แล้วสิ่งที่มิรันดาคิดนั้นมาไวกว่าที่คาด ดวงตาคมเข้มทอดมองไปที่หน้าโรงเรียนอนุบาลเอกชนตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ เด็กๆ ตัวน้อยในชุดนักเรียนน่ารักน่าเอ็นดูถูกผู้ปกครองจูงมือเดินมาส่งให้กับคุณครูสาวที่ยืนรอรับหน้าทางเข้าโรงเรียนคนแล้วคนเล่า แต่ทว่ากลับไม่มีแม้เงาของคนที่ทำให้เขาอุตส่าห์ตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่เพื่อมารอพบหลังจากที่ติดสินบนลูกชายของเพื่อนรักด้วยไอศกรีมถ้วยยักษ์และของเล่นชุดใหญ่ไฟกะพริบ ดิฐกรก็ได้รู้ว่าลูกสาวของมิรันดาเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 1/4 โรงเรียนเดียวกับที่พิธานลูกชายของพิรามเรียนอยู่ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่ค่าเทอมไม่ใช่จะถูกๆ มิรันดาที่เขารู้จักไม่น่าจะมีเงินมากพอจะส่งลูกเรียนในที่ดีๆ แบบนี้ ในเมื่อตอนอยู่ด้วยกันเขายังต้องคอยซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายให้ทุกเดือน ถึงแม้เธอจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเงินเดือนที่บริษัทนั่นก็ไม่น่าจะจ่ายไหวหรือเธอจะมีคนช่วยจ่ายนะหากนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักที่เขาต้องสนใจตอนนี้ เพราะสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นยิ่งกว่าเมื่อได้รู้ชื่อของเด็กหญิงผู้นั้นเด็กหญิงของขวัญ ชื่อเล่นคือ...น้องมิวเขาไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะลองผสมคำดูเล่นๆ
เพียงไม่นานรถของผู้จัดการหนุ่มก็แล่นมาจอดที่หน้าบ้านของมิรันดา เธอหันไปเอ่ยกับเขาอย่างเกรงใจ“จริงๆ พี่คิมไม่ต้องแวะมารับมี่ไปส่งน้องมิวที่โรงเรียนทุกเช้าก็ได้นะคะ มี่เกรงใจ เทียวไปเทียวมาเดี๋ยวพี่ก็ไปทำงานสายกันพอดี”“ก็พี่อยากเจอมี่กับลูกก่อนไปทำงานไง มาหามี่พี่ก็ได้เสบียงอร่อยๆ กลับไปกินที่ออฟฟิศด้วย” มิรันดาค้อนคนพูดอย่างอ่อนใจ“งั้นเดี๋ยวเย็นนี้รอพี่นะ จะได้ไปรับลูกด้วยกัน”“ไหนว่ามีประชุมไงคะ ไม่ต้องมารับหรอกค่ะ เดี๋ยวมี่ไปรับลูกเองก็ได้ค่ะ”“งั้นก็ตามใจครับ เดี๋ยวเลิกงานพี่แวะมากินข้าวเย็นด้วยแล้วกัน เอ หรือเราจะพาลูกไปกินข้าวนอกบ้านดี มี่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำเองไง” คีรินถามเสร็จก็นึกขำ ตอนนี้พวกเขาเหมือนเป็นคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันไม่มีผิด เขาใฝ่ฝันถึงครอบครัวอบอุ่นแบบนี้มาตลอด“กินที่บ้านดีกว่าค่ะ เดี๋ยวมี่เตรียมของโปรดพี่คิมไว้ให้ รับรองอร่อยเหาะ”“ขอบคุณครับ งั้นพี่ไปทำงานก่อนนะครับ”“เดี๋ยวค่ะพี่คิม” หญิงสาวร้องเรียก พร้อมกับยื่นมือไปที่เนกไทของเขาเพื่อจัดให้มันเข้าที่เข้าทาง คีรินก้มมองสิ่งที่เธอทำให้ด้วยหัวใจที่พองโตคับอก อยากที่จะโน้มลงไปหอมแก้มใสๆ นั่นเพื่อเป็นการตอบ
