มลงมือบางอย่างกับร่างเปลือยของเขาแล้วมังกรของเขาจากที่หลับใหลอยู่เริ่มผงาดขึ้นมาเพราะถูกถูไถไปมาจนมันเริ่มตื่น เจ้าสาวของเขาร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆแม้ว่าเขาจะแข็งแรงกว่านาง แต่ดูเหมือนจะไม่อยากจะต่อต้านนางสักเท่าใด “ฟ่างชิงเยี่ยน ข้า….จะทนไม่ไหวแล้ว”“ไม่ไหว…ก็อย่าทน…สัมผัสข้าสิเพคะ ท่านอ๋อง….อย่ากลั้นสิ อ๊าาา”“ฟ่างชิงเยี่ยน!! ตั้งสติหน่อย นี่เรากำลังถูกวางยานะ!!”“วางยา แล้วอย่างไร ข้าแต่งมาท่านก็ต้องทำเช่นนี้ ไม่ต่างกับพระสนมก่อนหน้านี้ทุกคน และอีกไม่นานก็จะฆ่าข้า จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน จริงสิ ก่อนที่ท่านจะฆ่าข้า ก็ขอล้างแค้นก่อนก็แล้วกัน อยู่เฉย ๆ!!”“พระชายา ข้า..ขอเตือนเจ้า นั่นเจ้าจะทำอะไร!!”ชิงเยี่ยนดึงสายรัดผ้าม่านลงและดึงแขนของเขาตรึงขึ้นด้านบนพร้อมกับมัดเอาไว้“เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้านะ!! ข้าเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย…ฟ่างชิงเยี่ยน!!”นางไม่ฟังสิ่งใดจากเขาอีก ชิงเยี่ยนเริ่มล้วงลงไปเรื่อยๆลุกลามไปทั้งร่างของบุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่น่าหลงใหลนี้ นางเผลอกัดเขาไปที่ไหล่ข้างหนึ่งอย่างนึกหมั่นเขี้ยว
“ข้ายังไม่รู้แน่ชัด เจ้ารีบให้คนของเราไปสืบดู ได้เรื่องแล้วรีบมารายงานข้า”“เอ่อ…แล้วเรื่องอีกสามเดือนจากนี้…”“รอสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยคิดกันต่อ ไปได้แล้ว”“แล้วพระองค์..”“ในตัวข้ายังหลงเหลือพิษอยู่ ข้าจะไปใช้ปราณขับออก ห้ามผู้ใดรบกวน”“พ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ จางจื่อ”“พ่ะย่ะค่ะ”“ไปบอกแม่นมว่า…หาสาวใช้มาคอยรับใช้นางด้วย”“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”ลั่วหมิงจ้านเดินกลับไปยังห้องบรรทมของตนเองทิ้งให้องครักษ์หนุ่มยืนยิ้มอย่างนึกพอใจ ในที่สุดภูเขาน้ำแข็งเช่นลั่วอ๋องก็เริ่มละลายแล้วสินะก่อนหน้านี้แม้ว่าจะเคยรับสนมเข้ามาหลายคน แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะสั่งให้คนเอาใจใส่ดั่งที่ทำกับพระชายาวันถัดมาชิงเยี่ยนขยับตัวด้วยความเมื่อยล้าเต็มที เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าชุดที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดเจ้าสาว“นี่มัน!!….หรือว่า…”นางเริ่มลูบๆคลำๆตามตัวพร้อมกับรู้สึกว่ามิได้เจ็บปวดตรงที่ใด มีเพียงรอยจูบสองสามรอยที่เกิดขึ้นแต่รู้ทันทีว่าเมื่อคืนนี้ไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น แล้ว…“ท่านอ๋องโลหิตนั่น….หน้าตาเป็นเช่นไรแล้วนะ”นางจำหน้าตาเขาไม่ได้เพราะเพียงเห็นแค่แวบเดียวและรู้สึกว่าจะทำเครื่องประดับติดกับเข็มกลัดท
