ดวงตาสวยหวานแต่ดูหวาดหวั่นอย่างที่สุด มองตรงไปยังศาลาชานเรือน ที่นั่น ‘แก้วตา’ เห็น ‘กำนันเดช’ ลุงของหล่อนนั่งนิ่งมาสักพักหนึ่งแล้ว เหมือนท่านกำลังรอคอยใครอยู่ แน่นอนว่าแก้วตาก็รอคอยไปพร้อมๆ กับท่านด้วยเช่นกัน เพราะเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นแล้วเมื่อคืน หล่อนคาดเดาผลลัพธ์ไม่ได้เลย แต่ก็หวังให้เป็นไปในทิศทางดี อย่าให้สิ่งใดร้ายๆ กระทำการได้สำเร็จ
สายตาหวาดหวั่นยังมองคุณลุง ทว่าหยาดน้ำตากลับค่อยๆ เอ่อล้น เมื่อนึกไปถึงค่ำคืนที่ผ่านมา
เมื่อคืนหลังจากไปแจ้งข่าวที่เรือนคุณพระนพ ว่าเหตุการณ์ร้ายๆ อาจจะเกิดขึ้น เพราะนาทรับคำสั่งจากคุณลุงให้ไปเผาเรือนคุณพระนพและเรือนคุณพระอรรถ หากมีใครขวางก็ให้ฆ่าไม่เว้น
แต่คนทางนั้นกลับยืนยันว่าหาทางรับมือได้ พร้อมกำชับหล่อนหนักหนาว่า ‘ห้าม’ มาแจ้งข่าวใดๆ อีก
‘คุณแก้วตา ต้องจำคำที่ผมบอกให้ดี ห้าม! เด็ดขาด ห้ามคุณแก้วตาให้พี่นิ่มหรือใครก็ตาม มาแจ้งข่าวที่เรือนคุณพระเด็ดขาด ผมห้าม!’
น้ำเสียงของ ‘หมื่นพิบูลย์ไพศาล’ หรือ ‘หมื่นขวัญ’ ยามเอ่ยคำว่า ‘ห้าม!’ นั้นคือห้ามจริงจัง เด็ดขาด แต่ถ้าไม่ให้มาแจ้งแล้วรอให้หมื่นขวัญไปติดตามข่าวเอง มันจะช้าไปน่ะสิ
‘ถ้ามัวแต่รอหมื่นขวัญ แล้วเกิดเหตุด่วน! ที่ฉันต้องบอกหมื่นขวัญให้รู้เร็วที่สุดเล่า ฉันจะทำอย่างไร บางเรื่องมันอาจรอหมื่นขวัญไม่ได้นะ อย่างเช่นเรื่องวันนี้’
เรื่องที่คุณลุงสั่งเผาเรือน ใครเล่าจะรอได้
‘อย่างไรคุณแก้วตาก็ต้องรอครับ จะทำแบบวันนี้อีกไม่ได้’
‘แต่...’
‘ไม่มีแต่ครับ คุณแก้วตาต้องเชื่อผม ถ้ามีอะไรผิดสังเกต ผมจะมาฟังข่าวเอง เพราะหากกำนันจับได้ขึ้นมาว่าคุณแก้วตาให้คนมาแจ้งข่าว ไม่ว่าใคร... ก็ตายแน่นอนครับ’
อาจจริงที่หมื่นขวัญพูด ไม่ว่าใครถ้าถูกจับได้คงต้องตายแน่นอน แต่จะให้หล่อนรอคอยอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ ถ้ามันไม่ทันเล่า
‘ถ้ามันร้ายแรงมากๆ แล้วหมื่นขวัญแก้ไม่ทันจะทำอย่างไร’
‘ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมคิดว่าคุณพระท่าน พี่ปาน พี่เปลว และก็ตัวผมเอง จะต้องหาทางแก้ปัญหาไปได้แน่ คุณแก้วตาวางใจเถิด’
‘แต่...’
