เสียงหวีดหวิวของสายลมค่อย ๆ ปลุกข้าจากภวังค์อันยาวนานหลังจากที่ข้าถูกเคี่ยวกรำติดต่อกันจนข้าลืมสิ้นวันเวลา ตอนนี้ที่ยอดเขานี่กลายเป็นสถานที่อาศัยอยู่แห่งใหม่ของข้าไปแล้ว อาจเพราะมันอยู่สูงและตั้งบนหน้าผาชันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะหาหนทางลงไปจากที่นี่ได้
ถึงถ้ำนี้จะครบครันไปด้วยเครื่องเรือนอำนวยความสะดวกสบาย ทว่าพอสองขาของข้าไม่ได้ย่ำเหยียบที่พื้นดิน จิตใจก็พลันห่อเหี่ยวไม่เป็นสุข
ทาแรนไม่ได้ขังข้า ไม่ได้ห้ามข้าลงไป ตัวของเขานั้นไม่ได้ล่ามตรวนหรือใช้เวทมนตร์อันใดเลย เป็นข้าเองที่ไม่กล้าจะปีนเขาลูกนี้ลงไปต่างหาก
เขาในแดนเหนือนั้นยามที่ฤดูหนาวมาเยือน อากาศจะไม่ค่อยดีนัก บ่อยครั้งที่มีพายุหิมะคะนองซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีฟ้าแลบฟ้าร้องทำเอาข้าตื่นตกใจไปหมด ข้าเลยต่อรองให้ทาแรนพาข้าลงไปอาบน้ำชำระกายที่ทะเลสาบใกล้ ๆ แทน ครั้นพอกลับไปที่รังใต้โพรงไม้บรรพกาลของข้า
รู้ตัวอีกทีพวกกระรอกฝูงใหญ่ก็ยึดรังของข้าไปเสียแล้ว...
สำหรับรังมังกรที่ถูกทิ้งร้างไปนานนั้น ก็มักจะถูกสัตว์น้อยใหญ่เข้ามาอาศัยพักพิง นั่นเพราะกลิ่นอายมังกรสามารถกำบังศัตรูผู้ล่าตามธรรมชาติของพวกมันได้เป็นอย่างดี นานวันเข้าจำนวนของสัตว์น้อยใหญ่ก็มากขึ้นไปตาม ๆ กันจนกระทั่งกลิ่นนั้นหายไป
ดังนั้น...ข้าจึงไม่คิดจะอยู่ที่รังเก่าอีก
สัตว์พวกนี้น่าสงสารนัก ชีวิตหนึ่งไม่ง่ายเลย ยิ่งเห็นพวกมันมีลูกน้อยในรังแล้วข้าก็ได้แต่ตัดใจละทิ้งรังของตนเองทั้งอย่างงั้น
“ทาแรน...ไปไหนกันนะ...” ข้าเรียกเจ้ามังกรวายุที่มักจะยืนกอดอกรอข้าตื่นอยู่ที่ขอบประตูเสมอ ทว่าแปลกที่วันนี้อีกฝ่ายกลับไม่อยู่เสียอย่างงั้น
ไม่อยู่...?
ข้าคิดในใจจากนั้นก็จัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าทรง ก่อนจะเดินออกมายังห้องโถงใหญ่ที่ซึ่งบัดนี้ถูกตกแต่งอย่างงดงามเสียแล้ว ตัวห้องโถงนี้ส่วนหน้าเป็นทางเข้าที่มีเสาสลักใหญ่หลายต้น เปิดโล่งให้หิมะและสายลมพัดได้เข้ามาอย่างเต็มที่ ทว่าด้วยลมหายใจมังกรของข้าแล้ว มันถึงได้ละลายจนไม่กีดขวางทางเดินสักนิด
ข้าก้าวไปด้านข้างยังห้องโล่งซึ่งมีเตาไฟวิเศษตั้งอยู่ตรงกลาง เตาไฟนี้ทาแรนบอกข้าว่าได้มาจากอัคคีเทพ ดังนั้นมันจึงไม่มอดดับในรอบหนึ่งร้อยปี เพราะงั้นต่อให้ไม่มีฟืนไม้รึว่าถ่านชั้นดี ตัวห้องก็ยังอบอุ่นตลอดเวลา
“ทาแรน...” ข้าเรียกอีกฝ่ายอีกหน ทดสอบว่าเขายังบินอยู่ระแวงหนี้หรือไม่กันแน่ ทว่ารออยู่นานสองนานอีกฝ่ายก็ไม่ปรากฏตัวสักที ข้าจึงนั่งลงที่ม้านั่งหินตรงข้ามหน้าต่าง
พยายามมองออกไปข้างนอกห้องเพื่อจับกระแสลมมังกรของอีกฝ่ายให้จงได้ ทว่าสิ่งที่ข้าสังเกตได้นั้นก็คือการเปลี่ยนแปลงไปของกระแสลมในทิศตรงข้ามกัน
ลมจากทางใต้ค่อย ๆ ย่างกรายมาที่นี่...
มันจะนำพาเอาความอบอุ่นจากทางใต้ขึ้นมายังแดนเหนือ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณของฤดูใบไม้ผลิในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า
นั่นสินะ...ผ่านมาจวนจะสิ้นฤดูหนาวแล้ว...
ข้าจำไม่ค่อยได้ว่าเวลาผ่านมานานแค่ไหนกันแน่ ข้ารู้เพียงว่ามันเชื่องช้าและผ่านไปอย่างจำเจ ในทุกวันข้าจะต้องถูกอีกฝ่ายทาบทามตลอดเวลา
จน...ทั่วร่างข้าเต็มไปด้วยกลิ่นกายของเขาเสียเข้มข้น...
กระทั่งที่ช่วงขาในตอนนี้เองก็ยังมีคราบน้ำกามของอีกฝ่ายเปื้อนอยู่เลย
ฤดูใบไม้ผลิ...
นี่ก็แปลว่าที่เขาลูกนี้จะไม่มีเสียงฟ้าผ่าแล้วอย่างงั้นสินะ!
“ทาแรน!” ข้าตะโกนเรียกเจ้ามังกรวายุอีกหน ทดสอบดูสิว่าอีกฝ่ายจะมาหรือไม่กันแน่
ข้านั่งรออยู่จนตะวันเริ่มคล้อยเข้าย่างบ่ายแล้ว พอแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่อยู่ใกล้ ๆ ภูเขาแถบนี้อย่างแน่นอน ตัวข้าก็ย่างสองเท้าออกมาจากถ้ำ จากนั้นก็เริ่มสังเกตตามทิวเขาที่เพื่อหาทางเดินลัดเลาะลงไปยังเบื้องล่างที่สูงชัน
แปลกที่ข้ากลับสังเกตก้อนกลม ๆ ซึ่งขดตัวยังซอกหินด้านหลัง สีขนของมันพลางไปกับหิมะเบื้องล่าง ทว่าไม่อาจรอดพ้นกับสายของมังกรอย่างข้าไปได้ เจ้าเสือดาวหิมะตัวนี้ถูกท่าจะไล่จับแกะภูเขาไม่สำเร็จ แถมยังบาดเจ็บที่ขาจนยากจะขยับตัวได้อีกด้วย
ข้าเองก็เคยถูกฟ้าผ่าจนตกไปกระแทกที่ซอกหินข้างล่าง ตอนที่ข้าเกิดมาช่วงแรก ๆ นั้นตัวข้าเพิ่งจะมุดดินตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน แข้งขายังไม่แข็งแรง พอตื่นตกใจเสียงฟ้าผ่าก็กลิ้งไปกระแทกก้อนหินจนเนื้อตัวช้ำไปหมด จากนั้นรู้ตัวอีกทีข้าก็ติดอยู่ที่ซอกหินนั่นหลายคืน ถูกเสียงฟ้าร้องหลอกหลอนจนน้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุด
จากนั้นพอขาของข้าหายดี ตัวข้าถูกฟ้าผ่าใส่จนตัวกลิ้งตลบลงไปยังทะเลสาบข้างล่าง โชคยังดีที่ข้าเกาะขอนไม้ได้ทัน...ข้าเลยมีชีวิตรอดลงไปยังพื้นดินข้างล่างและพบกับวิหารกลางป่าของปฐพีเทพ ซึ่งในเวลานั้นปักหลักพำนักอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ด้วยสัญชาตญาณของมังกรข้ารู้สึกได้เลยว่าพระองค์รอการมาของข้า และจริงดังคาด เมื่อข้าเข้าเฝ้าพระองค์ พระองค์ก็ทรงหัวเราะสรวลให้กับความซุ่มซ่ามและมุมานะของข้าที่จะมายังที่แห่งนี้...
เอาเถอะ! คิดถึงอดีตไปก็ไม่ดีนักหรอก...
ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะลงไปช่วยเจ้าเสือดาวหิมะตัวนั้นขึ้นมาให้จงได้
อึก...ข้าหายใจลึก ๆ ก่อนจะย่างฝ่าเท้าลงไปยังทางลาดชันด้านหลัง พลางค่อย ๆ เขยิบลงไปยังช่องเขาด้านล่าง
ใจเย็นไว้...กึก!
ข้าลื่นเล็กน้อยแต่ก็ยังทรงตัวได้ดี!
“เจ้าเสือดาวข้ามาแล้ว ไม่เป็นไรนะ...” ข้าว่าจากนั้นก็ก้มลงมองดูเจ้าเสือดาวที่ตื่นตกใจอยู่บ้าง ทว่าเพราะอาการเหนื่อยล้าของมันมากเกินกว่าจะขู่และข่วนข้าได้ ข้าจึงประคองอุ้มมันขึ้นพาดบ่าได้อย่างสบาย ๆ
แต่ต่อให้มันกัดและข่วนข้า...
มันก็กัดไม่เข้ากระทั่งผิวหนังชั้นนอกของข้าด้วยซ้ำไป!
“เจ้ามีลูกหรือ?” ข้าถามเพราะสังเกตเห็นลูกเสือดาวที่โผล่หัวออกมาจากช่องหินเล็ก ๆ สามตัว พอเห็นดังข้านั้นจึงก้าวเข้าไปคว้าหลังคอของเจ้าเสือดาวหิมะตัวจิ๋วอุ้มไว้ในอ้อมแขนของตน
คิดว่าเอามันกลับไปที่รังเพื่อพักฟื้นก็ไม่แย่นัก...
ฉึบ! ข้าค่อยก้าวเดินกลับไปยังทิวเขาอย่างเดิม คราวนี้ยากอยู่บ้าง แต่กระนั้นพอจับเจ้าลูกเสือดาวจิ๋วให้เกาะยังไหลอีกข้างได้สำเร็จ แล้วจึงคิดใช้สองมือปีนป่ายกลับไปยังตำแหน่งเดิมอย่างว่องไว
สุดท้ายข้ากลับเข้ามาที่รังของทาแรน สองมือปัดหิมะและเศษดินจากเจ้าลูกเสือดาวและตัวแม่ของมัน แล้วจึงตรวจสอบที่ขาน้อย ๆ พลางหาไม้และผ้ามาดามส่วนกระดูกของมันให้เข้าที่ ในเวลานี้ข้าให้มันกินเนื้อที่ทาแรนล่ามาหลายชิ้นใหญ่ แล้วก็ปล่อยให้มันกับลูกนอนขดตัวกันที่มุมหนึ่งอันอุ่นของห้อง
เจ้าเสือดาวผ่อนคลายไม่น้อย...
ส่วนข้าเองก็รู้สึกดีเช่นกัน...
พอได้เห็นพวกสัตว์แม่ลูกอ่อนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขใจข้าก็พลันเป็นสุขไปด้วยซ้ำ เจ้าลูกเสือดาวพวกนี้อายุน่าจะร่วมประมาณเจ็ดเดือน อยู่ในวัยซุกซนและยังอ่อนแอนัก มันเป็นไม่ได้เลยที่มันจะล่าสัตว์ในฤดูหนาวได้เท่ากับแม่ของมัน เพราะงั้นหากแม่ของมันไม่สามารถกลับขึ้นมาได้ พวกมันอาจจะหิวโซจนตายเป็นแน่...
แบบนี้อีกแล้ว...ข้ามักจะใจอ่อนกับพวกสัตว์ตัวเล็ก ๆ เสมอเลย
ฮืม? เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของทาแรนเดินเข้ามาทางด้านหลังของข้า ในเวลานี้ข้าหันหลังกลับไปมองอีกฝ่ายที่เดินตรงดิ่งเข้ามาหาข้าอย่างเร่งรีบ แววตานั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อัดแน่นอย่างชัดเจน
เห็นดังนั้นข้าจึงถอยหลังไปสองสามก้าว...
“วันนี้เจ้าสัญญาว่าจะไม่กวนข้า” ข้าทวงถึงสัญญาที่ได้ร้องขอเอาไว้เมื่อวาน พอเป็นแบบนั้นทาแรนก็คล้ายจะหงุดหงิดอยู่บ้างเล็กน้อย
“ข้ายังคงจำสัญญาได้” อีกฝ่ายตอบกลับมาแล้วเดินออกยังโถงทางออกเพื่อยกหีบใบใหญ่เข้ามาในห้องซึ่งอบอุ่น จากนั้นก็เปิดหีบออกเผยให้ข้าเห็นถึงหลายสิ่งที่ข้าเคยร้องขอเขาไป...เอ่อ...น่าจะหลายวันก่อนน่ะ
ในนั้นคือแก้วใบใหญ่ที่ถูกเป่าเป็นทรงกลมที่ตัวปากแคบนัก ขนาดของมันประมาณถังบ่มไวน์ขนาดสองคนโอบได้ ส่วนตัวแก้วนั้นใสแจ๋วนัก มองผ่านทะลุได้เลยด้วยซ้ำ
“ท่านได้มันมาจากที่ใดกัน”
“ข้าไปขอมาจากโรเดียมังกรขององค์อัคคีเทพ มันผู้นั้นช่วงนี้กำลังสรรหาขวดแก้วมากมายจากพวกคนแคระ ข้าเลยไปขอมาใบหนึ่ง...” น้ำเสียงของทาแรนดูจะไม่ค่อยชอบใจนักเมื่อเขาพูดถึงมังกรที่มีนามว่าโรเดีย
“สวยยิ่งนัก” ข้ามองจากนั้นก็นึกไปต่าง ๆ นานาว่าตนเองจะตกแต่งสวนจิ๋วในขวดแก้วยักษ์อย่างไรดี...
ในความรู้สึกของข้านั้นหากใส่ดิน กรวด ทรายเป็นชั้น ๆ กระทั่งปลูกพืชพรรณตกแต่งลงไปพร้อมด้วยแมลงจิ๋วในขวดแก้วใบนี้อย่างสมดุล ข้าสามารถจำลองสภาพแวดล้อมของป่าในแดนเหนือได้โดยไม่ต้องเปิดจุกมันอีกไปหลายสิบปี...
ข้าเคยคิดจะทำแต่แก้วนั้นบอบบางนัก แก้วที่ข้าได้มาทั้งเล็กและหยาบ พวกมันทนลมหายใจมังกรได้เพียงสักสามปีก็พากันแตกหักไปเป็นแถว...
แต่ถ้าใช้งานแก้วฝีมือของคนแคระนั้นก็อาจจะนานขึ้น แต่ว่าข้าไม่มีสายสัมพันธ์กับพวกคนแคระเหล่านั้น พวกเขาไม่ยอมรับการจัดจ้างของข้าในการทำขวดแก้วใบยักษ์สักนิด
“ขอบคุณนะ” ข้ายิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นั่งลงยังม้านั่งหินตัวเล็กข้างเตาไฟของอัคคีเทพ จ้องมองเจ้าขวดแก้วใบยักษ์ที่ทาแรนวางมันไว้ยังโต๊ะตัวเตี้ยไม่ไกลเตาผิงนัก
“เวลาเจ้ายิ้ม...เจ้าดูงดงามนัก...”
ฮืม...ข้าชะงักไปกับถ้อยคำของทาแรนเมื่อครู่
“งามแบบไหน?” ข้าสนใจอยู่บ้างจึงถามอีกฝ่ายต่อ “งามเหมือนนกป่าหรือว่างามแบบแม่หมีอ้วนฉุกัน?”
ทาแรนคล้ายจะตอบข้าไม่ถูก
“แบบที่ข้าชอบกระมั้ง” อีกฝ่ายว่าแล้วส่งห่อผ้ามายังข้า ตัวห่อผ้านี้น่าจะทำจากใยของหนอนไหมทางแดนเหนือ ทว่าพอแกะห่อผ้าออกแล้วข้างในกลับเป็นชุดที่ทอจากเส้นใยของดักแด้น้ำทางใต้แทน
ผิวสัมผัสของผ้าถึงได้เย็นสบายเหมาะสำหรับมังกรจะสวมใส่ที่สุด...
ข้าได้ยินว่าปีหนึ่งมันทอได้ไม่กี่ผืนเท่านั้นเอง ผืนหนึ่งต้องใช้แรงงานมนุษย์หลายร้อยในการเลี้ยงดักแดน้ำเพื่อเอารังของมันมาปั่นทำเส้นใยจำนวนมากพอจะทอชุดออกมาได้สักตัว
“นี่ให้เจ้า เมื่อถึงคราวฤดูใบไม้ผลิมาเยือนจะได้สบายตัว”
“ข้าไม่ได้เรียกร้องสิ่งนี้นะ” ข้าว่าจากนั้นก็ลังเลที่จะริบเอาไว้สวมใส่ในอนาคต เพราะอย่างไรเสียระหว่างข้ากับทาแรนนั้น...ถึงทางกายเราจะเหมือนคู่ผัวเมียที่ใช้ชีวิตด้วยกัน แต่ทางใจนั้นข้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาสักนิด
แต่ข้าค้นพบ...ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...
