วันนี้เป็นวันที่สนมทั้งหลายถูกปล่อยจากการถูกกักบริเวณ สามวันก่อนหน้านี้ห้าวเทียนฮ่องเต้ทรงเสด็จมาค้างที่ตำหนักคุนหนิง ข่าวลือนี้คือข่าวลือแรกที่ทุกตำหนักของนางสนมพูดคุยกัน หลังจากที่สามารถออกมาจากตำหนักตนได้ สร้างความประหลาดใจไม่น้อยให้กับเหล่าสนมทั้งหลายแน่นอนว่าข่าวที่แพร่ออกไปนี้ย่อมมาจากตำหนักคุนหนิงและตำหนักเล่อโซ่วถางเพราะในวังหลังก็มีเพียงสองตำหนักนี้เท่านั้นที่นางกำนัลขันทีสามารถเข้าออกนอกตำหนักได้ นอกนั้นก็ถูกกักบริเวณตามเจ้านายตนเองถึงปกติไทเฮาไม่ชอบพวกนินทาเจ้านายแต่พอเป็นเรื่องนี้กลับส่งเสริมให้นางกำนัลแพร่ข่าวนี้ไปให้ทั่ววังหลัง แน่นอนไม่เว้นกระทั่งตำหนักเย็น“กรี๊ด........” เสียงดังลั่นจนออกไปนอกตำหนักเย็นนางกำนัลตรงหน้าตกตะลึง ไม่เพียงแค่นางกำนัลแม้แต่ทหารที่ยืนเฝ้าตำหนักเย็นอยู่ยังตกใจจากตำหนักที่เงียบเชียบวังเวง อยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังโวยวายราวคนเสียสติดังขึ้น“ไม่จริง เป็นไปไม่ ฝ่าบาทไม่มีทางทำแบบนั้นกับเยว่ฮองเฮาเป็นแน่ เจ้าต้องได้ยินมาผิดแน่ๆ”“จริงๆ เพคะพระสนม หม่อมฉันได้ยินฝ่ายซักล้างคุยกัน ไม่เท่านี้ไม่ว่าเดินไปไหนพวกนางกำนัลก็พูดถึงแต่เรื่องนี้เพคะ”“ไม่จริง ม
“หากวันหลังเจ้าได้ยินพวกนางกล้าว่าฮองเฮาเสียๆ หายๆ ข้าอนุญาตให้เจ้าตบพวกนางได้ แต่อย่ามากเกินไปนัก เอาเพียงสั่งสอนพวกนางให้หลาบจำเป็นพอ”น้ำเสียงหนักแน่น“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”“อี้หง หากเจ้าลงมือกับพวกนางอย่าลืมบอกพวกนางด้วยว่าใครสั่งเจ้ามา เจ้านายของพวกนางจะได้ไม่มาฟ้องข้าว่าเจ้าทำร้ายคนของพวกนาง”เฟยห้าวเทียนได้ยินสตรีที่นั่งอยู่ด้านข้างกล่าวประชดประชันก็เผลอหัวเราะในลำคอขึ้นมาเบาๆ แต่ก็ไม่พ้นสตรีด้านข้างจะได้ยิน นางจึงค้อนตาใส่เขา แต่ก็ไม่ทำให้บุรุษตรงหน้ารู้สึกสลดอี้หงเห็นท่าทีที่ห้าวเทียนฮ่องเต้ทำต่อเยว่ฮองเฮาก็อดยิ้มไม่ได้ และรู้ว่านางไม่สมควรอยู่ตรงนี้จึงได้หาเรื่องลาเจ้านายทั้งสองออกไป“ฮองเฮาเพคะ วันนี้หม่อมฉันขอตัวไปเตรียมข้าวของอุปกรณ์ที่จะเอามาทำถุงหอมก่อนนะเพคะ”“เจ้ารู้ความเสียจริง ออกไปรับรางวัลจากเกากงกงเถอะ”“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันทูลลา”อี้หงกล่าวพร้อมยิ้มอย่างเบิกบานห้าวเทียนฮ่องเต้ไม่รอให้เยว่ฮองเฮาตอบก็เอ่ยปากบอกอี้หงก่อน เพราะรู้ดีว่านางไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอเขา และกลัวคำตอบของเยว่ฮองเฮาจะไม่ใช่คำตอบเดียวกันกับเขา“ฝ่าบาทกำลังซื้อใจคนของหม่อมฉันหรือเพคะ”
