เจ็บ! ข้ากรีดร้องพร้อมกับน้ำตาที่ไหลเผาะ ๆ อาบสองข้างแก้มของตน บัดนี้ความเจ็บปวดราวกับช่วงล่างจะปริแตกนั้นทำให้ข้ายากจะรู้สึกไปกับความวาบหวามที่ผุดพรายอยู่ทั่วร่างได้อย่างอิ่มเอม
เจ้าสิ่งนั้นของอีกฝ่ายใหญ่โตนัก ส่วนข้าก็เล็กแคบเหลือเกิน!
จริงดังคำที่เขาว่ากัน...ว่าสองอย่างที่ไม่สอดคล้องกันย่อมไม่เหมาะสมจะเข้าคู่กันจริง ๆ นั่นล่ะ!
“อึก!” ข้ากัดฟันพลางดิ้นรนถอยหนี ทว่าไม่เป็นผลนักเมื่อถูกพละกำลังของอีกฝ่ายกดทับเอาไว้ สะโพกของข้าถูกยึดจับ ไหล่ถูกกดไม่ให้เคลื่อนห่างกายร่างของอีกฝ่าย ดูแล้วไร้หนทางจะขัดขืนยิ่งนัก
“เหตุใดเจ้าไม่ปรารถนาจะมีคู่กัน มังกรสาวตนอื่นต่างก็ทอดกายให้ข้าหลับนอนรวมกับพวกนาง แต่เจ้ากลับไม่ปรารถนา...ช่างน่าสนใจนัก…” มังกรวายุเอ่ยขึ้นพลางโน้มใบหน้าลงมาใกล้ข้าอย่างใคร่รู้
ปลายลิ้นของอีกฝ่ายตวัดเลียหยาดน้ำตาของข้าคล้ายจะปลอบโยนทว่ากลับขู่ให้ข้ากลัวมากยิ่งขึ้น ครั้นพอถูกจุมพิตอีกหนใจข้าก็รู้สึกขนลุกไม่น้อย
“บอกข้ามาว่าการทดสอบของเจ้าคือสิ่งใดกันแน่ แล้วข้าจะพิสูจน์ให้เจ้ายอมรับข้าอย่างยินยอมทั้งใจ”
ดูคำพูดนั่นสิ!
มาถึงตรงนี้แล้วยังต้องทำให้มันชอบธรรมอย่างงั้นอีกรึ?
ข้าโมโหแต่ก็ไม่กล้าตอบโต้สิ่งที่คิดในใจออกไป...
ทว่าสาเหตุที่ข้าจะไม่มอบความภักดีและอุทิศครรภ์ของตนเองให้กับมังกรตนใดนั้น มันก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น...
ซึ่งข้าจะไม่ยอมให้คนที่ข่มเหงข้ารู้หรอก!
“ปล่อยข้า!” ข้าโวยวายจากนั้นก็ใช้สองมือของตนเองข่วนเข้าไปที่กลางอกของเจ้ามังกรวายุบนร่าง ทว่าแต่ให้รอยแผลนี้แม้จะลึกและมีเลือดซึมออกมามากเพียงใด แต่เจ้าคนตรงหน้าข้าก็ยังไม่หยุดกายหรือแม้แต่ชะงักไปสักนิด เขายังคงสอดแทรกเจ้าขาที่สามนั่นยังกายข้าอยู่ดี
“เล็บคมนัก อนาคตทายาทของพวกเราจะต้องแข็งแกร่งเป็นแน่” คนผู้นี้หัวเราะอย่างชอบใจแล้วกระแทกกระทั้นสิ่งนั้นมายังกายข้าจนกระเทือนไหวทั้งร่าง ทำเอาเสียงในถ้ำสะท้อนจนซ้อนกันเป็นเสียงดังตับ ๆ อย่างต่อเนื่อง
การถูกรุกล้ำในครานี้โหมกระหน่ำจนร่างกายของข้าร้อนประหนึ่งทุ่งหญ้าในฤดูร้อนที่ถูกไฟป่าลุกลาม…เจ็บ!
“อื๊อ!” ข้าหวีดร้องเมื่อช่วงล่างรู้สึกจุกแน่นเกินทน ยิ่งอีกฝ่ายกระแทกเข้ามาไม่ยั้งแรงเช่นนี้ ข้าไหนเลยจะรับได้ไหวกัน “เจ้าพอเถอะนะข้าเจ็บเหลือเกิน” ข้าเว้าวอนและลดเสียงให้ค่อยลง ในใจหวังว่าอีกฝ่ายจะเบามือและเก็บอ้อมแรงเอาไว้บ้างหากว่าเขาเห็นใจข้าที่ไม่ประสา
“เจ้าตอบข้าคำถามข้อนั้นของข้าก่อน”
คำถามข้อนั้น...
“…” ข้านิ่งงันอยู่นานราวกับคนใบ้เมื่อต้องคิดจะอธิบายเรื่องบททดสอบที่ข้าตั้งเอาไว้เป็นมาตรฐานในการจับคู่กับมังกรตนอื่น ๆ
“ถ้าเจ้าตอบข้าจะไม่เคี่ยวกรำเจ้า ข้าจะถนอมเจ้าและใส่ใจเป็นอย่างดี” เจ้ามังกรวายุลดเสียงลงเช่นกัน กระทั่งเอวสอบนั่นก็เคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนมากขึ้นเสียจน...ข้าลังเลในใจว่าควรจะตอบโต้อย่างไรดี?
“ข้า...กลัวฟ้าผ่า ข้าไม่ชอบมังกรลมเพราะแบบนั้น...”
“…” เจ้ามังกรวายุนิ่งไปสงัด
“แล้วบททดสอบข้าก็คือการสร้างรังให้ลึกที่สุด โดยที่ข้าจะไม่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าเหล่านั้น เพราะงั้น...เจ้าคงไม่อาจผ่านมันไปได้หรอก” ข้าเอ่ยจบก็หายใจลึก ๆ เพื่อเก็บออมแรงไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ถึงจะรู้ว่ามังกรตัวเมียสู้มังกรตัวผู้ไม่ไหว แต่ถ้าฉวยโอกาสหลบหนีดี ๆ ได้ อย่างไรข้าก็สามารถขุดดินดำลงไปได้ลึกพอที่อีกฝ่ายจะไม่มีทางคว้าจับข้าได้ทันเป็นแน่
ข้าคิดแล้วจึงช้อนสายตาขึ้นมองร่างกายกำยำซึ่งแผ่กลิ่นอายเคร่งขรึมของมังกรตัวผู้ออกมา ร่างของอีกฝ่ายใต้ร่มผ้านั้นซีดขาวเต็มไปด้วยรอยแผลมากมายจนน่าสะพรึงกลัว ดูแล้วคงจะมีชื่อเสียงในหมู่มังกรไม่น้อยอย่างที่โม้เอาไว้
เรือนผมสีทองนั้นยุ่งเหยิงอยู่บ้าง ส่วนปลายผมรวบมัดไม่เรียบร้อย ทว่าเขามังกรดุจสีงาช้างนั้นกลับสง่างามและตั้งตระหง่านพร้อมกับธาตุไฟฟ้าที่สถิตอยู่ แน่นอนว่าข้าคงเสียเปรียบหากซ่อนตัวอยู่ในที่โล่ง
ทำแบบนั้นคงจะเหมือนกระต่ายที่ถูกนกเหยี่ยวโฉบขึ้นฟ้าได้ง่าย ๆ และข้าควรจะหาโพรงแคบที่มีดินและหินชั้นบาง ๆ ในการขุดลงไปให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกจับกุมอีกครั้ง
“ข้าจะไม่ใช้สายฟ้ายามเจ้าอยู่ข้างกาย และข้ายอมที่จะทำรังในถ้ำใต้ดิน”
“เจ้ายอมได้หรือ?” ข้าสงสัยเพราะรู้ดีว่ามังกรวายุนั้นรักอิสระ ชอบที่สูง ทั้งยังชอบทำให้เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าท่ามกลางพายุอีก ยิ่งกับมังกรตัวผู้ที่รักอิสระและยึดถือตัวเองสูงแล้ว ตัวข้ายิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่
“ข้ายอมได้ เจ้าพูดมาเถิดว่าต้องการให้ข้าประพฤติตนอย่างไรบ้าง”
ยังเรียกร้องได้อีกอย่างงั้นหรือ?
