ณ ห้องประชุมศูนย์บัญชาการกองทัพบกพันเอกเกรียงไกร สถิตรักษาชาติ นั่งที่หัวโต๊ะการประชุมฝั่งขวามือของผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุด ด้วยตำแหน่งรองเลขานุการกองทัพบก การประชุมวางแผนการรบนั้น สถานการณ์การตึงเครียดมาหลายสัปดาห์แล้ว เขาแทบจะไม่ได้กลับไปที่บ้านเลยข่าวล่าสุดจากชายแดนนับว่าเป็นข่าวดียิ่งนัก กองกำลังทหารที่ถูกส่งออกไปล่าอาณาเขตสยามคืนจากฝรั่งเศสได้ยึดพื้นที่คืนทั้งในแคว้นหลวงพระบางฝั่งขวาห้วยทราย โดยกองพลพายัพ ทั้งบ้านห้วยเขมรถูกยึดโดยกองพลจันทบุรี นอกจากนี้พื้นที่ทางทิศตะวันตกของศรีโสภณยังถูกกองทัพบูรพายึดได้ และอีกไม่นานคงได้ข่าวจากกองทัพทหารราบที่คุมเขตแดนอยู่ที่ลุ่มน้ำโขงตอนล่างหากฝรั่งเศสสยบยอมแต่เร็ววัน อีกสองสามวันเขาก็จะได้กลับบ้านไปพักผ่อนเสียทีระหว่างที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียด พลทหารส่งสารก็ตบเท้า ทำท่าตะเบ๊ะ ขอนำข้อความจะวิทยุสื่อสารมาส่งให้พันเอกเกรียงไกร สถิตรักษาชาติ“สารจากกองพันทหารราบ สังกัด ร้อยเอกธราดลครับ !”เสียงกล่าวรายงานดังชัดถ้อยคำประธานการประชุมพยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาต พลทหารส่งสารจึงนำกระดาษที่มีข้อความให้กับรองเลขานุการก
ทีมแพทย์และพยาบาลกรูกันเข้ามาในห้อง ผู้กองธราดลจึงขอตัวออกมาด้านนอกเพื่อให้หมอได้ตรวจดูอาการหญิงสาว“จัดกำลังทหารเฝ้าที่เต็นท์ทีมแพทย์อาสาด้วย และจับตาดูลูกสาวผู้พันเป็นพิเศษอย่าให้เธอก่อเรื่องยุ่งยากอะไรอีก”ผู้กองธราดลออกคำสั่งกับหัวหน้าพลทหารที่เดินมาตรวจตราในบริเวณนั้นพอดี“ครับผม”หัวหน้าพลทหาร ตบเท้าทำท่าตะเบ๊ะมือรับคำสั่งอย่างแข็งขันหวีดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดหวีดดดดดดดดดดดดดดดดหวีดดดดดดดดดดดดเสียงสัญญาณกรีดร้องขึ้นท่ามกลางความมืด แม้จะเบาหากแต่ว่าหวีดแหลม ธราดลและพลทหารทุกคนภายในค่ายต่างยืนนิ่งเงี่ยหูฟังเสียงสัญญาณนั้น เมื่อแน่แก่ใจแล้วว่าเป็นสัญญาณลับจากหน่วยลาดตระเวน ธราดลจึงสั่งรวมพลเพื่อวางแผนรับมือการซุ่มโจมตีจากศัตรูตึง ตึง ตึงตึง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆเสียงตบเท้าวิ่งพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบของทหารภายในค่ายเรียกความสนใจจากทีมแพทย์อาสา“เกิดอะไรขึ้น พวกเขาวิ่งไปไหนกันดึก ๆ ดื่น ๆ แบบนี้”พยาบาลคนหนึ่งร้องถามพลทหารที่เฝ้าอยู่หน้าเต็นท์“มีข้าศึกลอบโจมตี ผู้กองจึงเรียกรวมผล เตรียมออกไปสลัดฝ่ายศัตรูไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาในค่ายครับผม!”พลทหารยามรายงาน“ข้าศึกบุกรึ ! ตายแล้ว น่ากลัวจ
