...เมืองซีโจว แคว้นต้าหยวน...
เมืองซีโจวนั้นเป็นเมืองขนาดใหญ่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงของแคว้นหลายพันลี้ แต่ทว่ากลับคึกคักไปด้วยผู้คนมากมายเพราะเป็นเมืองหน้าด่านเป็นศูนย์รวมของการค้า มีพื้นที่อุมสมบูรณ์ ทิศหนึ่งนั้นติดแม่น้ำกว้างใหญ่ที่ไม่มีวันแห้งเหือดเป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน และยังโอบล้อมไปด้วยภูเขาและป่าไม้ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้กับเมืองหลวง
เมืองซีโจวนั้นยังประกอบไปด้วยอีกหลายอำเภอที่มีนายอำเภอมาจากตระกูลใหญ่ หนึ่งในนั้นคืออำเภอซีซา
อำเภอซีซา มีตระกูลเฉินปกครองมาหลายชั่วอายุคน
จวนตระกูลเฉิน ในค่ำคืนนี้นั้นดูครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะวันนี้นั้นเป็นวันเฉลิมฉลองครบรอบหกสิบปีของฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฉิน มารดาของท่านนายอำเภอ เฉินสวีคัง ซึ่งในปีนี้นั้นถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต แขกเหรื่อที่มาร่วมอวยพรล้วนมาจากตระกูลใหญ่
ในขณะที่ทุกคนภายในงานนั้นกำลังชื่นชมการแสดงการร่ายรำของนางรำอันดับหนึ่ง ร่วมดื่มกินกันอย่างครื้นเครงนั้น แต่ภายในเรือนหลังหนึ่งกลับปรากฏร่างงดงามของสตรีนอนเปลือยกายบิดเร่าอยู่บนเตียงกว้างราวกับกำลังทรมาน
นางคือ เฉินหลี่เจิน คุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉิน ที่เกิดจากฮูหยินเอกสตรีผู้เป็นที่รักของท่านนายอำเภอเฉินผู้ที่ได้สิ้นบุญไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน จึงทำให้เฉินหลี่เจินได้รับความรักและเอ็นดูจากผู้เป็นบิดาเป็นอย่างมาก นั่นจึงเป็นสาเหตุให้สตรีนางนี้มีนิสัยเอาแต่ใจเป็นสตรีนิสัยร้ายกาจ นางจึงเป็นที่เกลียดชังของคนในจวน และเป็นหลานสาวที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินชิงชังเพราะมารดาของนางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านยากจนที่บุตรชายไปคว้ามาเท่านั้น
ท่านนายอำเภอเฉินนั้นมีภรรยาสี่นาง เมื่อสิ้นฮูหยินเอกผู้เป็นฮูหยินรองจึงได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินเอกแทนมารดาของเฉินหลี่เจิน นางมีนามว่า มู่ตาน นางเป็นบุตรีคนรองของตระกูลซู ตระกูลของขุนนางถึงจะไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตแต่ก็มีเส้นสายอยู่ไม่น้อย นางเป็นสะใภ้คนโปรดของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน ทั้งคู่มีบุตรชายหญิงด้วยกันสองคน คือคุณหนูรอง เฉินอวี่จู และ คุณชายใหญ่ เฉินอวี่หาน ยังมีอนุสาม อี้เหริน อนุสี่ อี้ฟาง ทั้งสองมาจากตระกูลหลิน เป็นตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวย อนุทั้งสองนางนั้นล้วนมีบุตรีคนละนาง คือคุณหนูสาม เฉินอี้ซิน และคุณหนูสี่ เฉินอี้หลาน
และทั้งหมดคือศัตรูของเฉินหลี่เจินที่ต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันมานานหลายปี
วันนี้เป็นงานฉลองของท่านย่าและยังเป็นวันที่บุตรสาวตระกูลเฉินที่ถึงวัยออกเรือนจะได้คัดเลือกคู่ครองของตัวเอง เฉินหลี่เจินนางหมายมั่นว่านางจะต้องโดดเด่นที่สุดในงานวันนี้ ว่าที่สามีของนางจะต้องเป็นบุรุษที่ดีที่สุด อาภรณ์และเครื่องประดับที่ถูกคัดสรรมาจึงล้วนดีเยี่ยม แต่ขณะที่นางกำลังอาบน้ำชำระกายกลับรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง หลูปี้ บ่าวรับใช้คนสนิทของนางจึงเสนอให้นางนั้นนอนพักผ่อนเสียก่อน เพราะกว่างานจะเริ่มนั้นอีกหลายชั่วยาม ซึ่งนางก็เห็นดีด้วยเพราะหากจะให้ฝืนทนคงจักไม่ไหว แต่ก็ไม่วายเอ่ยย้ำกับบ่าวคนสนิทให้ปลุกนางเมื่อถึงเวลา