หลังจากที่ตกลงเจรจาซื้อบ้านข้างๆ มิรันดาเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ดิฐกรก็วางแผนขั้นต่อไปเพื่อจะไปพบลูกสาวโดยใช้ตัวช่วยอย่างพิรามที่ต้องไปรับลูกชายตามหน้าที่พ่อแสนดี เขาจึงขอตามไปด้วย แม้จะงงๆ แต่พิรามก็ยอมช่วยเพื่อนแต่โดยดี“เมื่อไหร่จะออกมาสักทีวะ” คนใจร้อนบ่นอุบ สายตามองหาท่ามกลางเด็กๆ มากมายพิรามมองเพื่อนรักอย่างระอา แต่ก็พอเข้าใจได้“ใจเย็นๆ สิวะเพื่อน เดี๋ยวก็มา อ้าว นั่นไงมาแล้ว”“พ่อราม!” เสียงเด็กชายดังมาก่อนตัว ทำให้ดิฐกรรีบชะเง้อมอง แล้วหัวใจก็พลันกระตุกอย่างแรง เมื่อได้เห็นคนที่เดินมาพร้อมเด็กชายพิธานข้างๆดิฐกรก็เผลอยิ้มออกมา เมื่อเช้าเห็นไกลๆ ก็ว่าน่าเอ็นดูมากแล้ว พอได้มาเห็นใกล้ๆ เขาก็แทบใจละลายอยากคว้าคนแก้มยุ้ยมากอดไว้“พ่อราม...”คำนั้นทำให้ดิฐกรอยากได้ยินเด็กหญิงตรงหน้าเรียกเขาแบบนั้นเช่นกันพ่อดิว...แค่คิดก็ใจพองฟูแล้ว“สวัสดีอาดิวก่อนสิเจ้าธาน”“สวัสดีครับอาดิว”“ว่าไงคะน้องมิว”เจ้าของชื่อยิ้มแฉ่ง พลางยกมือไหว้ชายทั้งสองตามที่แม่สอน นั่นทำให้ดิฐกรยิ่งใจเหลว มิรันดาสอนลูกสาวมาดีไม่น้อย“รอคุณแม่รับเหรอคะลูก”“ค่ะ เดี๋ยวแม่มี่มาค่ะ”“กลับด้วยกันไหมลูก” อะไรบางอย่างผลัก
แม้จะเตรียมใจไว้แล้วตั้งแต่เจอพิรามที่ห้างว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องบอกดิฐกรเรื่องเธอกับลูก เธอไม่ได้คาดหวังอะไรกับผู้ชายเส็งเคร็งคนนี้นานแล้ว สำหรับมิรันดาเขาไม่ได้สำคัญกับชีวิต และจะไม่สำคัญต่อไป“ม...มี่...ไม่เจอกันนานเลยนะ ยังจำพี่ได้ไหม”ทักอะไรแบบนั้นวะกู ไม่คูลเลยให้ตายสิอากาศไม่ร้อนแต่ดิฐกรกลับเหงื่อแตก เพราะความประหม่าทำให้เขาหลุดปากถามอะไรไม่เข้าท่าออกไป ทั้งที่ในใจเขามีเป็นหมื่นล้านคำที่อยากพูดอยากบอกกับเธอมาตลอด แต่มันพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นใบหน้าสวยหวานที่ตอนนี้บึ้งสนิทและสายตาเย็นชาที่มองมาคู่นั้นที่บ่งบอกว่าหญิงสาวตรงหน้าเปลี่ยนไปแล้วมิรันดาที่ยืนตรงหน้าไม่ใช่เมียแสนดีคนเดิมที่รักและเทิดทูนบูชาเขายิ่งกว่าสิ่งใด จะโทษใครได้เล่า นอกจากความโง่ของตัวเอง“มาทำไม” เธอถามเสียงเย็นชา หน้าเขาก็ไม่อยากมองด้วยซ้ำ“มี่จ๋า เราคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม”“รีบพูดมา หรือไม่ก็ไสหัวไปซะ” ดิฐกรกลืนน้ำลายฝืดคอ ยิ้มเกร็งเสียจนหน้ากระตุก เมื่อเห็นมุมไม่ไยดีจากเมียที่เขาแสนคิดถึงทำไมดุจังวะ จะกินหัวกูก่อนไหมเนี่ย“เอ่อ...คือ พี่มาเรื่องลูก”คำนั้นทำให้มิรันดาใจหายวาบ แต่ยังฝืนทำหน้านิ่งขึงไว้ไม่ยอมให