“ข้าขอโอกาสอีกสักครั้งได้หรือไม่ ข้าสัญญาจะดีกับเจ้าให้มาก”น้ำตาที่คลออยู่ไหลลงมาจากดวงตากลมโตเมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาพูด เขาใช้มือปาดหยาดน้ำตาที่ไหลมาอย่างเบามือ มือนี้ที่เยว่ลี่อิงรอคอยมานาน แต่มันกลับไม่มาในเวลาที่นางต้องการ ในใจก็อยากให้อภัยเขา แต่อีกใจก็รู้สึกทรมานกับความรักครั้งนี้เหลือเกิน นางหลับตาลงและจับมือเขาออก ยิ่งเขาเห็นน้ำตาของนางยิ่งทำให้ใจเขาเจ็บปวด ถึงเขาเอ่ยถามขอโอกาสจากนาง แต่เขากลับไม่มีความมั่นใจเลยว่านางจะตอบตกลง และการที่นางจับมือเขาออกคำตอบนี้ยิ่งชัดเจน เขาไม่คิดโกรธนางเลยหากนางจะปฏิเสธเพราะหากเป็นเขาเองเขาก็คงไม่คิดหวนคืนเช่นกัน“ขอโทษเพคะ....”ยังไม่ทันที่เยว่ลี่อิงจะเอ่ยจบ“ข้าไม่รีบร้อนเอาคำตอบจากเจ้า คำตอบนี้ข้ารอได้ จะอีก5ปี 10ปี ข้าก็จะรอ ข้าเพียงอยากบอกเจ้าเอาไว้ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นฮองเฮาของข้า เราทั้งสองยังต้องอยู่เคียงคู่กันไปอีกนาน ยังมีเวลาให้ข้าได้ชดเชยให้เจ้าอีก”เขายิ้มอ่อนๆ ใบหน้าเศร้าสลด“ฝ่าบาท...”เพียงเยว่ลี่อิงเอ่ยปากเขาก็พูดแทรกขึ้นมา“ข้าขอสั่งเจ้า ไม่ให้เจ้าตอบปฏิเสธ คำตอบที่ข้ารอคอยมีเพียงคำว่า เจ้ายินดีให้โอกาสข้าเท่านั้น ไม่ว่าคำตอบนี
“ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า ทำไมถึงเป็นดอกเบญจมาศ”“เคยมีคนบอกหม่อมฉันว่ามันเป็นดอกไม้แห่งความรักที่หมายถึงความมั่นคงยืนยาว และนอกจากนั้นบางที่ยังเรียกมันว่าดอกไม้แห่งความโชคดี”‘เหมือนที่หม่อมฉันโชคดีที่เจอฝ่าบาทในวันนั้น แต่ไม่ได้โชคดีในวันนี้’นางคิดในใจแต่ไม่เอ่ยออกมาเขารู้ดีถึงความหมายของมันเพราะเขาเป็นคนเอ่ยกับหญิงสาวผู้นั้นที่เขาได้ช่วยไว้ เมื่อเขาเห็นว่าชุดที่นางใส่นั้นเป็นลายดอกเบญจมาศ เขาจึงใช้เรื่องดอกไม้มาคุยกับนางเพียงอยากปลอบใจนางที่ขวัญเสียจากการถูกโจรดักปล้น และไม่อยากให้นางรู้สึกเสียใจและโทษตนเองที่เขาได้รับบาดเจ็บ“แล้วทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้าเอามันมาใส่เลย หรือว่ามันเป็นของสำคัญถึงต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี” เพราะเขาก็เก็บมันไว้เป็นอย่างดีเช่นกัน “ฝ่าบาทอยากรู้จริงๆ หรือเพคะ”เขาพยักหน้าตอบรับ“ถึงหม่อมฉันจะพูดถึงบุรุษอื่นพระองค์ก็ไม่ถือใช่หรือไม่”เขายกยิ้มมุมปาก หากเขาไม่รู้มาก่อนว่าบุรุษผู้นั้นเป็นเขามีหรือเขาจะยินยอมให้นางพูดถึงบุรุษอื่น“แน่นอน ขอเพียงเจ้าพูดทุกอย่างตามความเป็นจริงมีหรือข้าจะโกรธเจ้าได้ เรื่องในอดีตก็คืออดีตข้าไม่เอามาใส่ใจ”“ที่หม่อมฉันไม่เอามาใช้เพร
