ในฤดูหนาวป่าส่วนใหญ่ของแดนเหนือปกคลุมด้วยหิมะ ใบไม้ต้นหญ้าต่างก็ร่วงโรยตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนแล้ว ครั้นพอฤดูหนาวมาถึงพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ถูกถอนขนจนโกร๋น แต่ถึงแบบนั้นอีกไม่นานบรรดาเมล็ดพันธุ์ที่ฝังอยู่ข้างใต้ก็จะตื่นขึ้นในฤดูกาลถัดไป
ข้าชอบฤดูกาลนั้นที่สุด เวลาที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ป่าจะกลายเป็นสีเขียวอีกหน ในตอนนั้นดอกไม้นานาชนิดก็จะบานสะพรั่งเป็นเต็มเนินดินและทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพรสาณฑ์ของตอนบนทวีป ครั้นพอสายลมพัดผ่านมากลิ่นหอมก็จะโชยราวกับกำยานในวิหารของเทพพฤกษายิ่งนัก
ข้าชอบช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิที่สุด...
เพราะมันเป็นเวลาที่กระแสลมทั้งหมดจะละจากทิศเหนือจะพัดลงไปยังทิศใต้ สายลมจะนำพาอากาศเย็น ๆ จะแผ่เข้าปกคลุมทางใต้ของทวีป ซึ่งเป็นหมุดหมายที่เหล่ามังกรของวายุเทพจะบินลงไปเที่ยวเล่นประสามังกรของวายุเทพ
ตอนนี้มังกรวายุตนนั้นคงจะไม่อยู่ที่ตอนเหนือแล้ว หากว่าคิดตามหลักการของเหล่ามังกรลมทั่วไป ๆ เท่าที่ข้ารู้มาจากสัตว์น้อยใหญ่ในป่า
เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้นั้น...
ตัวข้าได้ฟื้นคืนจากการจำศีลช่วงฤดูใบไม้ผลิ ข้าหลับในรังมังกรเล็ก ๆ ที่อาศัยการตบแต่งอย่างเรียบง่าย มันเป็นรังที่ข้าอาศัยอยู่ในโพรงของต้นไม้บรรพกาลเพื่ออาศัยดำรงชีพ แต่ทว่าพอข้าฟื้นขึ้นมาข้าก็พบว่าไม่ไกลกันนัก กลับมีรังมังกรวายุอยู่ เป็นรังที่ซึ่งตั้งอยู่บนเชิงผาเตี้ย ๆ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกันกับป่าบรรพกาลที่ข้าอาศัย
มังกรตนลมผู้องอาจตนนั้นจ้องมองมาที่ข้า
ดวงตาสีอำพันซึ่งราวกับมีสายฟ้าสถิตนั้นมองข้าด้วยจุดประสงค์ที่ลึกลับซับซ้อนเสียจน...
ตัวข้าอยากจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดกันแน่
แต่ถึงจะไม่ชัดเจนในจุดประสงค์ของมังกรวายุตนนั้น ตัวข้าเองก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง...
ทว่ามังกรตนนั้นหวงและห่วงอาณาเขตของตนเองมาก ไม่ว่าจะมีมังกรตนใดเข้ามา อีกฝ่ายก็จะจัดการมังกรผู้บุกรุกอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ซึ่งนั่นทำให้ข้ารู้ว่าอีกฝ่ายทรงพลานุภาพเป็นอย่างมาก
ข้าสู้เขาไม่ได้และไม่อาจจะต่อต้านได้ ด้วยความกลัวข้าจึงมุดตัวลงไปในโพรงไม้ที่เชื่อมลงไปยังใต้ดินลึก อาศัยความหนาวเย็นข้างใต้ขับกล่อมให้ตัวข้าจำศีลไปสักสองฤดูกาลจนกระทั่งหิมะมาเยือนในที่สุด
ดังนั้นข้าจึงตื่นขึ้นมาในฤดูหนาวที่ซึ่งเต็มไปด้วยพายุหิมะและสรรพสิ่งซึ่งพรางตาไปกับธรรมชาติอันแห้งแล้ง
เสียงลมยังคงดังหวีดหวิวด้านนอกโพรงไม้ใหญ่ ครั้นพอมองออกไปทางซอกเล็ก ๆ ของรากไม้ข้าก็พบกับเกล็ดสีขาวงามตามากมายปลิวว่อนทั่วอากาศอันเย็นเยือกภายนอก
ไม่มีวี่แววและกลิ่นอายของเจ้ามังกรวายุตนนั้นเลยสักนิด พอตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่พบวี่แววของมังกรวายุตนนั้นข้าก็สบายใจขึ้นมาบ้าง หัวใจที่เป็นกังวลพลันคลายออกราวกับขนนกที่เบาหวิว
“เฮ้อ...” ข้าผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นก็มุดผ่านโพรงรากไม้ขนาดใหญ่ออกไปยังด้านนอก สองมือปัดขี้ดินออกจากเรือนผมสีขาวหิมะหลายหน แล้วจึงเคาะเศษดินและหญ้าจากช่วงเขาบนหัวแรง ๆ ให้พวกมันกระเด็นหลุดออกไป
เรียบร้อย!
ข้าผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะเดินตรงไปยังแอ่งน้ำเล็ก ๆ ที่จับตัวกลายเป็นน้ำแข็งเสียแล้ว ทว่าไม่ต้องกังวลไปนัก ด้วยลมหายใจมังกรของข้านั้น แอ่งน้ำตรงหน้าจึงละลายกลายเป็นน้ำให้ตัวข้าได้ส่องสำรวจใบหน้าอีกหน
ไม่มีคราบเปื้อน...ข้าคิดจากนั้นก็พลิกหลังมือขึ้นมาดู ที่หลังมือซึ่งใช้รองหัวเวลาจำศีลนั้นมีรอยเปื้อนอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจึงล้างมันที่แอ่งน้ำแห่งนี้...
จะว่าไปดวงตาของข้ายังคงเซื่องซึมอยู่บ้าง หลับมานานย่อมไม่ชินกับแสงสว่างนัก ม่านตาของข้ายังคงหดเล็ก นัยน์ตาสีม่วงยังคงหม่นไม่สดชื่นแจ่มใสเท่าที่ควร ทว่าไม่นานร่างกายก็จะฟื้นคืนกลับมาเอง...
ในเวลานี้ข้าควรจะเล่นให้เต็มที่แล้วค่อยออกสำรวจป่าเพื่อหาของกินมาเติมเต็มกระเพาะน้อย ๆ ให้จงได้…
ว่าแล้วข้าก็เหยียบย้ำบนผืนหิมะและวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานด้วยความสุขใจ
จนกระทั่ง...
วูบ! กระแสลมลมร้อนสายหนึ่งพัดผ่านร่างของข้าพร้อมกับกลิ่นอายหนึ่งซึ่งขับให้ข้าตื่นตระหนกอย่างรวดเร็ว
มังกรลมตนนั้นยังอยู่ที่นี่!
ข้าคิดจากนั้นก็กวาดสายตาไปมาอย่างร้อนรน ครั้นพอได้สติก็คิดจะวิ่งหนีกลับไปซ่อนที่โพรงของใต้ไม้บรรพกาลดังเดิม ทำตัวเยี่ยงกระต่ายขี้ตื่นตูมไม่ปาน
พรึบ! สายเชือกถักที่รัดชุดของข้าถูกบางสิ่งเกี่ยวขึ้นมา ครั้นจากนั้นไม่นานร่างของข้าก็ลอยตัวขึ้นสูงลิ่ว สูงยิ่งกว่ายอดไม้บรรพกาลจนข้าต้องหลับตาลงด้วยความขลาดกลัว
มังกรปฐพีอย่างข้าไม่มีปีก...
เทพแห่งผืนดินไม่ได้สร้างให้มังกรรุ่นแรก ๆ อย่างพวกเรามีปีกเยี่ยงมังกรรุ่นหลัง เพราะแบบนั้นมังกรดินหรือหินอย่างพวกเราเลยไม่ค่อยชำนาญในเวทลมนัก
“กลัวความสูงรึ?” เสียงหนึ่งดังขึ้น ข้าเดาได้ว่านี่คือเสียงของเจ้ามังกรวายุที่ทำรังใกล้ ๆ กับรังของข้าอย่างแน่นอน และ...ข้าจะไม่ตอบออกไปว่ากลัวเด็ดขาด เพราะต่อให้ตกลงไปกระแทกพื้นร่างกายของพวกเราก็ไม่เป็นอะไรสักแอะ
เว้นแต่...จะถูกพวกมังกรลมโยนเรากระแทกกับหินผารึว่าทุบเราอย่างรุนแรง นั้นก็คงพอจะให้ปวดเมื่อยได้บ้าง!