“น้องมิว นี่พ่ะ...อ้าก!!”คำว่าพ่อยังไม่ทันหลุดจากปาก ดิฐกรก็แหกปากลั่นเมื่อโดนลูกสาวอ้าปากงับที่ข้อมือของเขาสุดแรงเกิด จะสะบัดก็เกรงลูกจะเจ็บ ครั้นจะปล่อยมือมิรันดาไป ก็กลัวจะไม่มีโอกาสเข้าใกล้เธออีก“ฮือๆ อ่อยแอ่หนูนะ อ่อย”“น้องมิว...อย่าทำแบบนั้นลูก” มิรันดาร้องบอกลูกสาวอย่างเป็นห่วงจับใจ แม้เธอจะโกรธดิฐกรแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้อยากดึงลูกน้อยเข้ามาในสงครามครั้งนี้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่สามีของเธอแล้ว แต่เขาก็เป็นพ่อแท้ๆ ของลูก“ปล่อยก่อน เดี๋ยวลูกเจ็บ...”เพราะคำนั้นทำให้ดิฐกรได้สติจำต้องปล่อยมือเธอไป เพราะเกรงลูกสาวตัวน้อยจะได้รับบาดเจ็บ หรือไม่ก็ฟันน้ำนมหลุดติดมือเขามาทั้งแผงเสียก่อน กัดแรงขนาดนี้ มิรันดาให้อะไรลูกกินเป็นอาหารเนี่ยพอเห็นอีกฝ่ายปล่อยมือจากแม่ หนูน้อยก็คลายฟันออกจากข้อมือ มิรันดาจึงรีบฉวยโอกาสผลักชายหนุ่มออกไปสุดแรง แล้วรีบกระชากประตูปิดโดยไม่เห็นมือของอีกฝ่ายที่ยื่นมาพอดีปึง!“โอ๊ย!” ดิฐกรแหกปากร้องลั่น เมื่อถูกประตูปิดกระแทกหนีบมืออย่างจัง จนเขาคิดว่ามือคงขาดคาประตูเสียแล้วเพราะความเจ็บจี๊ดไปถึงแกนสมองจนเห็นเดือนเห็นดาวนั่นแม้จะตกใจ แต่มิรันดารีบผลักอีกฝ่ายออกไป ก่
“มาค่ะคนดี มากินข้าวก่อน เดี๋ยวจะได้ออกไปรอลุงคิมมารับที่หน้าบ้านกัน”หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จสองแม่ลูกจูงมือไปที่ประตู หากแล้วเมื่อเปิดประตูออกไป มิรันดาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างใครคนหนึ่งนั่งพิงประตูหลับอยู่“แม่มี่ขา! นั่นลุงคนแปลกหน้านี่คะ” เด็กหญิงตัวน้อยเอะอะลั่น พลางโผเข้ามากอดคนเป็นแม่แน่นมิรันดาเกือบอุ้มลูกเข้าบ้านอีกรอบแล้ว แต่ไม่วายหันไปมองดิฐกรที่นอนแน่นิ่งไม่มีทีท่าว่าจะตื่นหรือขยับไหวติง มือที่โดนประตูหนีบบวมเป่งอย่างน่ากลัวตายหรือยังเนี่ย“หนูอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวแม่มา”หญิงสาวหันไปบอกลูก ก่อนเหลียวซ้ายแลขวา เจอไม้กวาดอันหนึ่งเลยฉวยติดมือมา“แกล้งหลับหรือเปล่าเนี่ย” มองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนใช้ด้ามไม้กวาดเขี่ยปลุกแรงๆ แต่ก็ไม่ได้ผล เขาไม่ยอมขยับ ใบหน้าหล่อซีดเผือด ทำให้เธอลองยื่นมือไปอังที่จมูกโด่งๆ นั่น ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอ่อนๆก็แปลว่ายังไม่ตาย จึงยื่นมือไปตบที่ใบหน้าเบาๆ เพื่อปลุกให้ตื่น แต่ทว่าเธอกลับต้องสะดุดโหยง เ