ในอนาคตข้าจะได้ไม่ต้องหลบหนีและเผชิญปัญหากับมังกรเพศชายตัวอื่น ๆ ที่หมายหมั้นจะเข้ามาจับคู่กับข้าอีก และหากข้ามีทายาทขึ้นมาจริง ๆ ฐานะในหมู่มังกรของข้าก็จะได้รับความเคารพยำเกรงมากขึ้น
“ข้าเต็มใจให้เจ้า”
“…” ข้าอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูกนัก แค่รู้สึกว่าดีอยู่บ้างที่ได้รับของขวัญโดยไม่ต้องร้องขอ ซ้ำยังเป็นของชั้นเลิศอีกด้วย ทว่าเมื่อข้าได้รับมันมาอย่างง่ายดาย ข้าก็พลันรู้สึกว่าตัวข้าในอนาคตก็ยากจะไม่รู้สึกอะไรกับทาแรนได้เลย
แต่ข้าคิดว่าข้าไม่ควรปฏิเสธน้ำใจนี้ และข้าก็คิดด้วยอีกว่าข้าควรจะได้รับมันดังคำที่อีกฝ่ายเคยพูดจาโอ้อวดข้าด้วย
ดังนั้นข้าจึงคิดว่าคงไม่เป็นไรหากข้าจะรับไว้และยอมรับการดูแลเอาใจใส่จากอีกฝ่าย เขาดีข้าก็ดี พวกเราเคารพและอยู่กันแบบนี้ก็ไม่แย่นัก
“ลมฤดูใบไม้ผลิใกล้มาเยือนแล้ว ไว้หิมะละลายข้าจะสร้างรังใหม่ให้เจ้า เอาแบบรังเก่าของเจ้าใช่หรือไม่ ใต้โพรงต้นไม้ใหญ่ ที่ร่มเย็นสักหน่อย มีแหล่งน้ำใกล้ ๆ ให้เจ้าอาบ...”
ข้าฟังที่เจ้ามังกรวายุร่ายยาวไปเรื่อย ๆ พลางวาดฝันถึงรังมังกรที่อีกฝ่ายจะสร้างให้...
สำหรับมังกรรังก็เหมือนบ้าน...
ขนาดบ้านของพวกมนุษย์ยังพยายามจะสร้างอย่างดีตามกำลังและฐานะของพวกเขา ข้าเองก็อยากจะมีที่อยู่ดี ๆ เหมือนกันกับพวกเขาเลย ถ้ำมังกรตนอื่นนั้นหรูหราและเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่ามากมายที่สะสมเอาไว้มาหลายร้อยปี
ทว่าบ้านของข้ากลับมีเพียงเมล็ดสนและกระเทียมแห้งแขวนเอาไว้ก็เท่านั้น...
ความจริงสำหรับรังแล้วมังกรจะสร้างของใครของมัน การสร้างรังก็เหมือนบ้านที่แยกจากกันอย่างชัดเจน และต่อให้จะเป็นคู่ผูกพันธะกันแล้ว รังนั้นก็ยังต้องแยกกันอยู่อาศัย มังกรตัวเมียก็จะจัดแจงทำรังของนางที่เปรียบเสมือนรังสำหรับคลอดลูกและเลี้ยงดูทายาทเอาไว้อย่างพิถีพิถัน
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรให้ทาแรนมาจัดการช่วยด้วยเลยด้วยซ้ำไป
“ทำไมถึงทำรังให้ข้า เจ้าน่ะ...ไม่ทำรังของเจ้าหรือ?” ข้าถามด้วยความสงสัย เผื่อจะรู้ว่าเจ้ามังกรวายุตนนี้อาจจะมีรังลับอีกมากมายซ้อนเอาไว้อยู่ เพราะอีกฝ่ายนั้นอายุก็ดูจะไม่ใช่น้อย ๆ ด้วยซ้ำ
ยิ่งเป็นมังกรลมแล้วก็ยิ่งมีรังลับซ่อนเอาไว้มากนัก เป็นไปตามประสามังกรวายุที่ชอบออกเดินทางไม่หยุดหย่อน
“ข้ามีรังมากมายนัก แต่เจ้ายังไม่มี...และรังของเจ้าก็ค่อนข้างเรียบง่ายเกินไป”
เรียบง่ายเกินไป?
นี่อีกฝ่ายดูถูกฝีมือการสร้างรังของข้าอย่างงั้นหรือ?
“เจ้าดูถูกข้าอีกแล้ว ข้าทำรังของข้าได้ดีกว่านี้เป็นแน่หากเจ้าไม่ทำให้ข้าผวาจนต้องหลับไปถึงสองฤดู” ข้าเชิดหน้าขึ้นจากนั้นก็หันตัวหนีอีกฝ่ายในทิศตรงข้ามกัน
“แค่เจ้ายอมรับว่าเจ้าไม่เก่งในเรื่องนี้ไหนเลยจะต้องโกรธข้าด้วยกัน”
อะไรนะ! ข้าหันขวับแล้วมองทาแรนด้วยสายตาที่แง่งอน
“เจ้าไม่รู้จักข้าดีหรอก...”
ข้าเองก็ไม่รู้จักเจ้าเหมือนกัน...
เพราะแบบนั้นเวลามองอีกฝ่ายทีไรข้าก็รู้สึกแปลกหน้าอยู่ชอบกล ถึงว่าข้าและเขาจะมีสัมพันธ์กันลึกซึ้งก็ตามที
“ข้าจะค่อย ๆ เรียนรู้เจ้าไปทีละเรื่องสองเรื่อง เหมือนที่วันนี้ข้ารู้ว่าเจ้าจิตใจดีและรักพวกสัตว์ป่ายิ่งนักอย่างไรเล่า” ทาแรนยิ้มแล้วขยับกายเข้ามาโอบกอดที่ช่วงเอวของข้า “มาเถอะ...ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำ เจ้าจะได้รู้ว่าข้างล่างเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง”
เจ้ามังกรวายุช้อนตัวข้าขึ้นอุ้ม จากนั้นก็โผบินออกจากบ้านหน้าต่างกว้าง พาข้าลงไปยังทะเลสาบข้างล่างอย่างว่องไว
อย่างที่สังเกตได้ว่าสายลมที่ยอดเขานั้นอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย หิมะบางส่วนที่ตีนเขาเริ่มจะละลายจนเกลี้ยงแล้ว ในเวลานี้ข้าเห็นสรรพสัตว์น้อยใหญ่ตื่นจากการจำศีล กระทั่งข้างใต้ลำธารก็ยังมีธารน้ำไหลอยู่ราง ๆ แม้ว่าผิวน้ำด้านหน้าสุดจะยังแข็งเป็นชั้นน้ำแข็งที่หนาอยู่บ้าง
ทว่าพออากาศร้อนทุกอย่างก็จะกลับมามีชีวิตชีวา...
ตื่นเต้นเหลือเกิน!
ข้าอมยิ้มจากนั้นก็ย้ำเท้าแรง ๆ สามสี่หนกับพื้นดินที่เหลือหิมะปกคลุมไม่กี่ส่วนราวกับลูกหมาป่าพึ่งลืมตาดูโลก
“หิมะละลายแล้ว” ข้าว่าจากนั้นก็มองไปยังทาแรนซึ่งกำลังใช้มือทุบน้ำแข็งที่ปกคลุมผิวน้ำของทะเลสาบอยู่ ครั้นพอข้าเห็นว่าอีกฝ่ายจัดการให้เสร็จสรรพแล้ว ตัวข้าก็เดินเข้าไปยังท่าน้ำบริเวณนั้นทันที
ที่ตรงนี้เป็นท่าน้ำซึ่งทาแรนลงมือยกหินมาปรับระดับและถมเอาไว้ ทำเป็นขั้นบันไดให้ข้าสามารถนั่งแช่กายได้
“อย่าอาบนานเล่า” อีกฝ่ายว่าเพราะน้ำยังคงเย็นอยู่
“ไม่นานหรอก” ข้าว่าแล้วลงมือเปลืองผ้าลงไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด แน่นอนว่าน้ำหนาว ๆ เมื่อเจอกับลมหายใจมักกรของข้านั้น จากน้ำเย็นเฉียบก็อบอุ่นขึ้นมาชั่วคราว แต่น้ำถือว่าเป็นของเย็นจึงไม่ดีนักที่จะแช่จนนานเกินไป
อีกอย่างร่างกายของข้าจำศีลมาสองฤดูกาล ดังนั้นสมดุลในปอดจึงไม่ค่อยดีนัก มังกรที่หลับใต้ดินน่ะจะต้องเผชิญกับความหนาวเย็นตลอดเวลา นั่นเพราะลมหายใจยามจำศีลของพวกเรานั้นจะแผ่วเบาและเชื่องช้าลง กระทั่งหัวใจก็คล้ายจะหยุดเต้นไปทั้งอย่างนั้น มันจึงทำให้เลือดลมของเราถูกแช่เข็งเอาไว้ ข้าเองเพิ่งตื่นจากการจำศีลไม่นานนัก ทาแรนจึงเป็นกังวลทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
เขากลัวว่าข้าจะเป็นไข้แบบพวกมนุษย์...