‘ผมไม่อยากให้ใครก็ตาม... ถูกทำร้าย’
แม้จะเลี่ยงคำว่า ‘ตาย’ เป็นแค่ถูกทำร้าย แต่ก็สร้างความหนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ
แม้คุณลุงจะดีแสนดีกับหล่อนมากมายเพียงใด แต่ถ้าเป็นคนอื่น เชื่อว่าคุณลุงสั่งการได้โดยไม่ลังเล เพราะขนาดสั่งให้นาทไปเผาเรือนคุณพระนพกับเรือนคุณพระอรรถ ท่านยังสั่งได้อย่างเลือดเย็น หนำซ้ำยังสั่งฆ่าไม่ให้เหลือ ถ้าใครมาขวาง
น้ำเสียงกร้าวไปด้วยความเหี้ยมโหดนั้น แก้วตาได้ยินเองกับหู แล้วนับประสาอะไรกับคนที่หล่อนให้ไปแจ้งข่าว ถ้าคุณลุงจับได้ขึ้นมา คงชดใช้ชีวิตของใครไม่ได้
‘เชื่อใจผม’
เสียงทุ้มที่บอกให้เชื่อใจ หล่อนเชื่อเขาที่สุด แต่การรอคอยสถานการณ์อยู่แบบนี้ ก็อึดอัดและทรมานสิ้นดี
“พี่นิ่ม ฉันไม่ไหวแล้วนะ ฉันอยากรู้ว่าคุณลุงจะทำสิ่งใดอีก แล้วพี่นาททำ... อึ๊ย!”
แก้วตาอึดอัดใจแต่ไม่กล้าพูดสิ่งเลวร้ายที่คุณลุงสั่งนาทไปทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสำเร็จหรือไม่ แต่นั่นคือท่านเป็นคนเริ่มต้น
ใบหน้างามจิ้มลิ้มแต่มีแววกังวลใจอยู่เต็มหันมองนิ่มที่นั่งพับเพียบอยู่แทบพื้น ทว่าสายตาของนิ่มกลับมองไปยังทิศทางของศาลาชานเรือน แก้วตามองตามทันที และก็เห็นว่านาทกับลูกน้องกำลังเดินขึ้นเรือนมา ก่อนจะตรงไปหาคุณลุง
นาทก้มหน้าพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งคุณลุงที่เดินไปเดินมานั้นก็ใช้ไม้เท้าในมือกระทุ้งพื้นกระดานไปด้วย มองรู้ว่าโกรธมาก
แก้วตารีบย่อกายลงนั่งขยับเข้าไปชิดกับนิ่ม ทั้งอยากรู้ ทั้งกลัว จนเกิดอาการหนาวสะท้านไปทั้งร่าง และนิ่มที่เห็นกิริยาของนายสาวก็รีบโอบกอดร่างสั่นไว้ทันที
“พี่นิ่ม... มันไม่เกิดอะไรขึ้นใช่ไหมพี่”
เสียงเบาถามย้ำดั่งพยายามสร้างความมั่นใจว่าเหตุร้ายๆ นั้นคงไม่เกิด แต่นิ่มกับยกนิ้วขึ้นมาจุ๊ปากให้หล่อนเงียบ พร้อมพยักพเยิดให้มองและตั้งใจฟัง
แก้วตาพยักหน้าน้อยๆ ว่าเข้าใจ ดวงตาเจิ่งคลอไปด้วยหยาดน้ำมองตรงไปยังชายสูงวัยร่างสันทัด ชายคนที่อุ้มชูเลี้ยงดูหล่อนมาตั้งแต่พ่อแม่ตายจากไป ทว่าเวลานี้กลับเหมือนว่าหล่อนไม่รู้จักคุณลุงเลย
คุณลุงที่ใจดีกับหล่อนเสมอ ทำไมท่านถึงได้ใจร้ายกับคนอื่น
.
.
ที่ศาลาชานเรือน กำนันเดชกระแทกไม้เท้าลงพื้นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองเต็มที่ ขณะฟังสิ่งที่ไอ้นาทบอกเล่า ทั้งที่อยากจะระเบิดความโกรธแล้วฟาดไม้เท้าลงบนร่างของมันนัก ข้อหาที่ทำงานพลาดอีกครั้งแล้ว
“มึงพูดออกมาให้หมดไอ้นาท ใครกันที่มันบังอาจขัดขวางแผนการของกู!”