“อุ๊ย!”“คนใจร้าย...” เสียงแหบพร่าตัดพ้อ แต่ยังเทียบไม่ได้กับดวงตาอิดโรยที่มองมาอย่างเว้าวอนคู่นั้น“ใจคอจะทิ้งคนป่วยใกล้ตายอย่างพี่ไว้คนเดียวจริงๆ เหรอ”มิรันดาเหยียดปากกับความสำออยของคนตรงหน้า“ใกล้ตายงั้นเหรอ ฮึ สำออยสิไม่ว่า ทำไมฉันจะทิ้งไม่ได้ล่ะในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เดี๋ยวแม่คุณก็มาเฝ้าแล้วนี่”“มี่ก็อยู่ก่อนสิ จะได้เจอแม่พี่ไง เมื่อก่อนมี่ก็อยากให้พาไปรู้จักกับครอบครัวพี่ไม่ใช่เหรอ”“เหอะ! นั่นมันเมื่อก่อนย่ะ แต่ตอนนี้ไม่อยากรู้จัก ไม่อยากข้องแวะด้วยแล้ว ปล่อยมือฉันเสียทีเดี๋ยวสายน้ำเกลือก็หลุดหรอก”“เป็นห่วงพี่ด้วยเหรอ”“อย่าสำคัญตัวผิด ฉันเป็นห่วงสายน้ำเกลือต่างหาก” มิรันดาตอกกลับไม่ไว้หน้า“พี่ขอโทษ...”มิรันดาชะงักไปทันทีที่ได้ยินคำนั้นจากปากเขา“พี่ผิดไปแล้ว ผิดที่ทิ้งเธอไปในวันนั้น พี่มันโง่มากที่ทำแบบนั้น มี่จะยกโทษให้คนโง่ๆ อย่างพี่สักครั้งไม่ได้เหรอ เรากลับมาเป็นเหม
“เดินไหวไหมคะ” คนถูกถามส่ายหน้าน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บ “ข้อเท้าน่าจะพลิก เดี๋ยวหนูเรียกรถเข็นให้ดีกว่านะคะ ให้คุณหมอดูอาการสักนิด”ว่าแล้วมิรันดาก็จัดการเป็นธุระให้และอยู่เป็นเพื่อนรอ จนหญิงผู้นั้นได้พบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการเบื้องต้น“โชคดีกระดูกไม่หัก แต่ข้อเท้าพลิกนิดหน่อยครับ เดี๋ยวประคบเย็นให้หลอดเลือดรอบๆ ข้อเท้าหดตัว อาการบวมก็จะลดลง และให้พันผ้ายืดไว้ที่ข้อเท้า อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองครับภายในไม่กี่วัน แต่ระหว่างนี้คนไข้อย่าเพิ่งเดินมากนะครับ ถ้ามีอาการอะไรผิดปกติก็ให้ลูกคุณป้าพามาพบหมอที่โรงพยาบาลทันที”“เอ่อ...ฉันไม่ใช่ลูกของคุณป้าหรอกค่ะ” มิรันดารีบออกตัว“งั้นคุณก็ช่วยบอกลูกของคุณป้าตามนี้แล้วกันครับ เดี๋ยวหมอจะจัดพวกยานวดกับผ้ายืดพันข้อเท้าให้ คุณไปรอรับที่ห้องยาได้เลย”“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”หลังจากออกจากห้องตรวจ มิรันดาก็จัดการไปรอรับยาให้จนเสร็จเรียบร้อย คนป่วยมองหญิงสาวหน้าหวานที่ช่วยตนไว้อย่างซาบซึ้งใจ“นี่ค่ะยาของคุณป้า หนูต้องกลับแล้ว
“พ่อคะ จริงๆ เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลยนะคะ แคทอธิบายได้”“แล้วที่ลูกกับตาดิวมีอะไรกันแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” มาคำถามแรกก็ยิงเข้าประเด็นทันที สมแล้วที่เป็นพ่อเธอ หญิงสาวกลืนน้ำลายฝืดคอ“เอ่อคือ...” สาวมั่นเริ่มอึกอัก รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อมองไปรอบห้องที่ตอนนี้พุ่งเป้ามาที่เธอ นี่มันยิ่งกว่าโดนตำรวจสอบปากคำเมื่อกี้นี้เสียอีก“คิดให้ดีก่อนตอบ เพราะถ้าพ่อจับได้ทีหลังว่าโกหก ลูกก็รู้ว่าจะเป็นยังไง” เสียงเรียบนิ่ง ดุในที ทำให้คนเป็นลูกนึกขยาดเธออาจจะมั่นหน้ากับใครทั้งโลกก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่กับบิดาของตัวเอง ความมั่นใจในตัวไม่เคยมีผล ทุกครั้งที่เธอคิดจะโกหก ต่อให้เนียนแค่ไหน