“แล้วหากหม่อมฉัน จะเอานางให้ถึงตายพระองค์จะให้ความเป็นธรรมนี้แก่หม่อมฉันได้หรือไม่”เฟยเฮาเทียนถึงกับตกตะลึงในคำพูดของเยว่ฮองเฮา ไม่ใช่เพียงคำพูดของนางแต่แววตาและสีหน้าก็บ่งบอกว่านางนั้นพูดจริงไม่ได้เพียงแต่จะประชดประชันเขาเท่านั้น“ฮองเฮาเราขอบอกเจ้าตามตรงว่าเรามิกล้าที่จะถึงขั้นสังหารนางเพราะอย่างไรเสียนางก็คือผู้หญิงที่เรามีใจรักใคร่มานานถึง 3 ปีถึงบัดนี้จะรู้ว่านางหลอกเราแต่นางก็ไม่ได้หลอกเราเสียทั้งหมดทีเดียว”เยว่ลี่อิงถึงจะพยายามข่มใจไม่ให้ไม่รู้สึกอันใดกับเฟยห้าวเทียนและรู้ดีว่าเฟยห้าวเทียนรักหลี่ฟางซินมากเพียงใด แต่เมื่อได้ยินเขาพูดออกจากปากก็ทำให้อดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้“หม่อมฉันรู้อยู่แล้วเพคะ ว่าพระองค์คงไม่กล้าลงมือกับนางและเข้าใจดีว่าความผูกพัน 3 ปีที่ผ่านมาของพระองค์กับนางแน่นแฟ้นเพียงใด มิใช่ความผูกพันแน่นแฟ้นของพระองค์หรือเพคะที่ทำร้ายหม่อมฉันถึงขนาดนี้ นางอาจจะไม่ได้หลอกพระองค์ทั้งหมด แต่3ปีที่ผ่านมานางหลอกและทำลายความจริงใจที่หม่อมฉันมีต่อนาง หากพระองค์จะไม่เอาความนางหม่อมฉันย่อมเข้าใจดี แต่หากจะให้หม่อมฉันอภัยให้นางต้องถามใจหม่อมฉันก่อนว่ายอมหรือไม่ ”เขาถึงกับหน้าช
หลายวันมานี้ห้าวเทียนฮ่องเต้ทรงไตร่ตรองอยู่หลายรอบเรื่องที่จะทวงความยุติธรรมให้เยว่ฮองเฮา เพราะเขารู้ว่าหากจัดการเรื่องนี้ไม่ได้เยว่ฮองเฮาก็คงจะไล่เขาออกจากตำหนักอีกเป็นแน่ ถึงจะไม่พูดตรงๆ แต่การกระทำก็เห็นได้ชัด ครั้นเขาเองจะอาศัยความหน้าด้านหน้าทนแสร้งไร้ยางอายนอนค้างที่ตำหนักคุนหนิง แต่ก็คงไม่กล้าสู้หน้าเยว่ฮองเฮาอยู่ดีหากยังให้ความเป็นธรรมกับนางไม่ได้เขายอมรับว่าเขาใจไม่แข็งพอที่จะให้เยว่ฮองเฮาสังหารหลี่กุ้ยเฟย ในใจของเขาเองก็เชื่อว่าเยว่ฮองเฮาไม่ได้ใจดำอำมหิตจนกล้าสั่งคนเอาชีวิตหลี่กุ้ยเฟยได้ แต่เพราะที่ผ่านมาเขานั้นรู้จักนิสัยใจคอของเยว่ฮองเฮาน้อยมากจึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะให้เยว่ฮองเฮาลงทัณฑ์ตามใจ“เกากงกง เจ้าว่าฮองเฮาจะกล้าสั่งประหารชีวิตหลี่กุ้ยเฟยหรือไม่”เขาเอ่ยอย่างใจลอย“กระหม่อมมิบังอาจอ่านใจฮองเฮา และไม่มีความสามารถพอที่จะให้คำตอบกับพระองค์ได้ หากพระองค์อยากรู้ กระหม่อมว่าพระองค์ลองถามไทเฮากับท่านอ๋องสามดูดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เกากงกงอยากให้ห้าวเทียนฮ่องเต้ทรงแก้ปัญหานี้ได้เสียที่เพราะตอนนี้คนในตำหนักต่างทำตัวกันไม่ถูกตำหนักเล่อโซ่วถาง“ฝ่าบาทเหตุใดถึงมาถึงตำหนักของแม่ได้”
เมื่อมาถึงตำหนักเย็นเยว่ลี่อิงมองไปยังรอบๆ ตำหนักก็รู้สึกวังเวงและหนาวเหน็บในใจขึ้นมา สถานที่โดยรอบรกร้างไม่มีใครคอยดูแล ต้นหญ้าขึ้นสูงเทียมหัว ใบไม้ที่ร่วงหล่นก็ไม่มีใครเก็บกวาดปลิวไปตามที่ต่างๆ ในตำหนักจนดูรกหูรกตา หน้าต่างประตูล้วนมีรูให้ลมลอดผ่าน สมกับที่ชื่อตำหนักเย็นแม้ปิดประตูหน้าต่างก็เหมือนราวไม่ได้ปิด เพราะถึงอย่างไรลมหนาวก็แทรกเข้าไปได้อยู่ดีเยว่ลี่อิงเดินเข้าไปด้านในตำหนักก่อนจะเปิดประตูห้องที่หลี่ฟางซินอาศัยอยู่ ภายในห้องนางได้เจอกับสตรี 2 คน