“เจ้าต้องอะไร? ไม่สิ! เจ้าปล่อยข้าเถอะนะ แล้วคราวนี้ข้ายอมทิ้งรังน้อย ๆ ของข้าแล้วหาที่ทำรังใหม่ที่อื่นแน่นอน” ข้าร้องขออีกฝ่ายอย่างเหมาะสม ไม่หยาบคายและไม่แสดงออกถึงความหวาดกลัวในจิตใจมากเกินไป
ดังนั้นข้าจึงลืมตาขึ้นและแสร้งทำเป็นใจกล้า ทว่าอาการตัวสั่นกลับทำให้ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่าแทน
“เจ้าไม่เคยปีนขึ้นที่สูงมาก่อน” มังกรวายุตนนั้นเยาะเย้ยข้าแล้วพุ่งทะยานขึ้นเหนือเมฆสูง อีกฝ่ายลากข้าขึ้นไปต้องกับดวงตะวันซึ่งทอแสงลงมา แสงนั้นอบอุ่นและเป็นประกายงดงามยิ่งนัก
ในฤดูหนาวอากาศจะขุ่นมัวซึ่งนั่นทำให้แสงตะวันถูกปิดกั้นเสียส่วนใหญ่...
ทว่าพาอีกฝ่ายกลับโฉบลงมาบรรยากาศก็อึมครึมอย่างชัดเจนราวกับภาพตัด กระทั่งบรรยากาศก็พลันหนาวเหน็บขึ้นทันตา จนตัวข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกมังกรวายุถึงชอบบินเหนือเมฆสูง ๆ กัน
กึก! ร่างของข้าถูกลากเข้าไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ยังเชิงผาสูงบนยอดเขาแดนในเหนือหลังจากที่อีกฝ่ายแล่นฝ่าชั้นเมฆหนาทึบรอบ ๆ ยอดเขาเข้ามาได้
“ข้าจะกลับรัง!” ข้าว่าทว่ากลับถูกร่างใหญ่บังทางออกเอาไว้ ในเวลานี้ข้ากลับตระหนักได้ว่าการที่ตัวข้าไม่รับรู้การมีตัวตนของมังกรวายุตนนี้นั้น ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายขยับไปสร้างรังของตนเองบนยอดผาสูงชัน ซึ่งห่างไกลจากประสาทการรับรู้ของข้าพอสมควร
“เจ้าจะไม่ได้กลับไปที่ไหนอีก” มังกรวายุไม่ได้ยิ้มหรือว่าแสดงออกอย่างเป็นมิตรนัก ทว่ากลิ่นอายและแววตาของอีกฝ่ายกลับดุร้ายมากขึ้นเสียชัดเจน ยิ่งเขาก้าวเท้าเข้ามาหาข้ามากเท่าไหร่ เจตนาชั่วร้ายก็รุนแรงมากขึ้นจนข้าสังเกตได้
“...” ข้าตัวสั่นอยู่บ้างทว่าก็ยังคงกัดฟันไม่เผยแววตาขลาดกลัวออกไปเด็ดขาด
“จากนี้ไปเจ้าจะต้องหลับนอนเป็นคู่ของข้า ให้กำเนิดมังกรน้อยใหญ่แก่ข้า อยู่เหย้าเฝ้ารักษารังของข้าให้ดี...” เสียงราวกับคำสั่งดังก้องในโสตประสาทและจิตใจที่ตื่นตระหนกสุดขีด
“ข้าเป็นมังกรดิน ดินกับลมแยกกันชัดเจน...ข้า...ข้าว่าเจ้า...!” ข้าไม่ทันที่จะได้พูดจบร่างกายก็ถูกลากไปยังกลางถ้ำที่ซึ่งมีเตียงหินหลังใหญ่ตั้งอยู่
ณ ที่แห่งนั้นร่างของข้าถูกผลักให้นอนราบลงที่ฟูกหนา
แควก! สายรัดชุดของข้าถูกอีกฝ่ายฉีกทึ้งจนขาดเป็นสองเส้น กระทั่งอาภรณ์บนร่างก็ยังถูกเจ้ามังกรวายุดึงออกอย่างว่องไว
“ข้าจะ…ข้าจะ...” ข้าพูดด้วยความรู้สึกโกรธเคืองเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังถูกข่มเหงตามประเพณีนิยมของเหล่ามังกรบุรุษ
“จะอะไร?” เจ้ามังกรวายุถามอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าพอข้ารวบรวมแรงได้ก็คิดจะเอาช่วงเขาที่ม้วนขดราวเขาแกะพุ่งชนเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่ายทันที ไม่คิดพูดจาใด ๆ ทั้งสิ้น
กึก! มือยาว ๆ ของเจ้ามังกรวายุจับช่วงของเขาของข้าเอาไว้ได้ทัน สีหน้าของอีกฝ่ายคล้ายจะพึงพอใจไม่น้อย ทว่าเมื่อตัวข้าถูกอีกฝ่ายที่มีน้ำหนักมากกว่าทับช่วงล่างเอาไว้ ไหนเลยที่หัวของข้าจะพุ่งกระแทกอีกฝ่ายได้สมใจปรารถนากัน
แย่แล้ว!
ข้าร้องด้วยความหงุดหงิดจากนั้นก็ดิ้นสุดชีวิตแทน
“ข้าไม่แข็งแกร่งรึอย่างไร? ไยเจ้าจึงรังเกียจข้าได้ถึงเพียงนี้กัน”
อะไรนะ?
ข้าฉงนแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้กลับไปเพราะความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้น
“ข้าจัดการมังกรดินไปหลายตน กระทั่งมังกรตนอื่น ๆ ล้วนสยบต่อข้า ความแข็งแกร่งนี้ไม่คู่ควรให้เจ้าจับคู่ด้วยหรอกรึ?” มังกรวายุหยุดที่จะกล่าวคำถามแก่ข้า “หรือว่ารังแห่งนี้ยังไม่สูงมากจนสมใจเจ้ากัน?”
“ปล่อยข้า!” ข้าร้องโวยวายอีกครั้งเมื่อตนเองเข้าใจพฤติกรรมที่อีกฝ่ายกระทำต่อข้าในช่วงฤดูใบไม้ผลิตอนต้นปีนี้แล้ว
ที่แท้เขากำลังแสดงออกถึงความแข็งแกร่งและทักษะในการสร้างบ้านและรังต่อหน้าของข้ามาช้านานถึงสองฤดู เพียรพยายามให้ข้าสนใจเขา ทว่าข้าที่ไม่ประสาไหนเลยจะเข้าใจได้กันว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แถมข้ายังหลบหน้าเขาตั้งสองฤดูกาลด้วยซ้ำ!
ยิ่งปกติแล้วมังกรดินและมังกรลมไม่ยุ่งเกี่ยวกันนัก ตัวข้าก็กลายเป็นเมินเฉยเขาเข้าไปใหญ่!
“ข้าไม่ตั้งใจหลบหน้าเจ้านะ เจ้าน่ากลัวเกินไปข้าจึงคิดหลบหลีกเจ้า...เจ้าไปหานางมังกรตัวอื่นเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะทดสอบสักนิด และไม่ได้เจตนาจะปั่นหัวเจ้าด้วย”
ข้าว่าแล้วจึงตั้งสติเพื่อให้การพูดคุยนั้นมีเหตุผลมากที่สุด
“ไม่...ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่...” มังกรวายุไม่ลดเจตนาชั่วร้ายลงสักนิด ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาเลื่อนลงมาแตะต้องยังผิวกายของข้า กระทั่งที่ช่วงอกคู่โตนั้นก็ถูกเขาสัมผัสจนแนบแน่น
โดยที่มือหยาบนั่นบีบทรวงอกของข้าอย่างจนแน่นถลน…
“พอดีมือข้ายิ่งนัก...” เจ้ามังกรคำรามต่ำแล้วเคล้นเลื่อนมืออีกข้างลงมาเคล้นคลึงทรวงอกอีกข้างของข้า แล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมากขึ้นว่า “ไม่ต้องกลัว…ไม่ต้องกลัวไป...”