เนียนชนิดคนทั้งโลกไม่มีทางจับไต๋ได้ แต่สุดท้ายก็โดนพ่อจับโป๊ะได้ทุกที เรียกว่าแพ้ทางก็ว่าได้หญิงสาวหันไปสบตาผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างหนักใจ เห็นไหม เธอก็เตือนแต่แรกแล้วว่าอย่ามาๆ เขาก็ยังดื้อแพ่งจะมา แล้วไงล่ะเนี่ย หัวจะปวด“ว่าไงตาดิว เธอเป็นลูกผู้ชายคงไม่คิดโกหกผู้ใหญ่หรอกใช่ไหม” คุณราเมศร์เบนเข็มไปทางชายหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจังปฏิเสธไปสิ อย่ายอมรับง่ายๆ นะลูกพี่ อย่า...“ใช่ครับ เราสองคนมีอะไรกันแล้ว”“เห็นไหมคะพ่อ เรื่อ
เวลาต่อมา สองหนุ่มสาวก็มาถึงถ้ำเสือ แคทรียาหันไปมองเพื่อนร่วมชะตากรรมที่นั่งทำหน้าเหมือนคนท้องผูกมาตลอดทาง“ถ้าอยากเปลี่ยนใจ จะกลับตอนนี้ก็ยังทันนะคะ”ดวงตาคมเข้มตวัดมองสบตาหญิงสาว“เธอรู้ได้ยังไงว่าพี่อยากเปลี่ยนใจ”“อ้าว! ก็แคทไม่ได้โง่นี่นา เห็นพี่นั่งทำหน้าเป็นตูดมาตลอดทางก็รู้แล้วว่าไม่เต็มใจ”“รู้ดีจริงนะ”“เฮ้อ...ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่าพี่น่ะหวงความโสดจะตาย พี่ไม่อยากแต่งงานกับแคท เลยหนีการดูตัวทุกครั้ง แล้วแคทเองก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับคนที่ไม่รักกันแบบพี่ด้วย แต่ถ้าขืนเราเข้าไปเจอพ่อตอนนี้แล้วโดนพ่อแคทมัดมือชกบังคับให้เราสองคนแต่งงานกันล่ะ พี่ดิวจะว่ายังไง” หญิงสาวแกล้งขู่ทีเล่นทีจริง“พี่ก็รู้นี่ว่าพ่อแคทเป็นพวกหัวโบราณสุดๆ ขืนรู้ว่าที่ผ่านมาพวกเราแอบแซ่บกันแล้วตั้งหลายครั้ง มีหวัง...ชึ้บ!” หญิงสาวทำท่าเอานิ้วชี้ปาดคอตัวเองด้วยสีหน้าสยองขั้นสุด“ในเมื่อเธอก็โสดแล้ว พี่เองก็ไม่มีใคร ถ้าต้องแต่งกันจริงๆ ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่”“อย่ามาล้อเล่น หน้าสิ่วหน้าขวานนะคะ นี่แคทซีเรียส นะ พวกเราก็แค่แกล้งๆ คบกันตบตาชาวบ้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชน ถ้าขืนแต่งงานกันก็ผิดวัตถุประสง
“ก็ถ้ารู้ว่าต้องเสียค่าปรับแบบนี้ แคทน่าจะแถมให้อีตาบ้านั่นอีกสักหมัดสองหมัด เจ็บใจนัก”หญิงสาวบ่นอุบ จนคนฟังถึงกับส่ายหน้า ขืนไม่รีบสลบเหมือดคาที่สิ มีหวังเจ้าวรพลนั่นคงเดี้ยง ไม่ก็คงได้จองเมรุไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นเจ้าหมอนั่นก็คงเข็ดขยาดไปไม่น้อย เมื่อเจอตอสุดแสบอย่างแคทรียาคนนี้ เห็นตัวผอมๆ เพรียวๆ ใครจะคิดว่าเจ้าหล่อนจะแรงเยอะเอาเรื่องใช่ย่อย เล่นเอาผู้ชายตัวโตกว่าสลบคาที่ไม่พอ แม่ตัวดียังขอแจ้งความลงบันทึกประจำวันเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายมารังควานเธออีกแต่กระนั้นเขาก็ยังไม่วางใจเมื่อเห็นแววตาอาฆาตจากอีกฝ่ายก่อนที่จะยอมแยกย้ายกลับไปแบบมือเปล่า“คิดอะไรอยู่เหรอคะพี่ดิว”“เมื่อกี้เธอเห็นสายตาของไอ้หมอนั่นไหม