สาวใช้ถอยหลังพร้อมก้มหน้า ชิงเยี่ยนเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูก นางจึงลุกขึ้นด้วยพร้อมกับยืนรอเขาในห้อง ขายาวนั้นก้าวเข้้ามาในห้องเสวยและหันมามองนาง แต่ว่า….เหตุใดวันนี้เขาจึงสวมหน้ากากครึ่งหน้าเช่นนั้นกันนะ!!""ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ""ชิงเยี่ยนก็ก้มคำนับเขาเช่นกัน ลั่วอ๋องหันมามองนางที่ยืนก้มหน้าและหันไปที่สาวใช้ เขานึกขำในใจที่นางคงทำตัวไม่ถูก แม้ว่าจะอยู่ในสกุลฟ่างแต่ดูเหมือนว่านางจะมิค่อยได้ออกงานทางการเท่าใดนัก“ตามสบายเถิด พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ไม่ต้องเฝ้าพวกข้า”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”ชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหันหาความช่วยเหลือแต่ไม่มีผู้ใดสบตานางเลยสักคน พวกเขารีบพากันออกไปจนหมด บัดนี้เหลือเพียงนางกับท่านอ๋องที่สวมเพียงหน้ากากสีเงินตรงหน้าเท่านั้น“พระชายา เจ้าไม่กินข้าวงั้นหรือ นั่งลงสิ ข้าหิวแล้ว”“เพคะ หม่อมฉันก็หิวแล้ว รอนานแล้วด้วยเช่นกัน พระองค์มาสายนะเพคะ อาหารจะเย็นหมดแล้ว”“หุบปาก!!”ชิงเยี่ยนหยุดพูดทันที เมื่อใดที่นางตื่นเต้นนางมักจะพูดมากเกินความจำเป็น ไม่นึกว่าพอออกมาจากจวนสกุลฟ่างแล้วนางกลับรู้สึกว่าที่นี่ดูเป็นบ้านมากกว่าที่สกุลฟ่าง ขาดแต่เพียงว่า…คนตรงหน้านี้
“ป้าเจา…ข้าก็แค่….”“คุณชายคงดีใจที่คุณหนูจะทำให้นะเจ้าคะ”“รีบไปจ่ายเงินเถอะเจ้าค่ะ ยังมีอีกหลายร้านที่ต้องไปแวะ”“เจ้าค่ะๆ”“จงลี่ อู่ผิง ได้หรือยัง”“ได้แล้วเจ้าค่ะ งามหรือไม่เจ้าคะ”“อืม สีนี้ไม่สดไปหน่อยหรือ เจ้าเป็นสาวเป็นนางเหตุใดเลือกสีแสบตาเช่นนี้กัน”“คุณหนูเจ้าคะ ดูนี่สิเจ้าคะ ผ้าแพรผืนนี้สีเดียวกับชุดของคุณชายที่สวมวันนี้เลยเจ้าค่ะ”พวกนางหมายถึงฉลองพระองค์ของท่านอ๋องเมื่อเช้านี้ ชิงเยี่ยนหยิบผ้าแพรสีดำนั้นมามองดูพร้อมกับยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็เอาผืนนี้ด้วย”“คุณหนูจะซื้อไปทำสิ่งใดให้คุณชายหรือเจ้าคะ”“ผ้าที่งดงามเช่นนี้ หากว่าเสริมด้วยผ้าไหมสีทองแล้วปักลวดลายด้วยดิ้นสีเงินสลับทองคงงดงามนัก ข้าจะปักเสื้อคลุมให้ท่านพี่”“แค่พูดก็นึกอยากเห็นแล้วเจ้าค่ะ”“จงลี่ เจ้ามัวแต่พูด เลือกได้หรือยังจะได้เอาไปรวมให้ป้าเจาจ่ายเงิน”“ได้แล้วเจ้าค่ะ”“ไปกันได้แล้ว ยังมีร้านเข็มกับด้ายอีกไหนจะต้องแวะซื้อกรรไกรกับเครื่องมืออื่นอีก เร็วๆเข้า”พวกนางเดินไปแล้ว เมื่อป้าเจาจ่ายเงินเสร็จก็พากันออกจากร้านไป บ่าวผู้ชายก็นำกองผ้าที่พระชายาซื้อไปที่รถม้าเพื่อรอพวกนางซื้อของร้านต่อไปผู้ที่ยืนอยู่นอกร
