เซียวหนิงหลงไม่คิดว่าพิษที่พระสนมเยี่ยซูเฟยได้รับจะออกฤทธิ์รวดเร็วเช่นนี้ ฮ่องเต้เห็นหลานคนโปรดขมวดคิ้วคล้ายมีข้อสงสัย จึงตรัสกับเซียวหนิงหลงไปตามความจริง“หลานรักเจ้าไม่ต้องคิดสงสัยถึงสาเหตุที่พิษกำเริบเร็วเช่นนี้ เป็นคำสั่งของลุงที่ให้จ้าวกงกงเพิ่มยาพิษลงไปในน้ำแกง อย่างน้อยเมื่อนางไม่สามารถลุกขึ้นมาวางแผนอันใดได้ พี่ชายของนางย่อมเร่งมือทำการชิงบัลลังก์แน่นอน”“หลานก็คิดไปว่าเพียงไม่กี่เดือนเหตุใดพิษถึงได้กำเริบเร็วนัก แล้วเสด็จลุงจะไปเยี่ยมนางยามใดพ่ะย่ะค่ะ”“รออีกสักสองเค่อค่อยไปที่ตำหนักของนาง ปล่อยให้หมอหลวงรักษานางไปก่อน เจ้าบอกว่าส่งหน่วยลับไปติดตามดู ขุนนางที่น่าสงสัยแล้วใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ยังไม่รีบร้อนที่จะไปเยี่ยมพระสนมเยี่ยซูเฟย“พ่ะย่ะค่ะ หลานคิดว่าไม่เกินสามวันจะได้หลักฐาน และรู้ตัวของคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแน่นอน ครั้งนี้เสด็จลุงคงต้องลงทัณฑ์พวกนั้นด้วยโทษสูงสุด เพื่อเป็นตัวอย่างแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ” เซียวหนิงหลงมั่นใจในฝีมือของหน่วยลับทุกคนว่า จะทำสำเร็จตามที่เขาคาดการณ์ไว้“อืม เมื่อได้หลักฐานมัดตัวคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว ลุงจะส่งทหารไปจับกุมตัวทันที เจ้าให้ชุนช
เจ้ากรมอาญาซ่งจูเก๋อรีบเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หลังจากได้รับแจ้งจากพ่อบ้านโดยคนที่มารออยู่ที่หน้าจวน คือองครักษ์ของตำหนักฮ่องเต้ยังดีที่เขานั่งทำงานอยู่ จึงไม่เสียเวลาในการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่เจ้ากรมซ่งไม่ลืมส่งพ่อบ้านไปที่จวนของรองเจ้ากรมอาญาเหิงฉวีคุน ให้เขาเตรียมตัวรอรับคำสั่งอยู่ที่กรมอาญาพร้อมเจ้าหน้าที่ เมื่อถูกพามายังตำหนักของฮ่องเต้ขันทีหน้าตำหนัก รีบพาตัวใต้เท้าซ่งเข้าไปด้านในทันที“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“ใต้เท้าซ่งลุกขึ้นเถิดต้องขออภัยที่เจิ้นเรียกตัวท่านมาในยามนี้”“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ขุนนางอย่างกระหม่อมควรมีความพร้อมอยู่ทุกเมื่อ หากฝ่าบาทมีพระประสงค์เรียกพบ”“เอาล่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ช่วงนี้ใต้เท้าซ่งคงได้ยินข่าวการหายตัวไปของสตรีมาบ้างใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ทรงตรัสถามกับใต้เท้าซ่งเพราะทรงอยากรู้ว่าเขามีข่าวเรื่องนี้อย่างไรบ้าง“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้รับการร้องทุกข์นี้จากชาวบ้านหลายคน แต่ไม่ว่าจะส่งคนไปตามสืบอย่างไรก็หาพวกมันไม่พบ ทหารหน้าประตูเมืองที่ลงบันทึกการเข้าออก ก็ไม่มีข้อมูลการพาคนออกนอกเมืองจำนวนมาก คนที่ลงมือคงวางแผนมาอย่างดีเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าซ่งส่งคน