พี่ว่าท่าทางมันไม่น่าไว้ใจนะ ระหว่างนี้เธออย่ากลับไปพักที่คอนโดนั่นจะดีกว่านะ เพื่อความปลอดภัย”“พี่เป็นห่วงแคทด้วยเหรอคะ”“น้อยๆ หน่อย อย่าหลงตัวเอง...” แคทรียาเบ้ปากใส่“ไม่ให้พักที่คอนโดตัวเองแล้วจะให้ไปนอนที่ไหน ช่วงนี้แคทไม่อยากกลับไปนอนที่บ้านนี่นา”“งั้นก็ไปพักที่คอนโดพี่ก่อนแล้วกัน” หญิงสาวหันไปทำตาโตใส่คนใจป้ำ“ไปนอนคอนโดพี่เนี่ยนะ นี่ไม่ได้คิดมิดีมิร้ายหรือมีจุดประสงค์แ
เมื่อขาเรียวสวยเสยเข้าที่ปลายคางของอีกฝ่ายอย่างจังจนสลบเหมือดกลางอากาศ ท่ามกลางสายตาไทยมุงทุกคนมองภาพนั้นตาค้าง ดิฐกรถึงกับอึ้ง เสียวทั้งเป้ากางเกงและปลายคางวาบ ชักรู้สึกเห็นใจไอ้หมอนั่นขึ้นมาหน่อยๆ แต่มันก็สมควรโดนแล้ว“อูย...” แคทรียาแอบครางเบาๆ ความโมโหทำให้เธอลืมตัวไปว่าเธอยังไม่หายระบมจากศึกหนักบนเตียงเมื่อคืน“เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” ดิฐกรรีบเข้าไปประคองหญิงสาวไว้ด้วยความเป็นห่วง“ไม่เป็นไรค่ะ สะใจชะมัด เสียดายไม่น่ารีบใจเสาะสลบเหมือดแบบนี้เลย ไม่งั้นแคทจะได้จัดชุดใหญ่ไฟกะพริบให้อีกสักยกเอาให้เข็ดหลาบ ปากดีนัก”“พอเถอะ แค่นี้ก็ไม่รู้จะฟื้นตอนไหนแล้ว เธอไปเรียนต่อยมวยมาจากไหนนี่”“ไม่ใช่แค่ต่อยมวยนะคะ เทควันโด้ ยูโด คาราเต้ ฟันดาบ หรือว่ายิงปืนแคทก็ได้เหรียญทองมาแล้วทั้งนั้น”ดิฐกรฟังแม่ตัวยุ่งบรรยายสรรพคุณตัวเองอย่างอึ้งทึ่งเสียว ดวงตาคมกริบเหลือบมองวรพลที่นอนนิ่งหายใจรวยรินอย่างเห็นใจระคนสมเพชเวทนา หมอนี่มันจะรู้ไหมว่ามาแหยมผิดคน“แคทล้อเล่นค่ะ อย่าบอกนะว่าพี่เชื่อด้วย” หญิงสาวหัวเราะออกมาอย่างสดใส พลางคลี่ยิ้มหวานใส่ตาของเขา จนทำเอาดิฐกรถึงกับตาพร่าไปชั่วขณะ ความคิดหน
วรพลมองภาพหน้าจอตาค้าง เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าเมื่อเห็นหลักฐานที่มัดตัวเขาแน่นทั้งคลิปทั้งรูปถ่ายจนดิ้นไม่หลุด แก้ตัวไม่ออก แต่เขาก็ฝืนดังทุรัง“ก็แค่คนหน้าเหมือนหรือเปล่า ถ่ายไกลขนาดนั้น คุณอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ สิ”“หน้าเหมือนหรือหน้าด้านยะ คลิปกับรูปนั่นฉันเห็นเองกับตา ถ่ายเองกับมือ เดินตามดูจนแน่ใจว่าไม่ผิดตัว ไม่ได้ตัดต่อด้วย อ้อ! แล้วฉันก็ยังโทรเช็กเองด้วย จำได้ว่าคุณบอกติดประชุมที่บริษัท แต่กลับมาจู๋จี๋กับกิ๊กที่ร้านอาหารญี่ปุ่น จะเอาหลักฐานอะไรอีกไหม ไงล่ะ ถึงกับอึ้งไปเลยเหรอ”วรพลถึงกับหน้าซีดเมื่อถูกจับโป๊ะจนไปไม่เป็น“มะ...มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ แคทที่รักฟังผมก่อน ผมอธิบายได้นะดาร์ลิง”“จะอธิบายว่าไงล่ะ อธิบายว่าทำไมถึงนอกใจฉันไปมีกิ๊กงี้เหรอ ไงล่ะ พอโดนสวมเขา เห็นแฟนตัวเองนอกใจมีกิ๊กบ้างถึงกับรับไม่ได้เลยหรือไง”“แคท ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”“แล้วมันยังไงล่ะ ที่ผ่านมายังตอแหลไม่พออีกหรือไง จะเลิกตอแหลกี่โมงเนี่ย ฉันขี้เกียจฟังคำแก้ตัวแล้ว เสียเวลาชีวิต นายไม่ได้มีค่ามากพอขนาดนั้นหรอกนะ รู้ไว้ด้วย ที่ผ่านมาฉันก็แค่เวทนาเก็บงูเห่ามาเลี้ยง แต่ดันเลี้ยงไม่เชื่อง จากนี้ไปก็ทางใครทางมันแ