ข้าเริ่มครุ่นคิดจากนั้นก็รู้สึกว่าตนเองสามารถเจรจากับเจ้ามังกรวายุตนนี้ได้ เพราะใช่ว่าหากข้ารอดไปจากเงื้อมมือของเขาแล้ว ข้าจะรอดไปจากมังกรตัวอื่น ๆ ที่บุกรุกรังของข้าอยู่เสมอ โดยเฉพาะมังกรปฐพีซึ่งสามารถขุดดินคว้านหารังลับของข้าได้อีก
พูดแล้วก็เศร้านัก...
มังกรสตรีหากไม่อยู่เฝ้าวิหารและเป็นสาวกของทวยเทพ พวกเราก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองจากประเพณีอันป่าเถื่อน ซึ่งกระทำกับเพศของพวกเราเยี่ยงสัตว์ในฤดูผสมพันธุ์ ที่แค่เรียกร้องบททดสอบสามสี่ข้อ ปล่อยให้อีกฝ่ายแสดงแข็งแกร่งและจับคู่เป็นผัวเมียในช่วงหนึ่งก็เท่านั้น
“เจ้าอยู่มากี่ปีแล้ว”
“…” ข้าเอียงหัวเล็กน้อยจากนั้นก็นึกอยู่นานทีเดียว “ข้าไม่รู้ ข้าจำศีลบ่อยจนนับตะวันจันทราไม่ถูกแล้ว...ข้าชื่อเลย์อา เจ้าล่ะ ไม่เห็นแนะนำชื่อของเจ้าแก่ข้าเลย” ข้าถามคิดจะหาให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวช้าลงสักหน่อย
“แม้แต่ชื่อข้าเจ้าก็ไม่รู้หรอก?” เจ้ามังกรวายุเสยผมของตนเองหนึ่งครา ก่อนจะโน้มใบหน้าลงกระซิบข้างหูของข้าว่า ‘ทาแรน’ แล้วจึงเคลื่อนกายขับนำเข้าสิ่งนั้นของเขาต่อจากเมื่อครู่
ทาแรน?
ทาแรน...อย่างงั้นหรือ…?
ชื่อนี้จะว่าคุ้นก็คุ้นอยู่บ้าง...แต่จำไม่ได้เลยว่าเคยได้ยินที่ใดกันแน่?
“คราวนี้เจ้าก็รู้ถึงเกียรติศักดิ์ของข้าแล้วสินะ?” อีกฝ่ายยิ้มที่มุมปาก ทว่าข้ากลับส่ายหัวแล้วพูดว่า...
“ข้าก็ไม่รู้จักเจ้าอยู่ดี” ข้าเอ่ยจบแล้วก็ลู่ตาลงต่ำ ไม่คิดเฝ้าสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายอีกต่อไป เวลานี้ในใจต้องยอมรับว่าร่างกายข้ากำลังโหยหาสัมผัสทางเพศตามสัญชาตญาณของสตรีเพศซึ่งขับให้รุนแรงมากขึ้นเสียแล้ว
ในแรกเริ่มข้าเจ็บ...ทว่าในครานี้ความเจ็บค่อย ๆ มลายหายไปเป็นความรู้สึกสุขสมเข้าแทนที่
ถึงข้าจะรู้ว่าสุขนั้นดีกว่าเจ็บปวด กระทั่งในไม่ช้าข้าจะยึดติดกับรสชาติและสัมผัสที่ทาแรนมาให้มากเกินไป โดยที่ต่อให้ข้าไม่อาจยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นคู่พันธะของข้าในยามนี้ ทว่าร่างกายกลับไม่คิดเช่นนั้น
ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมร่างกายของข้าถึงเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้...
ในความจริงยามที่ถูกแตะต้องนั้นข้าควรจะรังเกียจและขยะแขยงสุดขีดสิ กระทั่งต่อให้ร่างกายจะตอบสนองกับการปลุกเร้าอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ควรที่จะตอบสนองอย่างรุนแรงในทิศทางนี้ได้...
เพราะอะไรกัน?
นั่นเข้าใจได้อยากเหลือเกิน...
“ข้าคือทาแรนและข้าเกิดที่นี่ เกิดจากลมของยอดเขาแดนเหนือ” อีกฝ่ายบอกข้าถึงแหล่งกำเนิดของตนเอง
พายุลมที่ยอดเขาแห่งนี้อย่างงั้นหรือ?
“ข้าเองก็เกิดที่นี่...ตอนข้าเกิด...ข้าก็เกิดที่ซอกหินระหว่างทิวเขา” คราวนี้ข้าช้อนดวงตาขึ้นมาประสบประสานเข้ากับดวงตาราวกับอสนีบาตของอีกฝ่าย
“หึ...” ทาแรนร้องหึในลำคอจากนั้นเขาก็เคลื่อนกายโน้มลงมากักขังข้าเอาไว้ เขาจุมพิตข้าไปพลางขยับเอวสอบไม่เลิกรา ขับให้ร่างกายของข้าร้อนผ่าวและรู้สึกวูบไหวมากยิ่งขึ้น
“อึก!” ข้าหอบหายใจยกใหญ่จากจูบเมื่อครู่ที่ทาแรนมอบให้
จูบนั้นยาวนานยิ่งนัก...
ทว่าในขณะเดียวกันมันก็ช่างอ่อนโยนจนข้าระทวยไหวอย่างลืมตัว ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายตักตวงลมหายใจของข้าและถ่ายทอดลมหายใจของตนเข้ามาเสียจน...
ในห้วงอากาศ...ในโพรงจมูกและปอดของข้านั้นมีแต่กลิ่นอายของเขาอยู่ทั่วทุกอณู
“สดชื่นนัก...” ทาแรนมองข้า ครั้นไม่นานสองมือของเขาก็ยกขึ้นกอบกุมทรวงอกของข้าพลางบีบนวดและปัดเขี่ยสวนยอดของเต้าทั้งสองกระทั่งมันแข็งชูชัน คอยขับเน้นให้ร่างกายของข้าตื่นตัวและตอบสนองต่อสัมผัสของตัวเขามากขึ้นอีกหลายเท่า
ทว่าในใจครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของข้านั้นกลับเกิดความรู้สึกลังเลขึ้นมา...
หากข้าฉวยโอกาสในครานี้ผลักอีกฝ่ายออกไปกัน?
“ข้าอนุญาตให้เจ้าลองทุบตีข้าก่อนแล้วค่อยคิดจะหลบหนีไปจากอีกหนก็ไม่สายนัก” สายตาที่มองลงมาของทาแรนราวกับผู้ล่าที่จดจ้องเหยื่ออย่างข้าไม่มีผิด ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าของเขานั้น แค่มองก็เดาได้เลยว่าข้าคิดจะทำอะไรกันแน่
แน่นอนว่าต้องลองดูสักหน ท้าทายผู้ล่าสักหน่อย...
คิดจบข้าก็ยกมือขึ้นทุบไปที่กลางอกของอีกฝ่าย
แข็ง! ข้าชักมือกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่เหยเกอยู่บ้าง แรงนี้ของข้าทุบหินแข็งให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้อย่างง่ายดายแล้วแท้ ๆ
ทว่า...ยามนี้แผ่นอกของอีกฝ่ายนั้นกลับไม่สะเทือนสักนิด!
ฮือ! ข้าร่ำไห้จากนั้นก็รู้สึกสิ้นหวังเหลือเกิน
“ข้าไม่ชอบเจ้า ข้าไม่อยากจับคู่กับเจ้า...ข้ายังไม่พร้อมสักนิด...” ข้าหลั่งน้ำตาไปพลางใช้หลังมือปาดหยาดน้ำบนใบหน้าด้วยจิตใจที่โศกเศร้า
“ไม่ชอบที่ใดเล่า?”
“ข้าไม่รู้ ข้าแค่ไม่ชอบ...”