เพราะว่าสำหรับพวกมนุษย์แล้วแค่การเป็นไข้นั้นก็สามารถตายได้ง่าย ๆ เชียวล่ะ...
“ให้ข้าขัดซอกเขาของเจ้าดีหรือไม่?”
ฮืม? ข้าหันหลังไปมองทาแรนที่จ้องลงมายังช่วงเขาของข้าอยู่ เมื่อไม่กี่วันก่อนระหว่างที่อาบน้ำนั้น อีกฝ่ายก็ถามข้าเช่นนี้เป๊ะ ทว่าข้ากลับปฏิเสธเนื่องด้วยเขาของมังกรสตรีนั้นคือเรื่องหวงห้าม ถ้าไม่ใช่คนที่เถิดทูลนั้นก็จะไม่ให้แตะต้อง หรือแม้แต่คนในครอบครัวถ้าไม่สนิทก็จับไม่ได้
“มันสกปรกหรือ?” ข้าถามกลับเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาบนหัวของข้านั้นเป็นเขาที่โค้งขึ้นดังเขาแกะ มันย่อมมีมุมที่มือของข้าไม่อาจล้วงเข้าไปเช็ดถูได้ และแน่นอนว่าในส่วนนี้นั้นข้าจะต้องใช้ผ้าสอดเข้าไปพลางขัดถูเท่านั้น
“ข้าอยากสัมผัสมัน”
“นี่แตะไม่ได้ ข้ายังไม่ยอมรับเจ้าหรอกนะ” ข้าทำหน้านิ่งจากนั้นก็รีบวักน้ำถูไถเนื้อถูตัวให้สะอาด
“เจ้ามีอคติเพราะข้าเป็นมังกรวายุหรือ?”
นั่นก็ใช่...
“ตอนข้าเกิดมาข้าถูกฟ้าผ่าใส่หัว จากนั้นข้าก็ตกเขากลิ้งหลุน ๆ ไปติดที่ซอกหินหลายวันกว่าจะออกมาได้ ถัดมาข้าได้ไปอยู่กับที่วิหารแห่งปฐพีเทพ เหล่ามังกรปฐพีก็บอกข้าว่ามันเป็นฝีมือของมังกรวายุที่หยอกล้อลูกมังกรเกิดใหม่อย่างข้า” ข้าร่ายยาวจากนั้นก็ย้ำไปอีกว่า “ข้าเลยไม่ชอบมังกรวายุ…”
“สักวันเจ้าจะรักชอบข้า กระทั่งคิดถึงแต่ข้าทุกห้วงเวลา”
นี่เขาคิดว่าใจของข้าจะเอนเอียงได้ง่ายอย่างงั้นหรือ?
ไม่มีทางเสียหรอก!
“เจ้าตรงไปตรงมากับความรู้สึกของตนเอง นี่คือสิ่งที่ข้าชอบ เจ้าสู้ข้าไม่ได้เจ้าก็หนี ไล่ไม่ได้เจ้าก็ซ่อนตัว มาคราวนี้เจ้าก็อดทนรองรับความต้องการของข้า...กระทั่งอยู่ร่วมกับข้าได้ไม่ใช่หรือ”
“…” ใจของข้ารู้สึกเย็นวาบเล็กน้อยที่อีกฝ่ายวิเคราะห์ความคิดของข้าได้อย่างชัดเจน
มันต้องชัดเจนสิ!
ก็ข้าเล่นทำอะไรตรงไปตรงมาตลอดเวลานี่นา!
“ข้าชอบเจ้าในจุดนี้ ก็เหมือนที่เจ้ากัดฟันสู้จนสามารถลงเขาลูกนี้ไปได้น่ะ”
ฮืม? ปีนลงเขา?
นี่อีกฝ่ายหมายถึงตอนไหนกัน?
“ข้าไม่เคยลงเขาให้เจ้าเห็นเลยสักครั้งนะ...” ข้าว่าจากนั้นก็ทบทวนความทรงจำหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทว่าหางตาของข้ากลับชะงักเมื่อเห็นภาพซึ่งสะท้อนผิวน้ำออกมา
ภาพนี้ในเวลานั้นก็คือร่างของข้าที่...ที่...เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นอย่างชัดเจน เส้นผมของข้าจากที่เคยเป็นสีขาวหิมะปลอด ในเวลานี้ที่ปลายผมกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีดินดำของชั้นดินใต้หิมะเต็มสองตาของข้า
สำหรับมังกรปฐพีแล้วการเปลี่ยนแปลงของสีผมนั้นหมายถึงสภาวะที่ร่างกายกำลังเปลี่ยนไปเหมือนดินที่มีตั้งแต่ดินดำอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธาตุ จนกระทั่งดินที่แห้งแล้งไร้สารอาหาร
ข้าเกิดที่แดนเหนือ...ด้วยอากาศแล้วส่วนใหญ่เส้นผมของข้าจะเป็นสีขาว สิ่งนี้สื่อถึงหิมะบนยอดเขาอันเป็นสถานที่ที่ข้าถือกำเนิดมา ดังนั้นการมีจู่ ๆ เส้นผมสีขาวก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มนั้น
ก็แปลได้ว่าร่างกายของข้ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น?
อะไรเปลี่ยนไป?
“เจ้ากำลังมีครรภ์หรือไม่นะ...” ทาแรนกอดอกแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจไม่น้อย อีกฝ่ายเอื้อมฝ่ามือลงมาแตะต้องที่ช่วงเขาของข้าเบา ๆ โดยไม่สนใจคำปฏิเสธของข้าเมื่อก่อนหน้านั้นสักนิด
“มังกรไหนเลยจะตั้งครรภ์ได้ง่ายกัน?” ข้าประหลาดใจจากนั้นก็จับปลายผมของตนขึ้นมาสังเกตอย่างถี่ถ้วน แล้วจึงยืนขึ้นมองภาพสะท้อนของเรือนร่างที่คล้ายจะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่สักเล็กน้อย
หน้าอกของข้าใหญ่ขึ้นบ้าง ที่หัวนมดูอวบดังพวกสัตว์ตัวเมียที่หิ้วกระเตงลูกน้อยตามต้อย ๆ อย่างไรอย่างนั้น
ลูกน้อยหรือ…ฮืม?
“นั่น...เพราะข้าได้พรมาจากปฐพีเทพ ว่าหากว่าข้าเลือกเจ้าเป็นคู่พันธะท่ามกลางนางมังกรของเทพตนอื่น ๆ ข้าจะมีทายาทมากมายน่ะสิ” ทาแรนบอกข้าพลางเอื้อมมือเข้ามาแตะที่หน้าท้องน้อย ๆ ของข้าเอาไว้
ฝ่ามือของอีกฝ่ายอบอุ่นมาก ในแววตานั้นก็ดูจะอ่อนโยนเป็นพิเศษไม่น้อย...
แต่...ไอ้พรที่องค์ปฐพีเทพมอบให้นั้น...
มันหมายความว่าอย่างไรกัน!?