“น้อยๆ หน่อย ค่าตัวพี่แรงนะ เธอจะจ่ายไหวเหรอ ไอ้ประเภทจ่ายพันสองพันแล้วคิดจะใช้งานกันเกินคุ้มน่ะ เลิกคิดเลิกฝันได้” เขาเหน็บแนมคนที่เคยควักจ่ายค่าตัวเขาสองพันแล้วชิ่งหนี“แรงน่ะเท่าไหร่คะ แคทมีปัญญาจ่ายแล้วกัน หรือจะให้สแกนคิวอาร์โค้ดตอนนี้เลยก็ได้”“ปากดีแบบนี้ ระวังต้องจ่ายจนหมดตัว”แคทรียาย่นจมูก มองคนขี้อวดอย่างหมั่นไส้“อย่าเวอร์ค่ะ พี่ก็แค่ของมือสองใช้มาจนเยินแล้วด้วย จะมาโก่งค่าตัวทำไม แถมตอนนี้ก็มีตำหนิเต็มตัวด้วย ใครจะไปอยากได้ ขายเซียงกงจะรับไหมก็ไม่รู้เลย ฮึ”ดิฐกรฟังแล้วอยากดีดปากแม่ตัวดีให้บวมเจ่อ โทษฐานที่บังอาจมาดิสเครดิตว่าเขาเป็นของมือสองใช้แล้วแถมมีตำหนิอีก อย่างนี้ต้องเจอดีเสียแล้ว “ว้าย! พี่ดิวจะทำอะไร เดี๋ยวน้องตก”แคทรียาเอะอะ เมื่อจู่ๆ ก็ถูกช้อนอุ้มขึ้นจากเตียงกะทันหัน จนเธอต้องรีบโอบรอบคอเขาไว้กันตก“เดี๋ยวก็รู้!”ว่าแล้วเขาก็อุ้มเธอเข้าไปในห้องน้ำ แล้ววางลงในอ่างจากุซซี่เพื่อเริ่มต้นทำการทดสอบคุณภาพสินค้ากันอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม จนหญิงสาวแทบสำลักความสุขส่งเสียงครวญครางออกมาไม่ขาดปาก กว่าที่การทดสอบสินค้าจะสิ้นสุดก็กินเวลาจนเกือบเที่ยง ดิฐกรถึงอุ้มเธอออกม
ดีเท่าไหร่เขาไม่บีบคอเธอตายคามือโทษฐานที่ย่ำยีร่างกายบุรุษจนลายพร้อยไปทั้งตัว นี่ยังไม่นับใต้ร่มผ้า ยิ่งอยากจะลืม ภาพความป่าเถื่อนต่างๆ ก็ไหลเข้ามาในสมองไม่หยุดทีนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันล่ะยัยแคทเอ๊ยกำลังคิดหาทางหนีทีไล่ จู่ๆ ดวงตาที่หลับพริ้มก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นและจ้องมองมาที่เธอจนเกือบสะดุ้ง“พะ...พี่ดิว เอ่อคือ...เรื่องเมื่อคืน แคท...” จู่ๆ สมองก็ชอร์ตขึ้นมาดื้อๆ เสียอย่างนั้น ปากมันพูดไม่ออก เลือดก็วิ่งขึ้นใบหน้าจนร้อนผ่าวๆ“เมื่อคืนแคททำไม” เขาถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่งจนอ่านไม่ออกว่าโกรธหรืออะไร ยิ่งทำให้คนมีชนักถึงกับร้อนๆ หนาวๆ“ก็...”ถ้าจะจ้องกันขนาดนี้ เอามีดมาแทงเลยดีกว่าไหม คนยิ่งเขินๆ อยู่ หญิงสาวนินทาในใจ“ก็เรื่องที่แคททำพี่เจ็บตัวเมื่อคืนไงคะ”“อ๋อ...”“อ๋ออะไรคะ จะด่าอะไรก็ด่ามาเลย อูย...” เพียงขยับก็โดนร่างกายประท้วงจนน้ำตาแทบเล็ด“เจ็บตรงนั้นล่ะสิ” เสียงนุ่มหูแกล้งกระซิบถามให้เขิน“อืม...”“ใช้งานหนักไปหน่อย งั้นก็พักสักวันเถอะ เมื่อคืนแทบไม่ได้พัก โดนเธอปล้ำทั้งคืน เพลียจะแย่”“ปะ...ปล้ำ...”คนฟังรู้สึกหน้าร้อนฉ่า เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปตอนที่ถูกยาผีบ้านั่