“ข้าไม่ได้สนใจสักนิดว่าเจ้าจะชอบรึไม่ชอบ ข้าตัดสินใจเจ้าแล้วและเลือกเจ้าแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะปล่อยไป เลย์อา...ข้าเฝ้าเจ้ามาถึงสองฤดู ข้าถือว่าให้โอกาสเจ้าได้หลีกห่างข้าแล้วนะ”
ตุบ! แรงกระแทกกระทั้นนั้นถาโถมเข้ามาจนกางข้ากระเทือนอย่างรุนแรง สะโพกและเอวสอบของทาแรนนั้นเร็วรัวนัก ทั้งยังทรงพลังจนข้าไม่อาจระงับเสียงครางอันผาสุกของตนเองได้
“อื๊อ!” ข้าหวีดร้องเบา ๆ เมื่อความรู้สึกที่ช่วงล่างคล้ายจะก่อเกิดรสชาติอันวาบหวามนั่นขึ้นมาอีกหน...กึก!
จู่ ๆ ทาแรนก็รวบตัวข้าพลิกคว่ำลง แล้วจัดแจงให้ข้ายันฝ่ามือและหัวเข่ากับพื้นของเตียงหินเอาไว้ จากนั้นก็กดที่สะโพกของข้าให้แอ่นลงเล็กน้อย ต่อด้วยยึดช่วงเอวซ้ายขวาของข้าเอาไว้ให้แน่น...
จนกระทั่ง...ตับ!
ขาที่สามนั้นถูกกระแทกเข้ามายังภายในของข้าอีกครั้ง ทว่าหนนี้มันกลับลึกและเสียดสีได้อย่างเหมาะเจาะยิ่งนัก
ช่างเป็นท่าที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เลย...
“อ๊ะ...” ข้าครางเสียงระงมระบายความรู้สึกที่อัดแน่นกลางใจไม่หยุด ยามนี้พอร่างกายปรับตัวและจำยอมให้กับสัมผัสของทาแรน ความรู้สึกซาบซ่านก็แผ่ไปทั่วกายข้า ไล่จากช่วงเนินสามเหลี่ยมกระจายออกไปรอบ ๆ ดังวงคลื่น จนกระทั่งร่างนี้อ่อนระทวยอยู่ทุกครั้งยามที่เจ้าสิ่งนั้นขับเคลื่อนเข้าออก
ร้อน...ร้อนเหลือเกิน...
ตัวข้าในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเนื้อกระต่ายที่ถูกย่างด้วยลมร้อน ๆ ของมังกรอย่างทาแรน โดยเฉพาะยิ่งอีกฝ่ายเป็นมังกรลมซึ่งมีปอดที่ใหญ่แล้วนั้น ลมหายใจร้อน ๆ ของเขาจึงเป่ารดข้าได้อย่างต่อเนื่อง ขับลมร้อนอาบไล่ทั่วร่างของข้าจนเหงื่อไคลมากมายผุดพรายทั่วร่าง
“อ๊ะ...อา...ทาแรน...” ข้าสติเริ่มพร่ามัวเผลอเรียกขานชื่อของอีกฝ่าย
“เรียกชื่อข้า ต่อจากนี้เรื่องข้าว่าทาแรน จงเรียกข้าว่าท่านทาแรนอย่างนอบน้อมเสียเลย์อา” อีกฝ่ายโน้มกายลงมากระซิบที่ข้างหูของข้าพลางขบเม้มที่ใบหูขับให้ข้าเสียวซ่านมากยิ่งขึ้น
บัดนี้เขาใช้แขนข้างหนึ่งของตนเองกอดรัดร่างของข้าเอาไว้ ยึดราวกับเชือกมัดเนื้อที่จะไม่มีวันปล่อยให้มันได้กระเด็นหายไปได้
ตับ! ตับ! ตับ!!
ผิวหนังกระทบผิวหนัง เนื้อกระทบเนื้อไม่หยุด กระทั่งความเสียวกระสันก็ยังทวีคูณเป็นเท่าตัว
“ฤดูหนาวนี้ข้าจะไม่ไปไหน อ่า...ร่างกายของเจ้ายอดเยี่ยมจริง ๆ” ทาแรนกล่าวขึ้นโดยที่ข้าไม่อาจตอบโต้กลับไปได้นอกจากเสียงครวญครางที่ยังคงดังก้องไปทั่วถ้ำ
“อื๊อ!” คราวนี้ข้าหลับตาแน่นด้วยความรู้สึกหนึ่งที่ใกล้จะระเบิดคาอกของตนเอง ความรู้สึกเสร็จสมนั้นคล้ายจะปะทุออกมาอีกหนไม่ปาน มันทำให้ข้ากำมือแน่น เล็บมือและเล็บเท้าจิกเข้าหากันอย่างรุนแรง “ข้า-ข้าไม่ไหวแล้ว ทาแรน...ทาแรน...” ข้าระบายด้วยเสียงที่สั่นเครือคลอเคลียไปกับเสียงครางหวิวปานจะขาดใจเมื่อภายในถูกเสียดสีจนถึงขีดสุด
“อดทนไว้” ทาแรนหัวเราะพลางกอดรัดร่างของข้าแน่นขึ้นกว่าเก่า ริมฝีปากที่คลอเคลียข้างแก้มนั้นไล่เล็มเลียมุมปากของข้า กระทั่งครอบครองมันด้วยรสจูบที่หนักแน่นและดุดันจนทำเอาลมหายใจของข้าขาดช่วง
แต่กระนั้น...เสียงครางอู้อี้ยังคงดังอยู่ไม่ขาดช่วง
ตัวข้าที่สติเริ่มเลือนรางไม่เหลือแม้แต่จิตใจที่คิดจะขัดขืนสักนิด...
เพราะหากต้องหยุดกลางคันแล้วไซร้...
ข้าคงถวิลหามันไม่เลิก...
“ได้โปรด...” ข้าเว้าวอนพลางขยับช่วงล่างเริ่มสอดรับกับเจ้าสิ่งนั้นของทาแรนที่เป็นฝ่ายกระแทกเข้ามา ทำมันไปอย่างเงอะงะเยี่ยงคนไม่ค่อยรู้ประสานัก
“เยี่ยมมาก” อีกฝ่ายชมเชยก่อนจะเร่งจังหวะรักให้เร็วขึ้น “ข้าบอกแล้วมันจะไม่เจ็บเลยเมื่อเจ้ายินยอมมอบกายให้ข้า...ตอบข้าสิว่าตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรกัน?”
ต้องตอบด้วยเหลือในเมื่อข้าแสดงออกถึงเพียงนี้แล้ว...
ข้าหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยแล้วจึงร้องครางด้วยใจที่ลอยล่องไปไกล...
“ข้าชอบมัน แต่ไม่ได้ชอบท่าน...อ๊ะ...” ข้าตอบตามที่คิด ไม่อยากจะให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวข้านั้นยินยอมอย่างง่ายดายมากจนเกินไปนัก แต่แรกใจข้าไม่ปรารถนา ทว่าพอผ่านการเล้าโลมและขัดเกลาโดยที่ไม่อาจต่อต้านได้ จิตใจก็พลันอ่อนระทวยขึ้นมา
ข้ารู้สึกว่าตนเองนั้นช่างน่าอับอายยิ่งนัก...กึก!
อ๊ะ! ข้าหวีดร้องเสียงสูงเมื่อความรู้สึกซึ่งยากจะบรรยายนั้นอาบรดร่างกายจนชุ่มฉ่ำ
นี่ข้าใกล้จะ...ใกล้จะ...เสร็จสม...แล้วสินะ...อึก!
“อ้า!” ข้าผ่อนลมหายใจกระทั่งเสียงครางเองก็อ่อนแรงลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย...อึก!
ช่วงล่างของข้าถูกกระแทกเสียงดังตับเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับเจ้าสิ่งนั้นที่ล่วงล้ำมายังส่วนลึกของตัวข้า...
ภายในกายนั้นคล้ายกับมีของเหลวสายหนึ่งอัดแน่นจนไร้ช่องว่าง เชื้อพันธุ์ของทาแรนคั่งค้างอยู่ภายในดังมวลน้ำก้อนใหญ่ที่แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ถอนมันออกมา ทว่ามันก็ยังคงไหลทะลักออกมาจนล้น กระทั่งเปรอะเปื้อนตัวช่วงขาของข้าอย่างชัดเจน
คงไม่แคล้วที่ท้องน้อย ๆ ของข้าจะมีการเคลื่อนไหวในต้นฤดูใบไม้ผลิกระมั้งนะ...
นี่...ข้าอาจจะมีลูกน้อยในปีหน้าอย่างงั้นหรือ...