“อย่านะ...ข้ากลัวแล้ว...” ข้าว่าเสียงอ่อนจากนั้นก็หลับตาลงด้วยความอับอายเมื่อร่างกายของตนเองกำลังตอบสนองฝ่ามือของเจ้ามังกรวายุตรงหน้านี้
อาจเพราะธรรมชาติสร้างให้สตรีเพศตอบสนองและอ่อนน้อมราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานยามถูกรุกล้ำ ดังนั้นเมื่อร่างกายของข้ากำลังถูกมังกรบุรุษลูบไล้ กายนี้ก็ยากจะขัดขืนได้แม้ใจจะไม่ยินยอมก็ตามที
“ข้าแข็งแกร่งและข้าทำให้เจ้ามีครรภ์ง่ายกว่ามังกรตนใดที่เจ้าเคยใฝ่หา ข้าคือผู้เป็นหนึ่งท่ามกลางมังกรวายุมากมาย เทียบเคียงได้กับโรเดียแห่งอัคคีเทพ”
โรเดียไหน? ข้าไม่รู้จักหรอก
“อย่างไรข้าก็ไม่สนใจ...!”
กึก! ร่างของข้าสัมผัสบางสิ่งที่แทรกเข้ามายังโพรงสวาทของตนเอง ครั้นพอมองลงไปยังเนินน้อย ๆ ที่ช่วงล่างแล้ว ข้าก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังแยงนิ้วมือเข้ามายังส่วนลึกของข้า
นิ้วมือนั้นคล้ายกับหนอนที่ไล่สำรวจโพรงดินชุ่มน้ำไม่ปาน มันถูกไถกับส่วนที่อ่อนไหวจนทำให้กายของข้าร้อนรนขึ้นมาชอบกล กระทั่งลมหายใจของข้าที่แต่ไหนแต่ไรก็ค่อนข้างจะสงบนิ่งนั้นกลับกลายเป็นไอร้อน...
ร้อนไม่ต่างไปจากลมหายใจของพวกมนุษย์ในฤดูหนาวสักนิด…อึก!
บัดนี้ร่างของข้าคล้ายจะยินยอมไปโดยสมบูรณ์ ครั้นพอข้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันลึกล้ำที่วนเวียนยังช่วงท้องน้อย หัวสมองก็ขาดสติและขาวโพลนไม่ต่างอะไรกับม่านหิมะที่ปกคลุมชั้นดินในเวลานี้
“อื๊อ...เจ้าหยุดเถอะนะ...” ข้าระบายออกมาด้วยเสียงครางหวิวไม่ต่างอะไรกับสัตว์ป่ายามจับคู่ผสมพันธุ์ ทว่าใจที่ไม่ยินยอมนั้นยังต่อต้านดังเดิมไม่แปรเปลี่ยน
ดวงตาของข้าลืมขึ้นมองเจ้ามังกรวายุที่ยังคงจ้องเรือนกายข้าซึ่งผุดพรายไปด้วยเหงื่อไคลมากมาย
“ร่างเจ้าเย็นนัก การจำศีลนอกฤดูกาลทำให้เจ้าเย็นเฉียบยิ่งกว่าพวกหมีจำศีลเสียอีก” อีกฝ่ายหัวเราะแล้วลื่นฝ่ามือที่เกาะกุมช่วงอกของข้าขึ้นนาบที่ข้างแก้ม “ข้าต้องทำให้เจ้าอบอุ่นเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็ยากจะตั้งครรภ์ได้”
เจ้ามังกรวายุดูจะเชี่ยวชาญนัก...
เขาโน้มใบหน้าลงและเล็มเลียยังริมฝีปากของข้าด้วยความอ่อนโยน แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนประทับจุมพิตอย่างดุดันทีละเล็กละน้อยจนข้ายากจะทัดทานลมหายใจอันร้อนแรงของอีกฝ่ายได้ไหว
ยามนี้เขาดูดดึงริมฝีปากของข้า นำพาลิ้นแทรกเข้ามายังโพรงปากด้านใน หยอกล้อควบคู่ไปกับนิ้วมือที่ชักเข้าชักออกยังช่วงล่างของข้า
“อ๊ะ...” ข้าครางเสียงอู้อี้พร้อมกับดวงตาที่หรี่ลงด้วยรู้สึกบางอย่างที่แผ่ซาบซ่านไปทั่วเรือนกายของตนเอง
ความรู้นั้นราวกับไฟที่แผดเผาร่าง...
เป็นความรู้สึกที่ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อนตั้งแต่เกิดมา ทว่าข้ากลับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณของตน ว่านี่คือความรู้สึกของการรวมเพศ ทั้งยังเป็นความรู้สึกที่ทุกชีวิตย่อมโหยหาโดยกมลสันดานแต่ต้น
มันคือการสืบพันธุ์...
“ยอมข้าแล้วรึ?” เจ้ามังกรวายุถามข้าพร้อมกับก้มลงขบเม้มที่ซอกคอขาวผ่องของข้าอย่างหยอกล้อ เขาจูบยังจุดที่ไหวต่อสัมผัสของข้าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะซอกคอ ยอดอก ช่วงเอวและสะโพก
กระทั่ง...เม็ดเล็ก ๆ ใต้เนินสามเหลี่ยมนั้นก็ยังเล็มเลียด้วยลิ้นอย่างไม่อับอาย ยิ่งเขารู้ว่าช่วงล่างของข้าแฉะชื้นเพราะได้ตัวเขากระตุ้นได้อย่างช่ำชองแล้ว ใบหน้าราวกับรูปสลักนั้นก็แสดงออกอย่างยินดียกใหญ่
“อื๊อ...” ความวาบหวามยังคงสาละวนอยู่ในกายข้าไม่ขาดช่วง ทว่ายิ่งถูกกระตุ้นมากเท่าใดมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นจนข้ายากจะรับได้ไหว
“เจ้าใกล้จะเสร็จสมแล้ว” อีกฝ่ายว่าจบก็ลงลิ้นต่อไปอย่างเร็วรั่ว
“ขะ...ข้าไม่ได้...อ๊ะ!” ข้ากำมือแน่นจิกเล็บด้วยความรู้สึกทรมานที่พุ่งขึ้นมาจากช่วงล่างราวกับสายฟ้าผ่า มันเป็นความรู้สึกที่ชวนให้ทั่วกายสั่นเกร็งจนอึดอัดยากจะบรรยายได้
ทะ-ทว่าข้ากลับรู้สึกพึงพอใจและใฝ่หามันมากขึ้นเรื่อย ๆ ชอบกล ยิ่งถูกอีกฝ่ายกระทำทั้งภายในและภายนอก ใช้ทั้งลิ้นและนิ้วมือเข้าเสียดเสียยังจุดอ่อนไหวทั้งสองแล้ว...ข้าก็ไม่สามารถหักห้ามใจปฏิเสธได้ลง
จนตอนนี้เสียงครางของข้าดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด...
เสียงเล็ก ๆ นี้ดังก้องไปทั่วถ้ำและสะท้อนกลับมาให้ข้ารู้สึกอับอายอยู่บ้างที่เผลอไผลไปกับสัมผัสของเจ้ามังกรวายุตรงหน้า
“อ๊ะ!!” ฉับพลันความรู้สึกที่หวานล้ำก็แล่นปรี๊ดไปทั่วกายข้าอย่างรุนแรง คราวนี้ข้าหวีดเสียงร้องยกใหญ่ด้วยความสุขสมกึ่งทรมาน หน้าท้องแขม่วเกร็งกระทั่งช่วงล่างยังกระตุกเสียหลายหนจนต้องหอบหายใจครู่ใหญ่
ส่วน...เจ้ามังกรวายุเองก็หยุดเคลื่อนไหวแล้ว อีกฝ่ายเลื่อนใบหน้าขึ้นมองข้าจากมุมสูง ที่ริมฝีปากมีคราบน้ำลายเล็ก ๆ ไหลยืดโยงอยู่หนึ่งสาย กระทั่งที่นิ้วมือซึ่งยกขึ้นมานั้นก็ยังเปื้อนไปด้วยน้ำใส ๆ จากช่องรักของข้าอยู่จนชุ่ม
“เจ้ามีสุขภาพที่ดีมาก พวกเราคงจะได้มีทายาทร่วมกันหลายสิบตนเป็นแน่” อีกฝ่ายคล้ายจะชมเชยข้าเล็กน้อย
“…” ข้าไม่ได้ตอบอะไรเพราะสติที่แตกกระเจิงเมื่อครู่ยังไม่กลับมาโดยสมบูรณ์ ความรู้สึกที่โพรงใต้เนินสามเหลี่ยมนั้นยังขยับตอดรัดภายในไม่เลิก ดุจดังสัมผัสอันลึกล้ำในตอนนี้ที่ไม่แผ่วจางลงสักนิด
นี่คือสัมผัสของกามราคะอย่างงั้นหรือ?