ก่อนถึงเวลาเปิดร้านเพียงสองเค่อ เจียวมิ่งบังคับรถม้ามาจอดด้านหลังร้านอาหาร เพื่อขนหีบที่มีตั๋วเงินอัดแน่นอยู่ด้านในขึ้นไปชั้นบน ถึงแม้ครั้งนี้จะมีหีบมาเพียงสิบใบแต่ภายในเป็นตั๋วเงินทั้งหมด ก้งเจี้ยบอกมาคร่าว ๆ ว่ามีเกือบห้าหมื่นตำลึงทอง เมื่อนำมารวมกับของไฉเถาเยี่ยนก็เกือบหนึ่งแสนตำลึงทองทีเดียวเมื่อลู่เวินออกจากห้องมาพบกับเจียวมิ่งที่เพิ่งจะยกหีบขึ้นมาเพียงสามใบ จึงเข้าไปลุกบุตรชายเพื่อจะได้ช่วยกันยกขึ้นมาเก็บให้เรียบร้อยก่อนเปิดร้าน พอลู่ชิงตื่นก็มีหน้าที่เก็บเข้ามิติจะได้ปลอดภัย รอให้เหตุการณ์สงบลงกว่านี้ค่อยนำเงินออกมา และแบ่งใส่ถุงเงินนำไปมอบให้กับครอบครัวที่ถูกทำร้ายเมื่อคืนลู่ชิงที่หนีเข้าไปนอนในมิติได้เดินดูของในห้างสรรพสินค้า นางอยากมีของตอบแทนที่พวกเจียวมิ่งสามารถพกติดตัวได้ ลู่ชิงเดินไปที่ร้านพวกอาวุธมีทั้งมีดสั้น ดาบสั้น มีดพกขนาดเล็ก รวมถึงดาบซามูไรขนาดต่าง ๆ พอเดินวนพิจารณาอยู่สักพัก จึงตัดสินใจว่าจะให้ดาบซามูไรความยาวสองฉื่อนิด ๆ กับบุรุษทั้งสาม ส่วนของก้งเยว่นั้นลู่ชิงเลือกเป็นมีดสั้นขนาดหนึ่งฉื่อ นอกจากนี้นางยังหยิบหยกพกลายดอกบัวสีเขียวอ่อนสามชิ้น และหยกพกลายดอกบัวส
เซียวหนิงหลงนั่งฟังชุนชานรายงาน การลงโทษประหารนักโทษทั้งสองคน รวมถึงการขับไล่ครอบครัวทั้งสองตระกูล ห้ามอาศัยอยู่ในเขตเมืองหลวง และไม่อนุญาตให้บุตรหลานสอบเข้ารับราชการ ส่วนสตรีห้ามแต่งเข้าจวนขุนนาง พวกเขาจะต้องเดินทางโดยที่ไม่มีเงินทองติดตัว แม้แต่เครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยล้วนถูกยึดไปหมดบ้านเดิมไม่ให้การช่วยเหลือด้วยกลัวจะติดร่างแหไปด้วย จะหันหน้าไปพึ่งพาเพื่อนสนิทมิตรสหายที่เคยคบหากัน ทุกคนต่างก็หันหน้าหนีคล้ายกับว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน ส่วนขุนนางที่เคยเป็นลูกค้าใช้เงินซื้อความสุขชั่วคราว เมื่อคนในครอบครัวได้รับรู้พฤติกรรมอันน่ารังเกียจ จึงเกิดทะเลาะกันอย่างหนักบางครอบครัวถึงขั้นหย่าร้างขุนนางพวกนี้มิได้มีฐานะร่ำรวยแต่อาศัยว่าได้ภรรยามีฐานะดี ทำให้มีหน้ามีตาในวงสังคมขุนนางชั้นสูงมาได้ เพราะการสนับสนุนของภรรยาทั้งสิ้นการต้องอยู่ในตำแหน่งเดิมถึงห้าปี แสดงว่าเบี้ยหวัดที่ได้ย่อมเท่าเดิม ที่สำคัญยังต้องใช้เงินสำหรับเปิดโรงทานถึงหกเดือน จะทำอาหารแจกแบบขอไปทีคงจะถูกตรวจสอบเป็นแน่แล้วค่าใช้จ่ายของคนในครอบครัวกับเงินเบี้ยหวัดของบ่าวไพร่อีก คงต้องขายบ่าวไพร่เพื่อลดค่าใช้จ่ายสิ่งของในจวนที่
