“ฉันไม่รู้จ้ะอา แต่มันต้องเป็นคนในเรือนเราแน่ๆ เพราะไม่มีทางที่ไอ้คุณพระนพกับลูกน้องของมัน จะรู้ว่าฉันจะไปรอบเผาเรือนจ้ะ เพราะฉันก็คุยกับอาที่เรือนนี้เท่านั้น พอฉันไปถึง พวกมันก็มีอาวุธครบมือ ทั้งตีทั้งฟันจนพวกฉันแทบจะหนีกันไม่ทันเลยจ้ะ”
“ไม่ใช่ว่ามึงไปทำทะเล่อทะล่า ให้พวกมันจับได้ก่อนรึ”
“ไม่จ้ะอา เรือเบนหัวเข้าท่าน้ำ พวกมันก็มาดักรออยู่แล้วจ้ะ เรือนไอ้คุณพระนพ เป็นไอ้ปานกับไอ้มิ่ง ส่วนเรือนไอ้คุณพระอรรถ เป็นไอ้เปลวกับไอ้ขวัญจ้ะ มันมีอาวุธเตรียมพร้อมรับมือ”
“แล้วมึงไม่ได้ทิ้งหลักฐานไว้ใช่ไหม”
“เอ่อ.. ไม่เหลือจ้ะอา”
“แปลว่าอะไรของมึงไอ้นาท”
“ทิ้งไว้ทั้งหมดจ้ะ แค่กระโจนลงน้ำ หนีจะเอาชีวิตรอดกลับมาให้ครบทุกคนก็ยากแล้วจ้ะอา”
“ไอ้ฉิบหาย! แล้วมึงก็โง่ ทิ้งหลักฐานไว้มันดูรึ!”
“มันก็แค่ถังใส่น้ำมันจ้ะอา ถ้ามันจับตัวคนของเราไม่ได้ มันก็สาวมาไม่ถึงอาอยู่แล้ว”
“แล้วมึงคิดเหรอว่า คนอย่างไอ้คุณพระนพมันจะไม่รู้ว่ากูเป็นคนสั่งน่ะ ก็ทีมันยังดักรอมึงได้เลย มึงนี่มันโง่ดักดานไม่เปลี่ยนเลยนะไอ้นาท อยู่กับกูมาตั้งหลายปี หัวมึงมันก็มีแต่ขี้ ไม่ได้ฉลาดขึ้นมาสักนิด โง่เง่าอยู่อย่างไร ก็โง่เง่าอยู่อย่างนั้น มึงไปให้พ้นหน้ากูเลย กูไม่อยากเห็นหน้ามึง”
นาทขบกรามแน่น แค้นใจที่ไม่สามารถเผาเรือนคุณพระนพกับเรือนคุณพระอรรถได้ และทั้งโกรธที่ถูกกำนันด่าว่าเหมือนหมูเหมือนหมา
ตลอด 10 ปี ที่อยู่เป็นลิ่วล้อ กำนันแทบไม่เคยมองว่าเขาเป็นญาติ แม้แต่เป็นคนเท่าเทียมกันก็ไม่เคยมองด้วยซ้ำ ที่เลี้ยงไว้ก็เพื่อใช้ทำงานเลวๆ ให้
ต้องโทษที่เขาเองก็ยอมทำทุกอย่างที่กำนันเดชต้องการ เพราะหมายปองแก้วตา และกำนันก็เคยให้ความหวังว่าจะยกแก้วตาให้ เมื่อโตพอจะออกเรือนได้
แต่ตอนนี้ความหวังราวจะริบหรี่ เมื่อลูกน้องมาบอกข่าวว่ากำนันไปสนิทชิดเชื้อกับท่านเจ้าคุณเรือนใหญ่ทางฝั่งเหนือคุ้งน้ำ เรือนนั้นมีลูกชายวัยหนุ่มที่ยังไม่ออกเรือน ข่าวเล่าว่าเพิ่งเรียนจบมาจากเมืองฝรั่ง และหมายจะเกี่ยวดองกับกำนันอย่างเต็มใจ
แต่ตราบใดที่แก้วตายังไม่ออกเรือน เขาก็มีความหวัง แค่อย่าทำอะไรให้กำนันไม่พอใจอีก
“ฉันขอโทษจ้ะอา อาจะให้ฉันทำอย่างไรต่อ อาสั่งมาได้เลยจ้ะ คราวนี้ฉันรับรองว่าจะทำให้สำเร็จ”
นาทข่มความรู้สึกทุกอย่างไว้ในอก และพูดออกไปอย่างใจเย็นที่สุด
“ฮึ!”