ประสาทการได้ยินของผู้นำกองทัพไวที่สุด เขาได้ยินเสียงแปลกปลอมดังขึ้นมาจากที่ไกล ๆ เกรงว่าจะเป็นทหารศัตรูย้อนกลับมา ผู้กองธราดลจึงส่งสัญญาณมือให้ทหารทุกนายหาที่กำบังแล้วยกปืนยาวขึ้นประทับบ่า เล็งไปยังเบื้องหน้าที่มีเสียงประหลาดเกิดขึ้นแต่เมื่อกองกำลังที่มาใหม่ปรากฏขึ้นชัดเจน ผู้กองธราดลจึงรีบยกมือขึ้นทำสัญญาณหยุดยิงเขาแทบอยากจะกระโดดเข้าบีบคอแพทย์สาวที่หิ้วกระเป๋าพยาบาลตามหลังพลทหารสี่ห้านาย ที่เดินกันอย่างไม่ระวังตัวเลยสักนิด“วดี !”ผู้กองธราดลตวาดก้อง ขายาว ๆ ก้าวพรวดเดียวก็เข้าถึงตัว หญิงสาว มือแกร่งของเขาคว้าข้อมือเธอขึ้นมาแล้วกระชากร่างบางเข้า มาหาด้วยความโมโหสุดขีด ที่เธอฝ่าฝืนคำสั่งเขาออกมาที่สนามรบ !“ใครใช้ให้ผู้หญิงงี่เง่าอย่างคุณออกมาสนามรบ ! อยากตายรึไง !”เขาคำรามใส่เธอเสียงเข้ม เธอไม่รู้หรืออย่างไรว่า เขาเป็นห่วงเธอมากที่สุดในชีวิต !“พี่ดล”หมอเรวดีสวมกอดร่างสูงด้วยความดีใจที่เขายังไม่ตาย และตระหนักได้ว่าเธอรักเขามากมายเหลือเกิน จนไม่สนใจว่าเขาจะดุจะด่า จะว่าเธอ“วดีเป็นห่วงพี่ดลเหลือเกินค่ะ”“เลิกทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้สักที !”ผู้กองธราดลแข็งใจ ผลักร่างบางออ
นางเนียรถลึงตา กัดฟัน พูดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว นางไม่ได้เกลียดที่หล่อนเป็นแฟนกับลูกชาย แต่นางเกลียดที่เธอเป็นลูกสาวผู้พัน คนที่ทำให้ลูกชายของนางแทบจะเอาชีวิตไม่รอดตั้งหลายครั้งหลายหนหมอเรวดีได้ยินดังนั้น ถึงกับตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก คำพูดนั้นกระทบกระเทือนจิตใจของเธออย่างรุนแรง“ออกไป ! ออกไปจากชีวิตลูกชายฉัน ! หญิงกาลกิณีที่นำแต่ความทุกข์ระทมมาให้แบบนี้ ฉันไม่มีทางให้ลูกชายฉันแต่งกับเธอแน่ ! ออกไป !”นางเนียรตรงเข้าไปดึง แล้วผลักร่างของหมอเรวดีออกไปให้พ้นหน้าห้องผ่าตัด ทั้งผลักทั้งตะคอกหญิงสาวอย่างคนเสียสติร่างของหมอเรวดีซวนเซไปตามแรงผลัก ทั้งคำพูด ทั้งสายตา จงเกลียดจงชังของหญิงชราทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน อีกทั้งยังเจ็บไป ทั้งใจ เพราะสิ่งที่แม่ของผู้กองธราดลพูด ล้วนจริงทุกคำ เธอเป็นต้นเหตุให้เขาต้องไปรบที่ชายแดน และเป็นเพราะเธออีกเช่นกัน ที่ทำให้เขาต้องถูกระเบิดจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้“หยุดนะ !”เสียงเหี้ยมเกรียมอย่างทรงอำนาจดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ ในชุดทหารพันเอกเต็มยศ เสียงรองเท้าคอมแบททหารย่ำลงบนพื้นหินอ่อนด้วยการลงส้นเท้าอย่างหนักจนเกิดเสียงสะท้อนดังก
“บุตรชายข้าประพฤติดีมาตลอด แลมีความกตัญญู กตเวที อย่างยิ่ง ด้วยกุศลของเราทั้งหมด และสัจวาจาของข้านี้ขอให้สุวรรณสามฟื้นคืนชีพ”เมื่อคำสัตยาธิษฐานสิ้นสุดลงสุวรรณสามก็พลิกกายฟื้นตื่นขึ้นและหายจากพิษธนูโดยสิ้นเชิง... จะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่หมอ”“ขอบคุณคุณยายมากค่ะ หมอจะลองดู”แม่เฒ่าพยักหน้าช้า ๆ แล้วเอ่ยต่อว่า“แต่จงจำไว้ หากเราฝืนชะตาลิขิตหนึ่งอย่าง อีกหนึ่งอย่างจะเกิดเปลี่ยนแปลง ผลที่ตามมานั้นยากจะคาดเดา เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนแลกมาด้วยผลบุญกุศลทั้งหมดที่สร้างกายเนื้อของเราเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา”“ค่ะ”หมอเรวดีรับคำเสียงแผ่วเบา คำอธิบายนี้ยากแก่การเข้าใจ ตอนนี้ในสมองของหล่อนมีเพียงแค่ต้องช่วยชีวิตของผู้กองธราดลให้ได้ แม้ว่าโอกาสที่เกิดขึ้นจริงจะมีน้อยราวกับเสียงหิ่งห้อยในห้วงอวกาศ อันมืดมิดก็ตามแม่เฒ่ายิ้มให้กับหมอเรวดี แต่ดวงตาของผู้สูงวัยกลับปรากฏรอยหม่นเศร้า สัตยาธิษฐานที่บอกเป็นเรื่องจริง และนางก็ได้กระทำมาแล้ว จนยังผลมายังตอนนี้เมื่อราววอร์ดตอนบ่ายเสร็จ หมอเรวดีก็ตรงไปยังห้อง ICU ที่ผู้กองธราดลพักรักษาตัวอยู่ หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งลงข้างเตียงผู้ป่วยผู้กองธราดลยังคงไม่รู้สึ
หมอเรวดีขยับเข้าไปใกล้เตียง น้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาจากดวงตาอย่างกั้นไว้ไม่ไหว เธอดีใจที่เขาฟื้นคืนสติขึ้นมาจริง ๆ หล่อนเอื้อมมืออัน สั่นเทาออกไป อยากจะสัมผัสไออุ่นจากเขาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่มือจะได้แตะต้องเขา เสียงแหลมสูงจากด้านหลังก็ดังขึ้น“หยุดนะ ! ไปห่าง ๆ จากลูกชายฉัน !”นางเนียรตรงเข้ามาผลักร่างบางให้ห่างออกไปจากเตียงเต็มแรงร่างของหมอเรวดีแทบทรุดลงกับพื้น โชคดีที่หมอมีนาเข้าพยุงเธอไว้ “แม่ แม่ไล่คุณหมอทำไมครับ”เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นด้วยความฉงน คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากัน แล้วบอกกับมารดาด้วยใบหน้าเรียบเฉยต่อว่า“คุณหมอคนใหม่อาจจะเข้ามาตรวจดูอาการของผมก็ได้”หมอมีนาสบตากับเรวดี เพราะท่าทีของชายหนุ่มห่างเหินมาก มากจนเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน “พี่ดล”หมอเรวดีเอื้อมมือเข้าหาเขาอีกครั้งอย่างมีความหวัง แต่ชายหนุ่มบนเตียงกลับขมวดคิ้วแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า“คุณหมอท่านนี้ รู้จักผมด้วยหรือครับ แล้วคุณหมอชื่ออะไรครับ”คำถามนั้นเหมือนกับสายฟ้าฟาดลงที่กลางหัวใจของหญิงสาว เธอถึงกับทรงด้วยตัวเองไม่ได้ หมอมีนาจึงรีบเข้ามาช่วยพยุงเธอเอาไว้ - พี่ดลลืมความรักและเรื่องระหว่างเร
หลังจากออกมาจากวัด เขาก็พาเธอมายังเดอะมูนวิลเลจ บีช รีสอร์ตระดับห้าดาวที่มีหาดทรายส่วนตัว เมื่อมาถึงที่นี่ก็ใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว พวกเขาจึงนั่งดูพระอาทิตย์ตกที่ริมหาด ปล่อยให้เท้าอันเปลือยเปล่าถูกคลื่นทะเลสาดซัดนำพาวันและคืนเวลาให้ไหลไปสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่ดวงตาสองคู่ทอดมองภาพวาดสวยงามเบื้องหน้า หญิงสาวเอียงคอซบลงบนไหล่กว้างของชายหนุ่มราวกับจะหาที่พักพิงยามอ้างว้าง มือใหญ่ของเจ้าของบ่าเลื่อนขึ้นกระชับไหล่บางราวกับจะบอกว่าเขาจะปกป้องดูแลหล่อนตลอดไปอิงดาวยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก สุขใดเล่า จะสุขยิ่งกว่าการได้อยู่เคียงข้างกับคนที่เรารัก แม้เป็นเพียงชั่วเวลาอันน้อยนิดก็ตามแววตาอ่อนโยนของชายหนุ่มทอดมองหญิงสาวข้างกายมากกว่าทิวทัศน์เบื้องหน้า เขาอยากมองหล่อนให้นาน ๆ เพื่อย้ำกับตนเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความจริงมิใช่ความฝันดวงตากลมโตของหล่อนจับจ้องภาพเบื้องหน้าปล่อยให้ปอยผมที่ถูกแรงลมพลิ้วไสวคลอเคลียสองแก้มนวลผ่อง เธอคือภาพวาดอันสวยสดและงดงามในใจเขาอิงดาวผละออกจากบ่าแกร่งของเขาแล้วยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้น พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นเมื่อชายหนุ่มเอาแต่จับจ้องเธอไม่วางตาว่า“พี่วิน หน้าอิงมีอะไรติดอยู่หรือคะ
“อาหารเย็น ที่คุณผู้ชายสั่งให้จัดที่ริมหาดเป็นพิเศษพร้อมแล้วนะครับ กระผมมาแจ้งเพียงเท่านี้ ขอตัวครับ”พนักงานโรงแรมโค้งศีรษะให้ทั้งคู่ ก่อนเดินจากไปอาจารย์ธาวินจูงมืออิงดาวมาที่ซุ้มส่วนตัวริมหาด ซึ่งเป็นซุ้มไม้ไผ่มีผ้าสีขาวบางเป็นหลังคากันหมอก แล้วทิ้งผ้าลงเป็นสายระย้าลงไปตามเสาทั้งสี่ ที่มุมเสาทั้งสี่ด้านตกแต่งด้วยพุ่มดอกกุหลาบสีขาวภายในซุ้มประดับด้วยไฟดวงเล็ก ๆ ในหลอดแก้วคล้ายเทียนคอยส่องสว่าง ยามเมื่อทั้งคู่เข้าไปในซุ้มราวกับว่าอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวระยิบระยับช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะสิ้นสุดลงเร็วเสมอ หลังจากที่ ดินเนอร์ท่ามกลางแสงดาว สายลมและเกลียวคลื่นสิ้นสุดลง พระจันทร์ขึ้นจนเกือบจะถึงกึ่งกลางท้องฟ้าแล้ว นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าใกล้จะถึงเวลาเที่ยงคืน ช่วงเวลาที่เธอจะได้อยู่กับชายคนรักใกล้สิ้นสุดลงทุกขณะทั้งคู่นอนดูดาวอยู่บนเตียงผ้าใบผืนใหญ่ ที่สามารถนอนด้วยกันได้สองคน อิงดาวหนุนท่อนแขนกำยำของอาจารย์ธาวินต่างหมอน แล้วพลิกตัวเข้ากอดกายอุ่น ๆ ของเขาไว้เธอเฝ้ามองใบหน้าของชายหนุ่มที่แสนรัก เขาหลับตาสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ เมื่อเขาตื่นขึ้น ทุกอย่างจะกลายเป็นแค่ความฝันสำหรับเขา แต่สำ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 8ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ Unlucky in love , Unlucky in gameเมื่อถึงรอบการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานมหาวิทยาลัยระดับฝึกหัดเป็นระดับปฏิบัติการหากผ่านจะมีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีความก้าวหน้าในสายงานอาชีพมากขึ้นปรากฏว่าฉันถูกประเมินว่า “ไม่ผ่าน” ซึ่งหัวหน้าสำนักงาน (พี่ณี) และท่านรองฯ ให้เหตุผลกับฉันว่า...เพราะเธอไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ฉันรั้นจะจัดอบรมนอกมหาวิทยาลัย) มาสาย และบ่นลงเฟสบุ๊คเหตุผลแต่ละข้อที่กล่าวมา ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนไม่ได้ดูที่ผลงานหรืองานที่พัฒนาขึ้น แต่วัดกันที่เหตุผลส่วนบุคคลของคนบางกลุ่ม จนบางครั้ง ฉันรู้สึกหมดแรงกับการทำงานตั้งใจทำงานเพื่ออะไร พัฒนางานไปเพื่ออะไรทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเพื่ออะไรเพราะทำไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ สู้เอาแรงกายแรงใจไปนั่งเลียแข้งเลียขาเจ้านายดีกว่าไหมสุดท้าย....ฉันก็ต้องยอมรับกับผลการประเมินที่ไม่เป็นธรรมแต่จะให้เปลี่ยนตนเองเป็นคนเลียแข้งเลียขา หรือเช้าชามเย็นชามก็ไม่ไหวเพราะสิ่งที่ฉันยึดมั่นอยูในใจเสมอมา คือค่าของคนอยู
ความบังเอิญครั้งที่ 4วันนั้น ฉันจัดประชุมคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาจวนเจียนจะบ่ายข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะมันร่ำร้องให้ฉันพาตนเองไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางเมื่อกินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นเพื่อเอาจานไปวางไว้ที่อ่างสำหรับเตรียมล้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออาจารย์ A กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ด้านหลังเขานั่งหันหลังให้ฉันแม้หัวใจมันร่ำร้องอยากจะเข้าไปทักแต่สถานะที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องข่มใจ แล้วเดินผ่านอาจารย์ไปฉันเดินออกจากโรงอาหารไปด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นสำนักงาน จึงแวะที่ร้านกาแฟก่อนระหว่างที่นั่งรอกาแฟนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ A จะมาที่ร้านกาแฟเหมือนกันอาจารย์ A เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉย มองฉันแค่แวบเดียวแล้วมองผ่านเลย เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันฉันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอในเมื่อเขาไม่อยากรู้จัก เราก็จะไม่ทักเขาให้ต้องระคายเคืองใจเมื่อได้กาแฟแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านทันทีและสิ่งที่ทำให้ฉันตัดใจไม่ได้สักที คือผลจากแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นที่ฉันเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่างานอะไรที่เกี่ยวข้องก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 7ยิ่งคุยกัน.....ระยะห่างระหว่างเรายิ่งสั้นลงเรื่อย ๆไม่รู้ทำไม...ทุกครั้งที่จบการสนทนาในแชทบล็อกเราต้องนั่งอมยิ้มคนเดียวแล้วในหัวก็จะมีเรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกรัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอกหักทันทีที่รัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่า รักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ฉันตั้งใจขุดหลุมล่อหลอกอาจารย์ให้ตกลงไปเพื่อใช้อาจารย์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหัวหน้ากลับกลายเป็นฉันที่ตกลงไปในหลุมเสียเองจนอยากที่จะปีนขึ้นไปในขณะที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักอาจารย์จนยากจะตัดใจอาจารย์ก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกฉันตามจีบการสนทนากันในแชทจึงเริ่มน้อยลง อาจารย์ A ถามคำตอบคำจนฉันเริ่มรู้ถึงการรักษาระยะห่างของเขาฉันจึงพยายามตัดใจจากเขา เพราะเข้าใจดีว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่มีทางมองผู้หญิงระดับต่ำกว่าแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือฐานะดังนั้น ฉันจึงห้ามใจไม่ทักแชทไปอีก และหักดิบโดยการเลิกเป็นเพื่อนกับเขาทาง F******k เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแต่ดูเหมือนฟ้าจะยังคงสนุกกับการทรมานหัวใจของฉันยิ่งอยากตัดใจ ก็ยิ่งให้ฉันต้องบังเอิญ
จนกระทั่งรถวิ่งผ่านสวนป่าข้างหนองน้ำ...“ ด้านซ้ายมือ... จะเห็นเครื่องออกกำลังกาย... สำหรับออกกำลังกายตอนเย็นๆ รอบหนองน้ำเป็นทางวิ่ง เขาเรียกกันว่า.... หนอง... หนอง....”อาจารย์ A หันมาสบตาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ...“หนองอิเจมค่ะ”ฉันตอบทันทีอย่างรู้งาน“ทำไมถึงชื่อ หนองอิเจมหรือครับ”วิทยากรสงสัย.......และแล้วอาจารย์ A ก็ได้รับอีก 1 หน้าที่ นั่นคือ นักเล่าประวัติศาสตร์หนองอิเจมของมหาวิทยาลัยจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าตึกสำนักงานอธิการบดีที่รถอาจารย์ A จอดไว้เครื่องมือแก้แค้นหัวหน้ากำลังจะลงจากรถแล้ว !ฉันเหลือบมองกระเป๋าอาจารย์ A ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆสวรรค์ช่างเข้าข้างนัก !ฉันจึงถือกระเป๋าใบนั้นขึ้นมา ในขณะที่อาจารย์ A กำลังไหว้ลาวิทยากร แล้วเปิดประตูลงจากรถ“อาจารย์คะ กระเป๋าค่ะ !”ฉันตะโกนเรียกอาจารย์ พร้อมกับชูกระเป๋าให้ดู“อ๋อ... ขอบคุณครับ”ฉันยื่นกระเป๋าให้.....มือหนึ่งจับด้านข้าง.... อีกมือสอดไว้ใต้กระเป๋าอย่างจงใจ...อาจารย์ A ยื่นมือมารับกระเป๋า...มือนุ่มๆ ยาวเรียวของเขาประกบกับมือเล็ก ๆ ที่ฉันจงใจสอดไว้ใต้กระเป๋าหนังใบโต...Yes !เป็นไปตามแผน !... ฉันลิงโลดในใจ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 5และแล้ววันอบรมก็มาถึง !ฉันต้องดีดตัวเองลุกจากที่นอนตั้งแต่ไก่โห่ !แล้วแจ้นไปรับวิทยากรที่สนามบิน !….ส่วนอีกทีมหนึ่งฝากให้น้องนก กับพี่เกด คอยต้อนและรับเหล่าอาจารย์ ที่เข้าร่วมอบรมให้ขึ้นรถบัส แล้วไปสมทบกันที่ รีสอร์ต The best orchid….เริ่มต้นการอบรม เป็นไปอย่างสวยงาม ผู้เข้าร่วมอบรมต่างประทับใจวิทยากรกันยกใหญ่...