น้ำเสียงเค้นออกมาเพราะความคั่งแค้นสะสม ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ เหมือนว่าเขาจะเป็นรองไอ้คุณพระนพอยู่ร่ำไป ไม่เคยก้าวนำหน้ามันได้ มีแต่ก้าวตามหลัง ครั้งนี้หวังว่าความแค้นสุมอกจะทำให้มันตาย แต่มันกลับรอด ซ้ำยังซ้อนแผนให้คนมาซุ่มจัดการคนของไอ้นาทเสียอีก
“ฉันไม่รู้จ้ะอา แต่มันต้องเป็นคนในเรือนเราแน่ๆ เพราะไม่มีทางที่ไอ้คุณพระนพกับลูกน้องของมัน จะรู้ว่าฉันจะไปรอบเผาเรือนจ้ะ เพราะฉันก็คุยกับอาที่เรือนนี้เท่านั้น พอฉันไปถึง พวกมันก็มีอาวุธครบมือ ทั้งตีทั้งฟันจนพวกฉันแทบจะหนีกันไม่ทันเลยจ้ะ”“ไม่ใช่ว่ามึงไปทำทะเล่อทะล่า ให้พวกมันจับได้ก่อนรึ”“ไม่จ้ะอา เรือเบนหัวเข้าท่าน้ำ พวกมันก็มาดักรออยู่แล้วจ้ะ เรือนไอ้คุณพระนพ เป็นไอ้ปานกับไอ้มิ่ง ส่วนเรือนไอ้คุณพระอรรถ เป็นไอ้เปลวกับไอ้ขวัญจ้ะ มันมีอาวุธเตรียมพร้อมรับมือ”“แล้วมึงไม่ได้ทิ้งหลักฐานไว้ใช่ไหม”“เอ่อ.. ไม่เหลือจ้ะอา”“แปลว่าอะไรของมึงไอ้นาท”“ทิ้งไว้ทั้งหมดจ้ะ แค่กระโจนลงน้ำ หนีจะเอาชีวิตรอดกลับมาให้ครบทุกคนก็ยากแล้วจ้ะอา”“ไอ้ฉิบหาย! แล้วมึงก็โง่ ทิ้งหลักฐานไว้มันดูรึ!”“มันก็แค่ถังใส่น้ำมันจ้ะอา ถ้ามันจับตัวคนของเราไม่ได้ มันก็สาวมาไม่ถึงอาอยู่แล้ว”“แล้วมึงคิดเหรอว่า คนอย่างไอ้คุณพระนพมันจะไม่รู้ว่ากูเป็นคนสั่งน่ะ ก็ทีมันยังดักรอมึงได้เลย มึงนี่มันโง่ดักดานไม่เปลี่ยนเลยนะไอ้นาท อยู่กับกูมาตั้งหลายปี หัวมึงมันก็มีแต่ขี้ ไม่ได้ฉลาดขึ้นมาสักนิด โง่เง่าอยู่อย่างไร ก็โง่เง่าอยู่อย่างนั้น
ค่ำคืนมาเยือน แก้วตานั่งแปรงผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หันมองนิ่มที่กำลังจัดเตรียมที่หลับที่นอนให้ ตลอดทั้งวันนี้ตั้งแต่รุ่งสางก็มีสิ่งที่ทำให้หล่อนว้าวุ่นใจหลายอย่าง จึงไม่อยากอยู่ตามลำพัง อยากพูดคุยกับนิ่ม ซักซ้อมทางหนีทีไล่กันให้มากกว่านี้ แต่กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่นิ่มออกจากห้องไปยามสาย ก็หายไปเลย แล้วเพิ่งกลับเข้ามาตอนนี้ เมื่อเข้ามาแล้วก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกับหล่อน ถามคำตอบคำ หน้าก็ไม่มอง เหมือนคนอยู่ในภวังค์ตลอดเวลาแก้วตามองนิ่มที่ก้มหน้าก้มตาใช้ผ้าผืนเล็กปัดเศษฝุ่นบนที่นอน ก่อนจะไปนำผ้าห่มออกมาจากตู้แล้วมาวางเตรียมไว้“พี่นิ่ม”แค่เรียกเบาๆ ภาพที่สะท้อนจากกระจกเงาก็เห็นว่านิ่มสะดุ้งจนตัวโยน