กลิ่นเนื้อย่างเตาหินหอม ๆ ลอยเตะจมูกของข้าจนข้างปากมีหยดน้ำลายไหลย้อยออกมาด้วยความหิวโหยนัก ในเวลานี้ข้าตื่นขึ้นมาพร้อมกับกระเพาะที่ส่งเสียงร้องดังไม่หยุดเสียแล้วเวลานี้ย่างกรายเข้าฤดูใบไม้ผลิอย่างเป็นทางการ หิมะที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบมลายหายไปจนสิ้น ยกเว้นเพียงส่วนของยอดเขาที่ยังคงสภาพเอาไว้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักทว่าเหนือสิ่งอื่นใจคือ...เวลานี้ทาแรนทำรังใหม่ให้ข้าแล้ว แน่นอนว่ามันน่าทึ่งเหลือเกินที่ทาแรนใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นในการสร้างรังแห่งนี้ให้กับข้า นั่นเพราะวัน ๆ หนึ่งของทาแรนนอกจากจะต้องล่าสัตว์ทำอาหารมาป้อนข้าที่วันหนึ่งเอาแต่กิน ๆ นอน ๆ แล้ว เขายังแบ่งเวลาไปแบกหินและวัสดุก่อสร้างมากมายกลับมาทำรังได้ด้วย“ทาแรน...” ข้าเรียกชื่อเจ้ามังกรวายุพลางเช็ดที่หางตาเล็กน้อย เมื่อคืนพึ่งจะเปลี่ยนที่นอนใหม่จึงไม่ชินอยู่บ้าง ยังไงเสียอากาศข้างบนกับอากาศข้างล่างก็ไม่เหมือนกัน ในที่สูงนั้นอากาศน้อยนิดนัก พอมาข้างล่างเต็มไปด้วยแมกไม้มากมายอากาศจึงอัดแน่นไปหมดข้าไม่แปลกใจที่เลยที่พวกมนุษย์เวลาปีนเขาสูง ๆ แล้วจะหมดสติกันง่ายนัก...“ข้าย่างเนื้อเอาไว้เสร็จแล้ว เจ้าลงมาเถิด”
ลูกมังกรน้อยซุกซนและขี้สงสัยไม่ต่างจากลูกสัตว์ชนิดอื่น ๆ ตามที่ข้าสังเกตเห็น ลูกสาวของข้าเมื่อครบหนึ่งเดือนก็เดินสองขาเตาะแตะไปมาที่ลานบ้าน วิ่งเล่นกับกองหิมะอย่างสนุกสนานไม่น้อย แน่นอนว่าทาแรนปล่อยให้ลูกสาวเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองเขาเฝ้ามองลูกอยู่ห่าง ๆ และคอยโฉบอีกฝ่ายกลับมาหากว่าเจ้าตัวน้อยเดินออกไปไกลเกินขอบเขตที่เขากำหนดเอาไว้“เจ้าเลี้ยงลูกเก่งจังเลยนะ” ข้าถามและรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเคยเลี้ยงมังกรน้อยหรือว่าเลี้ยงสัตว์มาก่อน“ข้าเคยเลี้ยงทารกมนุษย์อยู่บ้าง ลูกมนุษย์ของสหาย จากนั้นพอลูกของสหายมีลูก ข้าก็เลี้ยงดูลูกหลานของคนผู้นั้นไปเรื่อย ๆ อยู่หลายรุ่นเชียว” ทาแรนบอกข้าเพียงเท่านั้น แต่กระนั้นนัยน์ตาอีกฝ่ายกลับเศร้าสร้อยอยู่บ้างการสนิทกับมนุษย์นั้นมีข้อเสียใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่งก็เท่านั้นเอง และข้อเสียนั้นก็คืออายุขัยของมนุษย์ที่สั้นนัก อายุมนุษย์มากสุดถึงจะสองร้อยกว่าปี ทว่ามนุษย์ส่วนมากก็มักจะก้าวไม่พ้นร้อยปีแรก พวกเขาโตไว้และตายไว เหมือนแมลงที่อายุขัยสั้นไม่กี่สิบสัปดาห์เท่านั้นซึ่ง...การสนิทกับพวกมนุษย์มากเกินไปก็จะไม่พ้นที่ใจต้องเศร้าตรมนัก ความตายสำหรับมนุษย์เป็นสิ
ห้าปีต่อมาท้องโต ๆ ของข้ายื่นออกมาอย่างจากเสื้อตัวยาวอย่างชัดเจน แน่นอนว่าหากมองจากที่ไกล ๆ แล้วตัวข้านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกหมาแมวที่ตัวบวมและเดินโย้เย้ไม่มีผิดนักข้าร้องขอกับทาแรนว่าจะมีลูกกันหลังจากเลย์อานาอายุได้ห้าขวบพอดี ดังนั้นที่ผ่านแม้ว่าข้ากับเขาจะมีสัมพันธ์ทางกายระหว่างกันและกันทุกวี่วัน แต่ทาแรนนั่นไม่เคยหลั่งในข้าสักนิด พอเป็นเช่นนั้นที่หน้าท้องของข้าก็ไร้ความเคลื่อนไหวมาจนถึงห้าปีเต็มจนกระทั่งเวลานี้...ข้าก็ได้ตั้งครรภ์ครั้งที่สองแล้ว...หากนับ ๆ ดูนั้นมันก็ครบห้าขวบตามอายุของเลย์อานาเป๊ะ ๆ เลย!“ลม...” ข้าพึมพำเบา ๆ ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกไปยังนอกหน้าต่าง และสัมผัสกับสายลมจากแดนใต้ที่มาเยี่ยมเยือนแดนเหนือเสียแล้วแน่นอนว่านี่คือสัญญาณของฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สัตว์น้อยใหญ่ค่อนข้างจะมีความสุขพอสมควร ข้างใต้แหล่งน้ำจะมีพืชพรรณเติบโตมากขึ้น สาหร่ายหนาชุมช่วยหล่อเลี้ยงพวกนากกระทั่งสัตว์น้ำบางชนิดได้วางไข่ กระทั่งพวกหอยชนิดต่าง ๆ ก็จะอร่อยมากขึ้นฤดูนี้ เพราะมันจะตัวอ้วนและอวบนุ่มชวนให้น้ำลายสอเชียวแต่อากาศร้อนอย่างไรก็ย่อมต้องระมัดระวังอยู่บ้าง พวกนกที่ทำรังบนยอดไม้หากต้
สิบห้าปีต่อมากลางฤดูใบไม้ร่วงนี้แปลกที่มีพายุฝนตั้งเค้ามาหลายอาทิตย์ เป็นเรื่องปกติของพายุฤดูใบไม้ร่วงที่คืบคลานมายังแดนเหนือเช่นเคย เพียงแต่พายุฝนในแดนเหนือนั้นไม่ได้ตกติดต่อกันเหมือนป่าเขตชื้นทางใต้ ส่วนใหญ่จะตกปรอย ๆ ไม่เป็นเวลาสลับกับห่าฝนที่สาดเทลงมาเป็นช่วง ๆ แทนอากาศในตอนนี้เองก็เริ่มจะหนาวเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว พออากาศเย็นมาเจอกับฝนก็ยิ่งทั้งชื้นแฉะและเย็นเยือกเข้าไปใหญ่“เด็ก ๆ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ” ข้าพึมพำจากนั้นก็นึกถึงบุตรสาวคนโตอย่างเลย์อานาที่บัดนี้มีอายุครบยี่สิบปีแล้วมีเลย์อานาอยู่คงจะไม่ต้องกังวลนัก อย่างไรนางก็สามารถดูแลน้อง ๆ ที่ยังไม่ประสาได้อย่างอยู่หมัด เป็นดังลูกคนแรกของครอบครัวที่ผ่านการขัดเกลามามากพอสมควร“ทารีรีกับทาซีร์คงจะเล่นก่อทรายกับเลย์อานากระมั้ง ส่วนแรนนี่คงหลับปุ๋ยไม่ตื่นทั้งวันได้” ทาแรนบอกข้าจากนั้นก็เดินนำหน้าข้าเข้าไปยังป่าที่ลึกมากขึ้น ป่าทางใต้ของแดนเหนือนั้นเป็นอาณาเขตที่มีชุมชนร่วมของมนุษย์ เอลฟ์ และคนแคระอาศัยอยู่ แต่ทว่าแปลกที่ป่าแห่งนี้พักหลังกลับมีสัตว์ป่าที่...ที่...แปลกประหลาดเกิดขึ้นมาพวกมันไม่ใช่สัตว์ที่มีรูปร่างพิการเพราะการสืบทอดสาย