ทว่าเสียงสบถในลำคอของกำนันกลับทำให้มันต้องขบกรามแน่นกว่าเดิม เพราะนั่นหมายถึงว่ากำนันมองมันเป็นคนไม่ได้เรื่องจริงๆ
“อาสั่งฉันมาเถอะจ้ะ ครั้งนี้ต่อให้ต้องฆ่ามันจนตัวตาย ฉันก็จะทำ”
เสียงหนักแน่นของไอ้นาททำให้กำนันเดชตวัดสายตาดุๆ มองมา ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมเพช
“มึงพาลูกน้องมึงไปกบดานก่อน ถ้ากูมีงานจะใช้ กูจะให้คนไปเรียก”
“แต่อาจ๊ะ”
“ถ้ามึงไม่ฟังกู มึงกับลูกน้องของมึงก็ย้ายสำมะโนครัวกลับไปบ้านมึงได้เลย แล้วอย่าเอาหน้ามาให้กูเห็นอีก”
“ฉันขอโทษจ้ะอา ฉันจะเชื่ออาจ้ะ”
“ระหว่างนี้ มึงสืบด้วย ว่าไอ้ตัวหนอนบ่อนไส้มันเป็นใคร”
“จ้ะอา”
ไอ้นาทรับคำ แต่สายตามองตรงไปยังทิศทางห้องนอนของแก้วตา นั่นทำให้ดวงตาดุเหี้ยมของกำนันเดชมองตาม
หัวคิ้วเข้มที่มีสีเทาแซมขมวดเข้าหากันก่อนจะมองสบสายตากับไอ้นาทอีกครั้ง
.
.
แก้วตากระเถิบร่างเล็กให้พ้นจากรัศมีของบานประตู ซึ่งนิ่มก็กระเถิบตาม เพราะจากสายตาของนาทและกำนันเดชที่มองตรงมา คือต้องมีเรื่องอะไรเกี่ยวพันกับคนในห้องนี้อย่างแน่นอน และไม่น่าจะใช่เรื่องดี แม้จะได้ยินสิ่งที่นาทคุยกับกำนันไม่ชัด แต่เสียงตวาดเป็นบางช่วงก็ทำให้คาดเดาได้ว่าแผนร้ายๆ นั้นนาททำไม่สำเร็จ
“พี่นิ่ม หรือว่าคุณลุงจะสงสัยฉันแล้ว”
“คุณแก้วตาเจ้าขา ถ้ากำนันสงสัยคุณแก้วตา คุณแก้วตาก็ไม่เป็นอันใดหรอกค่ะ แต่ถ้ากำนันสงสัยนิ่ม นิ่มตายแน่”
นิ่มพูดเสียงสั่นเหมือนจะอ่อนแรง พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อทำให้ตนเองไม่ลนลานไปมากกว่านี้
เห็นดังนั้นแก้วตาก็ได้สติ กระชับฝ่ามือของนิ่ม แม้ความกลัวเกรงคุณลุงจะมีมาก แต่หล่อนจะไม่ยอมให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองแน่
“พี่นิ่ม... พี่นิ่มไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะปกป้องพี่นิ่มเอง ถ้าคุณลุงถาม ฉันจะยืนกรานว่าไม่รู้ไม่ชี้ พี่นิ่มพูดให้ตรงกับฉันก็พอ พี่จำไว้นะ เมื่อวานเย็นฉันเป็นไข้ มีระดู นอนพักตั้งแต่ผีตากผ้าอ้อมจนถึงเช้านี้ ไม่ได้ไปไหนเลย และพี่นิ่มก็เฝ้าฉันอยู่ตลอด ตอบให้ตรงกัน ห้ามมีพิรุธ เข้าใจไหมพี่ พี่นิ่ม! เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”
แก้วตาย้ำคำหนักแน่นเพราะความเกรงกลัวราวจะพุ่งริ้วขึ้นที่แนวสันหลังและกระจายไปทั่วร่างอย่างห้ามไม่อยู่
นิ่มพยักหน้ารับ แต่อาการขวัญดีฝ่อก็ยังจู่โจมจิตใจ แค่คิดจะก้าวขาออกจากห้องนอนของนายสาวก็ยังไม่กล้า แล้วถ้ากำนันถามเล่า จะเอาอะไรมาตอบไม่ให้มีพิรุธ
.