แคว้นฉู่เป็นแคว้นที่ใหญ่รองลงมาจากแคว้นซีหนาน ซึ่งมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์และกองทัพที่แข็งแกร่ง ไม่แปลกที่แคว้นตงหนานต้องการยึดพื้นที่ชายแดน และแคว้นเป่ยเยี่ยนที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแคว้นฉู่แม้การใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของราษฎรจะดีเหมือนแคว้นอื่น แต่แคว้นเป่ยเยี่ยนกลับมีพระสนมยศกุ้ยเฟย จากตระกูลเก่าแก่ตระกูลนี้ก็คือตระกูลเฮ่อ ซึ่งมีพิธีกรรมที่เป็นความเชื่อสืบทอดกันมา เพื่อส่งเสริมให้บุตรหลานที่เป็นสตรีในตระกูล เรืองอำนาจอยู่เหนือบุรุษและสามารถควบคุมเอาไว้ในกำมือทุก ๆ หนึ่งปีผู้ทำพิธีของตระกูลเฮ่ออย่างเฮ่อจาวหยู จะออกไปเสาะหาเด็กสาวผู้มีอายุตั้งแต่สิบสองหนาวขึ้นไป เป็นเด็กสาวที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ภาพรวมทั้งหมดที่แสดงออกต่อคนรอบข้างของเด็กสาวพวกนี้จะมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว เมื่อพบเจอเด็กสาวตามคุณลักษณะที่ต้องการ จะนำตัวไปชำระล้างเพื่อนำเลือดจากหัวใจของเด็กสาว มอบให้พระสนมเฮ่อกุ้ยเฟยได้ดื่ม เพื่อเสริมอำนาจบารมีและคงความอ่อนเยาว์พิธีกรรมนี้ทำมาต่อเนื่องนานหลายปี ตั้งแต่พระสนมเฮ่อกุ้ยเฟยเข้าถวายตัวเป็นนางสนมเล็ก ๆ จนปีหลัง ๆ มานี้มีขุนนางหน้าใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่งเจ้ากรมตุลาการ ติดตามสืบหากา
หลังจากเจียวมิ่งบอกเล่าต้นสายปลายเหตุที่เฮ่อจาวหยูต้องการจับตัวลู่ชิงไป ทุกคนทำสีหน้าเหลือเชื่อว่าผ่านมาหลายร้อยปี ยังมีคนเชื่อเรื่องพิธีกรรมแปลก ๆ เช่นนี้อยู่อีกหรือ พวกเขาคิดถึงเด็กสาวที่ต้องสังเวยชีวิต เพราะคนหลงผิดเห็นแก่ตัวทำเรื่องผิดบาปสังหารคนเพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลแล้วศพพวกนั้นถูกนำไปกำจัดอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น เมื่อกลับมาถึงบ้านเช่าพวกเจียวมิ่งทำให้เฮ่อจาวหยูฟื้นคืนสติ ด้วยมีข้อสงสัยบางอย่างที่ยังไม่ได้คำตอบ นั่นคือผู้มีอำนาจรวมถึงข้อมูลของคนในตระกูลเฮ่อทั้งหมด ว่าบุตรหลานที่เป็นสตรีแต่งงานไปตระกูลใดบ้าง อยู่ในแคว้นเป่ยเยี่ยนหรือแต่งงานไปแคว้นอื่น เจียวมิ่งเขียนรายละเอียดทุกอย่างลงในจดหมายและส่งออกไปทันทีเซียวหนิงหลงมอบหมายให้ชุนชานมีหน้าที่ดูแลการปรับปรุงร้านค้าทั้งสอง โดยให้ปาเซี่ยช่วยควบคุมดูแลนายช่าง จนกว่าพวกเขาจะปรับปรุงเสร็จ ส่วนตัวเขาได้แต่อ่านตำราพูดคุยกับมารดาและน้องสาวอยู่ในจวนบางครั้งก็ฝึกวรยุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่ง พวกเต๋อหลินเองได้ออกเดินทางไปยังตำบลหย่งฝู พร้อมรถม้าจำนวนหกคันแล้ว นอกจากนี้ยังส่งคนไปจับตามองตระกูลเมิ่ง ที่เข้าออกตำหนักของกวนเสียนเ
อันเนี่ยนเจินไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากนัก เมื่อต้าเป่ามาพร้อมกับม้าที่แข็งแรงสองตัวไม่มีการพูดจาใด ๆ ทั้งสองรีบขึ้นหลังม้าควบทะยานออกจากเมืองหลวงแคว้นเป่ยเยี่ยนทันที แม้ไม่ทราบจุดประสงค์ของผู้ส่งจดหมายฉบับนั้นว่าต้องการสิ่งใด แต่อันเนี่ยนเจินเชื่อไปเกินครึ่งแล้วว่า คนผู้นี้ต้องมีสิ่งที่เขาต้องการอย่างแน่นอนถึงการเดินทางครั้งนี้จะใช้เวลานานนับเดือนก็ตาม คนอย่างอันเนี่ยนเจินก็ไม่คิดยอมแพ้ หากเขาสามารถไขคดีนี้ให้ความจริงปรากฏออกมาได้ นอกจากความมั่นคงในหน้าที่การงาน ยังสามารถสร้างความน่าเชื่อถือต่อฮ่องเต้และขุนนางทั้งหลาย ต่อไปย่อมมีคนสนับสนุนและผลักดันให้อันเนี่ยนเจิน ไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ในอนาคตเช้ามืดในปลายยามอิ๋นหลี่เหลียงและสหายอีกสองคน ก็ออกเดินทางจากชายแดนพวกเขามุ่งหน้าไปแคว้นเป่ยเยี่ยน ทั้งสามคนจะไปถึงเขตเมืองหลวงประมาณต้นยามซวี ซึ่งจะแวะพักโรงเตี๊ยมนอกเมืองเสียก่อน และยามเว่ยของอีกวันถึงจะเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง เพื่อรอเวลาลงมือเมื่อความมืดมาเยือน“วันนี้พวกเราสามคนพักที่โรงเตี๊ยมนี้ก่อนเถิด พรุ่งนี้ยามเว่ยค่อยเดินทางเข้าเมืองหลวงต่อไป” หลี่เหลียงกล่าวกับสหายเมื่อเดินทางมาถึง
หลี่เหลียงพร้อมสหายทั้งสองหลังจากแวะส่งเด็กเล็ก ๆ ของตระกูลเฮ่อที่อารามบนเขาเสร็จ ก็รีบเร่งเดินทางเพื่อให้พ้นเขตแดนของแคว้นเป่ยเยี่ยน ตอนนี้ผู้คนในเมืองหลวงต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงตระกูลเฮ่อ เกี่ยวกับเรื่องห้องลับใต้ดินที่เป็นห้องสำหรับทำพิธีกรรมบางอย่าง ซึ่งทุกคนต่างเชื่อมโยงกับเรื่องที่มีเด็กสาวหายตัวไปก่อนจะพบเป็นศพด้วยเรื่องนี้ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้เป่ยซางหลาง ทำให้พระองค์ไม่เสด็จไปเยือนตำหนักของเฮ่อกุ้ยเฟยอีก มิหนำซ้ำเหล่าขุนนางยังรวมตัวเรียกร้องให้ฮ่องเต้ ทรงปลดนางจากตำแหน่งกุ้ยเฟยยังไม่พอ ผลกระทบนี้ทำให้องค์ชายรองไม่สามารถแข่งขันชิงตำแหน่งรัชทายาทได้ เพราะขุนนางหลายคนถอนตัวไปสนับสนุนองค์ชายคนอื่นแทน เฮ่อกุ้ยเฟยพอได้ยินข่าวนี้ยิ่งทำให้ล้มป่วยไปอีกหลายเดือนทีเดียวผ่านมาสองวันหลี่เหลียงกับสหาย จึงกลับมาถึงบ้านพักที่ชายแดนแคว้นฉู่ เขารีบเขียนจดหมายรายงานการทำภารกิจครั้งนี้ส่งให้เซียวหนิงหลงได้รับทราบ รวมถึงข่าวที่อันเนี่ยนเจินเจ้ากรมอาญาคนใหม่ กำลังเดินทางไปพบเซียวหนิงหลงตามที่นัดไว้ คงใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งเดือนกว่าจะไปถึงเมืองเฉียนเหอ เนื่องจากแคว้นเป่ยเยี่ยนเป็นแคว้นเล็ก ๆ อยู่ใก
เมื่อกลับมาถึงบ้านของเยวี๋ยนจิ้งห้าวก่อนดวงอาทิตย์จะตกดิน หลี่เฉียงกับสหายจึงอาสาจัดการทำความสะอาดหมูป่า โดยให้อาฉงเป็นคนก่อไฟและตักน้ำใส่ถังไว้รอ เยวี๋ยนจิ้งห้าวเห็นทุกคนแบ่งงานกันทำไปหมดแล้ว จึงยอมเดินเข้าบ้านเพื่อเขียนจดหมายส่งถึงลู่ชิงเรื่องต้นเฉ่าเหมยส่วนที่ดินติดเชิงเขาอย่างที่เซียวหนิงหลงต้องการ ทั้งหมดจำนวนห้าสิบหมู่ค่อยพาหลี่เฉียงไปสอบถามหัวหน้าหมู่บ้านในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะได้ดูพื้นที่จริง ๆ ก่อนจะตัดสินใจซื้อเอาไว้ และแล้วอาหารแสนอร่อยตามสูตรของลู่ชิง ก็ถูกเยวี๋ยนจิ้งห้าวรังสรรค์ออกมาเป็นเนื้อหมูย่างกับน้ำจิ้มรสเด็ด อาฉงแบ่งกลับไปให้ครอบครัวส่วนหนึ่ง