นวลมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจจนอยากจะร้องไห้ เพราะสิ่งที่หล่อนหวังไว้ใกล้จะเป็นจริงใช่ไหม ผู้ชายที่แตกต่างไปจากชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เขาที่ทำให้หล่อนตะลึงมองตั้งแต่ครั้งแรกที่สบสายตา เขาเป็นคนที่หล่อนคาดหวังไว้จริงๆ แต่ก็ต้องให้แน่ใจ
“พี่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”
“ใครไม่รู้บ้างต่างหาก”
“หือ...” นวลทำเสียงสูง และสุดสายตาก็เห็นลุงป้าฝั่งตรงกันข้ามที่มองตรงมา นึกรู้ทันทีว่าเขารู้เรื่องมาจากใคร
“อ๋อ... พี่คงรู้มาจากลุงป้าฟากโน้น แต่ฉันรับน้ำใจของพี่ไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ ฉันกับพี่ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน ฉันรับแค่ค่าหอยห้าสตางค์พอ ที่เหลือฉันขอคืน”
“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นค่ากะหลัวนี่ก็ได้”
“นั่นฉันให้ยืม”
“ไม่ได้มาตลาดนี้บ่อย”
“ถึงเป็นเช่นนั้นฉันก็รับไว้ไม่ได้ สตางค์พวกนี้ฉันขอคืน ฉันไม่รับของใครโดยไม่ลงแรงไม่เสียเหงื่อ”
ปานฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามพูดให้เหตุให้ผล แต่เหมือนว่าหัวใจของเขามันจะซึมซับแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มและถ้อยคำฉลาดรู้ฉลาดพูด ทั้งยังหยิ่งไปด้วยศักดิ์ศรี
‘ศักดิ์ศรี’ ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนมีไว้ต่อรองกับกำนัน
“เช่นนั้นอีกห้าสตางค์ ฉันให้เป็นค่าจ้างเล่าเรื่องอะไรบางอย่างได้หรือไม่”
“เรื่องอะไรที่พี่อยากรู้”
“เรื่องกำนันเดช”
“ทำไมพี่ถึงอยากรู้เรื่องกำนัน”
นวลถามพลางมองสำรวจผู้ชายตรงหน้า มั่นใจแล้วว่าเขาเป็นคนที่ชาวบ้านพูดถึง คนของ ‘พระเกษตรานพคุณ’ คนที่จะมาหักล้างอำนาจของกำนันเดช
แต่ยิ่งมั่นใจ ยิ่งไม่ควรพูดคุย
ดวงตาสวยฉลาดเหลือบมองซ้ายมองขวาไม่ให้ตัวเองเป็นพิรุธ มือก็หยิบจับข้าวของบนแผง ทั้งที่แทบจะไม่มีอะไรให้จับอยู่แล้ว คิดหาทางให้เขาไปให้พ้นแผงปลาของหล่อน เพราะหากมีคนของกำนันมาเห็นว่าหล่อนอยู่กับชายแปลกหน้าคนนี้ ทุกสิ่งที่คิดจะทำอาจไม่สำเร็จ
“แม่นวล...”
“ฉันว่าพี่ไปให้ไกลๆ แผงปลาฉันเถอะ อย่าทำให้ฉันเดือดร้อนเลย แค่นี้ฉันก็แทบจะหาสตางค์ไปจ่ายหนี้กำนันไม่พออยู่แล้ว ถ้ากำนันไม่พอใจฉันขึ้นมา ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องแก้ปัญหายังไง”
นวลพูดเสียงดังหวังให้แผงค้าขายใกล้เคียงได้ยินกันให้หมด ดวงตากราดเกรี้ยวมองผู้ชายตรงหน้าที่ยังคงยืนนิ่ง หล่อนเขม่นตาให้แล้ว ขยิบได้ให้ซ้ำ แต่เขาก็ยังไม่ไหวติง ทั้งที่แน่ใจว่าเขารู้ความหมาย แต่ทำไมยังทำเฉย
“เอ๊ะพี่! ฉันว่าแล้วยังไม่ไปอีก ไป! ฉันไม่อยากขายของให้พี่ ไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ออกไปให้พ้นแผงฉัน ไปสิ!”
นวลคว้าก้านตะไคร้ คว้าใบมะกรูด ลูกมะกรูดในตะกร้าปาใส่คนตรงหน้า แต่เขาเหมือนไม่สะท้าน จนหล่อนนึกโมโห คว้าตะกร้าใส่ใบตองขยับเข้าไปประชิดกะว่าจะครอบใส่หัว ซึ่งเขาก็ยังไม่หลบ
“ไปให้พ้นแผงฉันนะ ฉันขายแต่ปลา ไม่ได้ขายตัว ไป!”
สุดท้ายนวลก็ไม่กล้าคว่ำตะกร้าใส่หัวเขา หล่อนทำได้แค่คว้าใบตองปาใส่หน้า พร้อมตะโกนลั่นในทีว่าเขามาแทะโลม
.
.
เสียงโวยวายทำให้แม่ค้าพ่อค้าบริเวณข้างเคียงต้องเข้ามาห้าม รวม ทั้งเปลวที่เดินอ้อมมาจนถึงหัวตลาดก็ได้ยินเสียงเอะอะรีบรุดมาทันที ทันได้ห้ามไม่ให้แม่ค้าปลาทำร้ายพี่ชายของเขา
“นี่เธอ! หยุด! หยุด!”
“ฉันไม่หยุด! ออกไปจากหน้าร้านฉันเดี๋ยวนี้! ไป!”
และยิ่งเห็นแม่ค้าหน้าสวยกราดเกรี้ยว พร้อมปาข้าวของใส่พี่ชาย นั่นทำให้เปลวทนไม่ได้
“นี่เธอกล้าทำร้ายพี่ฉันรึ ได้!”
เปลวถลาเข้าไปหาแม่ค้า กะว่าจะต้องสั่งสอนกันสักหน่อย แต่เป็นพี่ชายที่ยื้อแขนเขาเอาไว้ ซ้ำยังยัดกะหลัวใส่มือเขาเสียอีก
“พี่ปาน! ทำไมปล่อยให้ยายแม่ค้านี่ด่า ร้ายแบบนี้ต้องสั่งสอนกันหน่อย”
“เอากะหลัวไปเก็บที่เรือ”
“พี่ปาน!”
เปลวฮึดฮัดไม่เข้าใจ ก่อนจะหลับตาเข่นเขี้ยวเพราะบนหัวเขาขณะนี้เต็มไปด้วยใบกะเพรากับใบโหระพาที่ยายแม่ค้าปลาปาใส่ แต่เมื่อเขาหันไปจะเอาเรื่อง พี่ชายก็รั้งไว้อีก
ดวงตาคมเข้มจ้องสบดวงตากราดเกรี้ยวนิ่ง ส่ายใบหน้าช้าๆ ก่อนจะดันร่างสูงใหญ่พอๆ กันให้หันเดินไปยังทิศทางออกจากตลาด ทั้งที่เจ้าตัวไม่อยากไปสักนิด อยากจะเข้าไปเอาเรื่องแม่ค้าต่อ เพราะขนาดหันหลังให้ เสียงด่ากราดของแม่ค้าปลายังตามมาให้ได้ยิน
“อย่ามาหาฉันที่ร้านอีกนะ ฉันไม่ต้อนรับ ไอ้คนบ้ากาม!”
.
.