.
กำนันเดชมองไอ้นาทพี่พาคนของมันลงจากเรือนไป ก่อนจะหันไปยังเรือนนอนของแก้วตา จากนั้นก็มองคนสนิทของตัวเองพยักหน้าน้อยๆ ให้ตามมา
จากนั้นแค่ชั่วอึดใจ เมื่อนิ่มก้าวขาออกมาก็ถูกคนรับใช้ชายปิดปาก แล้วลากไปยังทิศทางของท้ายเรือน นิ่มเบิกตากว้างราวกับเห็นมัจจุราชอยู่ตรงหน้า น้ำตาเอ่อล้นก่อนจะร่วงหล่นไม่ขาดสาย ด้วยรู้ชะตากรรมของตัวเองดี จะร้องเรียกให้แก้วตาช่วยก็ทำไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียงอืออาในลำคอเท่านั้น
ค่ำคืนมาเยือน แก้วตานั่งแปรงผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หันมองนิ่มที่กำลังจัดเตรียมที่หลับที่นอนให้ ตลอดทั้งวันนี้ตั้งแต่รุ่งสางก็มีสิ่งที่ทำให้หล่อนว้าวุ่นใจหลายอย่าง จึงไม่อยากอยู่ตามลำพัง อยากพูดคุยกับนิ่ม ซักซ้อมทางหนีทีไล่กันให้มากกว่านี้ แต่กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่นิ่มออกจากห้องไปยามสาย ก็หายไปเลย แล้วเพิ่งกลับเข้ามาตอนนี้ เมื่อเข้ามาแล้วก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกับหล่อน ถามคำตอบคำ หน้าก็ไม่มอง เหมือนคนอยู่ในภวังค์ตลอดเวลาแก้วตามองนิ่มที่ก้มหน้าก้มตาใช้ผ้าผืนเล็กปัดเศษฝุ่นบนที่นอน ก่อนจะไปนำผ้าห่มออกมาจากตู้แล้วมาวางเตรียมไว้“พี่นิ่ม”แค่เรียกเบาๆ ภาพที่สะท้อนจากกระจกเงาก็เห็นว่านิ่มสะดุ้งจนตัวโยน นั่นทำให้แก้วตาหันกลับมาโดยเร็ว ในขณะที่นิ่มยิ่งก้มหน้าลงต่ำดั่งกลัวหล่อนจะเห็นใบหน้าแก้วตาก้าวเข้าประชิด ทรุดร่างลงนั่งตรงหน้า“พี่นิ่ม เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าไม่สบาย”“ไม่... นิ่มไม่เป็นอะไรค่ะ”นิ่มละล่ำละลักพูดก้มหน้า เหมือนต้องการจะหลบ“หน้าโดนอะไรมารึ”“ไม่นะคะ ไม่ได้โดนอะไร”“เช่นนั้นก็เงยหน้ามองฉันสิ พี่นิ่ม พี่ก้มหน้าทำไม มองหน้าฉัน”“นิ่มจะไปออกไปแล้วค่ะ คุณแก้วตาพักผ่อนนะคะ”
ความเดิมตอนที่แล้ว ‘กลิ่นแก้ว’ เป็นนิยายชุด ‘หอมรัญจวน’ ซึ่งประกอบไปด้วยนิยายสั้นจำนวน 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ กลิ่นจันทร์ กลิ่นนวล กลิ่นนาง และกลิ่นแก้ว เนื้อเรื่องใช้ตัวละครหลักร่วมกัน แต่แยกเป็น 4 คู่ พระ-นาง สามารถแยกอ่านได้ เรื่องราวเริ่มต้นจาก พระเกษตรานพคุณ (คุณพระนพ) เดินทางมารับราชการที่หัวเมือง โดยมีผู้ใต้บังคับบัญชาติดตามมาด้วย 3 คน ได้แก่ หลวงธรณีพิทักษ์ (หลวงปาน) ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์ (ขุนเปลว) และ หมื่นพิบูลย์ไพศาล (หมื่นขวัญ) หน้าที่ของ คุณพระนพ คือ ตรวจตราดูว่าประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องใดบ้าง พืชพันธุ์มีพร้อมสำหรับปลูกไหม น้ำดีไหม ดินดีไหม ติดขัดปัญหาใดที่ต้องการให้ทางการช่วยหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบเรื่องการเก็บภาษีที่นาว่าถูกต้องเหมาะสมแล้วใช่ไหม ..เมื่อเข้ามาในพื้นที่ คุณพระนพกลับพบว่าในตำบลแห่งนี้ ผู้ที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากสุดคือ กำนันเดช กำนันเดชเลี้ยงนักเลงหัวไม้ไว้มากมาย ทำตัวเป็นพ่อพระ ให้ชาวบ้านกู้หนี้ยืมสินโดยเอาที่ดินที่นามาขัดเอาไว้ แต่แล้วก็ปลอมสัญญาการกู้เงิน เก็บดอกเบี้ยรายว
ยามดึกสงัด แต่กลับมีเสียงหนึ่งแผ่วเบาแทรกเข้ามา จนคนที่เฝ้าระวังเพราะวางใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องเงี่ยหูฟังทิศทางของเสียง จ๋อม! จ๋อม!จังหวะเบา ทว่าหนักแน่นค่อนข้างเป็นกระชั้นถี่ ฟังดูรู้ว่าเร่งรีบ‘หมื่นพิบูลย์ไพศาล’ หรือ ‘ขวัญ’ ขยับตัวอย่างแผ่วเบาเข้าไปหลบเร้นอยู่ใต้ชายคาของศาลาริมน้ำ ดวงตาคมเข้มเขม่นมองไปยังลำน้ำที่ไหลผ่านหน้าเรือน แม้จะมืดแต่ตาที่เคยชินกับแสงก็ทำให้เห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว ใกล้เข้ามาและใกล้เข้ามาเรือพายลำเล็กมี 2 คนอยู่ในเรือ กำลังเบนหัวเข้าฝั่ง ตรงมาเทียบที่ท่าน้ำหน้าเรือน ‘พระเกษตรานพคุณ’จากรูปร่างและท่าทางของทั้งคู่ทำให้ขวัญส่ายหน้า และเกือบจะทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างเอือมระอา แต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน จึงเปลี่ยนมาพ่นลมออกจากปากระบายความหงุดหงิด แววตาที่เคยอบอุ่นอยู่เสมอเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะจ้องไปยังคนที่ก้าวขึ้นท่ามาก่อน ท่าทางเหมือนจะสั่งให้คนในเรือรออยู่ตรงนี้ นั่นทำให้เขาขยับกายรอจนร่างอรชรค่อยๆ จดฝีเท้าเบากริบเข้ามาใกล้ ขวัญก็เข้าไปขวางหน้าทันที“ว้าย!”ฝ่ามือทาบปิดปากกระจับน้อยๆ รั้งเอวคอดเข้าหาตัว ก่อนจะกระซิบ“ชู่วววว... ผมเอง ห