นั่นทำให้แก้วตาหันกลับมาโดยเร็ว ในขณะที่นิ่มยิ่งก้มหน้าลงต่ำดั่งกลัวหล่อนจะเห็นใบหน้าแก้วตาก้าวเข้าประชิด ทรุดร่างลงนั่งตรงหน้า“พี่นิ่ม เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าไม่สบาย”“ไม่... นิ่มไม่เป็นอะไรค่ะ”นิ่มละล่ำละลักพูดก้มหน้า เหมือนต้องการจะหลบ“หน้าโดนอะไรมารึ”“ไม่นะคะ ไม่ได้โดนอะไร”“เช่นนั้นก็เงยหน้ามองฉันสิ พี่นิ่ม พี่ก้มหน้าทำไม มองหน้าฉัน”“นิ่มจะไปออกไปแล้วค่ะ คุณแก้วตาพักผ่อนนะคะ”
ความเดิมตอนที่แล้ว ‘กลิ่นแก้ว’ เป็นนิยายชุด ‘หอมรัญจวน’ ซึ่งประกอบไปด้วยนิยายสั้นจำนวน 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ กลิ่นจันทร์ กลิ่นนวล กลิ่นนาง และกลิ่นแก้ว เนื้อเรื่องใช้ตัวละครหลักร่วมกัน แต่แยกเป็น 4 คู่ พระ-นาง สามารถแยกอ่านได้ เรื่องราวเริ่มต้นจาก พระเกษตรานพคุณ (คุณพระนพ) เดินทางมารับราชการที่หัวเมือง โดยมีผู้ใต้บังคับบัญชาติดตามมาด้วย 3 คน ได้แก่ หลวงธรณีพิทักษ์ (หลวงปาน) ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์ (ขุนเปลว) และ หมื่นพิบูลย์ไพศาล (หมื่นขวัญ) หน้าที่ของ คุณพระนพ คือ ตรวจตราดูว่าประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องใดบ้าง พืชพันธุ์มีพร้อมสำหรับปลูกไหม น้ำดีไหม ดินดีไหม ติดขัดปัญหาใดที่ต้องการให้ทางการช่วยหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบเรื่องการเก็บภาษีที่นาว่าถูกต้องเหมาะสมแล้วใช่ไหม ..เมื่อเข้ามาในพื้นที่ คุณพระนพกลับพบว่าในตำบลแห่งนี้ ผู้ที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากสุดคือ กำนันเดช กำนันเดชเลี้ยงนักเลงหัวไม้ไว้มากมาย ทำตัวเป็นพ่อพระ ให้ชาวบ้านกู้หนี้ยืมสินโดยเอาที่ดินที่นามาขัดเอาไว้ แต่แล้วก็ปลอมสัญญาการกู้เงิน เก็บดอกเบี้ยรายว
ยามดึกสงัด แต่กลับมีเสียงหนึ่งแผ่วเบาแทรกเข้ามา จนคนที่เฝ้าระวังเพราะวางใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องเงี่ยหูฟังทิศทางของเสียง จ๋อม! จ๋อม!จังหวะเบา ทว่าหนักแน่นค่อนข้างเป็นกระชั้นถี่ ฟังดูรู้ว่าเร่งรีบ‘หมื่นพิบูลย์ไพศาล’ หรือ ‘ขวัญ’ ขยับตัวอย่างแผ่วเบาเข้าไปหลบเร้นอยู่ใต้ชายคาของศาลาริมน้ำ ดวงตาคมเข้มเขม่นมองไปยังลำน้ำที่ไหลผ่านหน้าเรือน แม้จะมืดแต่ตาที่เคยชินกับแสงก็ทำให้เห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว ใกล้เข้ามาและใกล้เข้ามาเรือพายลำเล็กมี 