ฟ่างชิงเยี่ยนตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกด่ารุนแรงถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่นึกว่าแค่เรื่องเข้าใจผิดนี่จะทำให้เขาถึงกับ…..“ท่านอ๋อง…เมื่อครู่พระองค์…”“สตรีมักมากหลายใจเช่นเจ้า มีสิ่งใดให้ข้าลุ่มหลงกัน”“หึ ชิงเยี่ยนเจ้าเห็นหรือยังว่าเขาเลือดเย็นเพียงใด คนเช่นนี้หรือที่เจ้้าอยากอยู่ร่วมกับเขา ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าอยู่ร่วมกับเขาเป็นอันขาด การแต่งงานนี้ ข้าไม่มีทางยอมรับ!!”“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู ว่าจะสามารถแย่งนางไปจากตำหนักอ๋องของข้าด้วยวิธีใด ข้าก็อยากจะเห็นเช่นกัน”ท่านอ๋องดันเขาไปจนติดกำแพงสุดแรงและหันมาฉุดฟ่างชิงเยี่ยนที่ยืนอยู่อีกด้านมากับเขา นางแน่นิ่งและสะบัดมือเขาออกเช่นกัน“เจ้าจะทำสิ่งใด จะไปกับมันงั้นหรือ”“ข้าไม่ไปที่ใดกับผู้ใดทั้งสิ้น ในเมื่อไม่นานก็ต้องตาย สู้ตายตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”ชิงเยี่ยนวิ่งสุดแรงเพื่อจะใช้ศีรษะชนกำแพงพร้อมกับเสียงร้องห้ามของจางลู่หยวน แต่ท่านอ๋องรวบเอวนางขึ้นมาได้ทันและจับนางพาดบ่าทันที“ชิงเยี่ยน!!”“อย่าได้ให้ข้าเห็นว่าเจ้ากล้าเข้ามาใกล้นางอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้จะมิใช่แค่บาดเจ็บแต่ข้าจะตัดหัวเจ้าแทน!!”“ปล่อยข้านะ”“เงียบ!!”“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ฆ่าข
สองชั่วยามผ่านไป“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าเรียกข้ามาเก้าครั้งแล้ว หากว่าเจ้าเป็นห่วงนางนัก…”เขาพูดไม่ทันจบ เสียงฝนด้านนอกก็ตกลงมา ชิงเยี่ยนที่ยังนั่งอยู่ลานกลางตำหนักมองดูสิ่งที่สู้อุตส่าห์ซื้อมาจากตลาด หวังจะมาตัดชุดให้เขา กลับถูกเผาด้วยมือเขาเอง ในตอนนี้ฝนยังกระหน่ำตกลงมาราวกับจะบอกนางว่าคงถึงเวลาที่นางจะต้องตายแล้ว จึงส่งฝนมาช่วยให้นางได้ตายเร็วขึ้น“หึ แม้แต่สวรรค์ยังรู้เลยว่าไม่อยากอยู่แล้ว”ฟ่างชิงเยี่ยนหัวเราะให้กับโชคชะตาของตนเอง เดิมทีท่านพ่อนางตกลงยกนางให้หมั้นหมายกับจางลู่หยวน เพื่อนในวัยเด็กและเป็นบุตรของรองแม่ทัพของเขาเองจางลู่หยวนนั้นมีใจให้กับฟ่างชิงเยี่ยนมาตั้งแต่เด็กแม้ว่านางจะอยากแต่งกับเขาเพียงเพราะอยากจะออกจากสกุลฟ่างเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าชะตาชีวิตเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้จากต้องแต่งเข้าสกุลจาง เพียงแค่ราชโองการฉบับเดียว และพี่สาวคนรองที่หนีเอาตัวรอดจากการแต่งงาน บิดาของนางจึงส่งนางมาตายแทนที่พี่รองนางที่นี่ “ที่สุดแล้วอยากให้ข้าตายไปให้พ้นๆนี่เองสินะ”สายตานางพร่าเลือนไปทีละนิด นางไม่รู้ว่ายามใดแล้วเมื่อตานางเริ่มปิด และเห็นเพียงลางๆว่ามีคนวิ่งมาทางนี้ สัม