และเขาก็กลับมานั่งร่วมกินเนื้อหมูย่างกับคนอื่นต่อหลี่เฉียงถึงกับคิดเอาไว้ในใจแล้วว่าเขาจะไม่ยอมพลาด เมื่อไหร่ที่ร้านอาหารของลู่ชิงเปิดขายที่แดนเหนือ เขาจะชวนสหายไปนั่งทานที่นั่นทุกวันแน่นอนยามเฉินของวันต่อมาหลี่เฉียงมาพบเยวี๋ยนจิ้งห้าวเพียงคนเดียว ส่วนหลี่เหลียงและหลี่เมิ่งต้องไปตรวจการฝึกซ้อมของทหาร เมื่อมาถึงบ้านของเหมิงกุ่ยหรานผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ก็พบกับเจี่ยงซื่อที่กำลังกวาดลานบ้านอยู่“ท่านป้าเจี่ยงท่านลุงกุ่ยหรานอยู่บ
เซียวเยว่เล่อจัดการบุตรหลานขุนนางใจสกปรกไปแล้ว ก็อยู่พูดคุยกับสหายทั้งสามอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันกลับจวน ส่วนทางด้านเซียวหนิงหลงที่ขี่ม้าออกนอกเมืองได้ไม่ไกลนัก กลับหยุดม้าเอาไว้ระหว่างทางด้วยรู้สึกว่ามีคนแอบตามมาซึ่งคนผู้นั้นก็มิใช่ใครที่ไหนแต่เป็นซิ่วเหวิน องครักษ์คนสนิทของจวิ้นอ๋องเขาแอบตามเซียวหนิงหลง ตั้งแต่หน้าจวนจนมาถึงตอนนี้ไม่คิดว่าจะถูกจับความเคลื่อนไหวได้ ทั้งที่ซิ่วเหวินก็ถือว่าเป็นผู้มีวรยุทธ์ขั้นสูงคนหนึ่งเหมือนกัน เมื่อถูกจับได้จึงต้องหยุดความเคลื่อนไหวรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้“ไม่จำเป็นต้องแอบอยู่หลังต้นไม้หรอกเผยตัวออกมาเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่แถวนี้หากไม่ยอมออกมาคนของข้าจะเข้าไปหาเจ้าเอง” เซียวหนิงหลงตะโกนเรียกซิ่วเหวินให้เผยตัว“แปะ แปะ แปะ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าซื่อจื่อแห่งจวนชินอ๋อง จะเก่งกาจจนสามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวของข้าได้ นับถือ ๆ” ซิ่วเหวินจำเป็นต้องเผยตัวออกมา“ข้าเก่งกาจเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว เจ้าอยู่ไกลถึงเมืองเฉียนซานคอยรับใช้ข้างจวิ้นอ๋อง จะไม่รู้เรื่องความเก่งของข้าได้อย่างไร มิใช่ว่าจวิ้นอ๋องก็ส่งคนแฝงตัวเข้ามาคอยสืบข่าวที่เมืองหลวงหรอกหรือ”“พอได
เมื่อใต้เท้าเยี่ยกับใต้เท้าเมิ่งรู้สึกตัวก็พบว่าตนนั้นอยู่ที่จวนแล้ว การนั่งคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาจากฮ่องเต้ไม่เป็นผล แม้จะไม่อยากให้บุตรสาวอันเป็นที่รักต้องเดินทางไกล แต่ไม่อาจขัดราชโองการได้จำต้องจัดเตรียมสินเดิมและคนคุ้มกันบุตรสาวอย่างเยี่ยหลิงถิง เดินทางร่วมกับขบวนเจ้าสาวไปส่งให้ถึงแดนใต้อย่างปลอดภัยกัวฮูหยินเป็นลมไปแล้วหลายรอบเพราะสามีขอร้องฮ่องเต้ไม่สำเร็จ บุตรสาวต้องจากไปไกลตาส่วนบุตรชายยังต้องรับอนุเพิ่มอีก ยิ่งตอนนี้พระสนมเยี่ยเกิดล้มป่วยจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ พวกเขาไม่มีใครที่จะออกหน้าให้ความช่วยเหลืออีกแล้วเช่นเดียวกับจวนใต้เท้าเมิ่งบุตรสาวที่ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวาน บัดนี้กลับกลายเป็นดั่งนางปีศาจกำลังอาละวาด