แค่นึกถึงอนาคตที่ไม่ต้องการแล้วจิตใจก็พลันหมองมัวขึ้นมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลรินอย่างเงียบงัน
มันเหมือนเมื่อครู่หลงระเริงไปกับความสุขจนอิ่มหนำสำราญใจแล้ว ทว่าพอได้สติก็รู้ตัวว่าตนเองนั้นจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในอนาคตไม่น้อยเลย
“พูดมาเถิด” ทาแรนพาร่างข้าทิ้งตัวนอนลงเตียงหิน ใบหน้าจดจ้องมายังดวงหน้าของข้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์มากมายปะปนกันจนจับสังเกตได้
“ข้ายังไม่พร้อมเลย...” ข้าสะอื้นไห้ “ข้าพึ่งจะตื่นจากการจำศีล ข้ายังไม่เตรียมรังคลอดหรือว่าสะสมเสบียงอาหารเลย จะ-เจ้าน่ะแค่ฝังเมล็ดพันธุ์เสร็จก็คงจากข้าไป เพราะข้าน่ะรู้ว่ามังกรวายุตนอื่น ๆ ก็มีนิสัยเช่นนี้...”
แปลกที่ทาแรนกลับลูบหลังปลอบโยนข้ากลาย ๆ พลางผ่อนลมหายใจออกมา
“เจ้าวางใจเถอะนะ ข้าไม่ใช่มังกรวายุที่นึกจะไปตามกระแสลมก็ไป ข้าเป็นเหมือนลมประจำถิ่นที่ทิวเขาแห่งนี้ และข้าจะเฝ้าถนอมเจ้าให้ดีเอง”
“เจ้า...” ข้าเรียกอีกฝ่าย “เจ้าจะเก็บสะสมเมล็ดสนและธัญพืชให้ข้าเหมือนกระรอกได้หรือ พวกกระรอกน่ะมีโพรงมากมายเอาไว้สะสมอาหาร แต่สำหรับข้าน่ะสิบโพรงก็ไม่พอหรอก”
“เฮ้อ...สิบเอ็ดห้องข้าก็จะเนรมิตให้เจ้า อยู่กับข้าเสีย เป็นคู่ของข้านั้นไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องการแล้วจะไม่ได้”
ขี้โม้นัก...
“ข้ายังไม่ยอมรับเจ้าหรอกนะ เจ้าอย่าโอ้อวดเพียงแต่คำพูดเลย จะดีหากแสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้าทำมันได้น่ะ” ข้าพลิกกายหันหลังนอนตะแคงร่างใส่อีกฝ่าย ใจนั้นยังยากจะยอมรับได้ว่าตอนนี้ตนเองตกเป็นของเจ้ามังกรวายุข้าง ๆ ไปเสียแล้ว
มังกรอย่างข้าเดินด้วยสองเท้าและมีชีวิตอย่างเฉื่อยชา มันไม่เหมือนมังกรลมที่มีปีกและลอยล่องอยู่ท่ามกลางฟ้าสูง ดังนั้นมังกรอย่างพวกเราก็ไม่อาจคงอยู่กันเป็นคู่ได้อย่างถาวร
ซึ่ง...มันช่วยไม่ได้ที่ข้าจะหงุดหงิดเมื่อต้องเริ่มต้นจับคู่ครั้งแรกกับใครบางคนที่จะทอดทิ้งไปในสักวันหนึ่ง สักวันหนึ่งที่คนคนนั้นเริ่มเบื่อหน่ายข้าซึ่งเชื่องช้าและหัวแข็ง
“เช่นนั้นจงคอยดู…”
กึก! จู่ ๆ ร่างกายของข้าถูกอีกฝ่ายจับคร่อมเอาไว้อีกหน พร้อมกับใบหน้าที่ฉายชัดถึงความต้องการซึ่งเปิดเผยออกมา
“เจ้า...เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือไร...” ข้าน้ำตาคลอด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทั่วร่างตอนนี้มีแต่เหงื่อไคลเหนียวเหนอะ กระทั่งช่วงล่างยังเปื้อนไปด้วยน้ำกามข้นคลั่กสายใหญ่อยู่เลย
“ยังหรอก ยังไม่พอสักนิด...” ทาแรนหัวเราะพลางลูบไล้เรือนผมของข้าอย่างอ่อนโยน จากนั้นไม่นานก็แนบร่างประกบเข้าหาข้าอีกหน จูบไล่ไปทั่วร่างกระทั่งเคลื่อนกายโถมเข้าสิ่งนั้นยังโพรงอันเล็กแคบอีกครั้ง
เสียดสีมัน...
ถูกไถมันกับความอ่อนนุ่มภายในที่คอยตอดรัดอย่างเป็นใจ...
เสียงหวีดหวิวของสายลมค่อย ๆ ปลุกข้าจากภวังค์อันยาวนานหลังจากที่ข้าถูกเคี่ยวกรำติดต่อกันจนข้าลืมสิ้นวันเวลา ตอนนี้ที่ยอดเขานี่กลายเป็นสถานที่อาศัยอยู่แห่งใหม่ของข้าไปแล้ว อาจเพราะมันอยู่สูงและตั้งบนหน้าผาชันจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะหาหนทางลงไปจากที่นี่ได้ถึงถ้ำนี้จะครบครันไปด้วยเครื่องเรือนอำนวยความสะดวกสบาย ทว่าพอสองขาของข้าไม่ได้ย่ำเหยียบที่พื้นดิน จิตใจก็พลันห่อเหี่ยวไม่เป็นสุขทาแรนไม่ได้ขังข้า ไม่ได้ห้ามข้าลงไป ตัวของเขานั้นไม่ได้ล่ามตรวนหรือใช้เวทมนตร์อันใดเลย เป็นข้าเองที่ไม่กล้าจะปีนเขาลูกนี้ลงไปต่างหากเขาในแดนเหนือนั้นยามที่ฤดูหนาวมาเยือน อากาศจะไม่ค่อยดีนัก บ่อยครั้งที่มีพายุหิมะคะนองซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีฟ้าแลบฟ้าร้องทำเอาข้าตื่นตกใจไปหมด ข้าเลยต่อรองให้ทาแรนพาข้าลงไปอาบน้ำชำระกายที่ทะเลสาบใกล้ ๆ แทน ครั้นพอกลับไปที่รังใต้โพรงไม้บรรพกาลของข้ารู้ตัวอีกทีพวกกระรอกฝูงใหญ่ก็ยึดรังของข้าไปเสียแล้ว...สำหรับรังมังกรที่ถูกทิ้งร้างไปนานนั้น ก็มักจะถูกสัตว์น้อยใหญ่เข้ามาอาศัยพักพิง นั่นเพราะกลิ่นอายมังกรสามารถกำบังศัตรูผู้ล่าตามธรรมชาติของพวกมันได้เป็นอย่างดี นานวันเข้าจำนว
กลิ่นเนื้อย่างเตาหินหอม ๆ ลอยเตะจมูกของข้าจนข้างปากมีหยดน้ำลายไหลย้อยออกมาด้วยความหิวโหยนัก ในเวลานี้ข้าตื่นขึ้นมาพร้อมกับกระเพาะที่ส่งเสียงร้องดังไม่หยุดเสียแล้วเวลานี้ย่างกรายเข้าฤดูใบไม้ผลิอย่างเป็นทางการ หิมะที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบมลายหายไปจนสิ้น ยกเว้นเพียงส่วนของยอดเขาที่ยังคงสภาพเอาไว้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักทว่าเหนือสิ่งอื่นใจคือ...เวลานี้ทาแรนทำรังใหม่ให้ข้าแล้ว แน่นอนว่ามันน่าทึ่งเหลือเกินที่ทาแรนใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นในการสร้างรังแห่งนี้ให้กับข้า นั่นเพราะวัน ๆ หนึ่งของทาแรนนอกจากจะต้องล่าสัตว์ทำอาหารมาป้อนข้าที่วันหนึ่งเอาแต่กิน ๆ นอน ๆ แล้ว เขายังแบ่งเวลาไปแบกหินและวัสดุก่อสร้างมากมายกลับมาทำรังได้ด้วย“ทาแรน...” ข้าเรียกชื่อเจ้ามังกรวายุพลางเช็ดที่หางตาเล็กน้อย เมื่อคืนพึ่งจะเปลี่ยนที่นอนใหม่จึงไม่ชินอยู่บ้าง ยังไงเสียอากาศข้างบนกับอากาศข้างล่างก็ไม่เหมือนกัน ในที่สูงนั้นอากาศน้อยนิดนัก พอมาข้างล่างเต็มไปด้วยแมกไม้มากมายอากาศจึงอัดแน่นไปหมดข้าไม่แปลกใจที่เลยที่พวกมนุษย์เวลาปีนเขาสูง ๆ แล้วจะหมดสติกันง่ายนัก...“ข้าย่างเนื้อเอาไว้เสร็จแล้ว เจ้าลงมาเถิด”