แต่เมื่อนางรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็เลยเวลาไปหลายชั่วยามแล้ว นั่นทำให้นางรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก สายตาหวานคมที่ทอประกายเกรี้ยวกราดมองหาตัวผู้เป็นบ่าวของตน เมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายใบหน้างดงามกลับยิ่งบิดเบี้ยว แต่ยังมิทันที่นางจะทันได้ลุกออกจากเตียง เพื่อสั่งสอนนังบ่าวไม่รู้ความ ร่างกายของนางกลับไร้เรี่ยวแรง นางเห็นว่ามีกลุ่มควันที่มีกลิ่นหอมประหลาดถูกปล่อยเข้ามาในห้องของนาง จนเกิดความรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วกาย โดยเฉพาะจุดกลางร่างที่รู้สึกร้อนวูบวาบ
มีคนเล่นสกปรกกับนาง
และการที่คนพวกนั้นจะเล่นงานนางได้ถึงขนาดนี้ย่อมต้องมีคนในที่รู้เห็น ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ หลูปี้ นังบ่าวทรยศ
รู้ตัวในตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเบื้องหน้าของนางกลับปรากฏเงาร่างของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ กำลังก้าวเข้ามาหานางที่นอนบิดเร่าอยู่บนเตียงอย่างช้าๆ แม้ใจของนางจะต่อต้าน แต่ร่างกายกลับโหยหาจนรู้สึกเจ็บปวดทรมาน สายตาของนางนั้นพร่าเลือน มิอาจรู้ได้ว่าชายที่กำลังเข้ามาใกล้นางนั้นคือผู้ใด รู้เพียงใบหน้านั้นช่างน่ากลัว มันปกคลุมไปด้วยหนวดเครายาวเฟื้อยและดวงตาคมดุนั้นแดงก่ำจนน่ากลัว นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งหวาดกลัวและขยะแขยง ปลายเล็บแหลมคมจิกลงบนฝ่ามือบอบบางจนบาดลึกผิวเนื้อ เลือดสีแดงไหลซึม แต่นางกลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย มีเพียงความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอก เงาร่างใหญ่ของชายชั่วผู้นั้นคืบคลานเข้ามาใกล้จนร่างบอบบางของนางนั้นสั่นสะท้าน เฉินหลี่เจินจ้องมองร่างกายกำยำที่เข้ามาคร่อมทับตัวนางนัยน์ตาของนางแดงก่ำด้วยความคับแค้นที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้
ฟันขาวราวกับไข่มุกเรียงตัวสวยเป็นระเบียบกัดลงบนเรียวปากอวบอิ่มจนสัมผัสถึงรสฝาดของเลือด เมื่อกลางกายสาวที่หวงแหนมาตลอดสิบหกหนาวถูกล่วงล้ำอย่างไร้ความปรานี แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจแต่กลับไม่มีเสียงร้องหลุดจากริมฝีปากอวบอิ่มแม้แต่น้อย
ความอัปยศในครั้งนี้ นางจะเอาคืนอย่างสาสม เฉินหลี่เจินนางหลับตาลงไม่อาจมองภาพน่าอดสูนั้นได้ สัมผัสรุนแรงจากมือหยาบกร้านคู่นั้นกำลังบีบเคล้นเนื้อตัวจนรู้สึกเจ็บ
กว่าช่วงเวลาอันเลวทรามจะจบลงนางรู้สึกเจ็บปวดทั้งกายและใจจนแทบจะกระอักเลือดออกมา ทั้งเกลียดชังและขยะแขยงชายชั่วผู้นี้ราวกับจะฆ่าให้ตาย แต่นางกลับไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับ ได้แต่นอนแน่นิ่งปล่อยให้น้ำตาแห่งความชิงชังและเจ็บแค้นหลั่งไหลออกมาเงียบๆ
เสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายที่มุ่งตรงมาทางนี้ ทำให้ฝ่ามือหนาของบุรุษที่กำลังจ้องมองแผ่นหลังบอบบางของสตรีที่นอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ข้างกายด้วยประกายเย็นชา ตวัดผ้าห่มผืนใหญ่ขึ้นมาคลุมร่างของนางเอาไว้ ก่อนตัวเขาจะลุกขึ้นมาคว้าเอาเสื้อผ้าที่เกลื่อนอยู่บนพื้นมาสวมใส่อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด พอดีกับที่ประตูนั้นได้เปิดออกกว้าง พร้อมกับผู้คนมากมายที่กรูกันเข้ามาเฉินหลี่เจินที่หลับตาแน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลนอง ริมฝีปากบวมช้ำกดลึกขึ้นอย่างเย้ยหยัน คนสารเลวพวกนั้นคงกำลังหัวเราะเยาะนางอยู่ในใจ เสียงหวีดร้องคุ้นหูที่ดังขึ้นราวกับตกใจหนักหนาของคนเหล่านั้น ทำให้มือเล็กกำเข้าหากันแน่นจนสั่นเทา ความเกลียดชังกลืนกินนางจนด้านชา ไม่สนใจความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเบื้องหลังแม้แต่น้อย ปล่อยให้คนพวกนั้นแสดงงิ้วกันตามแต่ใจสวรรค์เหตุใดจึงได้ใจร้ายกับนางนัก คนพวกนั้นร้ายกาจกับนางก่อนมิใช่หรอกหรือ สิ่งที่นางตอบโต้ล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะปกป้องตัวเอง แล้วเหตุใดจึงลงโทษนางเช่นนี้หลังจากนี้นางก็พอจะรู้ถึงชะตากรรมของตัวเอง เฉินหลี่เจินนางได้แต่คิดอย่างขมขื่นใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นสร้างความอับอายขายหน้าให้กับตระกูลเฉินเป็นอย