ขว้างปาข้าวของจนบ่าวไพร่วิ่งหลบกันให้จ้าล่ะหวั่นทั่วเรือน ไหนจะเสียงกรีดร้องจนไม่มีผู้ใดอยากเข้าใกล้แม้แต่มารดาอย่างถูเซิงหนี่ยังทำได้เพียงยืนมองอยู่ไกล ๆ เพราะนางรู้ถึงความเอาแต่ใจและอารมณ์ร้ายกาจของบุตรสาว เมิ่งเจียวลู่คาดหวังว่าจะได้เป็นชายารองของรัชทายาทอย่างมาก นางพยายามฝึกควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางสีหน้า จนได้รับคำชมจากอาจารย์ผู้สอนทั้งการวางตัวการนั่ง
ในตำบลหย่งฝูและเมืองหย่งจินกำลังมีความสุข กับการได้ลิ้มลองก๋วยเตี๋ยวแบบแห้งที่ร้านตระกูลสวี บรรดาลูกค้าต่างหลั่งไหลมารอชิมตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด เพราะเกรงว่าหากมาช้าจะอดกินเสียก่อน ซึ่งบรรยากาศช่างแตกต่างกับเมืองหลวงแคว้นฉู่ลิบลับเมื่อครั้งที่เซียวหนิงหลงได้รับฟังปัญหาจากบิดา เรื่องที่ขุนนางเลว ๆ หลายคนพยายามเรียกร้อง ขอให้รัชทายาทรับชายาและสนมเข้าตำหนักบูรพาเพิ่ม เซียวหนิงหลงไม่ได้นิ่งนอนใจหรือไม่ยอมลงมือทันทีเช่นเดิม แต่เขากำลังปล่อยให้บุตรหลานของขุนนางพวกนั้นได้ใจไปก่อนการเงินหมุนเวียนในเมืองหลวงเพิ่มมากขึ้น เพราะสตรีพวกนี้ต้องการสวมเสื้อผ้าที่งดงาม ทุกอย่างที่สามารถทำให้อยู่ในสายพระเนตร พวกนางต่างทำทุกทางแต่ละตระกูลจับจ่ายเงินเป็นว่าเล่น ด้วยคิดว่าบุตรหลานของตนต้องได้รับเลือกจากองค์รัชทายาทเมืองหลวงยามกลางวันดูเงียบเหงาลงไปไม่น้อย เนื่องจากคุณหนูทั้งหลายต้องฝึกมารยาทและเรียนรู้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกสองสัปดาห์ต่อจากนี้ จะมีการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และหวังว่าจะไม่มีครั้งที่สองในเมืองหลวงแห่งนี้ ชินอ๋องที่เห็นว่าบุตรชายยังคงเงียบไม่ท่าทีจะลงมือ จึงเอ่ย
หลังจากส่งคนจากแดนเหนือกลับไปได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ลู่ชิงกับครอบครัวก็ได้ฤกษ์ย้ายเข้าบ้านใหม่ตรงกับวันหยุดพอดี จึงไม่ต้องกังวลเรื่องร้านอาหารมากเท่าไหร่นัก ทุกคนต่างลงความเห็นว่าทำพิธีตามธรรมเนียมก็พอ ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงอะไรให้ยิ่งใหญ่แบบคนอื่นทุกคนเพียงช่วยกันทำอาหารและนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน หากต้องจัดงานเลี้ยงเชิญผู้คนมากมายยังต้องเหนื่อยอีกหลายวัน แค่ทำงานทุกคนก็เหนื่อยทุกวันอยู่แล้วเพราะเหตุนี้ครอบครัวลู่ชิงจึงย้ายเข้าบ้านใหม่อย่างเรียบง่ายที่สุด แต่ถึงอย่างไรตัวบ้านหลังนี้ก็ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขา ก่อนถึงท้ายหมู่บ้านเวลาที่ทุกคนอยู่บนชั้นสอง สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งหมู่บ้านอันผิงเชียวล่ะ ที่สำคัญลู่ชิงไม่ลืมให้นายช่างหานทำห้องพักเพิ่ม สำหรับพวกเจียวมิ่งอยู่ด้านข้างตัวบ้านห้องพักนี้เป็นแถวยาวมีทั้งหมดหกห้องลู่ชิงทำเผื่อเอาไว้ หากครอบครัวของตนอยากจะมีบ่าวรับใช้สักสองสามคน ก็ให้มาพักที่นี่นั่นเองทุกคนพากันเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณบ้านกันอย่างสนุกสนาน แต่ลู่ชิงกำลังนั่งคิดทบทวนเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับร้านก๋วยเตี๋ยว ที่กำลังจะเปิดสาขาเพิ่มที่เมืองหย่งเหอและเมืองหย่งเฉิง ลู่เวินเดินลงมาจ