เป็นสิ่งที่ข้าจะต้องเผชิญสักวันเหมือนกับที่พวกดอกไม้และสัตว์น้อยต้องเผชิญตลอดฤดูใบไม้ผลิสิน่ะ?
“ลูกหรือ...” ข้าพูดอะไรไม่ออก
“แต่ฤดูหนาวไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมนัก ข้าต้องทาบทามเจ้าบ่อยครั้งจนกว่าจะมั่นใจว่าในครรภ์นั้นมีทายาทของพวกเราเติบโตอยู่ เจ้าคงต้องเหน็ดเหนื่อยแล้ว”
ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีนักกับคำว่าเหน็ดเหนื่อยนั่น ครั้นพอเห็นเจ้ามังกรวายุตรงหน้าค่อย ๆ ถอดเสื้อที่ห่อหุ้มเรือนกายใหญ่โตออก ข้าก็พลันเห็นถึงความกำยำของบุรุษที่เปิดเผยต่อหน้าต่อตาของข้าเป็นหนแรก
กล้ามเนื้อทุกสัดส่วนของคนตรงหน้านั้นแน่นตึงและปรากฏร่องรอยของการต่อสู้มากมาย ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดนั้นก็คงจะเป็นเจ้าเครื่องเพศของบุรุษที่น่าสะพรึงกลัวนั่น…
มันยาวและอวบใหญ่นัก ทั้งยังดูขึงขังชวนให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวชอบกล มากเสียจนตัวข้าไม่กล้าจะจ้องเจ้าสิ่งนั้นอย่างตรงไปตรงมาด้วยสองตาคู่นี้ได้...
มันต้องเจ็บมากแน่ ๆ เลย...
นางเสือหาไม่ก็นางแมวป่าตัวเมียนั้นเวลาถูกตัวผู้เข้าทาบทามทีไร พวกมันก็มักจะเจ็บปวดทั้งยังดิ้นรนไม่น้อย เหมือนกับสัตว์ตัวเมียมากมายที่เจ็บปวดกับเครื่องเพศพิสดารของตัวผู้ที่ทั้ง...
บ้างก็มีหนาม บ้างก็ขดเหมือนเถาวัลย์น่ะ...
“มันจะไม่เจ็บหรอกข้าสัญญา”
“ขะ...ข้าไม่เชื่อ...” ข้าว่าแล้วเขยิบตัวหนีเล็กน้อย “อย่างน้อยข้าก็โตพอจะรู้ว่า ‘มัน’ จะทำให้ข้าต้องทุกข์ทรมานเป็นแน่”
“เจ้านี่...” มังกรวายุผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นแววตาที่พึงพอใจกับความสำเร็จเมื่อครู่ก็พลันดำมืดลงในชั่วพริบตา “ถึงอย่างไรเราก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปหรอก ไม่แบบนั้นข้าคงจะเสียหน้าแย่ที่ปราบเจ้าไม่ได้”
น้ำเสียงของเจ้ามังกรวายุเย็นเยียบขึ้นทันตา จากนั้นอีกฝ่ายก็คว้าข้อเท้าของข้าแล้วกระชากร่างทั้งร่างของข้ากลับมายังตำแหน่งเดิมเมื่อครู่...
“อย่าทำข้าเลยนะ...นะ...” ข้าเว้าวอนอีกฝ่ายพลางกะพริบตาที่คลอไปด้วยน้ำใส ๆ ซึ่งใกล้จะเอ่อล้นออกมาเต็มทน
“ข้าสัญญาว่าเจ้าจะชอบ” อีกฝ่ายยิ้มชั่วร้ายจากนั้นบางสิ่งก็กระแทกเข้ามาในกายข้าเข้าอย่างจัง!
กึก!
เจ็บ! ข้ากรีดร้องพร้อมกับน้ำตาที่ไหลเผาะ ๆ อาบสองข้างแก้มของตน บัดนี้ความเจ็บปวดราวกับช่วงล่างจะปริแตกนั้นทำให้ข้ายากจะรู้สึกไปกับความวาบหวามที่ผุดพรายอยู่ทั่วร่างได้อย่างอิ่มเอมเจ้าสิ่งนั้นของอีกฝ่ายใหญ่โตนัก ส่วนข้าก็เล็กแคบเหลือเกิน!จริงดังคำที่เขาว่ากัน...ว่าสองอย่างที่ไม่สอดคล้องกันย่อมไม่เหมาะสมจะเข้าคู่กันจริง ๆ นั่นล่ะ!“อึก!” ข้ากัดฟันพลางดิ้นรนถอยหนี ทว่าไม่เป็นผลนักเมื่อถูกพละกำลังของอีกฝ่ายกดทับเอาไว้ สะโพกของข้าถูกยึดจับ ไหล่ถูกกดไม่ให้เคลื่อนห่างกายร่างของอีกฝ่าย ดูแล้วไร้หนทางจะขัดขืนยิ่งนัก“เหตุใดเจ้าไม่ปรารถนาจะมีคู่กัน มังกรสาวตนอื่นต่างก็ทอดกายให้ข้าหลับนอนรวมกับพวกนาง แต่เจ้ากลับไม่ปรารถนา...ช่างน่าสนใจนัก…” มังกรวายุเอ่ยขึ้นพลางโน้มใบหน้าลงมาใกล้ข้าอย่างใคร่รู้ปลายลิ้นของอีกฝ่ายตวัดเลียหยาดน้ำตาของข้าคล้ายจะปลอบโยนทว่ากลับขู่ให้ข้ากลัวมากยิ่งขึ้น ครั้นพอถูกจุมพิตอีกหนใจข้าก็รู้สึกขนลุกไม่น้อย“บอกข้ามาว่าการทดสอบของเจ้าคือสิ่งใดกันแน่ แล้วข้าจะพิสูจน์ให้เจ้ายอมรับข้าอย่างยินยอมทั้งใจ”ดูคำพูดนั่นสิ!มาถึงตรงนี้แล้วยังต้องทำให้มันชอบธรรมอย่างงั้นอีกรึ?ข้าโมโหแ
เสียงหวีดหวิวของสายลมค่อย ๆ ปลุกข้าจากภวังค์อันยาวนานหลังจากที่ข้าถูกเคี่ยวกรำติดต่อกันจนข้าลืมสิ้นวันเวลา ตอนนี้ที่ยอดเขานี่กลายเป็นสถานที่อาศัยอยู่แห่งใหม่ของข้าไปแล้ว อาจเพราะมันอยู่สูงและตั้งบนหน้าผาชันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะหาหนทางลงไปจากที่นี่ได้ถึงถ้ำนี้จะครบครันไปด้วยเครื่องเรือนอำนวยความสะดวกสบาย ทว่าพอสองขาของข้าไม่ได้ย่ำเหยียบที่พื้นดิน จิตใจก็พลันห่อเหี่ยวไม่เป็นสุขทาแรนไม่ได้ขังข้า ไม่ได้ห้ามข้าลงไป ตัวของเขานั้นไม่ได้ล่ามตรวนหรือใช้เวทมนตร์อันใดเลย เป็นข้าเองที่ไม่กล้าจะปีนเขาลูกนี้ลงไปต่างหากเขาในแดนเหนือนั้นยามที่ฤดูหนาวมาเยือน อากาศจะไม่ค่อยดีนัก บ่อยครั้งที่มีพายุหิมะคะนองซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีฟ้าแลบฟ้าร้องทำเอาข้าตื่นตกใจไปหมด ข้าเลยต่อรองให้ทาแรนพาข้าลงไปอาบน้ำชำระกายที่ทะเลสาบใกล้ ๆ แทน ครั้นพอกลับไปที่รังใต้โพรงไม้บรรพกาลของข้ารู้ตัวอีกทีพวกกระรอกฝูงใหญ่ก็ยึดรังของข้าไปเสียแล้ว...สำหรับรังมังกรที่ถูกทิ้งร้างไปนานนั้น ก็มักจะถูกสัตว์น้อยใหญ่เข้ามาอาศัยพักพิง นั่นเพราะกลิ่นอายมังกรสามารถกำบังศัตรูผู้ล่าตามธรรมชาติของพวกมันได้เป็นอย่างดี นานวันเข้าจำนว