หยางซานตง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำ อดีตนั้นเขาเป็นเด็กผู้ชายใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูที่ตาเฒ่าหยางกระเตงกลับมาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เดิมนั้นเฒ่าหยางเป็นทหารอยู่ในกองทัพ แต่เมื่อครั้งที่ไปรบพลาดพลั้งถูกศัตรูฟาดฟันจนเสียแขน จึงทำให้ต้องออกจากการเป็นทหาร แต่ตอนที่กลับมานั้นเขาได้พาเด็กชายตัวน้อยกลับมาด้วย เฒ่าหยางบอกกับทุกคนว่าเด็กชายนั้นเป็นบุตรของเขาเอง แม้จะไม่มีผู้ใดเชื่อเพราะเด็กน้อยนั้นหล่อเหลาราวกับเทพเซียน ผิวพรรณหรือก็ผุดผ่องนุ่มนิ่มราวกับซาลาเปา ส่วนเฒ่าหยางตัวดำเหมือนกับก้นกระทะ แต่ไม่เชื่อแล้วอย่างไร พวกเขาจะทำเช่นไรได้ในเมื่อไม่ใช่เรื่องของตนเฒ่าหยางเมื่อกลับมาอยู่ในหมู่บ้านก็อาศัยอยู่ในผืนดินผืนเล็กท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นของบิดามารดาที่ทิ้งเอาไว้ให้ มีเพียงบ้านหลังเล็กให้พอได้อยู่อาศัย เก็บฟืนหาของป่าเลี้ยงตัวเองและบุตรชาย ต่อมาก็หันมาเผาถ่านขายเลี้ยงชีพวันเวลาผันผ่านเฒ่าหยางจากบุรุษในวัยฉกรรจ์ก็แก่ชราลง ส่วนเด็กชายตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูในวันวาน ก็เติบโตขึ้นกลายเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลา จนกระทั่งเมื่อหลายปีก่อนเฒ่าหยางได้จบชีวิตลง ทิ้งผู้เป็นบุตรชายให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เดิม
ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เฉินหลี่เจินนางได้ว่าจ้างให้คนส่งข่าวเกี่ยวกับคนตระกูลเฉินอยู่เสมอ และในวันนี้ข่าวที่ถูกส่งมาทำให้นางตัดสินใจลอบเข้าไปในตัวอำเภอเพราะความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอก เพียงรับรู้ว่าคนพวกนั้นอยู่ดีมีสุขนางก็รู้สึกโกรธแค้นมากพอแล้ว แต่เรื่องนี้กลับทำให้นางเจ็บแค้นแทบกระอัก เมื่อ เฉินอวี่จู น้องสาวต่างมารดาที่นางเกลียดชังอีกฝ่ายเข้ากระดูก นางได้ตบแต่งให้กับคุณชายตระกูลใหญ่ที่ตนเองเคยผูกสัมพันธ์ก็ยิ่งสร้างความเกลียดชังและคับแค้นใจแก่นาง จนต้องมาให้เห็นกับตา ภาพเกี้ยวเจ้าสาวที่ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงามและขบวนสินเดิมยาวเหยียด ทำให้นางคับแค้นจนหลั่งน้ำตา แต่กลับไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่ยืนมองความพ่ายแพ้ของตนเองอย่างเจ็บช้ำนางกลับมายังเรือนโกโรโกโสหลังนั้นด้วยความแค้นที่อัดแน่นสุมอก ใช้สุราดับไฟร้อน หมกตัวอยู่แต่ในเรือน นางกลายเป็นสตรีติดสุรา ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่สนใจรูปโฉมที่นางภูมิอกภูมิใจหนักหนา ผิวพรรณที่เคยผ่องใสนั้นดูแห้งกร้าน ใบหน้าหมองคล้ำอมทุกข์"หยุดดื่มได้แล้ว"หยางซานตงเดินเข้ามาแล้วแย่งจอกสุราออกจากมือของนาง มิหนำซ้ำเขายังเอาไหสุราของนางเททิ้งจนหมด แม้อยากจะอาละวาดเ