ทึ่งกับความคิดที่ไม่เหมือนใครทึ่งกับแนวทางการก้าวสู่ “ตำแหน่งศาสตราจารย์” ที่อายุยังน้อยและทึ่งกับฉันที่สามารถขุดค้นศาสตราจารย์ท่านนี้มาได้น้อง ๆ พี่ทีมงานที่มาช่วยจัดอบรมต่างรู้กันดีว่า ฉันกำลังวางแผนจีบอาจารย์ A เพื่อแก้แค้นหัวหน้า ดังนั้น ทุกคนต่างสนับสนุนช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ช่วยถ่ายรูปอาจารย์ A เอาไว้แทบจะทุกช็อตในระหว่างที่นั่งอบรมกันในห้องประชุมนั้นอาจารย์ A ขอน้ำดื่มเพิ่ม พี่เกดก็มาสะกิดฉันให้ยกน้ำดื่มไปเสิร์ฟอาจารย์แม้กระทั่งตอนพักเที่ยง....ฉันแอบชำเลืองมองไปที่โต๊ะอาหารที่กลุ่มอาจารย์คณะวิศวะฯ นั่งอยู่ เมื่อเห็นว่า กลุ่มอาจารย์กำลังลุกออกจากโต๊ะฉันจึงรวบช้อน รีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดให้ลงคอ แล้วตามด้วยน้ำ“หนู
ความจริงที่ซ่อนไว้ 41 สัปดาห์ผ่านไป !อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัครมาเกือบจะเต็มจำนวนที่เปิดรับแล้วอาจารย์ A ยังไม่ตอบรับมาเลย >เอาไงดี ๆ -ฉันกระวนกระวายในใจ“พี่เกด !” (นามสมมุติ)ฉันร้องเสียงหลง... ทันทีที่เห็นพี่เกดเดินเข้ามาในออฟฟิศ....ยังเช้าตรู่ ทั้งออฟฟิศมีแค่ฉันกับพี่เกด ดังนั้น ฉันจึงโหวกเหวกได้ตามใจ“แวะ ๆ แวะ โต๊ะหนูก่อน”ฉันลากพี่เกดมาที่โต๊ะ“พี่เกด หนูจะเชิญอาจารย์ A ไปอบรมกับหนูแบบเนียน ๆ”“หือ....”พี่เกดลากเสียง ตาวาว เพราะไม่มีใคร ไม่รู้จักความฮอต ของอาจารย์ผู้นั้น“หนูอยากจะทำความรู้จักกับอาจารย์ A ค่ะ”ฉันรีบบอกความต้องการของตนเองไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะตอนนี้ความอยากแก้แค้น และเอาคืน มันมีมากกว่าความรู้สึกกระดากอาย“เอาจริง”“จริงแท้ แน่นอน”“เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เถอะ ! เขาเป็นถึงตัวท๊อปของคณะวิศวะเลยนะ ! เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เลยนะคะ”พี่เกดพูดพร้อมกับจะขยับตัวลุกขึ้น แต่คนมือไวคว้าหมับ รั้งไว้“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ ! ให้หนูลองดูสักตั้งนะคะ”วินาทีนี้ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความตั้งใจของฉันได้ !สุดที่รักของหัวหน้าใช่ไหม ! คอยดู ! แล้วฉันจะสอยลงมาอยู่ในกำมือ
แต่กลับเชื่อเพียงลมปากของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็น “หัวหน้าสำนักงาน”!ลมปากที่พ่นออกมา...ไม่ใช่สีขาวแน่ๆ...แต่ต้องแต่งเติม......สาดสีเน่าๆ ขนาดไหนหนอ....ถึงสามารถเป่าหูท่านรองฯ ให้คุกรุ่นได้ขนาดนี้ !เมื่อพลิกกี่รอบ ๆ... ก็ไม่เจอสิ่งที่อ้างเอ่ย..ท่านรองฯ จึงหยิบดินสอขึ้นจรดลงบนกระดาษ“งั้นก็ไปแก้... คำถูกคำผิดมา ตรวจทานอีกรอบแล้วกัน”“ค่ะ”ฉันรับคำ พร้อมยื่นมือรับเอกสารคืนอย่างอ่อนแรง“แก้เสร็จ ก็ค่อยเสนอใหม่นะ แล้วคราวหน้า จะทำอะไร ก็ให้เข้ามาปรึกษาก่อน”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มเอกสารโครงการคืน.....เดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน...วางแฟ้ม.... ปิดคอมพิวเตอร์....เดินออกจากสำนักงาน... ด้วยดวงใจที่อ่อนล้า...พร้อมกับเสียงกระซิบบอก........เลิกเถอะ !... พอกันที !........เธอจะทำโครงการดี ๆ ให้คนเขาด่าเล่นทำไมวะ !...เลิกสรรหาผู้ทรงดี ๆ เอาแค่ใครก็ได้......เลิกทำจริง ๆ แล้วเอารายชื่อผีมาเบิกเงินหลวงกิน !...เลิกคิด เลิกทำสิ่งใหม่ ๆ .....แล้วปล่อย.... ให้ทุกสิ่งคงอยู่ในกะลาครอบของมัน !..ตะวันลาลับขอบฟ้า แต่หยาดน้ำตา กลับรื้อขึ้นมาไม่ขาดสายความจริงที่ซ่อนไว้ 3.....เสียงเซ็งแซ่... ของเหล่านกกา....กู