กลุ่มของเยวี๋ยนจิ้งห้าวได้อยู่ที่ตำบลหย่งฝู เพื่อเรียนการทำอาหารเป็นเวลาสิบวันการเรียนโดยลงมือปฏิบัติจริงนั้นแค่สี่วัน โดยอาหารอย่างต้มยำที่ลู่ชิงได้สอนเพิ่มมีถึงสามรายการ และต้มจืดหนึ่งรายการคือต้มยำไก่ ต้มยำขาหมู ต้มแซ่บกระดูกหมูและต้มจืดไข่น้ำส่วนอีกหกวันจากนั้นคือการทดลองการทำงานในร้านอาหารไปในตัว ทุกคนได้เรียนรู้ถึงวิธีการถามตอบลูกค้าเวลาสั่งอาหาร หรือเสื้อผ้าการแต่งกายก็ต้องดูสะอาดสะอ้านน่ามอง การจัดจานใส่อาหารรวมถึงวิธีบริหารจัดการร้านก็ได้เรียนทั้งหมดก่อนถึงวันเดินทางกลับแดนเหนือหนึ่งวัน ลู่ชิงกับครอบครัวได้เตรียมเครื่องปรุงรสที่จำเป็นต้องใช้ให้กับเยวี๋ยนจิ้งห้าว เครื่องปรุงรสนี้จัดใส่กระปุกปิดฝาอย่างดีและเพียงพอต่อหนึ่งเดือน ส่วนเงินที่ใช้ซื้อร้านค้าและอุปกรณ์ทุกอย่างที่ต้องใช้ทำอาหาร ลู่ชิงมอบเงินลงทุนทำร้านให้เยวี๋ยนจิ้งห้าวเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเงินจำนวนสองพันตำลึงทอง หากมีเงินเหลือจากส่วนนี้ให้เก็บเอาไว้จ่ายเป็นค่าจ้างของลูกจ้างที่ร้านและต้องทำบัญชีไว้ทุกครั้ง“ท่านอาเยวี๋ยนนี่คือเงินทุนเปิดร้านที่แดนเหนือ ในถุงเงินนี้มีอยู่สองพันตำลึงทองมอบให้ท่านรับผิดชอบดูแล ซื้อร
เช้าวันใหม่เวียนมาถึงผู้มาจากแดนเหนือตื่นกันตั้งแต่เช้า พวกเขานอนไม่ค่อยหลับไม่ใช่เพราะไม่ชินกับสภาพอากาศ แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นดีใจด้วยวันนี้จะได้เรียนการทำอาหาร เยวี๋ยนจิ้งห้าวหัวหน้ากลุ่มจากแดนเหนือได้พูดคุยกับเจียวมิ่ง เขามองเห็นถึงความชื่นชมนับถือจากสายตาของทุกคนและยังแอบกระซิบบอกกับตนอีกด้วยว่า คุณหนูลู่ชิงจะสอนการทำอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง ซึ่งเป็นอาหารที่รสชาติเผ็ดร้อนเป็นอาหารที่เหมาะกับคนแดนเหนือเป็นอย่างมาก เยวี๋ยนจิ้งห้าวถูกปลดจากกองทัพเพราะแขนซ้ายขาด จากการต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากกว่าทำให้เขาเสียเปรียบ จึงต้องสูญเสียแขนไปหนึ่งข้างเพื่อรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้จนได้เวลาที่ร้านอาหารตระกูลสวีจะเปิดแล้ว เป็นก้งคุนที่มาตามพวกเขาเพื่อไปที่ร้านพร้อมกัน เพื่อเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่การเปิดร้านการจัดโต๊ะสำหรับลูกค้าทั้งฝั่งร้านอาหารและร้านก๋วยเตี๋ยว“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะท่านอาทั้งหลาย เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะหายเหนื่อยกันบ้างหรือยัง”“พวกข้าหายเหนื่อยแล้วขอรับคุณหนู พร้อมจะเรียนการทำอาหารจากท่านตอนนี้ก็ยังได้ขอรับ”“ท่านอาอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลยเจ้าค่ะ อาหารที่จะให้พวกท่านได้ทำนั้นไม่ได้ม