ดวงตาสวยหวานแต่ดูหวาดหวั่นอย่างที่สุด มองตรงไปยังศาลาชานเรือน ที่นั่น ‘แก้วตา’ เห็น ‘กำนันเดช’ ลุงของหล่อนนั่งนิ่งมาสักพักหนึ่งแล้ว เหมือนท่านกำลังรอคอยใครอยู่ แน่นอนว่าแก้วตาก็รอคอยไปพร้อมๆ กับท่านด้วยเช่นกัน เพราะเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นแล้วเมื่อคืน หล่อนคาดเดาผลลัพธ์ไม่ได้เลย แต่ก็หวังให้เป็นไปในทิศทางดี อย่าให้สิ่งใดร้ายๆ กระทำการได้สำเร็จสายตาหวาดหวั่นยังมองคุณลุง ทว่าหยาดน้ำตากลับค่อยๆ เอ่อล้น เมื่อนึกไปถึงค่ำคืนที่ผ่านมาเมื่อคืนหลังจากไปแจ้งข่าวที่เรือนคุณพระนพ ว่าเหตุการณ์ร้ายๆ อาจจะเกิดขึ้น เพราะนาทรับคำสั่งจากคุณลุงให้ไปเผาเรือนคุณพระนพและเรือนคุณพระอรรถ หากมีใครขวางก็ให้ฆ่าไม่เว้นแต่คนทางนั้นกลับยืนยันว่าหาทางรับมือได้ พร้อมกำชับหล่อนหนักหนาว่า ‘ห้าม’ มาแจ้งข่าวใดๆ อีก‘คุณแก้วตา ต้องจำคำที่ผมบอกให้ดี ห้าม! เด็ดขาด ห้ามคุณแก้วตาให้พี่นิ่มหรือใครก็ตาม มาแจ้งข่าวที่เรือนคุณพระเด็ดขาด ผมห้าม!’น้ำเสียงของ ‘หมื่นพิบูลย์ไพศาล’ หรือ ‘หมื่นขวัญ’ ยามเอ่ยคำว่า ‘ห้าม!’ นั้นคือห้ามจริงจัง เด็ดขาด แต่ถ้าไม่ให้มาแจ้งแล้วรอให้หมื่นขวัญไปติดตามข่าวเอง มันจะช้าไปน่ะสิ‘ถ้ามัวแต่รอหมื่นขว
ค่ำคืนมาเยือน แก้วตานั่งแปรงผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หันมองนิ่มที่กำลังจัดเตรียมที่หลับที่นอนให้ ตลอดทั้งวันนี้ตั้งแต่รุ่งสางก็มีสิ่งที่ทำให้หล่อนว้าวุ่นใจหลายอย่าง จึงไม่อยากอยู่ตามลำพัง อยากพูดคุยกับนิ่ม ซักซ้อมทางหนีทีไล่กันให้มากกว่านี้ แต่กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่นิ่มออกจากห้องไปยามสาย ก็หายไปเลย แล้วเพิ่งกลับเข้ามาตอนนี้ เมื่อเข้ามาแล้วก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกับหล่อน ถามคำตอบคำ หน้าก็ไม่มอง เหมือนคนอยู่ในภวังค์ตลอดเวลาแก้วตามองนิ่มที่ก้มหน้าก้มตาใช้ผ้าผืนเล็กปัดเศษฝุ่นบนที่นอน ก่อนจะไปนำผ้าห่มออกมาจากตู้แล้วมาวางเตรียมไว้“พี่นิ่ม”แค่เรียกเบาๆ ภาพที่สะท้อนจากกระจกเงาก็เห็นว่านิ่มสะดุ้งจนตัวโยน นั่นทำให้แก้วตาหันกลับมาโดยเร็ว ในขณะที่นิ่มยิ่งก้มหน้าลงต่ำดั่งกลัวหล่อนจะเห็นใบหน้าแก้วตาก้าวเข้าประชิด ทรุดร่างลงนั่งตรงหน้า“พี่นิ่ม เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าไม่สบาย”“ไม่... นิ่มไม่เป็นอะไรค่ะ”นิ่มละล่ำละลักพูดก้มหน้า เหมือนต้องการจะหลบ“หน้าโดนอะไรมารึ”“ไม่นะคะ ไม่ได้โดนอะไร”“เช่นนั้นก็เงยหน้ามองฉันสิ พี่นิ่ม พี่ก้มหน้าทำไม มองหน้าฉัน”“นิ่มจะไปออกไปแล้วค่ะ คุณแก้วตาพักผ่อนนะคะ”