“ถ้าจะจัด... ก็ห้ามเอาคนในสำนักงานไปด้วย”“ค่ะ. เอาไปเฉพาะคนทำงานค่ะ”ฉันตอบ“รายชื่อที่ ใส่มาตัดออกให้หมด แล้วเสนอคนทำงานมาใหม่”หัวหน้าใช้ปากกาขีดฆ่ารายชื่อแนบท้ายหนังสือขออนุมัติจัดอบรมในขณะที่ปากกาในมือขีดเขียนโครงการอบรมของฉันจนยับเยินปากหัวหน้าก็พูดไปว่า“....เอาคนไปทำไมเยอะแยะตั้งห้าหกคน”ฉันเถียงในใจว่า- ก็ออกไปจัดอบรมข้างนอก ต้องมีคนช่วยขนของ. ช่วยดูแลบนรถ. ช่วยลงทะเบียน. ช่วยจัดกิจกรรม. รับวิทยากร. ฯลฯ..- แต่คำที่หลุดออกมาจากปากฉันจริง ๆ มีเพียงคำว่า...“ค่ะ”.“แล้ว เรื่องเที่ยว ตัดออกเลยนะ ! ห้ามไป !”“ค่ะ”ตอบค่ะ.... แต่ในใจอยากสวนกลับเต็มทนว่า- มันไม่ใช่เรื่องเที่ยวนะ ! กรุณาอ่านให้จบ !มันเป็นการท่องโลกกว้าง เพื่อเปิดโลกทัศน์ กระตุกความคิด ในชั่วโมงว่าง ! -หลังจากที่ขีด เขียน ฆ่า กระดาษโครงการของฉัน... จนสาแก่ใจ......หัวหน้าก็ปิดแฟ้ม แล้วเลื่อนซากโครงการที่พรุนไปด้วยปากกาแดงมาตรงหน้า“ไปแก้ไขมา ! แล้วค่อยมาเสนอใหม่ !”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มงานคืน แล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ....วันนี้คงต้องงดวิ่งบนสนาม....แต่เปลี่ยนมาวิ่งบนแป้นพิมพ์แทน !ต้องแก้งานก่อน !ตอนนี้เหลือเวลา อีก 7
วันหนึ่งสำนักงานวิจัย แจ้งให้อาจารย์ขึ้นมาลงนามในสัญญารับทุนวิจัยที่โต๊ะพี่ณี (หัวหน้าสำนักงาน)และแล้วในตอนบ่าย ขณะที่ฉันกำลังเตรียมเอกสารจัดส่งไปตามคณะต่าง ๆ น้อง ๆ พี่ ๆ ผู้หญิงในสำนักงานเหมือนจะมีอาการนั่งไม่ติด สบตากันไปมา แล้วยิ้มเหมือนมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นฉันจึงหยุดมือจากเอกสารตรงหน้า แล้วตั้งใจมองหาสิ่งที่ทำให้สาว ๆ ทั้งสำนักงานเสียอาการ พี่คนหนึ่งส่งสายตาพยักพเยิดให้ดูหัวหน้าสำนักงานพี่ณีเดินเชิดหน้าคอตั้งเข้ามา พร้อมกับอาจารย์ A ตรงไปยังโต๊ะของตนเพื่อที่จะลงนามในสัญญารับทุน ใบหน้าอวบอ้วนของพี่ณีบานแฉ่งยิ่งกว่ากระด้ง แม้ว่าหัวหน้าสำนักงานจะพยายามเก็บอาการอย่างยิ่ง แต่แววตาของหัวหน้าที่บอกว่าปลื้มอาจารย์ A มาก กลบเท่าไหร่ ก็กลบไม่มิดส่วนอาจารย์ A นั้น ก็นิ่งขรึมไม่มีทีท่าวอกแวกกับสาว ๆ คนไหน หรือพูดจาทักทายกับใครสักคน เขาแค่นั่งลงที่โต๊ะ จรดปากกาลงในเอกสาร จากนั้นก็ลงขึ้นเดินกลับออกไปฉันรู้สึกในใจว่า อาจารย์ A ทั้งหยิ่ง ทั้งขี้เก๊กขนาดนี้ มีอะไรให้ชื่นชอบกันหนักหนา ที่สำคัญสายตาคมกริบ ปากบาง ๆ แบบนั้น ต้องดุมากแน่ ๆ ผู้ชายแบบนี้อันตราย อยู่ห่าง ๆ ไว้ดีที่สุดแต่ดูเหมือนว่า