นั่นเป็นเรื่องราวของเจ้าของร่างที่ทำให้ผู้มาใหม่ถึงกับกุมขมับ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนมาอยู่ในที่แห่งนี้ นางนั่งสงบจิตสงบใจอยู่พักใหญ่หลังจากที่ฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้ง สายตาก็จ้องมองร่างเล็กๆ ที่ขดตัวอยู่มุมห้อง เด็กน้อยผู้นั้นได้หลับไปแล้ว นางนั่งมองก้อนกลมๆ ก้อนนั้นอย่างเวทนา ชีวิตเด็กคนนี้เหตุใดจึงได้น่าสงสารขนาดนี้กันคนเรานี่ก็แปลกนัก คนที่เขาอยากจะมีลูกพยายามแทบตาย หมดเงินหมดทองไปมากก็ไม่อาจสมหวัง แต่คนที่ไม่อยากจะมี ไม่พร้อมที่จะมี กลับมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตเล็กๆ นี้ เมื่อรู้ว่าเขามีค่ามากแค่ไหน ตอนนั้นก็สายเกินไปเสียแล้วนางมองเด็กน้อยตรงหน้า สงสารอีกฝ่ายจับใจ หัวใจดวงน้อยๆ ของเขาจะบอบช้ำมากเพียงใดกัน แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นก้อนซาลาเปาสีขุ่นที่วางอยู่ใกล้ๆ กับที่เด็กน้อยผู้นั้นนอนอยู่ นางยิ่งรู้สึกขมพร่าในลำคอ ดูก็รู้ว่าซาลาเปาก้อนนั้นไม่อาจที่จะกินได้อีก แต่เพราะความหิวเด็กน้อยจึงต้องกินมันร่างผอมบางจึงสูดลมเข้าปอดอึกใหญ่อย่างฮึดสู้เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คงต้องลองดูกันสักตั้ง ถือเสียว่าสวรรค์ท่านประทานพรให้ตามคำขอของนาง ให้ตามคำขอทุกประการเสียด้วย นางได้เกิดเป็นหญิงสมใจ
เฉินหลี่เจินนางเก็บทุกอย่างล้างจนเสร็จเรียบร้อยก็เดินสำรวจทุกอย่างในครัว ซึ่งก็เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ข้าวสารนั้นมีอยู่เต็มถังไม้ใบใหญ่ ซึ่งยังไม่มีการตักใช้เลย ในตะกร้าก็มีไข่อยู่เต็ม แป้ง เกลือ น้ำตาลกรวด น้ำปรุงรส น้ำมัน ถั่วและพวกธัญพืชต่างๆ ล้วนถูกเติมเอาไว้เต็มโถ ผักดอง กุ้งแห้ง เนื้อปลาตากแห้งและยังมีเนื้อหมูตากแห้งอีกด้วย ทุกอย่างล้วนยังไม่ถูกนำมาใช้ คงเป็นบิดาของเด็กน้อยที่จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ ช่างเป็นสามีและบิดาที่แสนดีจริงๆ และนางยังจำได้ว่าอีกฝ่ายได้มอบเงินเก็บทั้งหมดให้กับเจ้าของร่างก่อนไปด้วย แต่เจ้าของร่างนี้กลับไม่สนใจสิ่งใดเลยช่างน่าเศร้านัก แต่ไหนๆ อีกฝ่ายก็ตายไปแล้ว ตอนนี้นางคือเฉินหลี่เจิน จะไปต่อว่าคนตายก็กระไรอยู่ ต่อไปตนแค่ทำหน้าที่แทนนางให้ดีที่สุดก็พอคิดได้เช่นนั้นก็ลงมือจุดไฟ ซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องไม้ฟืนและถ่านที่ใช้สำหรับหุงหาอาหาร นางเห็นว่าตรงด้านหลังเรือนนั้นมีทั้งไม้ฟืนและถ่านอยู่เต็มโรงเก็บ ก็เจ้าของเรือนมีอาชีพเผาถานจะขาดแคลนได้อย่างไร อาหารมื้อแรกในวันนี้ นางจะทำข้าวต้มธรรมดาใส่พุทราจีนสักเล็กน้อย มีเครื่องเคียงเป็นเนื้อปลาตากแห้งทอดกรอบและผักด
"เปาเป่า"หลี่เจินนางเอ่ยเรียกเด็กน้อยเสียงเบา มองสบแววตากลมโตคู่นั้นอย่างไม่อาจที่จะบรรยายความรู้สึก แล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรง"มาหา...แม่สิ"เมื่อเปล่งคำนั้นออกไป นางรับรู้ถึงความเต็มตื้นในจิตใจ รู้สึกรักและผูกพันกับเด็กชายตรงหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด มือผอมบางทั้งสองค่อยๆ ยกขึ้น ยื่นไปด้านหน้า นางมองสบตาเด็กน้อยอย่างรอคอยเจ้าตัวเล็กนั้นจ้องมองการกระทำของสตรีตรงหน้าด้วยดวงตาสั่นไหว เขาเป็นเพียงเด็ก แค่เพียงเห็นความอ่อนโยนของคนตรงหน้าก็ลดอาการเกร็งตัวและหวาดกลัวลง ลืมเลือนความเจ็บปวดที่เคยได้รับจนหมดสิ้น ยิ่งคนตรงหน้าคือมารดา คือคนที่เขาโหยหาอ้อมกอดและอยากจะเป็นที่รักของนางมากที่สุด เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะโผเข้าหาอ้อมแขนนั้นร่างเล็กที่พุ่งเข้ามากอดนางเอาไว้แน่น ทำให้หลี่เจินผละไปด้านหลังเล็กน้อยกับแรงปะทะนั้น แม้จะตกใจบ้างในคราแรก แต่ต่อมานางก็ยิ้มและหัวเราะออกมา เมื่อรับรู้ถึงความยินดีของเจ้าตัวน้อย เอ่ยกับเจ้าลูกแมวที่ซุกใบหน้าอยู่ในอ้อมแขนของนางเสียงสั่นเครือ"ขอโทษ แม่...ขอโทษนะเปาเป่า"เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ รู้สึกจุกแน่นร้าวไปทั้งอก น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่า