2 คนอยู่ในเรือ กำลังเบนหัวเข้าฝั่ง ตรงมาเทียบที่ท่าน้ำหน้าเรือน ‘พระเกษตรานพคุณ’จากรูปร่างและท่าทางของทั้งคู่ทำให้ขวัญส่ายหน้า และเกือบจะทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างเอือมระอา แต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน จึงเปลี่ยนมาพ่นลมออกจากปากระบายความหงุดหงิด แววตาที่เคยอบอุ่นอยู่เสมอเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะจ้องไปยังคนที่ก้าวขึ้นท่ามาก่อน ท่าทางเหมือนจะสั่งให้คนในเรือรออยู่ตรงนี้ นั่นทำให้เขาขยับกายรอจนร่างอรชรค่อยๆ จดฝีเท้าเบากริบเข้ามาใกล้ ขวัญก็เข้าไปขวางหน้าทันที“ว้าย!”ฝ่ามือทาบปิดปากกระจับน้อยๆ รั้งเอวคอดเข้าหาตัว ก่อนจะกระซิบ“ชู่วววว... ผมเอง ห
ค่ำคืนมาเยือน แก้วตานั่งแปรงผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หันมองนิ่มที่กำลังจัดเตรียมที่หลับที่นอนให้ ตลอดทั้งวันนี้ตั้งแต่รุ่งสางก็มีสิ่งที่ทำให้หล่อนว้าวุ่นใจหลายอย่าง จึงไม่อยากอยู่ตามลำพัง อยากพูดคุยกับนิ่ม ซักซ้อมทางหนีทีไล่กันให้มากกว่านี้ แต่กลับกลายเป็นว่าตั้งแต่นิ่มออกจากห้องไปยามสาย ก็หายไปเลย แล้วเพิ่งกลับเข้ามาตอนนี้ เมื่อเข้ามาแล้วก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกับหล่อน ถามคำตอบคำ หน้าก็ไม่มอง เหมือนคนอยู่ในภวังค์ตลอดเวลาแก้วตามองนิ่มที่ก้มหน้าก้มตาใช้ผ้าผืนเล็กปัดเศษฝุ่นบนที่นอน ก่อนจะไปนำผ้าห่มออกมาจากตู้แล้วมาวางเตรียมไว้“พี่นิ่ม”แค่เรียกเบาๆ ภาพที่สะท้อนจากกระจกเงาก็เห็นว่านิ่มสะดุ้งจนตัวโยน นั่นทำให้แก้วตาหันกลับมาโดยเร็ว ในขณะที่นิ่มยิ่งก้มหน้าลงต่ำดั่งกลัวหล่อนจะเห็นใบหน้าแก้วตาก้าวเข้าประชิด ทรุดร่างลงนั่งตรงหน้า“พี่นิ่ม เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าไม่สบาย”“ไม่... นิ่มไม่เป็นอะไรค่ะ”นิ่มละล่ำละลักพูดก้มหน้า เหมือนต้องการจะหลบ“หน้าโดนอะไรมารึ”“ไม่นะคะ ไม่ได้โดนอะไร”“เช่นนั้นก็เงยหน้ามองฉันสิ พี่นิ่ม พี่ก้มหน้าทำไม มองหน้าฉัน”“นิ่มจะไปออกไปแล้วค่ะ คุณแก้วตาพักผ่อนนะคะ”