“พระชายา เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้”“พวกเขาบอกข้าว่า…”“บอกว่าอย่างไร”“พวกเขาบอกว่า ท่าน…รักข้าและเป็นห่วงข้ามาก ที่ข้าไม่สบายเพราะตากฝนจนจับไข้ ท่านก็มาเฝ้าข้าทุกวัน หาหมอมารักษาจนข้าฟื้นขึ้นมาเป็นเรื่องจริงหรือ”“จริง….ข้าดีใจที่เจ้าฟื้น”“เช่นนั้น..เราก็รักกันมาสินะเจ้าคะ…เพคะ…เอ่อ…”“ช่างเถอะ เจ้าถนัดพูดเช่นไรก็พูดเช่นนั้น”“เช่นนั้น ข้าชื่อว่า..ลั่วชิงเยี่ยนงั้นหรือเจ้าคะพวกนางบอกข้ามา”คำว่า “ลั่วชิงเยี่ยน” ทำให้เขายิ้มออกมาได้อย่างอบอุ่นใจ แม้นางจะยังจำเขาไม่ได้แต่เขาก็รู้สึกดีใจที่นางพูดขึ้นมา นั่นเท่ากับว่านางยอมรับเขาแล้วครึ่งหนึ่ง นางยอมใช้แซ่ของเขา “ใช่แล้วชิงเยี่ยน เจ้าคือพระชายาที่ข้ารักมากที่สุด เป็นพระชายาอภิเษกเข้ามาในตำหนักนี้ ข้ารักและห่วง หวงเจ้าเป็นที่สุด ยามเจ้าหมดสติอยู่บนเตียงนั่นทำเอาหัวใจข้าแทบขาด เจ้าไม่เพียงทำให้ข้าเป็นห่วงยังทำให้ทุกคนในตำหนักนี้เป็นห่วงเจ้าด้วย”“ท่านพี่”นางเรียกเขาโดยไม่ตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด ท่านอ๋องไม่เคยรู้สึกว่าต้องการสิ่งใดมากขนาดนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าสามในสี่ยอดบุรุษหนุ่มแห่งต้าเฉินนั้นเหตุใดจึงยอมให้สตรีในดวงใจ นั่นเพราะยอดบุรุษหนุ่
“ในเมื่อสกุลฟ่างมิใช่ที่ที่นางสมควรอยู่ ทั้งที่ถูกทารุณถึงเพียงนั้น เหตุใดนางถึงยังทนอยู่”“เพื่อสืบเรื่องการตายของมารดา นางสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของฮูหยินใหญ่พ่ะย่ะค่ะ นางจึงพยายามหาหลักฐาน แต่ว่า….”“นางตัวคนเดียว อีกทั้งยังถูกกลั่นแกล้งเพียงนั้น จะเอาแรงที่ไหนสืบเรื่องนี้กัน”“พ่ะย่ะค่ะ เมื่อแม่ทัพฟ่างสั่งให้นางมาสมรสกับพระองค์ นางจึงคิดว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะหลุดออกจากสกุลฟ่างได้ เพียงแต่ เมื่อฟางลู่หยวนกลับมา เขารู้ข่าวการสมรส เขาจึงไม่ยอมเมื่อทราบว่าพระชายาออกนอกตำหนัก เขาจึงได้ไปดักพบนางพ่ะย่ะค่ะ”“ที่แท้ข้าเข้าใจนางผิดมาตลอด นางมิได้ชอบเจ้านั่น แค่อยากใช้ประโยชน์ในการแต่งงานครั้งนั้นหนีออกมาจากสกุลฟ่าง เรื่องเลวร้ายเช่นนี้นางเป็นเพียงสตรีตัวคนเดียว เหตุใดจึงทนมาได้ถึงขนาดนี้”“นางมีฟ่างหลิงเทียนคอยดูแลพ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพฟ่าง และคุณชายฟ่างจื่อหนาน เป็นพี่สามของนาง ซึ่งพวกเขารักและเอ็นดูนางราวกับน้องสาวแท้ๆ ฮูหยินใหญ่จะทารุณนางมากก็เกรงว่าบุตรชายจะเกลียดชัง นางจึงอยู่ที่นั่นมาได้พ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าส่งคนของเรา แทรกซึมเข้าสกุลฟ่าง จับตาดูทุกคนในนั้นและสืบเรื่อ
ตำหนักท่านอ๋อง“พวกเจ้าไปทำแผลก่อนเถอะ”“พระชายาเพคะ นี่…พวกเจ้าบาดเจ็บมางั้นหรือ พระชายาเล่า”“พระชายาปลอดภัยดี”“ป้าเจา พาพวกนางไปทำแผล ข้าจะพาชิงเยี่ยนกลับห้องแล้ว”“ทะ…ท่านอ๋อง…พะ..พระองค์มาทันเวลา ขอบคุณสวรรค์”“ชิงเยี่ยน ข้าอุ้มเจ้าไปนะ”ชิงเยี่ยนมิได้พูดสิ่งใดแต่ก็ยอมให้ท่านอ๋องอุ้มนางขึ้นไปเงียบเงียบๆ จนนางเข้ามาในห้องกับท่านอ๋อง เขาพานางไปนั่งที่เตียงและนั่งลงข้างๆกาย“ชิงเยี่ยน เจ้า….เป็นอย่างไรบ้าง”“ทุกอย่าง…จบแล้วสินะเพคะท่านแม่ตายตาหลับเสียที”“มันจบแล้ว ชิงเยี่ยนจากนี้ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว แม่ทัพฟ่างจะให้คนนำป้ายวิญญาณแม่เจ้าไปที่สุสานบรรพชนสกุลฟ่างในวันพรุ่งนี้ หากว่าเจ้าอยากจะไปเคารพศพนาง ข้าจะพาเจ้าไป”“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงจัดการเรื่องทุกอย่างนี้แทนหม่อมฉันนะเพคะ”“เจ้าเป็นพระชายาของข้า เรื่องที่เจ้าไม่สบายใจข้าผู้เป็นพระสวามีย่อมมีหน้าที่ดูแลเจ้า ข้าอยากให้เจ้ายิ้มเหมือนครั้งที่…ในตอนที่เจ้า…”“พระองค์คิดถึงนางสินะเพคะ นางที่จำพระองค์ไม่ได้ และเอาแต่ทำตัวเหมือนเด็กอยู่ข้างๆพระองค์”“ไม่ใช่นะชิงเยี่ยน เจ้า…”“หม่อมฉันอยากแช่น้ำอุ่นเสียหน่อยเพคะ”
ฟ่างฮูหยินสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้ว่าเป็นผู้ใดที่พึ่งก้าวเข้ามา แม้ว่าตาจะมองไม่เห็น แต่ความอำมหิตนี้กลับแผ่กระจายจนนางรู้สึกได้ ฝูเยว่ในยามนี้ทรุดตัวลงกับพื้น ไม่ร้องโวยวายอีกแล้วแม้ว่านิ้วก้อยที่ขาดไปจะเจ็บปางตายเช่นไร “ท่านพี่…ท่าน..”“ชิงเยี่ยน”ท่านอ๋องเดินไปและดึงนางมากอดท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารทั้งกองและฟ่างฝูเยว่ที่ได้แต่มองตามเขาไป เหตุใดจึงไม่ใช่นางเหตุใดต้องเป็นฟ่างชิงเยี่ยน…..“ข้าเตือนเจ้าแล้วว่า…”"ข้าดูแลตัวเองดี ไม่บาดเจ็บเพคะแต่ว่าจงลี่ กับ…“เจ้าคิดหรือว่าสาวใช้ในตำหนักอ๋องจะเป็นแค่สาวใช้ธรรมดา พวกนางล้วนฝึกวรยุทธ์และเป็นทหารกล้าที่พร้อมรบได้ทุกเมื่อ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะส่งสาวใช้ธรรมดามาอยู่ข้างกายคนที่ข้ารักที่สุด”“พระองค์ปลอดภัย ช่างดียิ่งนัก”“จัดการขยะที่นี่ก่อน กลับตำหนักแล้วค่อยคุยกัน”“เพคะ”“ฟ่างฮูหยิน ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่ได้จดจำเลยสินะถึงได้กล้าลอบสังหารพระชายาของข้าอีก”“มะ…ไม่นะเพคะท่านอ๋อง นาง…นางต่างหากที่พาคนมา…”“หุบปาก!! ฟ่างฝูเยว่เจ้าคิดว่าโง่ที่จะเชื่อคำพูดปลิ้นปล้อนของเจ้าที่พ่นออกมางั้นหรือ ปากสุนัข!!”“ท่านอ๋องเพคะ!!”“หึ เจ้าคิดว่าการที่ข้ามิได
สองชั่วยามผ่านไป หมอหลวงรีบกลับมาแจ้งอาการให้พระชายาทรงทราบว่าบัดนี้แม่ทัพฟ่างมีอาการเหมือนถูกพิษ และเป็นพิษที่ไม่สามารถรักษาได้ และเหลือเวลาอีกไม่นานเท่าใดแล้ว หากว่าพระชายาไปเยี่ยมได้ ในยามนี้ก็ควรจะรีบไปก่อนจะสายเกินแก้“พระชายาเพคะ เช่นนั้น…”“เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ ไม่ต้องนำขบวนติดตามไปมากเกรงว่าชาวบ้านจะแตกตื่น”“เพคะ”ป้าเจาให้สาวใช้สองคนและทหารองครักษ์สิบคนติดตามพระชายาไปเท่านั้นตามคำสั่งนาง ชิงเยี่ยนเดินขึ้นรถม้าและออกเดินทางไปยังสกุลฟ่างในทันทีจวนสกุลฟ่าง“ฮูหยิน พระชายาเสด็จมาแล้วเพคะ”“มาแล้วสินะ เช่นนั้นเราก็ควรจะไปรับเสด็จนางหน่อยนะฝูเยว่”“ได้สิเจ้าคะ ลูกก็รอรับนางอยู่เช่นกัน”สองแม่ลูกเดินออกไปที่หน้าจวนเพื่อรอรถม้าของพระชายาท่านอ๋องมาจอด เมื่อชิงเยี่ยนเดินลงจากรถม้า ฮูหยินที่ยืนรออยู่ก็เดินเข้ามาหานางทันที“เจ้ามาได้เสียทีสินะ”“บังอาจ เห็นพระชายาแล้วยังไม่รีบคุกเข่าอีก”“จงลี่ ไม่ต้องเกรงว่าคนของที่นี่เป็นไม้แก่ที่ดัดยากเสียแล้ว คงลืมรถแส้ที่ฟาดลงหลังและไม้โบยไปแล้วกระมัง”“นัง…”“ฝูเยว่ ระวังกิริยาเจ้าด้วยพระชายาเสด็จมาเยี่ยมอาการท่านพ่อ เราก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกั
ชิงเยี่ยนลุกขึ้นมามองหน้าท่านอ๋องที่นอนตะแคงคุยกับนางอยู่และลุกนั่งข้างๆนางพร้อมกับจับมือเอาไว้“ท่านพ่อเจ้ารู้ว่าฟ่างฮูหยินต้องคิดไม่ดีกับหลุมศพนั้น เขาจึงสั่งให้จื่อหนานย้ายศพแม่เจ้าออก ที่หลุมศพที่ถูกทำลายนั่น มิได้มีร่างผู้ใดอยู่แต่แรกแล้ว”“เช่น…เช่นนั้น….แม่ของข้า…”“พ่อเจ้านำร่างแม่ของเจ้าไปฝังที่สุสานสกุลฟ่างโดยมิได้บอกให้ฮูหยินทราบ เจ้าไม่ต้องห่วงแม่ทัพฟ่างมิใช่ผู้ที่ทำสิ่งใดไม่มีเหตุผลการที่เขาส่งเจ้ามาที่นี่ก็เช่นกัน”“พระองค์ทรงหมายความว่าท่านพ่อ…”“นี่เป็นวิธีเดียวที่จะปกป้องเจ้า ในฐานะพ่อที่เขาพึงจะทำได้ เขาตระหนักรู้ดีว่าเจ้าถูกรังแก จึงหาทางให้เจ้าออกจากจวนนั้นมา เดิมทีคิดว่าสกุลจางจะพึ่งพาได้แต่เพราะเรื่องของข้าเลยทำให้แม่ทัพฟ่างส่งเจ้ามาที่นี่”“แต่ท่านพ่อ..ข่าวลือนั่น..”“เขารู้ดีว่าข่าวลือเป็นเพียงข่าวลือ เขารู้อีกว่าหากข้ากับเจ้าอยู่ร่วมกันไม่ได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป พระสนมคนก่อนออกจากตำหนักนี้ไปเพราะข้าให้นางแฝงตัวไปกับกองทัพแม่ทัพฟ่างบิดาของเจ้าน่ะ เขารู้เรื่องนี้ดีเพราะทหารคนรักของนาง อยู่ในกองทัพของบิดาเจ้า”“ที่แท้….มิได้มีเพียงพี่ใหญ่และพี่สาม…”“พี่ใหญ่เจ้าทำ
“แต่ว่าชิงเยี่ยน…”“ไม่นึกว่าแม้แต่ชิงเยี่ยนท่านพ่อก็ไม่กล้าบอก”“เจ้ากำลังจะบอกว่า หลุมศพที่ตั้งบนภูเขานั่น มิได้มี…”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อกระหม่อมนำร่างแม่รองไปฝังที่สุสานบรรพชนสกุลฟ่างโดยมิได้บอกให้ผู้ใดทราบ มีเพียงกระหม่อมที่ทราบเพราะจัดการเรื่องนี้ลับๆ ส่วนหลุมศพบนเขานั่น ก็มีเอาไว้หลอกท่านแม่เท่านั้น แต่นึกไม่ถึงจริงๆว่านางจะกล้าบุกไปทำลาย ท่านพ่อคาดการณ์เอาไว้แม่นยำนัก”“เหตุใดแม่ทัพฟ่าง…จึงไม่บอกเรื่องนี้กับชิงเยี่ยน”“ท่านพ่อนำแม่รองไปฝังเอาไว้โดยมิได้แจ้งชื่อบนหลุมศพ มีเพียงที่นั่นที่จะพ้นข้อสงสัย ท่านแม่ก็จะไม่ตามไปทำลายได้ ท่านพ่อช่างรอบคอบยิ่งนักเพราะเรื่องนี้ พระองค์จึงได้…”“ใช่ ข้าไม่รู้ว่า….”“เรื่องนั้นช่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ สกุลฝางหลายปีมานี้ก็ใช่ว่าจะสะอาดนัก พวกเขาแอบทำการค้าผิดกฎหมายเพราะอ้างจวนแม่ทัพอยู่หลายครั้งแต่ท่านพ่อกลับยังทำสิ่งใดไม่ได้ ไฟไหม้คลังสินค้าครานี้คงได้สอบสวนกันอีกยาว”“เรื่องนี้เจ้าควรบอกชิงเยี่ยน”“กระหม่อมมาที่นี่ก็เพื่อจะบอกนางเรื่องนี้ แต่ดูแล้ว…ให้พระองค์บอกนางเองจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อที่ทำห่างเหินกับนางเพราะเหตุผลนี้ ท่านแม่ข้าเกลียดแม่ของนาง