หลี่เจินนางจ้องมองเจ้าตัวเล็กที่ถูกนางจับอาบน้ำขัดถูขี้ไคลจนสะอาดสะอ้านด้วยตาเป็นประกาย เส้นผมหนานุ่มที่ปกคลุมศีรษะทุยเล็กถูกนางสระจนหอมกรุ่น ผิวของเขานุ่มนิ่มขาวนวลราวกับเต้าหู้ คิ้วตาจมูกปากล้วนได้รูปน่ามอง หากโตขึ้นเขาคงเป็นบุรุษที่รูปงามมาก"เปาเป่าของแม่รูปงามยิ่งนัก"เปาเป่าน้อยที่ตอนนี้ตัวหอมกรุ่น แก้มขาวๆ ของเขานั้นแดงเรื่อ ใบหูเล็กแดงก่ำอย่างน่าเอ็นดู เขารู้สึกเขินอายกับคำชมของมารดาเป็นอย่างมาก ท่าทางน่าเอ็นดูนั้นทำให้หลี่เจินไม่อาจอดใจไหวต้องดึงเจ้าตัวเล็กนั้นมากอดมาหอมเสียหลายฟอด นั่นยิ่งทำให้เปาเป่าหัวใจพองโต มารดาหอมแก้มเขานั่นหมายถึงมารดารักเขามาก ต่อไปเขาจะอาบน้ำทุกวันหลังจากขัดถูสิ่งสกปรกให้บุตรชายจนเกลี้ยงเกลา นางก็ปล่อยให้เขาได้เล่นน้ำสักครู่ ส่วนนางก็หันมาแกะเม็ดบัวออกจากฝัก ก่อนจะเดินมาถึงลำธาร เปาเป่านั้นบอกว่าจะพานางไปดูดอกเหลียนฮวาที่กำลังบานสะพรั่ง มันงดงามมาก เขาอยากให้นางได้เห็น ถัดไปจากลำธารเดินลงใต้ไปไม่ไกลมากนักเป็นบึงบัวขนาดใหญ่ที่ความยาวนั้นไกลสุดสายตา ดอกบัวกำลังพากันเบ่งบานเต็มบึงหลากหลายสี เหล่าผีเสื้อและแมลงบินวนโฉบไปโฉบมา บางตัวก็กำลังดอมดมดอกเหลี
วันนี้ตลอดทั้งวันสองแม่ลูกต่างช่วยกันทำความสะอาดเรือนครั้งใหญ่ ในที่สุดเรือนหลังน้อยก็มีสภาพที่น่าอยู่มากยิ่งขึ้น ดูสะอาดสะอ้านสบายตา แต่ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ต้องซ่อมแซม รอให้อะไรหลายๆ อย่างลงตัวมากกว่านี้ ค่อยมาว่ากันอีกที เมื่อดวงตะวันลาลับขอบฟ้า ความมืดมิดมาเยือน หลี่เจินนางจุดตะเกียงและเชิงเทียนทั้งหมดที่มีอยู่ แต่แสงสว่างของมันช่างน้อยนิด นางไม่คุ้นชินกับแสงสลัวเช่นนี้เลยเด็กน้อยเปาเป่าที่ดูจะง่วงงุนเต็มที คว้าเอาผ้าห่มและหมอนตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องโถง สายตาของเด็กน้อยมองหาฟูกนอนของเขาที่นางได้เก็บออกไป นางมองการกระทำนั้นแล้วขมวดคิ้วมุ่น"เปาเป่านั่นลูกจะทำอะไรหรือ"เปาเป่าหันมามองมารดา ดวงตาที่หรี่ปรือนั้นฝืนขึ้นตอบผู้เป็นมารดา"ข้าจะเข้านอนขอรับท่านแม่"หลี่เจินเดินเข้ามาหาบุตรชายคว้าเอาหมอนและผ้าห่มในมือเด็กน้อยมาถือเอาไว้"แล้วเหตุใดจึงจะมานอนตรงนี้เล่า"คำถามของมารดาทำให้เปาเป่าน้อยมึนงง ว่าเหตุใดมารดาจึงถามเช่นนั้นก็ในเมื่อที่ตรงนี้เป็นที่ที่เขานอนในทุกคืน"ไป ไปนอนกับแม่"คำพูดของมารดาทำให้อาการง่วงงุนของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง แต่มิได้ทันตั้งตัว หรือคิดทบทวนคำพูดนั้นซ้ำ ร่างเ
เสียงเปิดปิดประตูดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนร่างสูงของบุรุษเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้มีหนวดเคราบางเบาส่งให้เขายิ่งดูหล่อคมมีเสน่ห์น่าหลงใหลซานตงก้าวเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบาแล้วหยุดอยู่ตรงด้านหน้าเตียงนอนหลังใหญ่ที่มีร่างอวบอิ่มของภรรยาที่กำลังนอนตะแคงด้านข้างขดกายอย่างน่าเอ็นดู ตอนนี้อายุครรภ์ของนางย่างเข้าเดือนที่เจ็ดแล้วอีกเพียงไม่นานบุตรของเขาก็จะออกมาลืมตาดูโลกเขาจ้องมองใบหน้างดงามของภรรยาที่หลับตาพริ้ม ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อยดูมีความสุขราวกับตอนนี้นางกำลังหลับฝันดี แม้นางจะกำลังตั้งครรภ์แต่ก็ยังงดงามเย้ายวนอย่างที่สุด จนคนแอบมองใจกระตุกสั่นไหว เขาอยากจะทักทายเจ้าก้อนแป้งอีกแล้วมือหนาจึงค่อยๆ ปลดอาภรณ์ออกจากเรือนกายแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจนเหลือเพียงกางเกงตัวในบางเบา เคลื่อนกายหนาเข้าไปนอนซ้อนแผ่นหลังเล็กแผ่วเบาหลี่เจินที่รับรู้ถึงสัมผัสแผ่วเบาของมือใหญ่ที่ลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของนาง ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมดกดำเงางามกับกลิ่นหอมอันคุ้นเคยกำลังซุกไซ้ดอมดมไปทั่วซอกคอและลาดไหล่ขาวนวลที่ไม่รู้ว่าเปล่าเปลือยไปตั้งแต่เมื่อไหร่"ท่านพี่ อ่า"มือเล็กที่ตั้งใจจะยกขึ้นดันศ