เมื่อสตรีทั้งสองเห็นนางก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ลืมทำความเคารพถึงสีหน้าของหลี่ฟางซินจะไม่ยินดีมากนักแต่ด้วยธรรมเนียมนางจึงต้องปฏิบัติตาม เยว่ลี่อิงสะบัดมือให้นางกำนัลออกจากห้องไปนางกำนัลเมื่อเห็นฮองเฮาสั่งให้ตนออกไป ก็ไม่สามารถหลีกได้จึงเดินออกไปนอกห้อง แต่เมื่อไปถึงประตูห้องก็ต้องตกใจเมื่อเห็นห้าวเทียนฮ่องเต้ยืนอยู่หน้าประตู เพียงเห็นท่าทางของขันทีเกานางกำนัลผู้นั้นก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ให้ส่งเสียงดัง นางจึงปิดประตูแล้วเดินถอยออกมาอย่างเงียบๆห้าวเทียนฮ่องเต้ที่เห็นสภาพการเป็นอยู่ของสตรีที่ตนรักก็รู้สึกสงสารนางยิ่งนัก แต่ถึงอย่า
เยว่ลี่อิงยืนมองสตรีที่ร้องไห้ฟูมฟายที่ไม่ได้เจอกับสวามีตนเองมานานเกือบเดือน และพยายามพร่ำพรรณนาแก้ต่างให้ตนเอง แต่บุรุษกลับยืนเฉยราวไม่ได้ยินเสียงของสตรีผู้นั้นถึงท่าทีของบุรุษจะเฉยเมย แต่เยว่ลี่อิงซึ่งคอยมองสีหน้าและแววตาของเขามาตลอดมีหรือจะดูไม่ออกว่าเขาคิดเช่นไร เพราะที่ผ่านมานางกับเขาแทบไม่พูดจากัน นางได้แต่คอยดูสายตาและสีหน้าจึงจะรู้ว่าเขาต้องการอะไรแตกต่างจากสตรีอีกนางที่ปกติแล้วบุรุษผู้นี้มักจะพูดคุยยิ้มแย้มเอาใจใส่นาง จึงไม่เคยต้องคาดเดาสีหน้าและแววตาของเขา เมื่อวันนี้เขาทำเป็นเพิกเฉยกับนาง นางจึงคิดว่าเขาเปลี่ยนใจไปแล้วจริงๆเยว่ฮองเฮายืนมองละครฉากนี้ที่ทั้งสองคนต่างเล่นได้ดี อีกคนแสร้งเป็นผู้ถูกกล่าวหาและโดนทำร้าย ส่วนอีกคนแสร้งทำเป็นหมดใจ นางหลุดขำออกมาเบาๆ ‘ในเมื่ออยากเล่นละคร ข้าจะร่วมเล่นด้วยอีกคน’“ฝ่าบาทเพคะหากหม่อมฉันจะขับหลี่กุ้ยเฟยออกจากวัง หรือจะลงโทษประหารนาง ฝ่าบาทยินยอมหรือไม่” นางเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบแต่ดวงตากลับจ้องมองเขาไม่วางตา“แน่นอนว่าเรื่องนี้เจ้าเป็นผู้ถูกกระทำ เราย่อมให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ” เขาเอ่ยเสียงไม่ดังไม่เบาจนเกินไป และยังวางท่าราวไม่รู้สึ
หลังจากที่พระสนมเหอกุ้ยเฟยและเสนาบดีกรมคลังกลับไปแล้ว เยว่ฮองเฮาก็ถึงกับหลั่งน้ำตาไม่หยุดเพราะสงสารพ่อลูกที่พากันพยุงเดินออกไปทั้งน้ำตา ห้าวเทียนได้แต่กอดนางและเอามือลูบหลังเบาๆ เพื่อปลอบประโลม เพราะเขารู้ดีว่านางเองก็คงรู้สึกผิดที่เลือกพระสนมเหอกุ้ยเฟยเข้ามาเป็นสนมและต้องมาเจอจุดจบเช่นนี้หลายวันต่อมาในที่สุดหลักฐานสำคัญที่จะใช้มัดตัวสนมฉินและอัครเสนาบดีฉินก็มาถึง นั่นก็คือซางกวนที่จริงเขาเป็นหมอรักษาพิษและมีความรู้เรื่องพิษ เขาจึงถูกบังคับจากคนสกุลฉินให้ปรุงพิษให้องค์รัชทายาทพระองค์ก่อนและเยว่ฮองเฮา แต่เพียงอัครเสนาบดีฉินได้ข่าวว่าห้าวเทียนฮ่องเต้ยังคงสืบเรื่องการตายของพี่ชายอยู่จึงคิดจะสังหารคนปรุงยาปิดปากเขาแอบพาครอบครัวหนีไปซ่อนตัวถึงชายแดน แต่คนของอัครเสนาบดีฉินก็ยังตามเขาเจอและฆ่าลูกเมียของเขา เขาคิดจะล้างแค้นอัครเสนาบดีฉินที่ฆ่าลูกเมีย เขาจึงไปขอความช่วยเหลือจากเยว่ลี่ต้าน้องชายของเยว่ฮองเฮา เพราะซางกวนรู้ดีว่าเขาจะได้รับความคุ้มครองเพื่อมาเป็นพยานเอาผิดคนที่วางยาเยว่ฮองเฮาเยว่ลี่ต้าแอบส่งข่าวนี้มายังห้าวเทียนฮ่องเต้อย่างลับๆ เพราะไม่อยากให้บิดาและท่านแม่เป็นห่วงพี่สาวที่ถู