“สมน้ำหน้า แกล้งเป็นลมดีนักแทนที่จะได้พักกลับถูกเพิ่มโทษ เอาพวกเรามาดูน้ำหน้าคนใจร้ายเร็วทำร้ายผู้อื่นแล้วยังกล้ามาขอความเห็นใจอีก”ฟ่างฮูหยินและฟ่างฝูเยว่ไม่เคยรู้สึกอัปยศและอับอายเช่นนี้มาก่อนในชีวิตนี้ แม้แต่แค่คิดก็ไม่เคยว่าจะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ฝูเยว่ในตอนนี้อย่าว่าแต่กลับไปใช้ชีวิตปกติเลย ข่าวที่แพร่ออกไปในยามนี้จะมีบุรุษใดกล้ามาสู่ขอนางอีกหรือไม่“ขะ…ข้าจะ..ฆ่ามัน…ข้าอยากจะฆ่ามัน..ให้ตายคามือ”“ฝูเยว่ เจ้าหุบปากก่อน”“ท่านแม่…ข้า…เจ็บใจ”“รอให้พวกมันกลับไปก่อน…”เสียงก่นด่าพวกนางดังอย่างไม่หยุดหย่อน บรรดาสาวใช้เองก็เริ่มทนพิษบาดแผลจากการโบยและถูกขว้างปาสิ่งของไม่ไหวก็ทยอยล้มลงแต่มิได้มีผู้ใดถูกน้ำสาดเหมือนสองแม่ลูกสกุลฟ่างจนครบกำหนดเวลา ทหารจึงเดินมาโอบรอบบริเวณหน้าจวนเอาไว้และให้คนพาพวกนางเข้าไป“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ได้เวลากลับแล้ว แม่ทัพฟ่าง ขอบคุณที่ให้การรับรองข้าและพระชายาเป็นอย่างดี”“เอ่อ ท่านอ๋องจะเสด็จกลับเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”“พระชายาข้าไม่ค่อยอยากจะอยู่ที่นี่นานเท่าใดนัก เอาเป็นว่าข้า…จะมาเยี่ยมท่านบ่อยๆเมื่อมีโอกาสก็แล้วกัน”“น้อมส่งเสด็จท่านอ๋องและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”“ท่าน
“จื่อหนาน เจ้ากับท่านอ๋องจะออกเดินทางเมื่อใด”“น่าจะอีกห้าวันขอรับ”“เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ”“พี่ใหญ่ ท่านอ๋องคงอยากไหว้วานท่านเรื่องพระชายา”“อืม เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว มีข้าอยู่จะไม่มีทางให้พระชายาเป็นอันตรายได้ เจ้ากับท่านอ๋องอย่าได้ห่วงมากไปเลย”“ข้ามิได้ห่วงท่านกับชิงเยี่ยนแต่ว่าข้า…”"หึ หากว่าพวกนางหาเรื่องอีก ข้าก็เตือนไปแล้ว ครั้งหน้าข้าคงรั้งชีวิตพวกนางเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว"“ท่านพ่อ…”“หลิงเทียน หลายปีที่ผ่านมาแม้ว่าพ่อจะทำไม่สนใจน้องเจ้าและให้เจ้าสองคนดูแลนางแทนเพื่อมิให้ฮูหยินระแวงและรังแกนางมากขึ้น แต่ดูแล้ว คงจะไม่ได้ผล เช่นนั้นหลังจากนี้หากว่านางกล้ายุ่งกับชิงเยี่ยนอีก ข้าก็จะถือเสียว่า…นางรนหาที่เอง”“แต่ลูกคิดว่าน้องรองกับท่านแม่คงจะ…”“พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ยินนางพูดเมื่อครู่หรือ ขอเพียงแค่นางรู้ว่าท่านอ๋องออกจากซูโจวไป ชิงเยี่ยนจะไม่ปลอดภัยเป็นแน่ซึ่งท่านอ๋องทรงทราบดี ครั้งนี้ท่านอ๋องจะเอาถึงตายหากพวกนางยังกล้าแตะต้องชิงเยี่ยน”“ท่านอ๋องไม่คิดจะปล่อยท่านแม่กับ….”“ท่านเคยเห็นมีผู้ใดรอดชีวิตไปบ้างงั้นหรือหากว่ามีเรื่องกับอ๋องโลหิตผู้นั้น”“น้อง..น้องสาม…”“เช่นนั้นข้าจึงฝากท่