ลูกมังกรน้อยซุกซนและขี้สงสัยไม่ต่างจากลูกสัตว์ชนิดอื่น ๆ ตามที่ข้าสังเกตเห็น ลูกสาวของข้าเมื่อครบหนึ่งเดือนก็เดินสองขาเตาะแตะไปมาที่ลานบ้าน วิ่งเล่นกับกองหิมะอย่างสนุกสนานไม่น้อย แน่นอนว่าทาแรนปล่อยให้ลูกสาวเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองเขาเฝ้ามองลูกอยู่ห่าง ๆ และคอยโฉบอีกฝ่ายกลับมาหากว่าเจ้าตัวน้อยเดินออกไปไกลเกินขอบเขตที่เขากำหนดเอาไว้“เจ้าเลี้ยงลูกเก่งจังเลยนะ” ข้าถามและรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเคยเลี้ยงมังกรน้อยหรือว่าเลี้ยงสัตว์มาก่อน“ข้าเคยเลี้ยงทารกมนุษย์อยู่บ้าง ลูกมนุษย์ของสหาย จากนั้นพอลูกของสหายมีลูก ข้าก็เลี้ยงดูลูกหลานของคนผู้นั้นไปเรื่อย ๆ อยู่หลายรุ่นเชียว” ทาแรนบอกข้าเพียงเท่านั้น แต่กระนั้นนัยน์ตาอีกฝ่ายกลับเศร้าสร้อยอยู่บ้างการสนิทกับมนุษย์นั้นมีข้อเสียใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่งก็เท่านั้นเอง และข้อเสียนั้นก็คืออายุขัยของมนุษย์ที่สั้นนัก อายุมนุษย์มากสุดถึงจะสองร้อยกว่าปี ทว่ามนุษย์ส่วนมากก็มักจะก้าวไม่พ้นร้อยปีแรก พวกเขาโตไว้และตายไว เหมือนแมลงที่อายุขัยสั้นไม่กี่สิบสัปดาห์เท่านั้นซึ่ง...การสนิทกับพวกมนุษย์มากเกินไปก็จะไม่พ้นที่ใจต้องเศร้าตรมนัก ความตายสำหรับมนุษย์เป็นสิ
ห้าปีต่อมาท้องโต ๆ ของข้ายื่นออกมาอย่างจากเสื้อตัวยาวอย่างชัดเจน แน่นอนว่าหากมองจากที่ไกล ๆ แล้วตัวข้านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกหมาแมวที่ตัวบวมและเดินโย้เย้ไม่มีผิดนักข้าร้องขอกับทาแรนว่าจะมีลูกกันหลังจากเลย์อานาอายุได้ห้าขวบพอดี ดังนั้นที่ผ่านแม้ว่าข้ากับเขาจะมีสัมพันธ์ทางกายระหว่างกันและกันทุกวี่วัน แต่ทาแรนนั่นไม่เคยหลั่งในข้าสักนิด พอเป็นเช่นนั้นที่หน้าท้องของข้าก็ไร้ความเคลื่อนไหวมาจนถึงห้าปีเต็มจนกระทั่งเวลานี้...ข้าก็ได้ตั้งครรภ์ครั้งที่สองแล้ว...หากนับ ๆ ดูนั้นมันก็ครบห้าขวบตามอายุของเลย์อานาเป๊ะ ๆ เลย!“ลม...” ข้าพึมพำเบา ๆ ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกไปยังนอกหน้าต่าง และสัมผัสกับสายลมจากแดนใต้ที่มาเยี่ยมเยือนแดนเหนือเสียแล้วแน่นอนว่านี่คือสัญญาณของฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สัตว์น้อยใหญ่ค่อนข้างจะมีความสุขพอสมควร ข้างใต้แหล่งน้ำจะมีพืชพรรณเติบโตมากขึ้น สาหร่ายหนาชุมช่วยหล่อเลี้ยงพวกนากกระทั่งสัตว์น้ำบางชนิดได้วางไข่ กระทั่งพวกหอยชนิดต่าง ๆ ก็จะอร่อยมากขึ้นฤดูนี้ เพราะมันจะตัวอ้วนและอวบนุ่มชวนให้น้ำลายสอเชียวแต่อากาศร้อนอย่างไรก็ย่อมต้องระมัดระวังอยู่บ้าง พวกนกที่ทำรังบนยอดไม้หากต้
สิบห้าปีต่อมากลางฤดูใบไม้ร่วงนี้แปลกที่มีพายุฝนตั้งเค้ามาหลายอาทิตย์ เป็นเรื่องปกติของพายุฤดูใบไม้ร่วงที่คืบคลานมายังแดนเหนือเช่นเคย เพียงแต่พายุฝนในแดนเหนือนั้นไม่ได้ตกติดต่อกันเหมือนป่าเขตชื้นทางใต้ ส่วนใหญ่จะตกปรอย ๆ ไม่เป็นเวลาสลับกับห่าฝนที่สาดเทลงมาเป็นช่วง ๆ แทนอากาศในตอนนี้เองก็เริ่มจะหนาวเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว พออากาศเย็นมาเจอกับฝนก็ยิ่งทั้งชื้นแฉะและเย็นเยือกเข้าไปใหญ่“เด็ก ๆ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ” ข้าพึมพำจากนั้นก็นึกถึงบุตรสาวคนโตอย่างเลย์อานาที่บัดนี้มีอายุครบยี่สิบปีแล้วมีเลย์อานาอยู่คงจะไม่ต้องกังวลนัก อย่างไรนางก็สามารถดูแลน้อง ๆ ที่ยังไม่ประสาได้อย่างอยู่หมัด เป็นดังลูกคนแรกของครอบครัวที่ผ่านการขัดเกลามามากพอสมควร“ทารีรีกับทาซีร์คงจะเล่นก่อทรายกับเลย์อานากระมั้ง ส่วนแรนนี่คงหลับปุ๋ยไม่ตื่นทั้งวันได้” ทาแรนบอกข้าจากนั้นก็เดินนำหน้าข้าเข้าไปยังป่าที่ลึกมากขึ้น ป่าทางใต้ของแดนเหนือนั้นเป็นอาณาเขตที่มีชุมชนร่วมของมนุษย์ เอลฟ์ และคนแคระอาศัยอยู่ แต่ทว่าแปลกที่ป่าแห่งนี้พักหลังกลับมีสัตว์ป่าที่...ที่...แปลกประหลาดเกิดขึ้นมาพวกมันไม่ใช่สัตว์ที่มีรูปร่างพิการเพราะการสืบทอดสาย