แล้วในที่สุดวันมงคลของคุณหนูฉีหลานเฟิ่งและท่านแม่ทัพต้วนฝูชิงก็มาถึง เจ้าสาวในวันนี้นั้นงดงามเป็นอย่างมาก จนผู้ที่มีส่วนในความสำเร็จครั้งนี้นั้นยิ้มแก้มปริ หลี่เจินรู้สึกยินดีกับเด็กสาวผู้นั้นเป็นอย่างมากที่นางจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียที เรื่องราวของคุณหนูฉีหลานเฟิ่งและคนรัก ดูเหมือนว่าจะลงเอยกันได้ด้วยดี ดูได้จากสีหน้าของเจ้าบ่าวที่อิ่มเอิบแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แต่ได้ยินมาว่ากว่าจะปรับความเข้าใจกันได้แม่ทัพต้วนฝูชิงผู้ยิ่งใหญ่แทบจะหลั่งน้ำตากันเลยทีเดียว ต่อจากนี้ไปนางได้แต่อวยพรให้ชีวิตคู่ของทั้งสองมีแต่ความสุข ครองรักกันไปจนแก่เฒ่าวันเวลาผันผ่าน ผู้คนต่างใช้ชีวิตดำเนินไปตามวิถีทางของตัวเอง มีเรื่องราวผ่านมามากมาย รวมไปถึงข่าวคราวจากชายแดนที่ร่ำลือกันอย่างหนาหู ผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาใช้บริการในหอเหม่ยฮวาต่างก็กล่าวถึงเรื่องนี้ ข่าวที่ได้รับฟังมานั้นทำให้หลี่เจินตกตะลึงอยู่ไม่น้อย ว่ากันว่าในค่ายทหารรักษาชายแดนมีหญิงงามผู้เป็นนางคณิกาที่ลือเลื่องถึงความร้อนแรง สามารถสร้างความเกษมสำราญให้บรรดาเหล่าทหารกลัดมันจนเลี่ยงชื่อไปทั้งค่าย ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ปีนป่ายเป็นนางคณ
เช้าวันรุ่งขึ้นผู้คนต่างโจษจันเกี่ยวกับเรื่องราวในตระกูลเฉินที่ในตอนนี้จวนนายอำเภอถูกปิดเงียบ ไร้เงาของคนภายในจวนไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่ เฉินอวี่จูถูกสามีหย่าขาดในข้อหาคบชู้สู่ชาย สร้างความอับอายให้แก่ตระกูลเป็นอย่างมาก เดิมทีโทษของนางคือห้าม้าแยกร่าง แต่ด้วยความเมตตาของท่านเจ้าเมืองและเห็นแก่หน้าบิดาของลูกสะใภ้ จึงเพียงเนรเทศนางออกจากเมืองซีโจวไปยังชายแดนทุรกันดาร หลังจากเฉินอวี่จูถูกเนรเทศออกไป ต่อมาก็มีข่าวการแต่งเข้าไปเป็นอนุภรรยาจวนตระกูลฮวนของเฉินอี้ซินผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาของเฉินอวี่จู และนั่นก็เป็นที่กล่าวถึงของผู้คนอีกครั้งจนไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้เกี่ยวกับถึงเรื่องนี้แม้แต่แม่ทัพตระกูลต้วน ต้วนฝูชิง บุรุษที่ผู้คนต่างรับรู้ว่าเขาคือคนรักของเฉินอี้ซิน ที่มีข่าวคราวรักสามเส้าออกมาให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง คนผู้นั้นคงโศกเศร้าอยู่เป็นแน่แต่เปล่าเลย ตอนนี้ผู้ที่ทุกคนต่างคิดว่าเขาคงกำลังเศร้าโศกเสียใจที่สตรีคนรักกลายเป็นภรรยาของผู้อื่นกลับกำลังนั่งดื่มด่ำกับสุรารสเลิศบนชั้นสามของโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งอย่างสบายอกสบายใจ ข่าวนี้ช่างเป็นข่าวที่น่ายินดีที่สุดในรอบปี เขารู้สึกโล่งใจและยินดีเป็น
จบสิ้นกันเสียทีหลี่เจินมองบ่าวไพร่ที่ลากเอาคนทั้งสองไปคุมขังเอาไว้ก่อนตามคำสั่งของเจ้าของจวนเพื่อรอคำตัดสินในวันรุ่งขึ้น กลิ่นอายและคราบความใคร่ที่ทั้งสองทิ้งเอาไว้ทำให้หลี่เจินรู้สึกพะอืดพะอมใบหน้าของนางประเดี๋ยวซีดขาวประเดี๋ยวแดงก่ำ จนต้องรีบหันกายเร่งฝีเท้าตามทุกคนออกไประหว่างที่ทุกคนกำลังพากันออกไปยังห้องโถงกลางเพื่อหารือเรื่องการตัดสินโทษของเฉินอวี่จูที่ได้กระทำการทุกอย่าง หยางซานตงที่เห็นว่าใบหน้างามของภรรยานั้นแดงก่ำจึงคิดขึ้นได้ว่านางนั้นก็อาจจะโดนพิษยาปลุกกำหนัดด้วยเช่นกัน จึงโน้มใบหน้าลงมากระซิบชิดใบหูเล็ก"เจินเอ๋อ ให้พี่ขับพิษกำหนัดให้ก่อนดีหรือไม่ ยังพอจะมีเวลานะ"คำของผู้เป็นสามีทำให้หลี่เจินตัวแข็ง มองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ สายตาพราวระยับที่สื่อความนัยนั้นทำให้นางสะบัดร้อนสะบัดหนาว สถานการณ์เช่นนี้เขายังมีอารมณ์คิดเรื่องอย่างว่า"นี่ท่าน...