เมื่อคืนนี้กว่าที่เขาจะหลับได้ก็ทรมานอยู่นาน เช้านี้หน้าตาของเขาจึงไม่สดใสต่างจากอีกคนที่มีหน้าตาเบิกบาน แต่นางก็ได้หาสนใจเขาไม่ ที่จริงวันนี้เขาคิดจะให้นางจัดการเอง แต่ก็เป็นห่วงกลัวนางจะรับมือกับอัครเสนาบดีฉินไม่ได้จึงมาด้วยขณะที่เดินไปอุทยานเกากงกงเอ่ยขอร้องกับเยว่ฮองเฮาให้ง้อห้าวเทียนฮ่องเต้เสียหน่อย เพราะไม่เช่นนั้นวันนี้เหล่านางกำนัลขันทีคงอยู่อย่างไม่เป็นสุขเยว่ฮองเฮาหันหลังไปมองก็เห็นสายตาที่เว้าวอนของนางกำนัลขันทีที่ตามเสด็จมาจึงได้พยักหน้าตอบ ห้าวเทียนฮ่องเต้เห็นที่เกากงกงแอบกระซิบกับเยว่ฮองเฮา เขาก็แอบดีใจเล็กน้อย“ฝ่าบาทให้คนไปตามบรรดาบิดาของพวกนางมาแล้วใช่หรือไม่เพคะ”เขาเงียบไม่ยอมตอบ จนเดินมาถึงศาลาในอุทยานเขาก็เข้าไปนั่งด้านในโดยหันหน้าไปทางอื่น ทำเป็นไม่สนใจนาง“ฝ่าบาทเพคะ” น้ำเสียงออดอ้อนแต่เขาก็ยังทำเมินเฉยใส่นาง ในเมื่อเขาไม่ใส่ใจนาง นางจึงไม่คิดจะเอ่ยต่อเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเขาเห็นว่านางเงียบนิ่งไปนานจึงได้หันมามอง แต่คราวนี้กลายเป็นนางที่ทำเมินใส่ เมื่อเยว่ฮองเฮาเห็นว่าเขาหันมามองนาง นางก็เลยทำเป็นหันหน้าหนีเหมือนที่เขาทำกับนางในคราวแรก ห้าวเทียนฮ่องเต้ถึงกับล
สองคืนที่ผ่านมาเยว่ฮองเฮาต้องฝืนตัวเองให้เคยชินกับมือหนวดปลาหมึกที่ไม่อยู่สุข ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เป็นอันได้นอน เพราะเขาไม่เพียงกอดแต่ยังลูบไล้นางอยู่ตลอดทั้งคืน แต่วันนี้หลี่ฟางซินออกจากตำหนักเย็นวันแรกนางเลยคิดว่าคงจะได้นอนอย่างเป็นสุขเสียที เพราะตั้งแต่วันที่ออกเดินทางจนถึงวันนี้นางยังไม่ได้นอนแบบเต็มอิ่มสักวันวันนี้เพียงตะวันลับขอบฟ้าไม่นานเยว่ฮองเฮาก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวเขานอนแล้ว นางอยากจะชดเชยให้ร่างกายตัวเองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่เพียงนางเอนตัวลงบนที่นอน อี้หงก็เดินเข้ามารายงานว่าห้าวเทียนฮ่องเต้เสด็จมาเยว่ฮองเฮาชักสีหน้าไม่พอใจทันทีที่ได้ยิน แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องต้อนรับเขา เพราะยังเหลืออีก3วันที่นางรับปากเขาไว้ แต่ยังไม่ทันที่นางจะลงจากเตียงบุรุษผู้นั้นก็เข้ามาด้านในห้องเสียแล้ว“เจ้าจะนอนแล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” ห้าวเทียนฮ่องเต้ไม่เคยเห็นนางเข้านอนเร็วขนาดนี้เลยคิดเป็นห่วงว่านางจะไม่สบาย“หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรเพคะ เพียงแต่หลายวันมานี้มีคนกวนยามหลับเสมอ วันนี้ไม่มีผู้ใดกวนเลยอยากนอนเร็วขึ้นหน่อย”นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน“เช่นนั้นหรือ