ทันทีที่ลงเรือได้ เปลวก็กระแทกก้นลงนั่งอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตากราดเกรี้ยวมองไปยังทิศทางเข้าตลาด ก่อนจะตวัดมองพี่ชาย และสีหน้าเรียบสนิทของ ‘หลวงธรณีพิทักษ์’ ก็ทำให้เปลวต้องเขม่นมอง มีสิ่งใดที่เขาไม่รู้หรือไม่
“ทำไมพี่ต้องยอมให้ยายแม่ค้านั่นด่า พี่ไปทำอะไร ยายแม่ค้าหน้าสวยถึงได้ด่าพี่แบบนั้นได้ หรือพี่เป็นไอ้บ้ากามอย่างที่หล่อนด่าจริงๆ แต่ไม่นะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพี่จะเป็นแบบนั้น ปกติแล้ว ร้านไหน ตลาดไหน สาวๆ ก็อยากต้อนรับคนรูปหล่ออย่างพี่ไม่ใช่รึ”
พูดแค่นั้นก็ราวจะเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของพี่ชายมีรอยยิ้มน้อยๆ ในสีหน้า แม้เจ้าตัวจะพยายามฝืน แต่เป็นพี่เป็นน้องกันมาตลอดชีวิต ใบหน้าและแววตาที่ผิดปกติเพียงนิด เขาก็สังเกตได้
เปลวเกิดรอยยิ้มน้อยๆ ในสีหน้าเช่นกัน พร้อมขยับเข้าใกล้
“ยิ้มแบบนี้ มีสิ่งใดที่ฉันไม่รู้หรือเปล่า”
ยามเช้าตรู่ที่ท่าเทียบเรือทางขึ้นตลาดกลางประจำหมู่บ้าน บุรุษร่างสูงใหญ่ 2 นาย กำลังก้าวขึ้นจากลำเรือ แม้ทั้งคู่จะแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เรือนกายอกผายไหล่ผึ่งก็ให้เห็นความแตกต่างได้ชัดดวงตาคมเข้มของชายที่ก้าวนำขึ้นไปก่อน มองตรงไปยังร้านรวงมากมายตลอดสองฝั่งข้างทางที่พ่อค้าแม่ค้าต่างมาจับจองตั้งแผงขายของกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ก่อนจะกวาดมองทั้งซ้ายขวาโดยรอบ เพราะตั้งใจว่าในวันนี้จะต้องหาจุดหมายปลายทางให้พบ นั่นคือ ต้องมีใครสักคนที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง เพราะขึ้นชื่อว่า ‘ตลาด’ ย่อมเป็นที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวของใครคนหนึ่งไปหาใครอีกหลายๆ คนเป็นแน่เขาถึงว่ากันว่า ‘ปากตลาด’ มีอะไรก็พูดหมดเป้าหมายคือต้องหาใครคนนั้นให้พบคนที่พร้อมจะท้าชนกับ ‘กำนันเดช’ อย่างหมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัวเกรงติดตรงที่ว่าเขาจะไปหาคนคนนั้นได้จากไหน เพราะแค่เอ่ยชื่อกำนันเดช ชาวบ้านก็ล้วนแต่บอกปัด ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แต่จะให้เลยตามเลยไม่มาหาเบาะแสก็ไม่ได้ เพราะนี่คืองานที่ได้รับมอบหมาย และจะต้องทำให้สำเร็จจงได้ด้วยเรื่องความกินดีอยู่ดีของชาวบ้าน ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับนี้ ข้าราชการในพื้นที่