ยี่สิบปีต่อมาครืน! ครืนนน!แผ่นดินไหวอีกแล้ว!ข้าลืมตาขึ้นอย่างฉับไวจากนั้นก็คว้าลูกคนที่ห้าขึ้นมาอุ้มเอาไว้อย่างว่องไวแม้ว่าในตอนนี้ตนเองจะท้องโตอยู่ก็ตามที ทว่ายามที่แผ่นดินไหวนั้นทุกสิ่งจะสั่นโคลงเคลงไปหมด จนข้าเป็นกังวลว่าโคมไฟที่ห้อยเพดานเอาไว้จะตกลงมากระแทกใส่เจ้าลูกชายเอาได้แม้ว่าเจ้าเด็กห้าขวบนี่จะเป็นลูกมังกร ทว่าแค่รอยถลอกซึ่งเกิดขึ้นจาง ๆ นั้น ก็กลับทำให้จิตใจของข้าปวดร้าวเกินจะทนแล้ว“ท่านแม่!” เสียงของเลย์อานาดังขึ้นเรียกข้าให้ลงมายังชั้นล่างซึ่งดูแล้วคงจะเละเทะไม่น้อย ได้ยินดังนั้นข้าจึงลงไปยังชั้นล่างพลางสังเกตดูว่ามีลูกคนใดบาดเจ็บบ้างในเวลานี้เลย์อานาอายุสี่สิบปีแล้ว นางโตและมีเค้าลางของมังกรสาววัยแรกรุ่นกลาย ๆ แล้ว กระทั่งทารีรีเองที่มีอายุครบสามสิบห้าปีนี้ก็เริ่มแตกวัยสาวตามรอยเช่นเดียวกันกับพี่คนโตของนางแต่ทาซีร์นั้นยังดูเด็กนัก ลูกชายคนนี้เหมือนเด็กหนุ่มมนุษย์ที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยดี อาจเพราะไม่มีปีกทาซีร์จึงเหมือนข้าที่ขี้เกียจและเฉื่อยชา วันหนึ่งไม่เป็นอันทำสิ่งใด ผิดไปกับน้องสาวของตนอย่างแรนนี่ซึ่งที่อายุน้อยกว่าถึงสิบปีเชียวแรนนี่ในปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้
ห้าสิบปีต่อมาเสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรดังขึ้นลั่นฟ้า ของเหลวสีดำมากมายพุ่งออกมาจากส่วนที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกไหลทะลักจนเปื้อนปลายเท้าเล็ก ๆ ซึ่งย่ำอยู่บนผืนป่าซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะมายาวนานแล้วถึงห้าเดือนเต็มห้าเดือน? ฟังแล้วอาจจะแปลกใจว่าเหตุใดหิมะถึงยาวนานเพียงนี้...หากให้ข้าพูดแล้วตอนนี้โลกเข้าสู่ความผันผวนครั้งใหญ่ แดนเหนือที่หนาวเหน็บนั้นกลับเย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม ฤดูกาลมีเพียงหนาวครึ่งปีและไม่หนาวครึ่งปีเท่านั้น พื้นที่ทำเกษตรและป่าส่วนใหญ่หายไปเพราะฝนซึ่งตกหนักติดต่อกันสามปีเต็มเมื่อราว ๆ ห้าสิบปีก่อนหน้านั้นฝนห่าใหญ่เติมเต็มหุบเขาที่ราบต่าง ๆ กลายเป็นทะเลสาบขนาดยักษ์หลายแห่งซึ่งขับให้ชุมชนต่าง ๆ มารวมตัวกันที่ราบสูงแถวตีนเขา ชุมชนนอร์ทเกตเติบโตกลายเป็นเมืองใหญ่และพัฒนาระบบการปกครองกระทั่งมีราชาและสภาขุนนางน้อยใหญ่เกิดขึ้นส่วนที่เมืองใหญ่แทบชายแดนนั้นถูกเปลวไฟของอัคคีเทพแผดเผาจนล่มสลายด้วยต้นตอของรังอสูร ผู้คนมากมายไหลบ่ามายังนอร์ทเกตเพื่อแสวงหาที่อยู่ใหม่หลังหายนะของอสุรกายจากต่างแดนรุกรานแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ส่วนที่อื่น ๆ นั้นก็เช่นกัน…ข้าได้ยินว่าแผ่นดินทางตะวันออกจมสู่ห
ห้าสิบปีต่อมาชุมชนแดนเหนือสุดนั้นมีธรรมเนียมหนึ่งที่จัดขึ้นพร้อม ๆ กันทุกปีสำหรับทุกคนและทุกคนเผ่าพงศ์ที่ก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มสาว นั่นคืองานชุมนุมดอกไม้ที่เกิดขึ้นในช่วงที่อากาศอบอุ่นและท้องฟ้าสว่างที่สุดในการจัดงานขึ้นมาสามวันโดยเฉพาะเป็นงานที่ให้คนหนุ่มสาวมาพบปะพูดคุยและแลกช่อดอกไม้ของกันและกัน แน่นอนว่าจุดประสงค์ก็คงจะเหมือนการเปิดตัวและมองหาคู่แต่งงานให้กับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตพอจะสร้างครอบครัวได้แล้วนั่นเองดังนั้นทั้งเมืองพวกคนจะแขวนพวงหรีดดอกไม้ที่หน้าประตูบ้าน ตกแต่งร่างกายด้วยช่อดอกไม้หลากสี ยกเว้นผู้ใหญ่ที่เติบใหญ่แล้วจะใช้เพียงดอกไม้สีขาวเท่านั้นแต่...ถ้าผู้ใหญ่คนใดยังโสดและประสงค์จะแต่งงานใหม่สำหรับคนที่เป็นม่าย คนเหล่านั้นก็จะประดับช่อดอกไม้หลากสีและแซมด้วยดอกไม้สีขาวเข้าไปด้วยคนข้ารู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีเพราะเฝ้าสังเกตผู้คนบนหอคอยสูงหลายครั้งหลายหนคงไม่ใช่เพียงหลายหนหรอก...ข้าเฝ้ามองมาหลายสิบปีแล้วกระมั้ง...“ท่านแม่” เสียงใสของเลย์อานาเรียกข้าจากข้างหลังประตูห้องชั้นที่ห้าของหอคอย แน่นอนว่าพอข้าหันก็พบกับบุตรสาวผู้ที่ในวันนี้นางสวมชุดสีแดงเข้มตัวงาม ใบหน้านั้นเปล
หกเดือนต่อมาข้าลืมตาตื่นขึ้นทุกเช้าเช่นเคย ครั้นจัดการรวบผมเผ้าให้เข้าทรงแล้วข้าก็ลุกขึ้นยืนส่องกระจกเงินบานใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้องจามกิจวัตรประจำวัน ทว่ายามนี้ที่หน้าท้องของข้ากลับพองโตขึ้นเป็นเนินเสียแล้ว ระยะครรภ์อยู่ที่ไตรมาสที่สองพอดิบพอดีทาแรนนั้นขยันขันแข็งมากกับลูกคนที่เจ็ด...ไม่สิ...ในท้องนี้นะมีลูกคนที่แปดด้วยคน ทั้งสองเป็นครรภ์มังกรแฝดที่หายากยิ่งเลยทีเดียวเชียวแน่นอนว่าทาแรนภูมิใจเป็นอย่างมาก เขาโอ้อวดเรื่องนี้กับโรเดียอริที่สนิทสนมด้วยเสียจนอีกฝ่ายรำคาญไม่น้อย แต่ถึงแบบนั้นโรเดียก็ยังยอมมาเข้าร่วมงานสมรสของพวกเราสองคน…งานในวันนั้นมีมังกรมากมายเข้าร่วม มังกรที่สตรีต่างก็เข้ามาลูบท้องข้า หวังว่าพลางกระซิบกระซาบของเคล็ดลับพิเศษที่ทำให้ตั้งท้องบ่อยครั้งเจ้าทำท่าไหน?สถานที่ใด?กลางคืนหรือกลางวัน?ทำเอาข้าตอบไม่ถูกเลยทีเดียว ได้แต่บอกว่าเพราะพรของทวยเทพที่มอบให้ทาแรนนั้น ข้าเลยตั้งครรภ์อย่างง่ายดาย กลายเป็นเวลาพวกนางที่พอมีลูกสักตนสองตนแล้ว ต่างก็หมายมองลูกของข้าแทนนั่นเพราะพรก็เหมือนคำสาปตรงที่ว่า...มันสืบทอดผ่านสายเลือดเช่นเดียวกัน เพราะงั้นงานนี้ลูกชายลูกสาวที่ยังโสดถ