เมื่อเฟยห้าวเทียนเห็นว่าทำเช่นไรเยว่ลี่อิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมให้เขาค้างที่ตำหนัก และเขาเองก็ไม่คิดที่จะกลับไปนอนที่ตำหนักตนเองอย่างแน่นอน จึงได้อ้างเรื่องการหาหลักฐานที่นางยังหาไม่ได้มาเป็นข้ออ้าง“เจ้ายังหาหลักฐานเอาผิดสนมฉินหวงกุ้ยเฟยไม่ได้ใช่หรือไม่ วันนี้ถึงยังไม่ตัดสินความให้จบ” เฟยห้าวเทียนเอ่ยพร้อมจดจ้องใบหน้างามเพื่ออ่านความคิดของนางเยว่ลี่อิงที่นั่งทำสีหน้าไม่พอใจก็เปลี่ยนสีหน้าไปในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเฟยห้าวเทียน เพราะมันเป็นอย่างที่เฟยห้าวเทียนพูดจริงๆ นางยังไม่สามารถที่จะหาหลักฐานมากพอที่จะใช้มัดตัวสนมฉินได้ ที่จริงหากเป็นนางสนมนางอื่นเพียงหลักฐานที่วางยาห้ามครรภ์สนมทั้งหลายก็อาจมากเพียงพอ แต่สำหรับสนมฉินหวงกุ้ยเฟยมันไม่ง่ายเช่นนั้นเลย เพราะถ้าความผิดไม่มากพอท่านอัครเสนาบดีพ่อของนางย่อมเข้ามาช่วยเหลือนางเป็นแน่ห้าวเทียนฮ่องเต้โบกมือเพื่อไล่นางกำนัลขันทีในห้องออกไป ทุกคนต่างหันมามองที่เยว่ฮองเฮาว่าจะปฏิเสธหรือไม่ เพราะตั้งแต่เข้าห้องมาคนหนึ่งไล่คนหนึ่งเรียกจนพวกเขาทำตัวไม่ถูก แต่เมื่อเห็นว่าเยว่ฮองเฮานิ่งเงียบพวกเขาเลยรีบออกไปทันทีเกากงกงรีบเอ่ยให้ทุกคนถอยห่างจากหน้
ตำหนักเล่อโซ่วถางเมื่อกลับจากตำหนักหูเตี๋ยเยว่ลี่อิงก็มาหาไทเฮาที่ตำหนักเพื่อถวายพระพรไทเฮาและมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ไทเฮาฟังตามที่รับปากไว้ ไม่เพียงเยว่ลี่อิงที่มา เยว่ลี่หรง เฟยห้าวเทียน และเฟยห้าวหลานก็ตามมาด้วย ไทเฮาจึงชวนให้ทานข้าวเย็นด้วยกันที่ตำหนัก“สนมฉินหวงกุ้ยเฟยช่างบังอาจยิ่งนัก ถึงว่าข้าถึงไม่มีโอกาสได้อุ้มหลานเสียที” ไทเฮาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโหเมื่อได้ยินเยว่ลี่อิงเล่าให้ฟังแต่ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องที่เฟยห้าวเทียนไม่ได้เข้าหอกับพวกนาง เพราะพวกเขาไม่อยากให้ไทเฮาเป็นกังวลและต้องมานั่งฟังไทเฮาบ่นเรื่องนี้“แต่ไม่เป็นไรอีกไม่นานข้าก็จะได้อุ้มหลานจากเยว่ฮองเฮาแล้ว จริงหรือไม่ฝ่าบาท” หญิงชรายิ้มอย่างเบิกบาน“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”เฟยห้าวเทียนรีบตอบรับมารดาทันทีแน่นอนอยู่แล้วเรื่องที่เยว่ลี่อิงกับเฟยห้าวเทียนเข้าหอกันมีหรือข่าวดีเช่นนี้เกากงกงจะไม่มารายงานไทเฮา เพียงรู้ข่าวก็ยิ้มร่าเริงมาทั้งวันจนถึงตอนนี้ แม้แต่เรื่องพระสนมที่ทำความผิดมากมายก็ยังไม่ทำให้อารมณ์ของไทเฮาขุ่นมัวได้นาน“เยว่ฮองเฮาเจ้าจะต้องบำรุงร่างกายให้มากๆ และมีหลานให้ข้าเร็วๆ เข้าใจหรือไ