ข้ามิได้ถูกพิษกำหนัดเสียหน่อย"หลี่เจินฟาดฝ่ามือลงบนบ่าแกร่งของบุรุษบ้าตัณหาเต็มแรง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตามทุกคนไปยังห้องโถงไม่อาจที่จะทนมองหน้าอีกฝ่ายที่หื่นไม่ดูเวล่ำเวลาหยางซานตงยิ้มให้กับท่าทางเขินอายของภรรยาตัวน้อย ก่อนคิ้
หลี่เจินเดินตามหญิงรับใช้นางนั้นมาจนถึงห้องห้องหนึ่ง เมื่อส่งนางถึงที่หมายหญิงรับใช้ผู้นั้นก็ปลีกตัวออกไปในทันที นางยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป หลังประตูบานนั้นสตรีที่นางต้องการเจอตัวกำลังนั่งด้วยท่าทางเกียจคร้านละเลียดจิบสุราในมือด้วยใบหน้ามีความสุขยิ่ง สายตาที่ใช้จ้องมองนางวาววับดูไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย"เจ้าต้องการอะไร มีสิ่งใดก็พูดมา"หลี่เจินเอ่ยถามอีกฝ่าย สายตานั้นจ้องมองสตรีจิตวิปลาสตรงหน้าอย่างระมัดระวัง"ใจร้อนเหมือนเดิมเลยนะเจ้าคะ พี่สาว"เสียงอ่อนหวานของเฉินอวี่จูนั้นฟังดูช่างเยือกเย็น ริมฝีปากที่แต้มชาดสีสดนั้นแสยะยิ้มที่ทำให้คนมองนึกถึงฆาตกรโรคจิต สตรีนางนี้เกินเยียวยาแล้วจริงๆ"เจ้ามิต้องกล่าวให้มากความ ถุงหอมใบนี้ไปอยู่กับเจ้าได้เช่นไร"หลี่เจินกดข่มความหวาดผวาที่ชวนให้หนาวเยือกเอ่ยถามอีกฝ่ายราวกับกำลังควบคุมโทสะ ท่าทางของนางทำให้สตรีตรงหน้าหัวเราะขึ้นมาราวกับกำลังเจอเรื่องตลกขบขัน"เอ...ข้าเอาถุงหอมใบนี้มาได้เช่นไรนะ เจ้าอยากรู้จริงๆ น่ะหรือ พี่สาว"เฉินอวี่จูเอ่ยกับสตรีหน้าโง่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า นางรู้สึกสมเพชเวทนาอีกฝ่ายยิ่งนัก เพียงนางให้บ่า
แล้วงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดของท่านนายอำเภอเฉินก็มาถึง ผู้คนในอาภรณ์งดงามหรูหราต่างหลั่งไหลเข้ามาร่วมอวยพรให้กับเจ้าของงานเลี้ยงผู้เป็นใหญ่ในอำเภอซีซาแห่งนี้ ผู้ที่มาร่วมงานต่างเป็นคนใหญ่คนโตและมีหน้ามีตาในสังคมชั้นสูงทั้งสิ้น และในครั้งนี้ดูท่าว่าจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่กว่าในทุกปี คาดว่าคงมีสิ่งพิเศษเป็นแน่เฉินอวี่จูในอาภรณ์งดงามหรูหรา ใบหน้าหวานนั้นถูกแต่งแต้มจนงามล้ำต่างได้รับคำชื่นชมและความสนใจจากผู้คนที่มาร่วมงาน นางหยัดยิ้มกว้างเคียงคู่มากับบุรุษรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลาคล้ายดังบัณฑิตผู้ทรงภูมิที่เหล่าสตรียังไม่ออกเรือนต่างชม้ายชายตามอง แม้ข้างกายของเขานั้นจะมีฮูหยินเช่นนางเคียงกายอนิจจาสายตาชื่นชมระคนอิจฉาเหล่านั้นหาได้ทำให้นางรู้สึกพอใจไม่ อันว่ามนุษย์นั้นมิรู้จักพอย่อมจะเป็นคำกล่าวที่มิได้เกินจริงแม้แต่น้อย รัก โลภ โกรธ หลง หากมันจะมีอย่างพอดีก็คงมิมีอันใดผิด แต่หากทะเยอทะยาน อยากได้ อยากมีมากจนเกินไปก็สามารถสร้างหายนะให้แก่ชีวิต แต่ดูเหมือนจิตใจของนางจะมืดบอดเกินกว่าจะมองเห็นเสียแล้ว ภายในจิตใจยังครุ่นคิดถึงแต่ชายอื่น ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นสามีของพี่สาวต่างมารดา สายตาหวานน