กลิ่นเนื้อย่างเตาหินหอม ๆ ลอยเตะจมูกของข้าจนข้างปากมีหยดน้ำลายไหลย้อยออกมาด้วยความหิวโหยนัก ในเวลานี้ข้าตื่นขึ้นมาพร้อมกับกระเพาะที่ส่งเสียงร้องดังไม่หยุดเสียแล้วเวลานี้ย่างกรายเข้าฤดูใบไม้ผลิอย่างเป็นทางการ หิมะที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบมลายหายไปจนสิ้น ยกเว้นเพียงส่วนของยอดเขาที่ยังคงสภาพเอาไว้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักทว่าเหนือสิ่งอื่นใจคือ...เวลานี้ทาแรนทำรังใหม่ให้ข้าแล้ว แน่นอนว่ามันน่าทึ่งเหลือเกินที่ทาแรนใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นในการสร้างรังแห่งนี้ให้กับข้า นั่นเพราะวัน ๆ หนึ่งของทาแรนนอกจากจะต้องล่าสัตว์ทำอาหารมาป้อนข้าที่วันหนึ่งเอาแต่กิน ๆ นอน ๆ แล้ว เขายังแบ่งเวลาไปแบกหินและวัสดุก่อสร้างมากมายกลับมาทำรังได้ด้วย“ทาแรน...” ข้าเรียกชื่อเจ้ามังกรวายุพลางเช็ดที่หางตาเล็กน้อย เมื่อคืนพึ่งจะเปลี่ยนที่นอนใหม่จึงไม่ชินอยู่บ้าง ยังไงเสียอากาศข้างบนกับอากาศข้างล่างก็ไม่เหมือนกัน ในที่สูงนั้นอากาศน้อยนิดนัก พอมาข้างล่างเต็มไปด้วยแมกไม้มากมายอากาศจึงอัดแน่นไปหมดข้าไม่แปลกใจที่เลยที่พวกมนุษย์เวลาปีนเขาสูง ๆ แล้วจะหมดสติกันง่ายนัก...“ข้าย่างเนื้อเอาไว้เสร็จแล้ว เจ้าลงมาเถิด”
ลูกมังกรน้อยซุกซนและขี้สงสัยไม่ต่างจากลูกสัตว์ชนิดอื่น ๆ ตามที่ข้าสังเกตเห็น ลูกสาวของข้าเมื่อครบหนึ่งเดือนก็เดินสองขาเตาะแตะไปมาที่ลานบ้าน วิ่งเล่นกับกองหิมะอย่างสนุกสนานไม่น้อย แน่นอนว่าทาแรนปล่อยให้ลูกสาวเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองเขาเฝ้ามองลูกอยู่ห่าง ๆ และคอยโฉบอีกฝ่ายกลับมาหากว่าเจ้าตัวน้อยเดินออกไปไกลเกินขอบเขตที่เขากำหนดเอาไว้“เจ้าเลี้ยงลูกเก่งจังเลยนะ” ข้าถามและรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเคยเลี้ยงมังกรน้อยหรือว่าเลี้ยงสัตว์มาก่อน“ข้าเคยเลี้ยงทารกมนุษย์อยู่บ้าง ลูกมนุษย์ของสหาย จากนั้นพอลูกของสหายมีลูก ข้าก็เลี้ยงดูลูกหลานของคนผู้นั้นไปเรื่อย ๆ อยู่หลายรุ่นเชียว” ทาแรนบอกข้าเพียงเท่านั้น แต่กระนั้นนัยน์ตาอีกฝ่ายกลับเศร้าสร้อยอยู่บ้างการสนิทกับมนุษย์นั้นมีข้อเสียใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่งก็เท่านั้นเอง และข้อเสียนั้นก็คืออายุขัยของมนุษย์ที่สั้นนัก อายุมนุษย์มากสุดถึงจะสองร้อยกว่าปี ทว่ามนุษย์ส่วนมากก็มักจะก้าวไม่พ้นร้อยปีแรก พวกเขาโตไว้และตายไว เหมือนแมลงที่อายุขัยสั้นไม่กี่สิบสัปดาห์เท่านั้นซึ่ง...การสนิทกับพวกมนุษย์มากเกินไปก็จะไม่พ้นที่ใจต้องเศร้าตรมนัก ความตายสำหรับมนุษย์เป็นสิ
ห้าปีต่อมาท้องโต ๆ ของข้ายื่นออกมาอย่างจากเสื้อตัวยาวอย่างชัดเจน แน่นอนว่าหากมองจากที่ไกล ๆ แล้วตัวข้านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกหมาแมวที่ตัวบวมและเดินโย้เย้ไม่มีผิดนักข้าร้องขอกับทาแรนว่าจะมีลูกกันหลังจากเลย์อานาอายุได้ห้าขวบพอดี ดังนั้นที่ผ่านแม้ว่าข้ากับเขาจะมีสัมพันธ์ทางกายระหว่างกันและกันทุกวี่วัน แต่ทาแรนนั่นไม่เคยหลั่งในข้าสักนิด พอเป็นเช่นนั้นที่หน้าท้องของข้าก็ไร้ความเคลื่อนไหวมาจนถึงห้าปีเต็มจนกระทั่งเวลานี้...ข้าก็ได้ตั้งครรภ์ครั้งที่สองแล้ว...หากนับ ๆ ดูนั้นมันก็ครบห้าขวบตามอายุของเลย์อานาเป๊ะ ๆ เลย!“ลม...” ข้าพึมพำเบา ๆ ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกไปยังนอกหน้าต่าง และสัมผัสกับสายลมจากแดนใต้ที่มาเยี่ยมเยือนแดนเหนือเสียแล้วแน่นอนว่านี่คือสัญญาณของฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สัตว์น้อยใหญ่ค่อนข้างจะมีความสุขพอสมควร ข้างใต้แหล่งน้ำจะมีพืชพรรณเติบโตมากขึ้น สาหร่ายหนาชุมช่วยหล่อเลี้ยงพวกนากกระทั่งสัตว์น้ำบางชนิดได้วางไข่ กระทั่งพวกหอยชนิดต่าง ๆ ก็จะอร่อยมากขึ้นฤดูนี้ เพราะมันจะตัวอ้วนและอวบนุ่มชวนให้น้ำลายสอเชียวแต่อากาศร้อนอย่างไรก็ย่อมต้องระมัดระวังอยู่บ้าง พวกนกที่ทำรังบนยอดไม้หากต้
สิบห้าปีต่อมากลางฤดูใบไม้ร่วงนี้แปลกที่มีพายุฝนตั้งเค้ามาหลายอาทิตย์ เป็นเรื่องปกติของพายุฤดูใบไม้ร่วงที่คืบคลานมายังแดนเหนือเช่นเคย เพียงแต่พายุฝนในแดนเหนือนั้นไม่ได้ตกติดต่อกันเหมือนป่าเขตชื้นทางใต้ ส่วนใหญ่จะตกปรอย ๆ ไม่เป็นเวลาสลับกับห่าฝนที่สาดเทลงมาเป็นช่วง ๆ แทนอากาศในตอนนี้เองก็เริ่มจะหนาวเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว พออากาศเย็นมาเจอกับฝนก็ยิ่งทั้งชื้นแฉะและเย็นเยือกเข้าไปใหญ่“เด็ก ๆ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ” ข้าพึมพำจากนั้นก็นึกถึงบุตรสาวคนโตอย่างเลย์อานาที่บัดนี้มีอายุครบยี่สิบปีแล้วมีเลย์อานาอยู่คงจะไม่ต้องกังวลนัก อย่างไรนางก็สามารถดูแลน้อง ๆ ที่ยังไม่ประสาได้อย่างอยู่หมัด เป็นดังลูกคนแรกของครอบครัวที่ผ่านการขัดเกลามามากพอสมควร“ทารีรีกับทาซีร์คงจะเล่นก่อทรายกับเลย์อานากระมั้ง ส่วนแรนนี่คงหลับปุ๋ยไม่ตื่นทั้งวันได้” ทาแรนบอกข้าจากนั้นก็เดินนำหน้าข้าเข้าไปยังป่าที่ลึกมากขึ้น ป่าทางใต้ของแดนเหนือนั้นเป็นอาณาเขตที่มีชุมชนร่วมของมนุษย์ เอลฟ์ และคนแคระอาศัยอยู่ แต่ทว่าแปลกที่ป่าแห่งนี้พักหลังกลับมีสัตว์ป่าที่...ที่...แปลกประหลาดเกิดขึ้นมาพวกมันไม่ใช่สัตว์ที่มีรูปร่างพิการเพราะการสืบทอดสาย