เยว่ลี่อิงถึงจะอยากรู้เหตุผลจากเฟยห้าวเทียนว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกรู้สาที่โดนสวมหมวกเขียวถึงเพียงนี้ แต่ในเมื่อเขายังไม่อยากอธิบายนางจึงไม่คิดจะเอ่ยถาม นางหันไปเห็นสนมเหอกุ้ยเฟยพยายามลุกขึ้นจึงได้สั่งให้ขันทีฉีเข้ามาพยุง และให้นางไปนั่งข้างถังป๋อเหวินโดยให้ขันทีฉีและองครักษ์คอยคุมตัวนางไว้ให้ดีอย่าให้ไปทำร้ายใครได้อีก“ดูจากที่สนมเหอกุ้ยเฟยคิดจะฆ่าเจ้า เพราะเจ้ารู้เรื่องที่สนมเหอกุ้ยเฟยไม่อยากให้ผู้ใดรู้กระมัง” เยว่ฮองเฮาเอ่ยถามนางกำนัลเถียน“ใช่แล้วเพคะ”“เช่นนั้นเจ้าบอกเราได้หรือไม่”“ได้เพคะ แต่ยกเว้นเรื่องพระสนมเหอกุ้ยเฟยทรงบอกรักและทรงนัดเจอกันกับคุณชายถังป๋อเหวินได้หรือไม่เพคะ”เพียงเยว่ฮองเฮาพยักหน้าตอบรับนางกำนัลเถียนก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง สนมเหอกุ้ยเฟยเดิมที่ไม่ได้มีใจคิดร้าย แต่โดนเยว่ฮองเฮารังแกบวกกับ เรื่องที่นางไม่ได้สมหวังในรักจึงรวมกันเป็นความแค้น และความคิดนางต้องมาเปลี่ยนไปเมื่อท่านเสนาบดีกรมคลังรู้เรื่องสนมเหอกุ้ยเฟยกับถังป๋อเหวิน จึงสั่งให้คนไปทำร้ายถังป๋อเหวินเพราะเรื่องนี้ถังป๋อเหวินจึงได้เขียนจดหมายราวตัดพ้อตนเองว่า แม้แต่ตนเองเขาก็ยังไม่สามารถปกป้องได้ และเป็
“ท่านอ๋องสาม ท่านกำลังกล่าวเรื่องอันใดหม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยเพคะ หม่อมฉันมีอำนาจอันใดที่จะส่งเสริมบัณฑิตถังป๋อเหวินให้เป็นขุนนางได้” สนมเหอกุ้ยเฟยเอ่ยเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง“พระสนมเหอกุ้ยเฟยท่านยังไม่คิดจะยอมรับผิดอีกใช่หรือไม่”“หม่อมฉันก็รับผิดในส่วนที่หม่อมฉันได้กระทำแล้ว ตามที่หม่อมฉันได้ทูลให้ฮองเฮาฟังไปเมื่อครู่”“ในเมื่อเจ้ายังปากแข็ง ไม่ยอมรับความจริงเช่นนั้นข้าจะดูสิว่าเจ้าจะยังกล้าปฏิเสธอีกหรือไม่”ตอนเฟยห้าวหลานเข้ามายังตำหนักหูเตี๋ยพร้อมองครักษ์ที่หิ้วมือสังหารกับถังป๋อเหวินเข้ามา ก็พบว่านางกำนัลของสนมเหอกุ้ยเฟยมีท่าทีแปลกๆ เมื่อเห็นหน้ามือสังหารกับถังป๋อเหวิน จึงได้ให้องครักษ์พาตัวไปสอบสวน เมื่อองครักษ์เข้ามาบอกเฟยห้าวหลานว่านางกำนัลผู้นั้นยอมสารภาพ แต่จะบอกกับผู้ที่มีอำนาจมากกว่าสนมเหอกุ้ยเฟยเท่านั้น เขาจึงได้ออกไปเพื่อรับฟังคำสารภาพของนางกำนัลเฟยห้าวหลานเรียกองครักษ์ให้นำนางกำนัลผู้นั้นเข้ามา เมื่อสนมเหอกุ้ยเฟยเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นนางกำนัลของตน แต่ก็ยังทำสีหน้าราวไม่ทุกข์ไม่ร้อนอันใด“ว่าอย่างไรพระสนมเหอกุ้ยเฟย ท่านมีอันใดจะพูดหรือไม่” เฟยห้าวหลานเอ่ยถามพร้อมยกยิ