“อืม...” ข้าค่อย ๆ ลืมตาขึ้นรับแสงยามบ่ายที่สาดส่องผ่านม่านผ้าลงมา สองข้างหูคล้ายจะได้ยินเสียงสนทนาที่รุนแรงเกิดขึ้นชอบกล แต่กระนั้นร่างกายที่อ่อนล้ากลับไม่ปรารถนาจะขยับเขยื้อนสักนิด สุดท้ายข้านอนแผ่ราบกับเตียงพลางแอบฟังเสียงจากภายนอกแทนเสียงของทาริก...เจ้าลูกคนที่หกของข้ากลับมาแล้วอย่างนั้นสินะ จะว่าไปนี่ก็ครบกำหนดแล้วที่อีกฝ่ายไปยังสถานีวิจัยประตูอสูรที่แดนใต้สุดน่ะ ดูเหมือนจะหิ้วของฝากแล้วดิ่งตัวกลับมาหาข้าเลยกระมั้ง“เจ้าบอกข้าเดี๋ยวนี่นะ เจ้าเข้ามาทำอะไรในห้องของแม่ข้ากัน” เสียงของทาริกเข้มขึ้นผิดปกติ คล้ายกับนักเลงมนุษย์ซึ่งพร้อมจะหาเรื่องคู่สนทนาซึ่งอยู่ตรงข้ามกันเสียชัดเจน ส่วนเจ้าคู่สนทนาที่อีกฝ่ายคิดจะวิวาทด้วยนั้นคงจะเป็น...ทาแรน?ข้าชะงักจากนั้นก็พลันชันตัวลุกขึ้นยืนทันที สองมือลนลานทำสิ่งใดไม่ถูก รู้เพียงว่าต้องรีบคว้าเสื้อผ้าอาภรณ์เข้าสวมใส่ให้เรียบร้อยแย่จริง! สภาพของข้าดูแล้วไม่สมควรออกไปสักนิดเดียว...ข้าคิดจากนั้นก็ปล่อยให้ทาแรนจัดการไปก่อนอย่างไรเสีย...คนฉลาดแบบทาแรนก็ย่อมมองออกได้ไม่ยากว่านั่นคือทาริก บุตรชายที่เขาไม่มีโอกาสได้เฝ้าเลี้ยงจนเติบใหญ่เหมือนลูกคนอื
วูบ! กระแสลมแรงสายหนึ่งพัดสวนลมอีกทิศขึ้นมา เข้าช่วยขับไล่กลิ่นเหม็นเน่าให้เบาบางลงในเวลานี้ข้าเปิดประสาทสัมผัสมังกรและปลดปล่อยลมหายใจที่ซ้อนเอาไว้ออกมา ในเมื่ออสูรร้ายมากมายถึงเพียงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนและคอยออกล่าพวกมันอีกแล้วฉึก! ข้าพุ่งหอกไปข้างทิ่มแทงอสูรส่วนหนึ่งเป็นเส้นตรง จากนั้นก็เสกหอกหินเล่มใหม่ขึ้นมา ทว่าคราวนี้ข้าพ่นไฟมังกรเคลือบมันเอาไว้ เพื่อให้การฟาดฟันนั้นรุนแรงมากขึ้นพรึบ! ข้าตวัดตัวหมุนพลางออกท่วงท่ามากมาย กวัดแกว่งดาบเป็นวงคลื่นเปลวไฟเข้าแผดเผาอสูรที่ล้อมเอาไว้อยู่ อสูรทั่วไปนั้นง่ายดายที่จะจัดการนัก โดยเฉพาะอสูรที่ส่วนใหญ่ยังไม่เติบโตในระดับหนึ่ง แต่กระนั้นพวกมันก็ไหลทะลักออกจากปากอสูรยักษ์ราวกับห่าฝน มากมายนับไม่ถ้วนสีจนข้าคิดว่าจะต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปยังอสูรยักษ์เบื้องหน้าแทน...อสูรตัวนี้ขนาดของมันนับแล้วเอาหอคอยยี่สิบหลังมามัดรวมกันเอาไว้ได้เชียว...มันน่าจะเหมือนราชินีมดที่ให้กำเนิดมดงานใต้ดินมากมาย เพราะแบบนั้นมันถึงผลิตลูกอสูรตัวจ้อยออกมาได้จำนวนมากขนาดนี้ฮืม? ข้าฉงนไปครู่หนึ่งเมื่อพบว่าบุคคลปริศนาที่ยากจะสังเกตใบหน้านั้นโฉบเข้ามาแล้วเหวี่ยงร่างของข
ห้าสิบปีต่อมาชุมชนแดนเหนือสุดนั้นมีธรรมเนียมหนึ่งที่จัดขึ้นพร้อม ๆ กันทุกปีสำหรับทุกคนและทุกคนเผ่าพงศ์ที่ก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มสาว นั่นคืองานชุมนุมดอกไม้ที่เกิดขึ้นในช่วงที่อากาศอบอุ่นและท้องฟ้าสว่างที่สุดในการจัดงานขึ้นมาสามวันโดยเฉพาะเป็นงานที่ให้คนหนุ่มสาวมาพบปะพูดคุยและแลกช่อดอกไม้ของกันและกัน แน่นอนว่าจุดประสงค์ก็คงจะเหมือนการเปิดตัวและมองหาคู่แต่งงานให้กับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตพอจะสร้างครอบครัวได้แล้วนั่นเองดังนั้นทั้งเมืองพวกคนจะแขวนพวงหรีดดอกไม้ที่หน้าประตูบ้าน ตกแต่งร่างกายด้วยช่อดอกไม้หลากสี ยกเว้นผู้ใหญ่ที่เติบใหญ่แล้วจะใช้เพียงดอกไม้สีขาวเท่านั้นแต่...ถ้าผู้ใหญ่คนใดยังโสดและประสงค์จะแต่งงานใหม่สำหรับคนที่เป็นม่าย คนเหล่านั้นก็จะประดับช่อดอกไม้หลากสีและแซมด้วยดอกไม้สีขาวเข้าไปด้วยคนข้ารู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีเพราะเฝ้าสังเกตผู้คนบนหอคอยสูงหลายครั้งหลายหนคงไม่ใช่เพียงหลายหนหรอก...ข้าเฝ้ามองมาหลายสิบปีแล้วกระมั้ง...“ท่านแม่” เสียงใสของเลย์อานาเรียกข้าจากข้างหลังประตูห้องชั้นที่ห้าของหอคอย แน่นอนว่าพอข้าหันก็พบกับบุตรสาวผู้ที่ในวันนี้นางสวมชุดสีแดงเข้มตัวงาม ใบหน้านั้นเปล
ห้าสิบปีต่อมาเสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรดังขึ้นลั่นฟ้า ของเหลวสีดำมากมายพุ่งออกมาจากส่วนที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกไหลทะลักจนเปื้อนปลายเท้าเล็ก ๆ ซึ่งย่ำอยู่บนผืนป่าซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะมายาวนานแล้วถึงห้าเดือนเต็มห้าเดือน? ฟังแล้วอาจจะแปลกใจว่าเหตุใดหิมะถึงยาวนานเพียงนี้...หากให้ข้าพูดแล้วตอนนี้โลกเข้าสู่ความผันผวนครั้งใหญ่ แดนเหนือที่หนาวเหน็บนั้นกลับเย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม ฤดูกาลมีเพียงหนาวครึ่งปีและไม่หนาวครึ่งปีเท่านั้น พื้นที่ทำเกษตรและป่าส่วนใหญ่หายไปเพราะฝนซึ่งตกหนักติดต่อกันสามปีเต็มเมื่อราว ๆ ห้าสิบปีก่อนหน้านั้นฝนห่าใหญ่เติมเต็มหุบเขาที่ราบต่าง ๆ กลายเป็นทะเลสาบขนาดยักษ์หลายแห่งซึ่งขับให้ชุมชนต่าง ๆ มารวมตัวกันที่ราบสูงแถวตีนเขา ชุมชนนอร์ทเกตเติบโตกลายเป็นเมืองใหญ่และพัฒนาระบบการปกครองกระทั่งมีราชาและสภาขุนนางน้อยใหญ่เกิดขึ้นส่วนที่เมืองใหญ่แทบชายแดนนั้นถูกเปลวไฟของอัคคีเทพแผดเผาจนล่มสลายด้วยต้นตอของรังอสูร ผู้คนมากมายไหลบ่ามายังนอร์ทเกตเพื่อแสวงหาที่อยู่ใหม่หลังหายนะของอสุรกายจากต่างแดนรุกรานแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ส่วนที่อื่น ๆ นั้นก็เช่นกัน…ข้าได้ยินว่าแผ่นดินทางตะวันออกจมสู่ห