“ฉันไม่รู้จ้ะอา แต่มันต้องเป็นคนในเรือนเราแน่ๆ เพราะไม่มีทางที่ไอ้คุณพระนพกับลูกน้องของมัน จะรู้ว่าฉันจะไปรอบเผาเรือนจ้ะ เพราะฉันก็คุยกับอาที่เรือนนี้เท่านั้น พอฉันไปถึง พวกมันก็มีอาวุธครบมือ ทั้งตีทั้งฟันจนพวกฉันแทบจะหนีกันไม่ทันเลยจ้ะ”“ไม่ใช่ว่ามึงไปทำทะเล่อทะล่า ให้พวกมันจับได้ก่อนรึ”“ไม่จ้ะอา เรือเบนหัวเข้าท่าน้ำ พวกมันก็มาดักรออยู่แล้วจ้ะ เรือนไอ้คุณพระนพ เป็นไอ้ปานกับไอ้มิ่ง ส่วนเรือนไอ้คุณพระอรรถ เป็นไอ้เปลวกับไอ้ขวัญจ้ะ มันมีอาวุธเตรียมพร้อมรับมือ”“แล้วมึงไม่ได้ทิ้งหลักฐานไว้ใช่ไหม”“เอ่อ.. ไม่เหลือจ้ะอา”“แปลว่าอะไรของมึงไอ้นาท”“ทิ้งไว้ทั้งหมดจ้ะ แค่กระโจนลงน้ำ หนีจะเอาชีวิตรอดกลับมาให้ครบทุกคนก็ยากแล้วจ้ะอา”“ไอ้ฉิบหาย! แล้วมึงก็โง่ ทิ้งหลักฐานไว้มันดูรึ!”“มันก็แค่ถังใส่น้ำมันจ้ะอา ถ้ามันจับตัวคนของเราไม่ได้ มันก็สาวมาไม่ถึงอาอยู่แล้ว”“แล้วมึงคิดเหรอว่า คนอย่างไอ้คุณพระนพมันจะไม่รู้ว่ากูเป็นคนสั่งน่ะ ก็ทีมันยังดักรอมึงได้เลย มึงนี่มันโง่ดักดานไม่เปลี่ยนเลยนะไอ้นาท อยู่กับกูมาตั้งหลายปี หัวมึงมันก็มีแต่ขี้ ไม่ได้ฉลาดขึ้นมาสักนิด โง่เง่าอยู่อย่างไร ก็โง่เง่าอยู่อย่างนั้น
ดวงตาสวยหวานแต่ดูหวาดหวั่นอย่างที่สุด มองตรงไปยังศาลาชานเรือน ที่นั่น ‘แก้วตา’ เห็น ‘กำนันเดช’ ลุงของหล่อนนั่งนิ่งมาสักพักหนึ่งแล้ว เหมือนท่านกำลังรอคอยใครอยู่ แน่นอนว่าแก้วตาก็รอคอยไปพร้อมๆ กับท่านด้วยเช่นกัน เพราะเรื่องราวที่อาจเกิดขึ้นแล้วเมื่อคืน หล่อนคาดเดาผลลัพธ์ไม่ได้เลย แต่ก็หวังให้เป็นไปในทิศทางดี อย่าให้สิ่งใดร้ายๆ กระทำการได้สำเร็จสายตาหวาดหวั่นยังมองคุณลุง ทว่าหยาดน้ำตากลับค่อยๆ เอ่อล้น เมื่อนึกไปถึงค่ำคืนที่ผ่านมาเมื่อคืนหลังจากไปแจ้งข่าวที่เรือนคุณพระนพ ว่าเหตุการณ์ร้ายๆ อาจจะเกิดขึ้น เพราะนาทรับคำสั่งจากคุณลุงให้ไปเผาเรือนคุณพระนพและเรือนคุณพระอรรถ หากมีใครขวางก็ให้ฆ่าไม่เว้นแต่คนทางนั้นกลับยืนยันว่าหาทางรับมือได้ พร้อมกำชับหล่อนหนักหนาว่า ‘ห้าม’ มาแจ้งข่าวใดๆ อีก‘คุณแก้วตา ต้องจำคำที่ผมบอกให้ดี ห้าม! เด็ดขาด ห้ามคุณแก้วตาให้พี่นิ่มหรือใครก็ตาม มาแจ้งข่าวที่เรือนคุณพระเด็ดขาด ผมห้าม!’น้ำเสียงของ ‘หมื่นพิบูลย์ไพศาล’ หรือ ‘หมื่นขวัญ’ ยามเอ่ยคำว่า ‘ห้าม!’ นั้นคือห้ามจริงจัง เด็ดขาด แต่ถ้าไม่ให้มาแจ้งแล้วรอให้หมื่นขวัญไปติดตามข่าวเอง มันจะช้าไปน่ะสิ‘ถ้ามัวแต่รอหมื่นขว