ยามนั้นคุณพระให้เขานำข่าวจากทางนี้ไปส่งที่พระนครฯ จึงไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่เจ้าเข้มมันเล่าว่า แม่จันทร์กล้าหาญมากที่มาขอให้คุณพระท่านช่วยจนเกิดเหตุบุพเพฯ ได้ตกล่องปล่องชิ้นกลายเป็นเมียของคุณพระ แต่จะให้แม่จันทร์มาเป็นพยานนั้นคงไม่ได้ เพราะเหตุที่จะเป็นพยานมีหลักฐานนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นด้วยแม่จันทร์รู้ตัวว่าพ่อแม่ไม่มีกำลังส่งดอกเบี้ย จนกำนันยื่นคำขาดว่าต้องส่งลูกไปขัดดอก ซึ่งลูกที่เหลืออยู่เรือนก็มีตัวแม่จันทร์และเจ้าจ้อยน้องชาย ดังนั้นคนที่ต้องไปก่อนก็คือแม่จันทร์อย่างแน่นอน และหน้าตาสะสวยแบบนั้น หากไปถึงเรือนกำนันคงไม่รอดเงื้อมมือไปได้เมื่อคุณพระนพยื่นมือเข้าช่วยจนไถ่ที่นาคืนได้สำเร็จ จึงไม่มีมูลเหตุจะเอาผิดกำนัน เพราะเป็นหนี้ย่อมต้องใช้คืนนั้นถูกต้องแล้ว แทนที่จะเอาผิดกำนัน เรื่องอาจจะกลับกลายเป็นว่ากำนันเอื้อเฟื้อให้ลูกบ้านหยิบยืมเงินไปเสียอีกจึงมีเพียงพวกเขาต้องหาคนที่มีใจร่วมกันต่อไป“เช่นนั้นเราเข้าไปดูกันพี่ ดูสิว่าถ้ามันเจอเราทั้งเช้าทั้งเย็น มันจะหาทางไปเก็บดอกเก็บผลกับชาวบ้านยังไงได้อีก”“แยกกันไปพ่อเปลว พ่อเปลวไปทางด้านซ้าย ส่วนพี่จะไปทางด้านขวา”“ได้จ้ะพี่”“วนส
ทั้งลีลาการขายของแม่ค้าคนสวยก็จัดจ้านติดตรึงตราเสียเหลือเกิน เพราะสำหรับตัวเขาเอง แม้จะพึ่งเคยเห็นวิธีค้าขายแบบนี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องยอมรับว่าติดใจจนอยากมายืนดูลีลาแม่ค้าอีกหลายครั้ง หรือจะให้มาดูทุกวันก็ย่อมได้ริมฝีปากแดงระเรื่อยามตะโกนเรียกลูกค้า ขยับปากพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะแย้มยิ้ม อดทำให้คิดไม่ได้ว่าหากได้กุ้งหอยปูปลาจากร้านนี้ไป อาหารคงจะปรุงออกมาได้อร่อยมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะกินไปก็ให้นึกถึงหน้าตาและรอยยิ้มของแม่ค้าอยู่ร่ำไป‘ทั้งสดปลาและสดใจ’ อย่างที่แม่ค้าสูงวัยเปรียบเปรย“แล้วพ่อคิดว่าคนอื่นเขาคิดแบบไหนกันเล่า ดูสิเข้าไปรุมล้อมอยู่แต่แผงอีนวล แล้วดูแผงฉันสิ ดูแผงนู้น แผงโน้นด้วย คิดว่าป่าช้ามาเยือนกันแล้วนะเนี่ย”“รอก่อนเถอะแม่น้อย ประเดี๋ยวอีนวลมันขายหมดก็ถึงคราวของเราบ้าง”พ่อค้าที่คงเป็นผัวพูดเหมือนจะปลอบใจเมียที่ส่งสายตามองค้อนไปยังแม่ค้าคนสวยแบบกะหลับกะเหลือก แต่แล้วก็กลายเป็นเขม่นมองและพูดโดยเร็ว“โน่น! อีนวลมันว่างแล้ว พ่อรีบไปก่อนจะหมดเร็ว!”ปานหันมองตามแล้วก็เห็นว่าแม่ค้านวลถอนหายใจเฮือกพร้อมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ แบบคนเหนื่อยจริง แต่ไม่ทันไร ลูกค้าผู้ชา