ร่างบอบบางของสตรีนางหนึ่งที่นอนคว่ำหน้าเปลือยแผ่นหลังและสะโพกมนอยู่บนตั่งเตียง ปล่อยให้บ่าวรับใช้ทายาลงบนร่องรอยฟกช้ำตรงสะโพกงามงอนและแผ่นหลัง ยังมีรอยขีดข่วนตรงเรียวขาขาวที่ทำให้ผิวเนื้อนวลมีตำหนิไม่น่ามอง สองมือของสตรีนางนั้นสั่นเทาดึงขย่ำระบายความเจ็บปวดลงบนผ้าปูเตียงจนยับย่น แต่ไหนเลยเจ็บปวดกายจะเท่าความเจ็บปวดที่ใจ ดวงตาหวานบัดนี้นั้นแดงก่ำเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำแห่งความคับแค้น ความเจ็บแค้นอัดแน่นภายในอก ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้กับนางมาก่อน บุรุษผู้นั้นไม่เพียงกล้าเมินนาง แต่กลับทำร้ายนางโดยไม่กะพริบตาเฉินอวี่จูคิดอย่างคับแค้นใจ น้ำตาอุ่นร้อนหลั่งไหลอาบแก้ม เหตุใดนังเฉินหลี่เจินจึงได้ครอบครองบุรุษผู้นั้น เหตุใดชีวิตของมันถึงได้ดูมีความสุขและเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง มันยังคงชูคออยู่เหนือนาง ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด บุรุษที่นางมองอย่างสมเพชในกาลก่อน กลับรูปงามสมชายชาตรี แต่เขากลับไม่แม้แต่จะชายตามองนาง แต่ยิ่งไม่อาจครอบครองอีกฝ่ายดังใจ นางยิ่งรู้สึกปรารถนา เพียงแค่หลับตาใบหน้าคร้ามคมและกลิ่นกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งของบุรุษเพศที่ได้สัมผัสเพียงชั่วครู่นั้น ทำให้นางยิ่งเกิดควา
ดวงตาวาววับของภรรยาที่จ้องมองมา ทำให้ลำคอของหยางซานตงแห้งผาก มองริมฝีปากอวบอิ่มที่เม้มเข้าหากันแน่นแล้วคลายออกแต่ทว่ามันกลับเริ่มสั่นระริก ดวงตาที่เมื่อครู่นั้นดูกราดเกรี้ยว เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมเอ่ยปากเสียทีบัดนี้มันดูรวดร้าว"ไม่เป็นไรในเมื่อท่านไม่อยากเอ่ยก็ไม่เป็นไร"น้ำเสียงแหบเครือเอ่ยขึ้นก่อนร่างบอบบางจะลุกออกจากตักของเขา"เจินเอ๋อ อย่าโกรธพี่เลยนะ เป็นสตรีไร้ยางอายนางนั้นต่างหาก"หยางซานตงกอดกระชับร่างบางเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยนางออกจากอ้อมแขน เพียงเห็นดวงตาหม่นหมองนั้นดวงใจของเขาก็แทบร้าวราน เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยถึงเหตุการณ์น่าโมโหนั้นจนหมดเปลือก ไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย สายตาคมมองใบหน้างดงามที่มืดครึ้มลงเรื่อยๆ ของภรรยาเมื่อเขานั้นเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น มองนางด้วยสายตาละห้อย"พี่สาบานได้ ว่าไม่ได้ล่วงเกินหรือเกินเลยกับนางแม้แต่น้อย"ตบท้ายด้วยการยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ไม่ว่าสตรีคนใดก็ไม่อาจที่จะทำให้เขาหวั่นไหวได้อีกแล้ว หัวใจและร่างกายของเขามันตอบสนองเพียงสัมผัสจากภรรยาเท่านั้นหลี่เจินหรี่ตามองผู้เป็นสามี สายตานั้นไล่มองเขาจนคนถูกมองใจไม่ดี นางไม่เชื่อเขาหรือ แล
ภายในห้องทำงานของนายหญิงเจ้าของหอเหม่ยฮวา สตรีสองนางนั้นกำลังนั่งสบตากันอยู่ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของหอจะกล่าวขึ้น"หากข้าจะบอกเจ้าว่าข้าคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉินเล่า เจ้าจะว่าอย่างไร"หลี่เจินเอ่ยกับคุณหนูฉีหลานเฟิ่งอย่างตรงไปตรงมา จนใบหน้าของสตรีตรงหน้าดูตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ฉีหลานเฟิ่งมองใบหน้างดงามด้วยดวงตาสั่นไหว เหตุเพราะบนใบหน้านางนั้นอัปลักษณ์มีตุ่มหนองจึงหมกตัวอยู่เพียงในเรือนไม่ออกไปเที่ยวเล่นเช่นดังเด็กสาวในวัยเดียวกัน จึงทำให้นางไม่มีสหายที่จะคบค้าสมาคมด้วยและไม่เคยรับรู้ความเป็นไปด้านนอกจวนมากนัก แต่นางก็ไม่เคยเห็นสตรีนางนี้มาก่อน ตระกูลเฉินนั้นเป็นตระกูลของผู้ปกครองอำเภอแห่งนี้ผู้คนต่างรับรู้ว่านายอำเภอเฉินมีบุตรีสามนางที่เลอโฉม ทั้งสามนางนั้นก็เคยพบหน้ามาก่อน หรือนางจะเป็นคุณหนูเฉินหลี่เจินที่มีเรื่องอื้อฉาวเมื่อหลายปีก่อน ในตอนนั้นใบหน้าของนางยังเป็นเพียงตุ่มเล็กๆ มิได้ช้ำเลือดช้ำหนองเช่นตอนนี้ จึงพอจะรับรู้ข่าวมาบ้าง"ท่านคือคุณหนูใหญ่เฉินหลี่เจินหรือ"น้ำเสียงของสตรีนางนั้นฟังดูแหบแห้งจนน่าสงสารอยู่ไม่น้อยเฉินอี้ซิน คือสตรีที่บุรุษที่ฉีหลานเฟิ่งรักปรารถนา นางงดงา