สายตาเย็นเยือกนั้นกวาดมาที่สองแม่ลูกที่นั่งตัวลีบอยู่ที่โต๊ะอาหาร ปากที่ซีดอยู่แล้วเพราะบาดเจ็บในตอนนี้แทบจะไร้ความรู้สึกอีกครั้ง ท่านอ๋องเดินกลับมาที่โต๊ะอาหารที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้อง “ส่งผ้าขาดๆไปให้ สั่งลงโทษล้างห้องน้ำ ให้กินหมั่นโถววันละชิ้น หึ เป็นถึงฮูหยินจวนแม่ทัพเจ้าดูแลคนเช่นนี้งั้นหรือ บอกข้ามาสิฟ่างฮูหยินคนอย่างเจ้ามันสมควรถูกลงโทษเช่นไร”“ทะ…ท่านอ๋องเพคะ….หมะ…หม่อม……”“หุบปากเจ้าไปข้าไม่อยากฟัง”แม่ทัพฟ่างทรุดตัวนั่งลงที่โต๊ะพลันหันไปมองหน้าชิงเยี่ยนที่กำมือแน่นบนโต๊ะ ราวกับทุกเหตุการณ์นั้นกลับมาอีกครั้งทั้งๆที่นางพยายามลืมแต่เมื่อถูกพูดถึงอีกครั้ง ครานี้นางก็ไม่มีเหตุผลจะต้องช่วยเหลือผู้ใดอีก ท่านอ๋องตรัสได้ถูกต้องแล้ว นางควรจะลงโทษเสียบ้าง“พระชายาเพคะ…”“ข้าไม่เป็นไร”จงลี่และอู่ผิงเข้ามาคุกเข่ากอดแขนนางเอาไว้พร้อมกับร้องไห้ไปกับนาง พวกนางนึกไม่ถึงว่าพระชายาก่อนหน้านี้จะเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้มาก่อน บัดนี้ผู้ที่แทบจะนั่งไม่ติดที่คือฟ่างฝูเยว่ นางกำลังคิดว่าหากเป็นลมตอนนี้ นางก็คงจะไม่ต้องรับรู้สิ่งใดอีก“หากพวกเจ้าสองคนฟังเรื่องนี้แล้วเกิดเป็นลม และคิดว่าข้าจะ
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ คือ…”แม่ทัพฟ่างจับมือของบุตรชายคนโตเอาไว้ มือเขานิ่งและมั่นคง สายตายังคงหันไปมองที่ท่านอ๋องที่ยกชาขึ้นมาดื่มอย่างไม่สะทกสะท้าน ชิงเยี่ยนเองก็นั่งนิ่งราวกับว่าถูกปรามมาก่อนแล้วว่าห้ามขัดพระทัย“พ่อ…จะให้คนไปเชิญแม่เจ้ากับน้องเจ้ามาเอง”“ท่านพ่อ แต่ว่า…”“พี่ใหญ่ท่านอยู่เฉยๆเถอะขอรับ”“น้องสาม แต่ว่า….”“นี่นะหรือที่ท่านบอกว่าจะยั้งมือ”“ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย แค่อยากกินข้าวร่วมกันให้ครบ เป็นการผูกมิตรกับครอบครัว ข้าทำผิดตรงไหนอีกเล่า”“ลั่วหมิงจ้าน นี่ท่าน…”สายตาของพระชายามองท่านอ๋องยิ้มๆ แต่แขนนางบิดเขาไปที่เอวเขาเต็มแรงจนเขาเริ่มทำหน้าบิดเบี้ยวแต่ก็ฝืนยิ้มให้นางด้วยเกรงว่าอีกสองคนตรงข้ามจะจับได้ แต่เรื่องนี้หาได้พ้นสายตาของฟ่างจื่อหนานไม่เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าน้องสาวเขาไม่ยอมปล่อยท่านอ๋องไปแน่ๆ ดูจากสีพระพักตร์ในตอนนี้แล้ว เขาเพียงแค่ยกพัดขึ้นมาปิดรอยยิ้มบนหน้าตัวเองเท่านั้น“วะ…ว่าอย่างไรนะ…นะ…นี่ข้า..กับฝูเยว่ต้อง…”“ฮูหยิน นายท่านสั่งเจ้าค่ะ บ่าว…”“ท่านแม่ เหตุใดท่านอ๋อง…ถึงได้ทรง…โหดร้ายถึงเพียงนี้เจ้าคะ”“เพราะนังจิ้งจอกนั่น!! แม่จะต้องเอาคืนให้สาสม”“น