ยี่สิบปีต่อมาครืน! ครืนนน!แผ่นดินไหวอีกแล้ว!ข้าลืมตาขึ้นอย่างฉับไวจากนั้นก็คว้าลูกคนที่ห้าขึ้นมาอุ้มเอาไว้อย่างว่องไวแม้ว่าในตอนนี้ตนเองจะท้องโตอยู่ก็ตามที ทว่ายามที่แผ่นดินไหวนั้นทุกสิ่งจะสั่นโคลงเคลงไปหมด จนข้าเป็นกังวลว่าโคมไฟที่ห้อยเพดานเอาไว้จะตกลงมากระแทกใส่เจ้าลูกชายเอาได้แม้ว่าเจ้าเด็กห้าขวบนี่จะเป็นลูกมังกร ทว่าแค่รอยถลอกซึ่งเกิดขึ้นจาง ๆ นั้น ก็กลับทำให้จิตใจของข้าปวดร้าวเกินจะทนแล้ว“ท่านแม่!” เสียงของเลย์อานาดังขึ้นเรียกข้าให้ลงมายังชั้นล่างซึ่งดูแล้วคงจะเละเทะไม่น้อย ได้ยินดังนั้นข้าจึงลงไปยังชั้นล่างพลางสังเกตดูว่ามีลูกคนใดบาดเจ็บบ้างในเวลานี้เลย์อานาอายุสี่สิบปีแล้ว นางโตและมีเค้าลางของมังกรสาววัยแรกรุ่นกลาย ๆ แล้ว กระทั่งทารีรีเองที่มีอายุครบสามสิบห้าปีนี้ก็เริ่มแตกวัยสาวตามรอยเช่นเดียวกันกับพี่คนโตของนางแต่ทาซีร์นั้นยังดูเด็กนัก ลูกชายคนนี้เหมือนเด็กหนุ่มมนุษย์ที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยดี อาจเพราะไม่มีปีกทาซีร์จึงเหมือนข้าที่ขี้เกียจและเฉื่อยชา วันหนึ่งไม่เป็นอันทำสิ่งใด ผิดไปกับน้องสาวของตนอย่างแรนนี่ซึ่งที่อายุน้อยกว่าถึงสิบปีเชียวแรนนี่ในปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้
ห้าสิบปีต่อมาเสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรดังขึ้นลั่นฟ้า ของเหลวสีดำมากมายพุ่งออกมาจากส่วนที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกไหลทะลักจนเปื้อนปลายเท้าเล็ก ๆ ซึ่งย่ำอยู่บนผืนป่าซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะมายาวนานแล้วถึงห้าเดือนเต็มห้าเดือน? ฟังแล้วอาจจะแปลกใจว่าเหตุใดหิมะถึงยาวนานเพียงนี้...หากให้ข้าพูดแล้วตอนนี้โลกเข้าสู่ความผันผวนครั้งใหญ่ แดนเหนือที่หนาวเหน็บนั้นกลับเย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม ฤดูกาลมีเพียงหนาวครึ่งปีและไม่หนาวครึ่งปีเท่านั้น พื้นที่ทำเกษตรและป่าส่วนใหญ่หายไปเพราะฝนซึ่งตกหนักติดต่อกันสามปีเต็มเมื่อราว ๆ ห้าสิบปีก่อนหน้านั้นฝนห่าใหญ่เติมเต็มหุบเขาที่ราบต่าง ๆ กลายเป็นทะเลสาบขนาดยักษ์หลายแห่งซึ่งขับให้ชุมชนต่าง ๆ มารวมตัวกันที่ราบสูงแถวตีนเขา ชุมชนนอร์ทเกตเติบโตกลายเป็นเมืองใหญ่และพัฒนาระบบการปกครองกระทั่งมีราชาและสภาขุนนางน้อยใหญ่เกิดขึ้นส่วนที่เมืองใหญ่แทบชายแดนนั้นถูกเปลวไฟของอัคคีเทพแผดเผาจนล่มสลายด้วยต้นตอของรังอสูร ผู้คนมากมายไหลบ่ามายังนอร์ทเกตเพื่อแสวงหาที่อยู่ใหม่หลังหายนะของอสุรกายจากต่างแดนรุกรานแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ส่วนที่อื่น ๆ นั้นก็เช่นกัน…ข้าได้ยินว่าแผ่นดินทางตะวันออกจมสู่ห
หกเดือนต่อมาข้าลืมตาตื่นขึ้นทุกเช้าเช่นเคย ครั้นจัดการรวบผมเผ้าให้เข้าทรงแล้วข้าก็ลุกขึ้นยืนส่องกระจกเงินบานใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้องจามกิจวัตรประจำวัน ทว่ายามนี้ที่หน้าท้องของข้ากลับพองโตขึ้นเป็นเนินเสียแล้ว ระยะครรภ์อยู่ที่ไตรมาสที่สองพอดิบพอดีทาแรนนั้นขยันขันแข็งมากกับลูกคนที่เจ็ด...ไม่สิ...ในท้องนี้นะมีลูกคนที่แปดด้วยคน ทั้งสองเป็นครรภ์มังกรแฝดที่หายากยิ่งเลยทีเดียวเชียวแน่นอนว่าทาแรนภูมิใจเป็นอย่างมาก เขาโอ้อวดเรื่องนี้กับโรเดียอริที่สนิทสนมด้วยเสียจนอีกฝ่ายรำคาญไม่น้อย แต่ถึงแบบนั้นโรเดียก็ยังยอมมาเข้าร่วมงานสมรสของพวกเราสองคน…งานในวันนั้นมีมังกรมากมายเข้าร่วม มังกรที่สตรีต่างก็เข้ามาลูบท้องข้า หวังว่าพลางกระซิบกระซาบของเคล็ดลับพิเศษที่ทำให้ตั้งท้องบ่อยครั้งเจ้าทำท่าไหน?สถานที่ใด?กลางคืนหรือกลางวัน?ทำเอาข้าตอบไม่ถูกเลยทีเดียว ได้แต่บอกว่าเพราะพรของทวยเทพที่มอบให้ทาแรนนั้น ข้าเลยตั้งครรภ์อย่างง่ายดาย กลายเป็นเวลาพวกนางที่พอมีลูกสักตนสองตนแล้ว ต่างก็หมายมองลูกของข้าแทนนั่นเพราะพรก็เหมือนคำสาปตรงที่ว่า...มันสืบทอดผ่านสายเลือดเช่นเดียวกัน เพราะงั้นงานนี้ลูกชายลูกสาวที่ยังโสดถ
“อืม...” ข้าค่อย ๆ ลืมตาขึ้นรับแสงยามบ่ายที่สาดส่องผ่านม่านผ้าลงมา สองข้างหูคล้ายจะได้ยินเสียงสนทนาที่รุนแรงเกิดขึ้นชอบกล แต่กระนั้นร่างกายที่อ่อนล้ากลับไม่ปรารถนาจะขยับเขยื้อนสักนิด สุดท้ายข้านอนแผ่ราบกับเตียงพลางแอบฟังเสียงจากภายนอกแทนเสียงของทาริก...เจ้าลูกคนที่หกของข้ากลับมาแล้วอย่างนั้นสินะ จะว่าไปนี่ก็ครบกำหนดแล้วที่อีกฝ่ายไปยังสถานีวิจัยประตูอสูรที่แดนใต้สุดน่ะ ดูเหมือนจะหิ้วของฝากแล้วดิ่งตัวกลับมาหาข้าเลยกระมั้ง“เจ้าบอกข้าเดี๋ยวนี่นะ เจ้าเข้ามาทำอะไรในห้องของแม่ข้ากัน” เสียงของทาริกเข้มขึ้นผิดปกติ คล้ายกับนักเลงมนุษย์ซึ่งพร้อมจะหาเรื่องคู่สนทนาซึ่งอยู่ตรงข้ามกันเสียชัดเจน ส่วนเจ้าคู่สนทนาที่อีกฝ่ายคิดจะวิวาทด้วยนั้นคงจะเป็น...ทาแรน?ข้าชะงักจากนั้นก็พลันชันตัวลุกขึ้นยืนทันที สองมือลนลานทำสิ่งใดไม่ถูก รู้เพียงว่าต้องรีบคว้าเสื้อผ้าอาภรณ์เข้าสวมใส่ให้เรียบร้อยแย่จริง! สภาพของข้าดูแล้วไม่สมควรออกไปสักนิดเดียว...ข้าคิดจากนั้นก็ปล่อยให้ทาแรนจัดการไปก่อนอย่างไรเสีย...คนฉลาดแบบทาแรนก็ย่อมมองออกได้ไม่ยากว่านั่นคือทาริก บุตรชายที่เขาไม่มีโอกาสได้เฝ้าเลี้ยงจนเติบใหญ่เหมือนลูกคนอื