ยามดึกสงัด แต่กลับมีเสียงหนึ่งแผ่วเบาแทรกเข้ามา จนคนที่เฝ้าระวังเพราะวางใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องเงี่ยหูฟังทิศทางของเสียง จ๋อม! จ๋อม!จังหวะเบา ทว่าหนักแน่นค่อนข้างเป็นกระชั้นถี่ ฟังดูรู้ว่าเร่งรีบ‘หมื่นพิบูลย์ไพศาล’ หรือ ‘ขวัญ’ ขยับตัวอย่างแผ่วเบาเข้าไปหลบเร้นอยู่ใต้ชายคาของศาลาริมน้ำ ดวงตาคมเข้มเขม่นมองไปยังลำน้ำที่ไหลผ่านหน้าเรือน แม้จะมืดแต่ตาที่เคยชินกับแสงก็ทำให้เห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว ใกล้เข้ามาและใกล้เข้ามาเรือพายลำเล็กมี 2 คนอยู่ในเรือ กำลังเบนหัวเข้าฝั่ง ตรงมาเทียบที่ท่าน้ำหน้าเรือน ‘พระเกษตรานพคุณ’จากรูปร่างและท่าทางของทั้งคู่ทำให้ขวัญส่ายหน้า และเกือบจะทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างเอือมระอา แต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน จึงเปลี่ยนมาพ่นลมออกจากปากระบายความหงุดหงิด แววตาที่เคยอบอุ่นอยู่เสมอเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะจ้องไปยังคนที่ก้าวขึ้นท่ามาก่อน ท่าทางเหมือนจะสั่งให้คนในเรือรออยู่ตรงนี้ นั่นทำให้เขาขยับกายรอจนร่างอรชรค่อยๆ จดฝีเท้าเบากริบเข้ามาใกล้ ขวัญก็เข้าไปขวางหน้าทันที“ว้าย!”ฝ่ามือทาบปิดปากกระจับน้อยๆ รั้งเอวคอดเข้าหาตัว ก่อนจะกระซิบ“ชู่วววว... ผมเอง ห
ความเดิมตอนที่แล้ว ‘กลิ่นแก้ว’ เป็นนิยายชุด ‘หอมรัญจวน’ ซึ่งประกอบไปด้วยนิยายสั้นจำนวน 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ กลิ่นจันทร์ กลิ่นนวล กลิ่นนาง และกลิ่นแก้ว เนื้อเรื่องใช้ตัวละครหลักร่วมกัน แต่แยกเป็น 4 คู่ พระ-นาง สามารถแยกอ่านได้ เรื่องราวเริ่มต้นจาก พระเกษตรานพคุณ (คุณพระนพ) เดินทางมารับราชการที่หัวเมือง โดยมีผู้ใต้บังคับบัญชาติดตามมาด้วย 3 คน ได้แก่ หลวงธรณีพิทักษ์ (หลวงปาน) ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์ (ขุนเปลว) และ หมื่นพิบูลย์ไพศาล (หมื่นขวัญ) หน้าที่ของ คุณพระนพ คือ ตรวจตราดูว่าประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องใดบ้าง พืชพันธุ์มีพร้อมสำหรับปลูกไหม น้ำดีไหม ดินดีไหม ติดขัดปัญหาใดที่ต้องการให้ทางการช่วยหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบเรื่องการเก็บภาษีที่นาว่าถูกต้องเหมาะสมแล้วใช่ไหม ..เมื่อเข้ามาในพื้นที่ คุณพระนพกลับพบว่าในตำบลแห่งนี้ ผู้ที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากสุดคือ กำนันเดช กำนันเดชเลี้ยงนักเลงหัวไม้ไว้มากมาย ทำตัวเป็นพ่อพระ ให้ชาวบ้านกู้หนี้ยืมสินโดยเอาที่ดินที่นามาขัดเอาไว้ แต่แล้วก็ปลอมสัญญาการกู้เงิน เก็บดอกเบี้ยรายว