“ฉันไม่รู้จ้ะอา แต่มันต้องเป็นคนในเรือนเราแน่ๆ เพราะไม่มีทางที่ไอ้คุณพระนพกับลูกน้องของมัน จะรู้ว่าฉันจะไปรอบเผาเรือนจ้ะ เพราะฉันก็คุยกับอาที่เรือนนี้เท่านั้น พอฉันไปถึง พวกมันก็มีอาวุธครบมือ ทั้งตีทั้งฟันจนพวกฉันแทบจะหนีกันไม่ทันเลยจ้ะ”“ไม่ใช่ว่ามึงไปทำทะเล่อทะล่า ให้พวกมันจับได้ก่อนรึ”“ไม่จ้ะอา เรือเบนหัวเข้าท่าน้ำ พวกมันก็มาดักรออยู่แล้วจ้ะ เรือนไอ้คุณพระนพ เป็นไอ้ปานกับไอ้มิ่ง ส่วนเรือนไอ้คุณพระอรรถ เป็นไอ้เปลวกับไอ้ขวัญจ้ะ มันมีอาวุธเตรียมพร้อมรับมือ”“แล้วมึงไม่ได้ทิ้งหลักฐานไว้ใช่ไหม”“เอ่อ.. ไม่เหลือจ้ะอา”“แปลว่าอะไรของมึงไอ้นาท”“ทิ้งไว้ทั้งหมดจ้ะ แค่กระโจนลงน้ำ หนีจะเอาชีวิตรอดกลับมาให้ครบทุกคนก็ยากแล้วจ้ะอา”“ไอ้ฉิบหาย! แล้วมึงก็โง่ ทิ้งหลักฐานไว้มันดูรึ!”“มันก็แค่ถังใส่น้ำมันจ้ะอา ถ้ามันจับตัวคนของเราไม่ได้ มันก็สาวมาไม่ถึงอาอยู่แล้ว”“แล้วมึงคิดเหรอว่า คนอย่างไอ้คุณพระนพมันจะไม่รู้ว่ากูเป็นคนสั่งน่ะ ก็ทีมันยังดักรอมึงได้เลย มึงนี่มันโง่ดักดานไม่เปลี่ยนเลยนะไอ้นาท อยู่กับกูมาตั้งหลายปี หัวมึงมันก็มีแต่ขี้ ไม่ได้ฉลาดขึ้นมาสักนิด โง่เง่าอยู่อย่างไร ก็โง่เง่าอยู่อย่างนั้น
ดวงตาสวยหวานแต่ดูหวาดหวั่นอย่างที่สุด มองตรงไปยังศาลาชานเรือน ที่นั่น ‘แก้วตา’ เห็น ‘กำนันเดช’ ลุงของหล่อนนั่งนิ่งมาสักพักหนึ่งแล้ว เหมือนท่านกำลังรอคอยใครอยู่ แน่นอนว่าแก้วตาก็รอคอยไปพร้อมๆ กับท่านด้วยเช่นกัน เพราะเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นแล้วเมื่อคืน หล่อนคาดเดาผลลัพธ์ไม่ได้เลย แต่ก็หวังให้เป็นไปในทิศทางดี อย่าให้สิ่งใดร้ายๆ กระทำการได้สำเร็จสายตาหวาดหวั่นยังมองคุณลุง ทว่าหยาดน้ำตากลับค่อยๆ เอ่อล้น เมื่อนึกไปถึงค่ำคืนที่ผ่านมาเมื่อคืนหลังจากไปแจ้งข่าวที่เรือนคุณพระนพ ว่าเหตุการณ์ร้ายๆ อาจจะเกิดขึ้น เพราะนาทรับคำสั่งจากคุณลุงให้ไปเผาเรือนคุณพระนพและเรือนคุณพระอรรถ หากมีใครขวางก็ให้ฆ่าไม่เว้นแต่คนทางนั้นกลับยืนยันว่าหาทางรับมือได้ พร้อมกำชับหล่อนหนักหนาว่า ‘ห้าม’ มาแจ้งข่าวใดๆ อีก‘คุณแก้วตา ต้องจำคำที่ผมบอกให้ดี ห้าม! เด็ดขาด ห้ามคุณแก้วตาให้พี่นิ่มหรือใครก็ตาม มาแจ้งข่าวที่เรือนคุณพระเด็ดขาด ผมห้าม!’น้ำเสียงของ ‘หมื่นพิบูลย์ไพศาล’ หรือ ‘หมื่นขวัญ’ ยามเอ่ยคำว่า ‘ห้าม!’ นั้นคือห้ามจริงจัง เด็ดขาด แต่ถ้าไม่ให้มาแจ้งแล้วรอให้หมื่นขวัญไปติดตามข่าวเอง มันจะช้าไปน่ะสิ‘ถ้ามัวแต่รอหมื่นขว