วูบ! กระแสลมแรงสายหนึ่งพัดสวนลมอีกทิศขึ้นมา เข้าช่วยขับไล่กลิ่นเหม็นเน่าให้เบาบางลงในเวลานี้ข้าเปิดประสาทสัมผัสมังกรและปลดปล่อยลมหายใจที่ซ้อนเอาไว้ออกมา ในเมื่ออสูรร้ายมากมายถึงเพียงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนและคอยออกล่าพวกมันอีกแล้วฉึก! ข้าพุ่งหอกไปข้างทิ่มแทงอสูรส่วนหนึ่งเป็นเส้นตรง จากนั้นก็เสกหอกหินเล่มใหม่ขึ้นมา ทว่าคราวนี้ข้าพ่นไฟมังกรเคลือบมันเอาไว้ เพื่อให้การฟาดฟันนั้นรุนแรงมากขึ้นพรึบ! ข้าตวัดตัวหมุนพลางออกท่วงท่ามากมาย กวัดแกว่งดาบเป็นวงคลื่นเปลวไฟเข้าแผดเผาอสูรที่ล้อมเอาไว้อยู่ อสูรทั่วไปนั้นง่ายดายที่จะจัดการนัก โดยเฉพาะอสูรที่ส่วนใหญ่ยังไม่เติบโตในระดับหนึ่ง แต่กระนั้นพวกมันก็ไหลทะลักออกจากปากอสูรยักษ์ราวกับห่าฝน มากมายนับไม่ถ้วนสีจนข้าคิดว่าจะต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปยังอสูรยักษ์เบื้องหน้าแทน...อสูรตัวนี้ขนาดของมันนับแล้วเอาหอคอยยี่สิบหลังมามัดรวมกันเอาไว้ได้เชียว...มันน่าจะเหมือนราชินีมดที่ให้กำเนิดมดงานใต้ดินมากมาย เพราะแบบนั้นมันถึงผลิตลูกอสูรตัวจ้อยออกมาได้จำนวนมากขนาดนี้ฮืม? ข้าฉงนไปครู่หนึ่งเมื่อพบว่าบุคคลปริศนาที่ยากจะสังเกตใบหน้านั้นโฉบเข้ามาแล้วเหวี่ยงร่างของข
ห้าสิบปีต่อมาชุมชนแดนเหนือสุดนั้นมีธรรมเนียมหนึ่งที่จัดขึ้นพร้อม ๆ กันทุกปีสำหรับทุกคนและทุกคนเผ่าพงศ์ที่ก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มสาว นั่นคืองานชุมนุมดอกไม้ที่เกิดขึ้นในช่วงที่อากาศอบอุ่นและท้องฟ้าสว่างที่สุดในการจัดงานขึ้นมาสามวันโดยเฉพาะเป็นงานที่ให้คนหนุ่มสาวมาพบปะพูดคุยและแลกช่อดอกไม้ของกันและกัน แน่นอนว่าจุดประสงค์ก็คงจะเหมือนการเปิดตัวและมองหาคู่แต่งงานให้กับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตพอจะสร้างครอบครัวได้แล้วนั่นเองดังนั้นทั้งเมืองพวกคนจะแขวนพวงหรีดดอกไม้ที่หน้าประตูบ้าน ตกแต่งร่างกายด้วยช่อดอกไม้หลากสี ยกเว้นผู้ใหญ่ที่เติบใหญ่แล้วจะใช้เพียงดอกไม้สีขาวเท่านั้นแต่...ถ้าผู้ใหญ่คนใดยังโสดและประสงค์จะแต่งงานใหม่สำหรับคนที่เป็นม่าย คนเหล่านั้นก็จะประดับช่อดอกไม้หลากสีและแซมด้วยดอกไม้สีขาวเข้าไปด้วยคนข้ารู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีเพราะเฝ้าสังเกตผู้คนบนหอคอยสูงหลายครั้งหลายหนคงไม่ใช่เพียงหลายหนหรอก...ข้าเฝ้ามองมาหลายสิบปีแล้วกระมั้ง...“ท่านแม่” เสียงใสของเลย์อานาเรียกข้าจากข้างหลังประตูห้องชั้นที่ห้าของหอคอย แน่นอนว่าพอข้าหันก็พบกับบุตรสาวผู้ที่ในวันนี้นางสวมชุดสีแดงเข้มตัวงาม ใบหน้านั้นเปล
ห้าสิบปีต่อมาเสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรดังขึ้นลั่นฟ้า ของเหลวสีดำมากมายพุ่งออกมาจากส่วนที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกไหลทะลักจนเปื้อนปลายเท้าเล็ก ๆ ซึ่งย่ำอยู่บนผืนป่าซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะมายาวนานแล้วถึงห้าเดือนเต็มห้าเดือน? ฟังแล้วอาจจะแปลกใจว่าเหตุใดหิมะถึงยาวนานเพียงนี้...หากให้ข้าพูดแล้วตอนนี้โลกเข้าสู่ความผันผวนครั้งใหญ่ แดนเหนือที่หนาวเหน็บนั้นกลับเย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม ฤดูกาลมีเพียงหนาวครึ่งปีและไม่หนาวครึ่งปีเท่านั้น พื้นที่ทำเกษตรและป่าส่วนใหญ่หายไปเพราะฝนซึ่งตกหนักติดต่อกันสามปีเต็มเมื่อราว ๆ ห้าสิบปีก่อนหน้านั้นฝนห่าใหญ่เติมเต็มหุบเขาที่ราบต่าง ๆ กลายเป็นทะเลสาบขนาดยักษ์หลายแห่งซึ่งขับให้ชุมชนต่าง ๆ มารวมตัวกันที่ราบสูงแถวตีนเขา ชุมชนนอร์ทเกตเติบโตกลายเป็นเมืองใหญ่และพัฒนาระบบการปกครองกระทั่งมีราชาและสภาขุนนางน้อยใหญ่เกิดขึ้นส่วนที่เมืองใหญ่แทบชายแดนนั้นถูกเปลวไฟของอัคคีเทพแผดเผาจนล่มสลายด้วยต้นตอของรังอสูร ผู้คนมากมายไหลบ่ามายังนอร์ทเกตเพื่อแสวงหาที่อยู่ใหม่หลังหายนะของอสุรกายจากต่างแดนรุกรานแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ส่วนที่อื่น ๆ นั้นก็เช่นกัน…ข้าได้ยินว่าแผ่นดินทางตะวันออกจมสู่ห