เซียวหนิงหลงนำกล่องไม้ที่ใส่นิ้วมือของเป้ยเฝิ่นลู่ ส่งให้ม้าเร็วรีบนำมันกลับเมืองหลวงเพราะเป็นของขวัญสำหรับจิ่งไท่เฟย เผื่อว่าพระนางจะหายจากอาการประชวร หรือจะหายไปจากโลกนี้ได้ยิ่งดีกับสตรีไม่รู้จักพอเช่นนี้ส่วนทหารจากกองกำลังลับที่รอดจากยาพิษของต่งซวิน ต่างรีบเดินทางเข้าเมืองเฉียนซานเพื่อรายงานสถานการณ์ในค่ายลับ ด้วยความเร่งรีบและไม่มีความเกรงใจชาวบ้านทั่วไปอยู่แล้ว ขณะที่ขี่ม้าเข้ามาในเมืองจะทำให้ใครหกล้มบาดเจ็บบ้าง ก็หาได้มีความคิดจะหยุดสอบถามอาการของผู้ใดทั้งสิ้น ทหารผู้นี้มุ่งหน้ามายังจวนจวิ้นอ๋องเพียงที่เดียวเท่านั้น“พวกเจ้าเปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้มีเรื่องด่วนต้องรายงานจวิ้นอ๋อง ข้ามาจากภูเขานอกเมืองเฉียนซานเร็วเข้าอย่าได้ชักช้า!”“จุ้ยกงกงรบกวนแจ้งจวิ้นอ๋องด้วยว่า ข้าสิงเยียนจากค่ายลับมีเรื่องด่วนขอเข้าพบขอรับ”“เจ้ารอตรงนี้สักครู่ข้าจะรีบไปรายงานจวิ้นอ๋องให้เดี๋ยวนี้”“ทูลจวิ้นอ๋องด้านหน้าตำหนักมีคนจากค่ายลับ ชื่อว่าสิงเยียนมาขอพบบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการรายงานให้ท่านอ๋องได้ทราบพ่ะย่ะค่ะ”“หืม คนจากค่ายลับเหตุใดถึงออกมาพบข้าโดยที่ไม่บอกล่วงหน้า หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นั
เซียวหนิงหลงกับตันเจียงออกจากเมืองเฉียนซานมาได้ โดยไม่มีใครคิดสงสัยแม้แต่ทหารหน้าประตูเมือง ผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบคนเข้าออกอย่างละเอียดก็ยังปล่อยผ่าน ทั้งสองคนนึกถึงใบหน้าของจวิ้นอ๋องที่โมโห เรื่องกิจการของบรรดาพ่อตาทั้งหลาย ที่ถูกเผาทำลายอย่างไม่ทราบสาเหตุนั่นทำให้ภายในสามเดือนนี้จะไม่มีเงินกำไรจากพ่อตาทุกคน ซึ่งมันเป็นเงินจำนวนเกือบหนึ่งแสนตำลึงทอง ทำให้จวิ้นอ๋องต้องคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องเงินครั้งนี้อย่างหนัก พวกชายารองหรืออนุที่ถูกคนอื่นแตะต้องยามเกิดเรื่อง จวิ้นอ๋องยังรับพวกนางกลับจวนเพียงแต่ว่าไม่มีการเสด็จไปหา ที่ทำเช่นนี้เพราะเห็นแก่หน้าพ่อตาและเงินสนับสนุนจากพวกเขาเท่านั้นเต๋อหลินกับสหายคนอื่น ๆ ได้มารออยู่ยังจุดนัดพบ ตามที่เซียวหนิงหลงได้บอกเอาไว้ตั้งแต่แรก ขณะที่นั่งพูดคุยสัพเพเหระเซียวหนิงหลงกับตันเจียงก็มาถึงพอดี“ซื่อจื่อพวกข้าน้อยยังเป็นกังวลว่าท่านกับตันเจียงจะออกมาก่อนพลบค่ำหรือไม่ พวกเราได้สำรวจพื้นที่แถว ๆ นี้ระหว่างรอท่านแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติขอรับ” เต๋อหลินคิดไว้ว่าหากช้ากว่านี้อีกสักหนึ่งเค่อจะเข้าไปตามเซียวหนิงหลง“อืม พื้นที่แถวนี้ยังไม่ลึกพอที่จะปิดบังซ่อนเร้