‘เอ๊ะ! นี่พ่อเป็นคนบ้านไหน ไยไม่รู้เรื่องรู้ราว ลูกสาวหลานสาวบ้านไหนที่เอาที่ทางไปวางกู้เงิน โตขึ้นหน่อยก็ต้องไปขัดดอกที่เรือนกำนันกันทั้งนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นลูกชายก็ต้องไปใช้แรงงาน ทั้งทำนาทำสวน หรือไม่ก็ต้องมาเป็นเบ้ไอ้พวกที่มาคอยเก็บดอกให้กำนัน แล้วหน้าตาอย่างอีนวลมันจะเหลือรึ กำนันก็ให้พวกไอ้นาทเทียวไร้เทียวขื่ออยู่ตลอด นี่ถ้าพวกมันไม่มาเก็บดอกที่ตลาด โน่นมันก็ไปดักที่เรือน มันว่ากำนันท่านอยากได้อีนวลเป็นเมียจะตายไป ติดที่อีนวลมันหาสตางค์ส่งดอกได้ทุกวี่วันนั่นแหละ กำนันก็เลยเร่งไม่ได้’ป้าแม่ค้าที่พูดเหมือนหมั่นไส้แม่นวล แต่ปานกลับรับรู้ได้ถึงความเห็นใจ‘ป้าก็เลยตั้งใจปล่อยให้แม่นวลขายหมดก่อน ป้าถึงจะขาย ใช่ไหมจ๊ะ’‘แหม... พ่อพูดดี จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ป้าน่ะก็อยากให้มันขายให้หมดทุกวันนั่นแหละ ป้ารอได้ กว่าตลาดจะวายก็สาย อีนวลมันขายเร็วมันก็กลับบ้านเร็ว’‘แม่น้อย หวังครองตลาดสายคนเดียวก็บอกพ่อหนุ่มไปเถอะ ไม่ต้องทำทีเป็นเห็นใจอีนวลมันเลย’‘แล้วแกเลี่ยงได้เรอะตาแก้ว จะให้ข้าไปร้องแรกแหกกระเชอแข่งกับอีนวลมันไหมเล่า’‘อย่าเลย ข้ากลัวจะขายไปไม่ได้ไปอีกฝนหนึ่ง’ป้าแม่ค้ามองค้อนผัวท
นวลมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจจนอยากจะร้องไห้ เพราะสิ่งที่หล่อนหวังไว้ใกล้จะเป็นจริงใช่ไหม ผู้ชายที่แตกต่างไปจากชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เขาที่ทำให้หล่อนตะลึงมองตั้งแต่ครั้งแรกที่สบสายตา เขาเป็นคนที่หล่อนคาดหวังไว้จริงๆ แต่ก็ต้องให้แน่ใจ“พี่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”“ใครไม่รู้บ้างต่างหาก”“หือ...” นวลทำเสียงสูง และสุดสายตาก็เห็นลุงป้าฝั่งตรงกันข้ามที่มองตรงมา นึกรู้ทันทีว่าเขารู้เรื่องมาจากใคร“อ๋อ... พี่คงรู้มาจากลุงป้าฟากโน้น แต่ฉันรับน้ำใจของพี่ไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ ฉันกับพี่ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน ฉันรับแค่ค่าหอยห้าสตางค์พอ ที่เหลือฉันขอคืน”“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นค่ากะหลัวนี่ก็ได้”“นั่นฉันให้ยืม”“ไม่ได้มาตลาดนี้บ่อย”“ถึงเป็นเช่นนั้นฉันก็รับไว้ไม่ได้ สตางค์พวกนี้ฉันขอคืน ฉันไม่รับของใครโดยไม่ลงแรงไม่เสียเหงื่อ”ปานฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามพูดให้เหตุให้ผล แต่เหมือนว่าหัวใจของเขามันจะซึมซับแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มและถ้อยคำฉลาดรู้ฉลาดพูด ทั้งยังหยิ่งไปด้วยศักดิ์ศรี‘ศักดิ์ศรี’ ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนมีไว้ต่อรองกับกำนัน“เช่นนั้นอีกห้าสตางค์ ฉันให้เป็นค่าจ้างเล่าเรื่องอะไรบางอย่างไ