ยี่สิบปีต่อมาครืน! ครืนนน!แผ่นดินไหวอีกแล้ว!ข้าลืมตาขึ้นอย่างฉับไวจากนั้นก็คว้าลูกคนที่ห้าขึ้นมาอุ้มเอาไว้อย่างว่องไวแม้ว่าในตอนนี้ตนเองจะท้องโตอยู่ก็ตามที ทว่ายามที่แผ่นดินไหวนั้นทุกสิ่งจะสั่นโคลงเคลงไปหมด จนข้าเป็นกังวลว่าโคมไฟที่ห้อยเพดานเอาไว้จะตกลงมากระแทกใส่เจ้าลูกชายเอาได้แม้ว่าเจ้าเด็กห้าขวบนี่จะเป็นลูกมังกร ทว่าแค่รอยถลอกซึ่งเกิดขึ้นจาง ๆ นั้น ก็กลับทำให้จิตใจของข้าปวดร้าวเกินจะทนแล้ว“ท่านแม่!” เสียงของเลย์อานาดังขึ้นเรียกข้าให้ลงมายังชั้นล่างซึ่งดูแล้วคงจะเละเทะไม่น้อย ได้ยินดังนั้นข้าจึงลงไปยังชั้นล่างพลางสังเกตดูว่ามีลูกคนใดบาดเจ็บบ้างในเวลานี้เลย์อานาอายุสี่สิบปีแล้ว นางโตและมีเค้าลางของมังกรสาววัยแรกรุ่นกลาย ๆ แล้ว กระทั่งทารีรีเองที่มีอายุครบสามสิบห้าปีนี้ก็เริ่มแตกวัยสาวตามรอยเช่นเดียวกันกับพี่คนโตของนางแต่ทาซีร์นั้นยังดูเด็กนัก ลูกชายคนนี้เหมือนเด็กหนุ่มมนุษย์ที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยดี อาจเพราะไม่มีปีกทาซีร์จึงเหมือนข้าที่ขี้เกียจและเฉื่อยชา วันหนึ่งไม่เป็นอันทำสิ่งใด ผิดไปกับน้องสาวของตนอย่างแรนนี่ซึ่งที่อายุน้อยกว่าถึงสิบปีเชียวแรนนี่ในปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้
สิบห้าปีต่อมากลางฤดูใบไม้ร่วงนี้แปลกที่มีพายุฝนตั้งเค้ามาหลายอาทิตย์ เป็นเรื่องปกติของพายุฤดูใบไม้ร่วงที่คืบคลานมายังแดนเหนือเช่นเคย เพียงแต่พายุฝนในแดนเหนือนั้นไม่ได้ตกติดต่อกันเหมือนป่าเขตชื้นทางใต้ ส่วนใหญ่จะตกปรอย ๆ ไม่เป็นเวลาสลับกับห่าฝนที่สาดเทลงมาเป็นช่วง ๆ แทนอากาศในตอนนี้เองก็เริ่มจะหนาวเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว พออากาศเย็นมาเจอกับฝนก็ยิ่งทั้งชื้นแฉะและเย็นเยือกเข้าไปใหญ่“เด็ก ๆ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ” ข้าพึมพำจากนั้นก็นึกถึงบุตรสาวคนโตอย่างเลย์อานาที่บัดนี้มีอายุครบยี่สิบปีแล้วมีเลย์อานาอยู่คงจะไม่ต้องกังวลนัก อย่างไรนางก็สามารถดูแลน้อง ๆ ที่ยังไม่ประสาได้อย่างอยู่หมัด เป็นดังลูกคนแรกของครอบครัวที่ผ่านการขัดเกลามามากพอสมควร“ทารีรีกับทาซีร์คงจะเล่นก่อทรายกับเลย์อานากระมั้ง ส่วนแรนนี่คงหลับปุ๋ยไม่ตื่นทั้งวันได้” ทาแรนบอกข้าจากนั้นก็เดินนำหน้าข้าเข้าไปยังป่าที่ลึกมากขึ้น ป่าทางใต้ของแดนเหนือนั้นเป็นอาณาเขตที่มีชุมชนร่วมของมนุษย์ เอลฟ์ และคนแคระอาศัยอยู่ แต่ทว่าแปลกที่ป่าแห่งนี้พักหลังกลับมีสัตว์ป่าที่...ที่...แปลกประหลาดเกิดขึ้นมาพวกมันไม่ใช่สัตว์ที่มีรูปร่างพิการเพราะการสืบทอดสาย
ห้าปีต่อมาท้องโต ๆ ของข้ายื่นออกมาอย่างจากเสื้อตัวยาวอย่างชัดเจน แน่นอนว่าหากมองจากที่ไกล ๆ แล้วตัวข้านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกหมาแมวที่ตัวบวมและเดินโย้เย้ไม่มีผิดนักข้าร้องขอกับทาแรนว่าจะมีลูกกันหลังจากเลย์อานาอายุได้ห้าขวบพอดี ดังนั้นที่ผ่านแม้ว่าข้ากับเขาจะมีสัมพันธ์ทางกายระหว่างกันและกันทุกวี่วัน แต่ทาแรนนั่นไม่เคยหลั่งในข้าสักนิด พอเป็นเช่นนั้นที่หน้าท้องของข้าก็ไร้ความเคลื่อนไหวมาจนถึงห้าปีเต็มจนกระทั่งเวลานี้...ข้าก็ได้ตั้งครรภ์ครั้งที่สองแล้ว...หากนับ ๆ ดูนั้นมันก็ครบห้าขวบตามอายุของเลย์อานาเป๊ะ ๆ เลย!“ลม...” ข้าพึมพำเบา ๆ ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกไปยังนอกหน้าต่าง และสัมผัสกับสายลมจากแดนใต้ที่มาเยี่ยมเยือนแดนเหนือเสียแล้วแน่นอนว่านี่คือสัญญาณของฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สัตว์น้อยใหญ่ค่อนข้างจะมีความสุขพอสมควร ข้างใต้แหล่งน้ำจะมีพืชพรรณเติบโตมากขึ้น สาหร่ายหนาชุมช่วยหล่อเลี้ยงพวกนากกระทั่งสัตว์น้ำบางชนิดได้วางไข่ กระทั่งพวกหอยชนิดต่าง ๆ ก็จะอร่อยมากขึ้นฤดูนี้ เพราะมันจะตัวอ้วนและอวบนุ่มชวนให้น้ำลายสอเชียวแต่อากาศร้อนอย่างไรก็ย่อมต้องระมัดระวังอยู่บ้าง พวกนกที่ทำรังบนยอดไม้หากต้
ลูกมังกรน้อยซุกซนและขี้สงสัยไม่ต่างจากลูกสัตว์ชนิดอื่น ๆ ตามที่ข้าสังเกตเห็น ลูกสาวของข้าเมื่อครบหนึ่งเดือนก็เดินสองขาเตาะแตะไปมาที่ลานบ้าน วิ่งเล่นกับกองหิมะอย่างสนุกสนานไม่น้อย แน่นอนว่าทาแรนปล่อยให้ลูกสาวเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองเขาเฝ้ามองลูกอยู่ห่าง ๆ และคอยโฉบอีกฝ่ายกลับมาหากว่าเจ้าตัวน้อยเดินออกไปไกลเกินขอบเขตที่เขากำหนดเอาไว้“เจ้าเลี้ยงลูกเก่งจังเลยนะ” ข้าถามและรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเคยเลี้ยงมังกรน้อยหรือว่าเลี้ยงสัตว์มาก่อน“ข้าเคยเลี้ยงทารกมนุษย์อยู่บ้าง ลูกมนุษย์ของสหาย จากนั้นพอลูกของสหายมีลูก ข้าก็เลี้ยงดูลูกหลานของคนผู้นั้นไปเรื่อย ๆ อยู่หลายรุ่นเชียว” ทาแรนบอกข้าเพียงเท่านั้น แต่กระนั้นนัยน์ตาอีกฝ่ายกลับเศร้าสร้อยอยู่บ้างการสนิทกับมนุษย์นั้นมีข้อเสียใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่งก็เท่านั้นเอง และข้อเสียนั้นก็คืออายุขัยของมนุษย์ที่สั้นนัก อายุมนุษย์มากสุดถึงจะสองร้อยกว่าปี ทว่ามนุษย์ส่วนมากก็มักจะก้าวไม่พ้นร้อยปีแรก พวกเขาโตไว้และตายไว เหมือนแมลงที่อายุขัยสั้นไม่กี่สิบสัปดาห์เท่านั้นซึ่ง...การสนิทกับพวกมนุษย์มากเกินไปก็จะไม่พ้นที่ใจต้องเศร้าตรมนัก ความตายสำหรับมนุษย์เป็นสิ