ยามดึกสงัด แต่กลับมีเสียงหนึ่งแผ่วเบาแทรกเข้ามา จนคนที่เฝ้าระวังเพราะวางใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องเงี่ยหูฟังทิศทางของเสียง จ๋อม! จ๋อม!จังหวะเบา ทว่าหนักแน่นค่อนข้างเป็นกระชั้นถี่ ฟังดูรู้ว่าเร่งรีบ‘หมื่นพิบูลย์ไพศาล’ หรือ ‘ขวัญ’ ขยับตัวอย่างแผ่วเบาเข้าไปหลบเร้นอยู่ใต้ชายคาของศาลาริมน้ำ ดวงตาคมเข้มเขม่นมองไปยังลำน้ำที่ไหลผ่านหน้าเรือน แม้จะมืดแต่ตาที่เคยชินกับแสงก็ทำให้เห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว ใกล้เข้ามาและใกล้เข้ามาเรือพายลำเล็กมี 2 คนอยู่ในเรือ กำลังเบนหัวเข้าฝั่ง ตรงมาเทียบที่ท่าน้ำหน้าเรือน ‘พระเกษตรานพคุณ’จากรูปร่างและท่าทางของทั้งคู่ทำให้ขวัญส่ายหน้า และเกือบจะทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างเอือมระอา แต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน จึงเปลี่ยนมาพ่นลมออกจากปากระบายความหงุดหงิด แววตาที่เคยอบอุ่นอยู่เสมอเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะจ้องไปยังคนที่ก้าวขึ้นท่ามาก่อน ท่าทางเหมือนจะสั่งให้คนในเรือรออยู่ตรงนี้ นั่นทำให้เขาขยับกายรอจนร่างอรชรค่อยๆ จดฝีเท้าเบากริบเข้ามาใกล้ ขวัญก็เข้าไปขวางหน้าทันที“ว้าย!”ฝ่ามือทาบปิดปากกระจับน้อยๆ รั้งเอวคอดเข้าหาตัว ก่อนจะกระซิบ“ชู่วววว... ผมเอง ห
ความเดิมตอนที่แล้ว ‘กลิ่นแก้ว’ เป็นนิยายชุด ‘หอมรัญจวน’ ซึ่งประกอบไปด้วยนิยายสั้นจำนวน 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ กลิ่นจันทร์ กลิ่นนวล กลิ่นนาง และกลิ่นแก้ว เนื้อเรื่องใช้ตัวละครหลักร่วมกัน แต่แยกเป็น 4 คู่ พระ-นาง สามารถแยกอ่านได้ เรื่องราวเริ่มต้นจาก พระเกษตรานพคุณ (คุณพระนพ) เดินทางมารับราชการที่หัวเมือง โดยมีผู้ใต้บังคับบัญชาติดตามมาด้วย 3 คน ได้แก่ หลวงธรณีพิทักษ์ (หลวงปาน) ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์ (ขุนเปลว) และ หมื่นพิบูลย์ไพศาล (หมื่นขวัญ) หน้าที่ของ คุณพระนพ คือ ตรวจตราดูว่าประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องใดบ้าง พืชพันธุ์มีพร้อมสำหรับปลูกไหม น้ำดีไหม ดินดีไหม ติดขัดปัญหาใดที่ต้องการให้ทางการช่วยหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบเรื่องการเก็บภาษีที่นาว่าถูกต้องเหมาะสมแล้วใช่ไหม ..เมื่อเข้ามาในพื้นที่ คุณพระนพกลับพบว่าในตำบลแห่งนี้ ผู้ที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากสุดคือ กำนันเดช กำนันเดชเลี้ยงนักเลงหัวไม้ไว้มากมาย ทำตัวเป็นพ่อพระ ให้ชาวบ้านกู้หนี้ยืมสินโดยเอาที่ดินที่นามาขัดเอาไว้ แต่แล้วก็ปลอมสัญญาการกู้เงิน เก็บดอกเบี้ยรายว