‘เอ๊ะ! นี่พ่อเป็นคนบ้านไหน ไยไม่รู้เรื่องรู้ราว ลูกสาวหลานสาวบ้านไหนที่เอาที่ทางไปวางกู้เงิน โตขึ้นหน่อยก็ต้องไปขัดดอกที่เรือนกำนันกันทั้งนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นลูกชายก็ต้องไปใช้แรงงาน ทั้งทำนาทำสวน หรือไม่ก็ต้องมาเป็นเบ้ไอ้พวกที่มาคอยเก็บดอกให้กำนัน แล้วหน้าตาอย่างอีนวลมันจะเหลือรึ กำนันก็ให้พวกไอ้นาทเทียวไร้เทียวขื่ออยู่ตลอด นี่ถ้าพวกมันไม่มาเก็บดอกที่ตลาด โน่นมันก็ไปดักที่เรือน มันว่ากำนันท่านอยากได้อีนวลเป็นเมียจะตายไป ติดที่อีนวลมันหาสตางค์ส่งดอกได้ทุกวี่วันนั่นแหละ กำนันก็เลยเร่งไม่ได้’ป้าแม่ค้าที่พูดเหมือนหมั่นไส้แม่นวล แต่ปานกลับรับรู้ได้ถึงความเห็นใจ‘ป้าก็เลยตั้งใจปล่อยให้แม่นวลขายหมดก่อน ป้าถึงจะขาย ใช่ไหมจ๊ะ’‘แหม... พ่อพูดดี จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ป้าน่ะก็อยากให้มันขายให้หมดทุกวันนั่นแหละ ป้ารอได้ กว่าตลาดจะวายก็สาย อีนวลมันขายเร็วมันก็กลับบ้านเร็ว’‘แม่น้อย หวังครองตลาดสายคนเดียวก็บอกพ่อหนุ่มไปเถอะ ไม่ต้องทำทีเป็นเห็นใจอีนวลมันเลย’‘แล้วแกเลี่ยงได้เรอะตาแก้ว จะให้ข้าไปร้องแรกแหกกระเชอแข่งกับอีนวลมันไหมเล่า’‘อย่าเลย ข้ากลัวจะขายไปไม่ได้ไปอีกฝนหนึ่ง’ป้าแม่ค้ามองค้อนผัวท
ทั้งลีลาการขายของแม่ค้าคนสวยก็จัดจ้านติดตรึงตราเสียเหลือเกิน เพราะสำหรับตัวเขาเอง แม้จะพึ่งเคยเห็นวิธีค้าขายแบบนี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องยอมรับว่าติดใจจนอยากมายืนดูลีลาแม่ค้าอีกหลายครั้ง หรือจะให้มาดูทุกวันก็ย่อมได้ริมฝีปากแดงระเรื่อยามตะโกนเรียกลูกค้า ขยับปากพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะแย้มยิ้ม อดทำให้คิดไม่ได้ว่าหากได้กุ้งหอยปูปลาจากร้านนี้ไป อาหารคงจะปรุงออกมาได้อร่อยมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะกินไปก็ให้นึกถึงหน้าตาและรอยยิ้มของแม่ค้าอยู่ร่ำไป‘ทั้งสดปลาและสดใจ’ อย่างที่แม่ค้าสูงวัยเปรียบเปรย“แล้วพ่อคิดว่าคนอื่นเขาคิดแบบไหนกันเล่า ดูสิเข้าไปรุมล้อมอยู่แต่แผงอีนวล แล้วดูแผงฉันสิ ดูแผงนู้น แผงโน้นด้วย คิดว่าป่าช้ามาเยือนกันแล้วนะเนี่ย”“รอก่อนเถอะแม่น้อย ประเดี๋ยวอีนวลมันขายหมดก็ถึงคราวของเราบ้าง”พ่อค้าที่คงเป็นผัวพูดเหมือนจะปลอบใจเมียที่ส่งสายตามองค้อนไปยังแม่ค้าคนสวยแบบกะหลับกะเหลือก แต่แล้วก็กลายเป็นเขม่นมองและพูดโดยเร็ว“โน่น! อีนวลมันว่างแล้ว พ่อรีบไปก่อนจะหมดเร็ว!”