แคทรียากลับยอมให้หมอนั่นกอด แถมยังกอดตอบ และยื่นมือไปดึงใบหน้าชายคนนั้นเข้ามาจูบอย่างดูดดื่มโดยไม่สนสายตาใครราวกับถูกฟ้าผ่าเปรี้ยงที่กลางหัว ภาพบาดตาตรงหน้าทำให้วรพลถึงกับช็อกตาตั้ง ตัวแข็งทื่อ หน้าชาเหมือนโดนชกแรงๆ ซ้ำๆ นี่เองใช่ไหมเหตุผลที่เธอทำตัวแปลกไป ทั้งเย็นชาเหินห่างกับเขา ไหนจะเสียงผู้ชายที่รับโทรศัพท์ในตอนนั้นที่แท้เธอก็นอกใจเขานี่เอง!วรพลบดสันกรามแน่นด้วยความโมโหจนหน้ามืด ขาดสติ เขารีบจ้ำอ้าวจะตรงเข้าไปเอาเรื่องสองหนุ่มสาวที่ยืนกอดจูบเย้ยฟ้า แต่ทว่ากลับถูกขวางไว้“หลีกไปนะ นั่นแฟนผม ผมจะไปหาแฟน หลีกไปสิ!”“คุณเข้าไม่ได้ครับ” เจ้าหน้าที่รปภ.หันไปเรียกเพื่อนอีกสองคนเข้ามาขวางไว้ไม่ยอมให้ผ่านเข้าไปง่ายๆ เกิดการยื้อยุดกัน จนสุดท้ายวรพลก็ถูกผลักจนกระเด็นหงายหลังก้นจ้ำเบ้าอย่างหมดท่า“แคท!”เมื่อสู้แรงไม่ไหววรพลจึงได้ตะโกนเรียกแฟนสาวเสียงดังลั่นอย่างสิ้นหวัง แต่ทว่าสองหนุ่มสาวก็เดินเข้าไปในตึกคอนโดเสียแล้วเลยไม่ได้ยินเสียงเรียกของเขาชายหนุ่มกัดฟันกรอด กำมือแน่น ในใจร้อนรุ่มประหนึ่งมีกองไฟนรกแผดเผา ยัยบ้านั่นทำแบบนี้กับเขาได้อย่างไร ทีกับเขาเป็นแฟนกัน ทำได้แค่จับมือ จะจูบทีก็ห
“เดี๋ยวสิ พี่ดิว...” คำพูดนั้นถูกกลืนลงคอไปในทันใด เมื่ออีกฝ่ายจัดการปิดปากสวยๆ ของเธอด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน ท่ามกลางสายตาของทุกคนในผับ บางคนถึงกับคว้าโทรศัพท์มาแอบถ่ายคลิปบอสและพรรคพวกที่มาด้วยกันมองภาพนั้นตาค้างเติ่งเมื่อชายหนุ่มถอนริมฝีปากออก แคทรียาก็เกือบเข่าอ่อน จูบดูดวิญญาณของเขาทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงกระหน่ำแทบทะลุอก จู่ๆ ร่างกายก็พลันร้อนวูบวาบขึ้นมา เลือดสูบฉีดขึ้นไปที่ใบหน้าสวยเก๋จนแดงซ่าน“หึ!” ดิฐกรกดยิ้มมุมปาก นึกอยากจะรังแกแม่สาวซ่าขึ้นมาอีกสักรอบ “ทีนี้จะกลับได้หรือยัง”“...”ไม่รอให้หญิงสาวตอบ เขาก็จัดการช้อนอุ้มร่างอรชรขึ้นแล้วพาเดินฝ่าวงล้อมไทยมุงออกไปโดยไม่สนใครหน้าไหนจะว่ายังไงทั้งนั้นดิฐกรอุ้มหญิงสาวออกมาถึงด้านหน้าผับเพื่อเรียกแท็กซี่ คืนนี้เขาดื่มไปไม่น้อยเหมือนกัน เลยไม่อยากขับรถกลับเองและอีกเหตุผลคือ...“พี่ดิว...อื้อ...แคทร้อนจัง เวียนหัวจะอ้วกด้วย ปล่อยก่อน...”ชายหนุ่มก้มมองใบหน้าสวยเก๋ที่ตอนนี้ซีดเผือดมีเหงื่อซึมผุดพรายเต็มหน้า ดูเหมือนยานั่นเริ่มจะออกฤทธิ์เสียแล้ว“ทนหน่อย เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว”“ไม่เอา แคทไม่กลับบ้าน เดี๋ยวพ่อด่า”“ทีอย่างนี้ล่ะกลัวพ่อด