ยี่สิบปีต่อมาครืน! ครืนนน!แผ่นดินไหวอีกแล้ว!ข้าลืมตาขึ้นอย่างฉับไวจากนั้นก็คว้าลูกคนที่ห้าขึ้นมาอุ้มเอาไว้อย่างว่องไวแม้ว่าในตอนนี้ตนเองจะท้องโตอยู่ก็ตามที ทว่ายามที่แผ่นดินไหวนั้นทุกสิ่งจะสั่นโคลงเคลงไปหมด จนข้าเป็นกังวลว่าโคมไฟที่ห้อยเพดานเอาไว้จะตกลงมากระแทกใส่เจ้าลูกชายเอาได้แม้ว่าเจ้าเด็กห้าขวบนี่จะเป็นลูกมังกร ทว่าแค่รอยถลอกซึ่งเกิดขึ้นจาง ๆ นั้น ก็กลับทำให้จิตใจของข้าปวดร้าวเกินจะทนแล้ว“ท่านแม่!” เสียงของเลย์อานาดังขึ้นเรียกข้าให้ลงมายังชั้นล่างซึ่งดูแล้วคงจะเละเทะไม่น้อย ได้ยินดังนั้นข้าจึงลงไปยังชั้นล่างพลางสังเกตดูว่ามีลูกคนใดบาดเจ็บบ้างในเวลานี้เลย์อานาอายุสี่สิบปีแล้ว นางโตและมีเค้าลางของมังกรสาววัยแรกรุ่นกลาย ๆ แล้ว กระทั่งทารีรีเองที่มีอายุครบสามสิบห้าปีนี้ก็เริ่มแตกวัยสาวตามรอยเช่นเดียวกันกับพี่คนโตของนางแต่ทาซีร์นั้นยังดูเด็กนัก ลูกชายคนนี้เหมือนเด็กหนุ่มมนุษย์ที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยดี อาจเพราะไม่มีปีกทาซีร์จึงเหมือนข้าที่ขี้เกียจและเฉื่อยชา วันหนึ่งไม่เป็นอันทำสิ่งใด ผิดไปกับน้องสาวของตนอย่างแรนนี่ซึ่งที่อายุน้อยกว่าถึงสิบปีเชียวแรนนี่ในปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้
ห้าสิบปีต่อมาเสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรดังขึ้นลั่นฟ้า ของเหลวสีดำมากมายพุ่งออกมาจากส่วนที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกไหลทะลักจนเปื้อนปลายเท้าเล็ก ๆ ซึ่งย่ำอยู่บนผืนป่าซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะมายาวนานแล้วถึงห้าเดือนเต็มห้าเดือน? ฟังแล้วอาจจะแปลกใจว่าเหตุใดหิมะถึงยาวนานเพียงนี้...หากให้ข้าพูดแล้วตอนนี้โลกเข้าสู่ความผันผวนครั้งใหญ่ แดนเหนือที่หนาวเหน็บนั้นกลับเย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม ฤดูกาลมีเพียงหนาวครึ่งปีและไม่หนาวครึ่งปีเท่านั้น พื้นที่ทำเกษตรและป่าส่วนใหญ่หายไปเพราะฝนซึ่งตกหนักติดต่อกันสามปีเต็มเมื่อราว ๆ ห้าสิบปีก่อนหน้านั้นฝนห่าใหญ่เติมเต็มหุบเขาที่ราบต่าง ๆ กลายเป็นทะเลสาบขนาดยักษ์หลายแห่งซึ่งขับให้ชุมชนต่าง ๆ มารวมตัวกันที่ราบสูงแถวตีนเขา ชุมชนนอร์ทเกตเติบโตกลายเป็นเมืองใหญ่และพัฒนาระบบการปกครองกระทั่งมีราชาและสภาขุนนางน้อยใหญ่เกิดขึ้นส่วนที่เมืองใหญ่แทบชายแดนนั้นถูกเปลวไฟของอัคคีเทพแผดเผาจนล่มสลายด้วยต้นตอของรังอสูร ผู้คนมากมายไหลบ่ามายังนอร์ทเกตเพื่อแสวงหาที่อยู่ใหม่หลังหายนะของอสุรกายจากต่างแดนรุกรานแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ส่วนที่อื่น ๆ นั้นก็เช่นกัน…ข้าได้ยินว่าแผ่นดินทางตะวันออกจมสู่ห
ห้าสิบปีต่อมาชุมชนแดนเหนือสุดนั้นมีธรรมเนียมหนึ่งที่จัดขึ้นพร้อม ๆ กันทุกปีสำหรับทุกคนและทุกคนเผ่าพงศ์ที่ก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มสาว นั่นคืองานชุมนุมดอกไม้ที่เกิดขึ้นในช่วงที่อากาศอบอุ่นและท้องฟ้าสว่างที่สุดในการจัดงานขึ้นมาสามวันโดยเฉพาะเป็นงานที่ให้คนหนุ่มสาวมาพบปะพูดคุยและแลกช่อดอกไม้ของกันและกัน แน่นอนว่าจุดประสงค์ก็คงจะเหมือนการเปิดตัวและมองหาคู่แต่งงานให้กับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตพอจะสร้างครอบครัวได้แล้วนั่นเองดังนั้นทั้งเมืองพวกคนจะแขวนพวงหรีดดอกไม้ที่หน้าประตูบ้าน ตกแต่งร่างกายด้วยช่อดอกไม้หลากสี ยกเว้นผู้ใหญ่ที่เติบใหญ่แล้วจะใช้เพียงดอกไม้สีขาวเท่านั้นแต่...ถ้าผู้ใหญ่คนใดยังโสดและประสงค์จะแต่งงานใหม่สำหรับคนที่เป็นม่าย คนเหล่านั้นก็จะประดับช่อดอกไม้หลากสีและแซมด้วยดอกไม้สีขาวเข้าไปด้วยคนข้ารู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีเพราะเฝ้าสังเกตผู้คนบนหอคอยสูงหลายครั้งหลายหนคงไม่ใช่เพียงหลายหนหรอก...ข้าเฝ้ามองมาหลายสิบปีแล้วกระมั้ง...“ท่านแม่” เสียงใสของเลย์อานาเรียกข้าจากข้างหลังประตูห้องชั้นที่ห้าของหอคอย แน่นอนว่าพอข้าหันก็พบกับบุตรสาวผู้ที่ในวันนี้นางสวมชุดสีแดงเข้มตัวงาม ใบหน้านั้นเปล
วูบ! กระแสลมแรงสายหนึ่งพัดสวนลมอีกทิศขึ้นมา เข้าช่วยขับไล่กลิ่นเหม็นเน่าให้เบาบางลงในเวลานี้ข้าเปิดประสาทสัมผัสมังกรและปลดปล่อยลมหายใจที่ซ้อนเอาไว้ออกมา ในเมื่ออสูรร้ายมากมายถึงเพียงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนและคอยออกล่าพวกมันอีกแล้วฉึก! ข้าพุ่งหอกไปข้างทิ่มแทงอสูรส่วนหนึ่งเป็นเส้นตรง จากนั้นก็เสกหอกหินเล่มใหม่ขึ้นมา ทว่าคราวนี้ข้าพ่นไฟมังกรเคลือบมันเอาไว้ เพื่อให้การฟาดฟันนั้นรุนแรงมากขึ้นพรึบ! ข้าตวัดตัวหมุนพลางออกท่วงท่ามากมาย กวัดแกว่งดาบเป็นวงคลื่นเปลวไฟเข้าแผดเผาอสูรที่ล้อมเอาไว้อยู่ อสูรทั่วไปนั้นง่ายดายที่จะจัดการนัก โดยเฉพาะอสูรที่ส่วนใหญ่ยังไม่เติบโตในระดับหนึ่ง แต่กระนั้นพวกมันก็ไหลทะลักออกจากปากอสูรยักษ์ราวกับห่าฝน มากมายนับไม่ถ้วนสีจนข้าคิดว่าจะต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปยังอสูรยักษ์เบื้องหน้าแทน...อสูรตัวนี้ขนาดของมันนับแล้วเอาหอคอยยี่สิบหลังมามัดรวมกันเอาไว้ได้เชียว...มันน่าจะเหมือนราชินีมดที่ให้กำเนิดมดงานใต้ดินมากมาย เพราะแบบนั้นมันถึงผลิตลูกอสูรตัวจ้อยออกมาได้จำนวนมากขนาดนี้ฮืม? ข้าฉงนไปครู่หนึ่งเมื่อพบว่าบุคคลปริศนาที่ยากจะสังเกตใบหน้านั้นโฉบเข้ามาแล้วเหวี่ยงร่างของข