“ข้ารู้จักเขา เขาคือถังป๋อเหวินคนรักของสนมเหอกุ้ยเฟย” ห้าวเทียนฮ่องเต้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบเยว่ฮองเฮาถึงกับตะลึงที่สนมเหอกุ้ยเฟยกล้าสวมหมวกเขียวให้ห้าวเทียนฮ่องเต้ แต่ที่ทำให้แปลกใจกว่าคือห้าวเทียนฮ่องเต้รู้เรื่องนี้แต่เขากลับไม่โกรธและไม่คิดจะลงทัณฑ์พวกเขาทั้งสอง“เจ้าทำเช่นนี้เพราะเกลียดฮองเฮาที่ทำให้เจ้ากับคนรักไม่สมหวังสินะ” ห้าวเทียนฮ่องเต้เอ่ยถาม“เพคะ หม่อมฉันเกลียดที่ฮองเฮาทรงเสนอให้พระองค์รับหม่อมฉันเข้ามาเป็นสนมทั้งที่หม่อมฉันไม่ต้องการและยังทรงทำร้ายหม่อมฉันอยู่บ่อยครั้ง” สนมเหอกุ้ยเฟยเอ่ยตอบ“ข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทั้งที่ข้าให้คนไปตรวจดูแล้วแท้ๆ ว่าสนมที่ข้าจะรับเข้ามามีใครมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง หรือมีคนที่ชอบพออยู่แล้วหรือไม่ แต่ตอนนั้นประวัติของเจ้ากลับไม่มีบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” เยว่ฮองเฮาเอ่ยสนมเหอกุ้ยเฟยนิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยต่อ เพราะนางไม่ได้มีคู่หมั้นหมายจริงๆ อย่างที่เยว่ฮองเฮาทรงตรัส ถึงเขากับนางจะรักกันแต่ก็ได้แต่หลบๆ ซ่อนๆ เพราะฐานะทางบ้านฝ่ายชายไม่คู่ควรกันกับนาง จึงไม่แปลกที่ฮองเฮาส่งคนไปตรวจสอบแล้วจะไม่เจอ นางรอเขาสอบให้ได้เป็นขุนนางเสียก่อนจึงค
บรรยากาศในห้องโถงเงียบราวไม่มีผู้คน ผู้เป็นใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ก็ไม่คิดจะเอ่ยอันใด สร้างความอึดอัดใจให้ทุกคนจนไม่กล้าแม้แต่จะยกชาขึ้นดื่ม ทุกคนต่างรอว่า เมื่อไรจะมีคนมาทำลายความเงียบนี้ลงเสียที เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเค่อ (1เค่อเท่ากับ15นาที) ในที่สุดสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มา“ถวายพระพรเสด็จพี่ ถวายพระพรพี่สะใภ้”“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮา”“ทั้งสองไม่ต้องมาพิธี”เพียงเสียงของเฟยห้าวหลานและเยว่ลี่หรงดังขึ้นก็ทำให้เหล่านางสนมทั้งหลายระบายลมหายใจออกอย่างช้าๆ ความอึดอัดค่อยๆ ถูกระบายออกไปตามลมหายใจเยว่ฮองเฮาใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อทั้งสองเข้ามายืนข้างๆ เพราะทั้งสองตั้งแต่ที่พบกันระหว่างทางกลับก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคุยดีต่อกัน แต่เพียงผ่านไปคืนเดียวทั้งสองกลับเดินหน้าตายิ้มแย้มเข้ามาทั้งคู่เลยทำให้นางอดดีใจไม่ได้ เพราะเรื่องที่ทำให้เขาทั้งสองหมางใจกันก็คือเรื่องของนางกับเฟยห้าวเทียนและแน่นอนที่เยว่ฮองเฮาเงียบไม่เอ่ยวาจาอันใด เพราะพระองค์ทรงรอการมาของเฟยห้าวหลานและเยว่ลี่หรงอยู่นั้นเอง เพราะยังมีผู้ที่มากับทั้งสองคนนี้ด้วยที่นางเฝ้ารอ“พวกเจ้ายังมีผู้ใดอยากสารภาพเรื่องอันใดอีกหรือไม่