ยี่สิบปีต่อมาครืน! ครืนนน!แผ่นดินไหวอีกแล้ว!ข้าลืมตาขึ้นอย่างฉับไวจากนั้นก็คว้าลูกคนที่ห้าขึ้นมาอุ้มเอาไว้อย่างว่องไวแม้ว่าในตอนนี้ตนเองจะท้องโตอยู่ก็ตามที ทว่ายามที่แผ่นดินไหวนั้นทุกสิ่งจะสั่นโคลงเคลงไปหมด จนข้าเป็นกังวลว่าโคมไฟที่ห้อยเพดานเอาไว้จะตกลงมากระแทกใส่เจ้าลูกชายเอาได้แม้ว่าเจ้าเด็กห้าขวบนี่จะเป็นลูกมังกร ทว่าแค่รอยถลอกซึ่งเกิดขึ้นจาง ๆ นั้น ก็กลับทำให้จิตใจของข้าปวดร้าวเกินจะทนแล้ว“ท่านแม่!” เสียงของเลย์อานาดังขึ้นเรียกข้าให้ลงมายังชั้นล่างซึ่งดูแล้วคงจะเละเทะไม่น้อย ได้ยินดังนั้นข้าจึงลงไปยังชั้นล่างพลางสังเกตดูว่ามีลูกคนใดบาดเจ็บบ้างในเวลานี้เลย์อานาอายุสี่สิบปีแล้ว นางโตและมีเค้าลางของมังกรสาววัยแรกรุ่นกลาย ๆ แล้ว กระทั่งทารีรีเองที่มีอายุครบสามสิบห้าปีนี้ก็เริ่มแตกวัยสาวตามรอยเช่นเดียวกันกับพี่คนโตของนางแต่ทาซีร์นั้นยังดูเด็กนัก ลูกชายคนนี้เหมือนเด็กหนุ่มมนุษย์ที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยดี อาจเพราะไม่มีปีกทาซีร์จึงเหมือนข้าที่ขี้เกียจและเฉื่อยชา วันหนึ่งไม่เป็นอันทำสิ่งใด ผิดไปกับน้องสาวของตนอย่างแรนนี่ซึ่งที่อายุน้อยกว่าถึงสิบปีเชียวแรนนี่ในปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้
สิบห้าปีต่อมากลางฤดูใบไม้ร่วงนี้แปลกที่มีพายุฝนตั้งเค้ามาหลายอาทิตย์ เป็นเรื่องปกติของพายุฤดูใบไม้ร่วงที่คืบคลานมายังแดนเหนือเช่นเคย เพียงแต่พายุฝนในแดนเหนือนั้นไม่ได้ตกติดต่อกันเหมือนป่าเขตชื้นทางใต้ ส่วนใหญ่จะตกปรอย ๆ ไม่เป็นเวลาสลับกับห่าฝนที่สาดเทลงมาเป็นช่วง ๆ แทนอากาศในตอนนี้เองก็เริ่มจะหนาวเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว พออากาศเย็นมาเจอกับฝนก็ยิ่งทั้งชื้นแฉะและเย็นเยือกเข้าไปใหญ่“เด็ก ๆ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ” ข้าพึมพำจากนั้นก็นึกถึงบุตรสาวคนโตอย่างเลย์อานาที่บัดนี้มีอายุครบยี่สิบปีแล้วมีเลย์อานาอยู่คงจะไม่ต้องกังวลนัก อย่างไรนางก็สามารถดูแลน้อง ๆ ที่ยังไม่ประสาได้อย่างอยู่หมัด เป็นดังลูกคนแรกของครอบครัวที่ผ่านการขัดเกลามามากพอสมควร“ทารีรีกับทาซีร์คงจะเล่นก่อทรายกับเลย์อานากระมั้ง ส่วนแรนนี่คงหลับปุ๋ยไม่ตื่นทั้งวันได้” ทาแรนบอกข้าจากนั้นก็เดินนำหน้าข้าเข้าไปยังป่าที่ลึกมากขึ้น ป่าทางใต้ของแดนเหนือนั้นเป็นอาณาเขตที่มีชุมชนร่วมของมนุษย์ เอลฟ์ และคนแคระอาศัยอยู่ แต่ทว่าแปลกที่ป่าแห่งนี้พักหลังกลับมีสัตว์ป่าที่...ที่...แปลกประหลาดเกิดขึ้นมาพวกมันไม่ใช่สัตว์ที่มีรูปร่างพิการเพราะการสืบทอดสาย
ห้าปีต่อมาท้องโต ๆ ของข้ายื่นออกมาอย่างจากเสื้อตัวยาวอย่างชัดเจน แน่นอนว่าหากมองจากที่ไกล ๆ แล้วตัวข้านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกหมาแมวที่ตัวบวมและเดินโย้เย้ไม่มีผิดนักข้าร้องขอกับทาแรนว่าจะมีลูกกันหลังจากเลย์อานาอายุได้ห้าขวบพอดี ดังนั้นที่ผ่านแม้ว่าข้ากับเขาจะมีสัมพันธ์ทางกายระหว่างกันและกันทุกวี่วัน แต่ทาแรนนั่นไม่เคยหลั่งในข้าสักนิด พอเป็นเช่นนั้นที่หน้าท้องของข้าก็ไร้ความเคลื่อนไหวมาจนถึงห้าปีเต็มจนกระทั่งเวลานี้...ข้าก็ได้ตั้งครรภ์ครั้งที่สองแล้ว...หากนับ ๆ ดูนั้นมันก็ครบห้าขวบตามอายุของเลย์อานาเป๊ะ ๆ เลย!“ลม...” ข้าพึมพำเบา ๆ ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกไปยังนอกหน้าต่าง และสัมผัสกับสายลมจากแดนใต้ที่มาเยี่ยมเยือนแดนเหนือเสียแล้วแน่นอนว่านี่คือสัญญาณของฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สัตว์น้อยใหญ่ค่อนข้างจะมีความสุขพอสมควร ข้างใต้แหล่งน้ำจะมีพืชพรรณเติบโตมากขึ้น สาหร่ายหนาชุมช่วยหล่อเลี้ยงพวกนากกระทั่งสัตว์น้ำบางชนิดได้วางไข่ กระทั่งพวกหอยชนิดต่าง ๆ ก็จะอร่อยมากขึ้นฤดูนี้ เพราะมันจะตัวอ้วนและอวบนุ่มชวนให้น้ำลายสอเชียวแต่อากาศร้อนอย่างไรก็ย่อมต้องระมัดระวังอยู่บ้าง พวกนกที่ทำรังบนยอดไม้หากต้
ลูกมังกรน้อยซุกซนและขี้สงสัยไม่ต่างจากลูกสัตว์ชนิดอื่น ๆ ตามที่ข้าสังเกตเห็น ลูกสาวของข้าเมื่อครบหนึ่งเดือนก็เดินสองขาเตาะแตะไปมาที่ลานบ้าน วิ่งเล่นกับกองหิมะอย่างสนุกสนานไม่น้อย แน่นอนว่าทาแรนปล่อยให้ลูกสาวเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองเขาเฝ้ามองลูกอยู่ห่าง ๆ และคอยโฉบอีกฝ่ายกลับมาหากว่าเจ้าตัวน้อยเดินออกไปไกลเกินขอบเขตที่เขากำหนดเอาไว้“เจ้าเลี้ยงลูกเก่งจังเลยนะ” ข้าถามและรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเคยเลี้ยงมังกรน้อยหรือว่าเลี้ยงสัตว์มาก่อน“ข้าเคยเลี้ยงทารกมนุษย์อยู่บ้าง ลูกมนุษย์ของสหาย จากนั้นพอลูกของสหายมีลูก ข้าก็เลี้ยงดูลูกหลานของคนผู้นั้นไปเรื่อย ๆ อยู่หลายรุ่นเชียว” ทาแรนบอกข้าเพียงเท่านั้น แต่กระนั้นนัยน์ตาอีกฝ่ายกลับเศร้าสร้อยอยู่บ้างการสนิทกับมนุษย์นั้นมีข้อเสียใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่งก็เท่านั้นเอง และข้อเสียนั้นก็คืออายุขัยของมนุษย์ที่สั้นนัก อายุมนุษย์มากสุดถึงจะสองร้อยกว่าปี ทว่ามนุษย์ส่วนมากก็มักจะก้าวไม่พ้นร้อยปีแรก พวกเขาโตไว้และตายไว เหมือนแมลงที่อายุขัยสั้นไม่กี่สิบสัปดาห์เท่านั้นซึ่ง...การสนิทกับพวกมนุษย์มากเกินไปก็จะไม่พ้นที่ใจต้องเศร้าตรมนัก ความตายสำหรับมนุษย์เป็นสิ