หกเดือนต่อมาข้าลืมตาตื่นขึ้นทุกเช้าเช่นเคย ครั้นจัดการรวบผมเผ้าให้เข้าทรงแล้วข้าก็ลุกขึ้นยืนส่องกระจกเงินบานใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้องจามกิจวัตรประจำวัน ทว่ายามนี้ที่หน้าท้องของข้ากลับพองโตขึ้นเป็นเนินเสียแล้ว ระยะครรภ์อยู่ที่ไตรมาสที่สองพอดิบพอดีทาแรนนั้นขยันขันแข็งมากกับลูกคนที่เจ็ด...ไม่สิ...ในท้องนี้นะมีลูกคนที่แปดด้วยคน ทั้งสองเป็นครรภ์มังกรแฝดที่หายากยิ่งเลยทีเดียวเชียวแน่นอนว่าทาแรนภูมิใจเป็นอย่างมาก เขาโอ้อวดเรื่องนี้กับโรเดียอริที่สนิทสนมด้วยเสียจนอีกฝ่ายรำคาญไม่น้อย แต่ถึงแบบนั้นโรเดียก็ยังยอมมาเข้าร่วมงานสมรสของพวกเราสองคน…งานในวันนั้นมีมังกรมากมายเข้าร่วม มังกรที่สตรีต่างก็เข้ามาลูบท้องข้า หวังว่าพลางกระซิบกระซาบของเคล็ดลับพิเศษที่ทำให้ตั้งท้องบ่อยครั้งเจ้าทำท่าไหน?สถานที่ใด?กลางคืนหรือกลางวัน?ทำเอาข้าตอบไม่ถูกเลยทีเดียว ได้แต่บอกว่าเพราะพรของทวยเทพที่มอบให้ทาแรนนั้น ข้าเลยตั้งครรภ์อย่างง่ายดาย กลายเป็นเวลาพวกนางที่พอมีลูกสักตนสองตนแล้ว ต่างก็หมายมองลูกของข้าแทนนั่นเพราะพรก็เหมือนคำสาปตรงที่ว่า...มันสืบทอดผ่านสายเลือดเช่นเดียวกัน เพราะงั้นงานนี้ลูกชายลูกสาวที่ยังโสดถ
“อืม...” ข้าค่อย ๆ ลืมตาขึ้นรับแสงยามบ่ายที่สาดส่องผ่านม่านผ้าลงมา สองข้างหูคล้ายจะได้ยินเสียงสนทนาที่รุนแรงเกิดขึ้นชอบกล แต่กระนั้นร่างกายที่อ่อนล้ากลับไม่ปรารถนาจะขยับเขยื้อนสักนิด สุดท้ายข้านอนแผ่ราบกับเตียงพลางแอบฟังเสียงจากภายนอกแทนเสียงของทาริก...เจ้าลูกคนที่หกของข้ากลับมาแล้วอย่างนั้นสินะ จะว่าไปนี่ก็ครบกำหนดแล้วที่อีกฝ่ายไปยังสถานีวิจัยประตูอสูรที่แดนใต้สุดน่ะ ดูเหมือนจะหิ้วของฝากแล้วดิ่งตัวกลับมาหาข้าเลยกระมั้ง“เจ้าบอกข้าเดี๋ยวนี่นะ เจ้าเข้ามาทำอะไรในห้องของแม่ข้ากัน” เสียงของทาริกเข้มขึ้นผิดปกติ คล้ายกับนักเลงมนุษย์ซึ่งพร้อมจะหาเรื่องคู่สนทนาซึ่งอยู่ตรงข้ามกันเสียชัดเจน ส่วนเจ้าคู่สนทนาที่อีกฝ่ายคิดจะวิวาทด้วยนั้นคงจะเป็น...ทาแรน?ข้าชะงักจากนั้นก็พลันชันตัวลุกขึ้นยืนทันที สองมือลนลานทำสิ่งใดไม่ถูก รู้เพียงว่าต้องรีบคว้าเสื้อผ้าอาภรณ์เข้าสวมใส่ให้เรียบร้อยแย่จริง! สภาพของข้าดูแล้วไม่สมควรออกไปสักนิดเดียว...ข้าคิดจากนั้นก็ปล่อยให้ทาแรนจัดการไปก่อนอย่างไรเสีย...คนฉลาดแบบทาแรนก็ย่อมมองออกได้ไม่ยากว่านั่นคือทาริก บุตรชายที่เขาไม่มีโอกาสได้เฝ้าเลี้ยงจนเติบใหญ่เหมือนลูกคนอื
วูบ! กระแสลมแรงสายหนึ่งพัดสวนลมอีกทิศขึ้นมา เข้าช่วยขับไล่กลิ่นเหม็นเน่าให้เบาบางลงในเวลานี้ข้าเปิดประสาทสัมผัสมังกรและปลดปล่อยลมหายใจที่ซ้อนเอาไว้ออกมา ในเมื่ออสูรร้ายมากมายถึงเพียงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนและคอยออกล่าพวกมันอีกแล้วฉึก! ข้าพุ่งหอกไปข้างทิ่มแทงอสูรส่วนหนึ่งเป็นเส้นตรง จากนั้นก็เสกหอกหินเล่มใหม่ขึ้นมา ทว่าคราวนี้ข้าพ่นไฟมังกรเคลือบมันเอาไว้ เพื่อให้การฟาดฟันนั้นรุนแรงมากขึ้นพรึบ! ข้าตวัดตัวหมุนพลางออกท่วงท่ามากมาย กวัดแกว่งดาบเป็นวงคลื่นเปลวไฟเข้าแผดเผาอสูรที่ล้อมเอาไว้อยู่ อสูรทั่วไปนั้นง่ายดายที่จะจัดการนัก โดยเฉพาะอสูรที่ส่วนใหญ่ยังไม่เติบโตในระดับหนึ่ง แต่กระนั้นพวกมันก็ไหลทะลักออกจากปากอสูรยักษ์ราวกับห่าฝน มากมายนับไม่ถ้วนสีจนข้าคิดว่าจะต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปยังอสูรยักษ์เบื้องหน้าแทน...อสูรตัวนี้ขนาดของมันนับแล้วเอาหอคอยยี่สิบหลังมามัดรวมกันเอาไว้ได้เชียว...มันน่าจะเหมือนราชินีมดที่ให้กำเนิดมดงานใต้ดินมากมาย เพราะแบบนั้นมันถึงผลิตลูกอสูรตัวจ้อยออกมาได้จำนวนมากขนาดนี้ฮืม? ข้าฉงนไปครู่หนึ่งเมื่อพบว่าบุคคลปริศนาที่ยากจะสังเกตใบหน้านั้นโฉบเข้ามาแล้วเหวี่ยงร่างของข
ห้าสิบปีต่อมาชุมชนแดนเหนือสุดนั้นมีธรรมเนียมหนึ่งที่จัดขึ้นพร้อม ๆ กันทุกปีสำหรับทุกคนและทุกคนเผ่าพงศ์ที่ก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มสาว นั่นคืองานชุมนุมดอกไม้ที่เกิดขึ้นในช่วงที่อากาศอบอุ่นและท้องฟ้าสว่างที่สุดในการจัดงานขึ้นมาสามวันโดยเฉพาะเป็นงานที่ให้คนหนุ่มสาวมาพบปะพูดคุยและแลกช่อดอกไม้ของกันและกัน แน่นอนว่าจุดประสงค์ก็คงจะเหมือนการเปิดตัวและมองหาคู่แต่งงานให้กับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตพอจะสร้างครอบครัวได้แล้วนั่นเองดังนั้นทั้งเมืองพวกคนจะแขวนพวงหรีดดอกไม้ที่หน้าประตูบ้าน ตกแต่งร่างกายด้วยช่อดอกไม้หลากสี ยกเว้นผู้ใหญ่ที่เติบใหญ่แล้วจะใช้เพียงดอกไม้สีขาวเท่านั้นแต่...ถ้าผู้ใหญ่คนใดยังโสดและประสงค์จะแต่งงานใหม่สำหรับคนที่เป็นม่าย คนเหล่านั้นก็จะประดับช่อดอกไม้หลากสีและแซมด้วยดอกไม้สีขาวเข้าไปด้วยคนข้ารู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีเพราะเฝ้าสังเกตผู้คนบนหอคอยสูงหลายครั้งหลายหนคงไม่ใช่เพียงหลายหนหรอก...ข้าเฝ้ามองมาหลายสิบปีแล้วกระมั้ง...“ท่านแม่” เสียงใสของเลย์อานาเรียกข้าจากข้างหลังประตูห้องชั้นที่ห้าของหอคอย แน่นอนว่าพอข้าหันก็พบกับบุตรสาวผู้ที่ในวันนี้นางสวมชุดสีแดงเข้มตัวงาม ใบหน้านั้นเปล
ห้าสิบปีต่อมาเสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรดังขึ้นลั่นฟ้า ของเหลวสีดำมากมายพุ่งออกมาจากส่วนที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกไหลทะลักจนเปื้อนปลายเท้าเล็ก ๆ ซึ่งย่ำอยู่บนผืนป่าซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะมายาวนานแล้วถึงห้าเดือนเต็มห้าเดือน? ฟังแล้วอาจจะแปลกใจว่าเหตุใดหิมะถึงยาวนานเพียงนี้...หากให้ข้าพูดแล้วตอนนี้โลกเข้าสู่ความผันผวนครั้งใหญ่ แดนเหนือที่หนาวเหน็บนั้นกลับเย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม ฤดูกาลมีเพียงหนาวครึ่งปีและไม่หนาวครึ่งปีเท่านั้น พื้นที่ทำเกษตรและป่าส่วนใหญ่หายไปเพราะฝนซึ่งตกหนักติดต่อกันสามปีเต็มเมื่อราว ๆ ห้าสิบปีก่อนหน้านั้นฝนห่าใหญ่เติมเต็มหุบเขาที่ราบต่าง ๆ กลายเป็นทะเลสาบขนาดยักษ์หลายแห่งซึ่งขับให้ชุมชนต่าง ๆ มารวมตัวกันที่ราบสูงแถวตีนเขา ชุมชนนอร์ทเกตเติบโตกลายเป็นเมืองใหญ่และพัฒนาระบบการปกครองกระทั่งมีราชาและสภาขุนนางน้อยใหญ่เกิดขึ้นส่วนที่เมืองใหญ่แทบชายแดนนั้นถูกเปลวไฟของอัคคีเทพแผดเผาจนล่มสลายด้วยต้นตอของรังอสูร ผู้คนมากมายไหลบ่ามายังนอร์ทเกตเพื่อแสวงหาที่อยู่ใหม่หลังหายนะของอสุรกายจากต่างแดนรุกรานแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ส่วนที่อื่น ๆ นั้นก็เช่นกัน…ข้าได้ยินว่าแผ่นดินทางตะวันออกจมสู่ห
ยี่สิบปีต่อมาครืน! ครืนนน!แผ่นดินไหวอีกแล้ว!ข้าลืมตาขึ้นอย่างฉับไวจากนั้นก็คว้าลูกคนที่ห้าขึ้นมาอุ้มเอาไว้อย่างว่องไวแม้ว่าในตอนนี้ตนเองจะท้องโตอยู่ก็ตามที ทว่ายามที่แผ่นดินไหวนั้นทุกสิ่งจะสั่นโคลงเคลงไปหมด จนข้าเป็นกังวลว่าโคมไฟที่ห้อยเพดานเอาไว้จะตกลงมากระแทกใส่เจ้าลูกชายเอาได้แม้ว่าเจ้าเด็กห้าขวบนี่จะเป็นลูกมังกร ทว่าแค่รอยถลอกซึ่งเกิดขึ้นจาง ๆ นั้น ก็กลับทำให้จิตใจของข้าปวดร้าวเกินจะทนแล้ว“ท่านแม่!” เสียงของเลย์อานาดังขึ้นเรียกข้าให้ลงมายังชั้นล่างซึ่งดูแล้วคงจะเละเทะไม่น้อย ได้ยินดังนั้นข้าจึงลงไปยังชั้นล่างพลางสังเกตดูว่ามีลูกคนใดบาดเจ็บบ้างในเวลานี้เลย์อานาอายุสี่สิบปีแล้ว นางโตและมีเค้าลางของมังกรสาววัยแรกรุ่นกลาย ๆ แล้ว กระทั่งทารีรีเองที่มีอายุครบสามสิบห้าปีนี้ก็เริ่มแตกวัยสาวตามรอยเช่นเดียวกันกับพี่คนโตของนางแต่ทาซีร์นั้นยังดูเด็กนัก ลูกชายคนนี้เหมือนเด็กหนุ่มมนุษย์ที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยดี อาจเพราะไม่มีปีกทาซีร์จึงเหมือนข้าที่ขี้เกียจและเฉื่อยชา วันหนึ่งไม่เป็นอันทำสิ่งใด ผิดไปกับน้องสาวของตนอย่างแรนนี่ซึ่งที่อายุน้อยกว่าถึงสิบปีเชียวแรนนี่ในปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้
สิบห้าปีต่อมากลางฤดูใบไม้ร่วงนี้แปลกที่มีพายุฝนตั้งเค้ามาหลายอาทิตย์ เป็นเรื่องปกติของพายุฤดูใบไม้ร่วงที่คืบคลานมายังแดนเหนือเช่นเคย เพียงแต่พายุฝนในแดนเหนือนั้นไม่ได้ตกติดต่อกันเหมือนป่าเขตชื้นทางใต้ ส่วนใหญ่จะตกปรอย ๆ ไม่เป็นเวลาสลับกับห่าฝนที่สาดเทลงมาเป็นช่วง ๆ แทนอากาศในตอนนี้เองก็เริ่มจะหนาวเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว พออากาศเย็นมาเจอกับฝนก็ยิ่งทั้งชื้นแฉะและเย็นเยือกเข้าไปใหญ่“เด็ก ๆ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ” ข้าพึมพำจากนั้นก็นึกถึงบุตรสาวคนโตอย่างเลย์อานาที่บัดนี้มีอายุครบยี่สิบปีแล้วมีเลย์อานาอยู่คงจะไม่ต้องกังวลนัก อย่างไรนางก็สามารถดูแลน้อง ๆ ที่ยังไม่ประสาได้อย่างอยู่หมัด เป็นดังลูกคนแรกของครอบครัวที่ผ่านการขัดเกลามามากพอสมควร“ทารีรีกับทาซีร์คงจะเล่นก่อทรายกับเลย์อานากระมั้ง ส่วนแรนนี่คงหลับปุ๋ยไม่ตื่นทั้งวันได้” ทาแรนบอกข้าจากนั้นก็เดินนำหน้าข้าเข้าไปยังป่าที่ลึกมากขึ้น ป่าทางใต้ของแดนเหนือนั้นเป็นอาณาเขตที่มีชุมชนร่วมของมนุษย์ เอลฟ์ และคนแคระอาศัยอยู่ แต่ทว่าแปลกที่ป่าแห่งนี้พักหลังกลับมีสัตว์ป่าที่...ที่...แปลกประหลาดเกิดขึ้นมาพวกมันไม่ใช่สัตว์ที่มีรูปร่างพิการเพราะการสืบทอดสาย
ห้าปีต่อมาท้องโต ๆ ของข้ายื่นออกมาอย่างจากเสื้อตัวยาวอย่างชัดเจน แน่นอนว่าหากมองจากที่ไกล ๆ แล้วตัวข้านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกหมาแมวที่ตัวบวมและเดินโย้เย้ไม่มีผิดนักข้าร้องขอกับทาแรนว่าจะมีลูกกันหลังจากเลย์อานาอายุได้ห้าขวบพอดี ดังนั้นที่ผ่านแม้ว่าข้ากับเขาจะมีสัมพันธ์ทางกายระหว่างกันและกันทุกวี่วัน แต่ทาแรนนั่นไม่เคยหลั่งในข้าสักนิด พอเป็นเช่นนั้นที่หน้าท้องของข้าก็ไร้ความเคลื่อนไหวมาจนถึงห้าปีเต็มจนกระทั่งเวลานี้...ข้าก็ได้ตั้งครรภ์ครั้งที่สองแล้ว...หากนับ ๆ ดูนั้นมันก็ครบห้าขวบตามอายุของเลย์อานาเป๊ะ ๆ เลย!“ลม...” ข้าพึมพำเบา ๆ ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกไปยังนอกหน้าต่าง และสัมผัสกับสายลมจากแดนใต้ที่มาเยี่ยมเยือนแดนเหนือเสียแล้วแน่นอนว่านี่คือสัญญาณของฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สัตว์น้อยใหญ่ค่อนข้างจะมีความสุขพอสมควร ข้างใต้แหล่งน้ำจะมีพืชพรรณเติบโตมากขึ้น สาหร่ายหนาชุมช่วยหล่อเลี้ยงพวกนากกระทั่งสัตว์น้ำบางชนิดได้วางไข่ กระทั่งพวกหอยชนิดต่าง ๆ ก็จะอร่อยมากขึ้นฤดูนี้ เพราะมันจะตัวอ้วนและอวบนุ่มชวนให้น้ำลายสอเชียวแต่อากาศร้อนอย่างไรก็ย่อมต้องระมัดระวังอยู่บ้าง พวกนกที่ทำรังบนยอดไม้หากต้
ลูกมังกรน้อยซุกซนและขี้สงสัยไม่ต่างจากลูกสัตว์ชนิดอื่น ๆ ตามที่ข้าสังเกตเห็น ลูกสาวของข้าเมื่อครบหนึ่งเดือนก็เดินสองขาเตาะแตะไปมาที่ลานบ้าน วิ่งเล่นกับกองหิมะอย่างสนุกสนานไม่น้อย แน่นอนว่าทาแรนปล่อยให้ลูกสาวเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองเขาเฝ้ามองลูกอยู่ห่าง ๆ และคอยโฉบอีกฝ่ายกลับมาหากว่าเจ้าตัวน้อยเดินออกไปไกลเกินขอบเขตที่เขากำหนดเอาไว้“เจ้าเลี้ยงลูกเก่งจังเลยนะ” ข้าถามและรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเคยเลี้ยงมังกรน้อยหรือว่าเลี้ยงสัตว์มาก่อน“ข้าเคยเลี้ยงทารกมนุษย์อยู่บ้าง ลูกมนุษย์ของสหาย จากนั้นพอลูกของสหายมีลูก ข้าก็เลี้ยงดูลูกหลานของคนผู้นั้นไปเรื่อย ๆ อยู่หลายรุ่นเชียว” ทาแรนบอกข้าเพียงเท่านั้น แต่กระนั้นนัยน์ตาอีกฝ่ายกลับเศร้าสร้อยอยู่บ้างการสนิทกับมนุษย์นั้นมีข้อเสียใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่งก็เท่านั้นเอง และข้อเสียนั้นก็คืออายุขัยของมนุษย์ที่สั้นนัก อายุมนุษย์มากสุดถึงจะสองร้อยกว่าปี ทว่ามนุษย์ส่วนมากก็มักจะก้าวไม่พ้นร้อยปีแรก พวกเขาโตไว้และตายไว เหมือนแมลงที่อายุขัยสั้นไม่กี่สิบสัปดาห์เท่านั้นซึ่ง...การสนิทกับพวกมนุษย์มากเกินไปก็จะไม่พ้นที่ใจต้องเศร้าตรมนัก ความตายสำหรับมนุษย์เป็นสิ