ปานหันมองตามแล้วก็เห็นว่าแม่ค้านวลถอนหายใจเฮือกพร้อมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ แบบคนเหนื่อยจริง แต่ไม่ทันไร ลูกค้าผู้ชา
ยามนั้นคุณพระให้เขานำข่าวจากทางนี้ไปส่งที่พระนครฯ จึงไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่เจ้าเข้มมันเล่าว่า แม่จันทร์กล้าหาญมากที่มาขอให้คุณพระท่านช่วยจนเกิดเหตุบุพเพฯ ได้ตกล่องปล่องชิ้นกลายเป็นเมียของคุณพระ แต่จะให้แม่จันทร์มาเป็นพยานนั้นคงไม่ได้ เพราะเหตุที่จะเป็นพยานมีหลักฐานนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นด้วยแม่จันทร์รู้ตัวว่าพ่อแม่ไม่มีกำลังส่งดอกเบี้ย จนกำนันยื่นคำขาดว่าต้องส่งลูกไปขัดดอก ซึ่งลูกที่เหลืออยู่เรือนก็มีตัวแม่จันทร์และเจ้าจ้อยน้องชาย ดังนั้นคนที่ต้องไปก่อนก็คือแม่จันทร์อย่างแน่นอน และหน้าตาสะสวยแบบนั้น หากไปถึงเรือนกำนันคงไม่รอดเงื้อมมือไปได้เมื่อคุณพระนพยื่นมือเข้าช่วยจนไถ่ที่นาคืนได้สำเร็จ จึงไม่มีมูลเหตุจะเอาผิดกำนัน เพราะเป็นหนี้ย่อมต้องใช้คืนนั้นถูกต้องแล้ว แทนที่จะเอาผิดกำนัน เรื่องอาจจะกลับกลายเป็นว่ากำนันเอื้อเฟื้อให้ลูกบ้านหยิบยืมเงินไปเสียอีกจึงมีเพียงพวกเขาต้องหาคนที่มีใจร่วมกันต่อไป“เช่นนั้นเราเข้าไปดูกันพี่ ดูสิว่าถ้ามันเจอเราทั้งเช้าทั้งเย็น มันจะหาทางไปเก็บดอกเก็บผลกับชาวบ้านยังไงได้อีก”“แยกกันไปพ่อเปลว พ่อเปลวไปทางด้านซ้าย ส่วนพี่จะไปทางด้านขวา”“ได้จ้ะพี่”“วนส
ยามเช้าตรู่ที่ท่าเทียบเรือทางขึ้นตลาดกลางประจำหมู่บ้าน บุรุษร่างสูงใหญ่ 2 นาย กำลังก้าวขึ้นจากลำเรือ แม้ทั้งคู่จะแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เรือนกายอกผายไหล่ผึ่งก็ให้เห็นความแตกต่างได้ชัดดวงตาคมเข้มของชายที่ก้าวนำขึ้นไปก่อน มองตรงไปยังร้านรวงมากมายตลอดสองฝั่งข้างทางที่พ่อค้าแม่ค้าต่างมาจับจองตั้งแผงขายของกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ก่อนจะกวาดมองทั้งซ้ายขวาโดยรอบ เพราะตั้งใจว่าในวันนี้จะต้องหาจุดหมายปลายทางให้พบ นั่นคือ ต้องมีใครสักคนที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง เพราะขึ้นชื่อว่า ‘ตลาด’ ย่อมเป็นที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวของใครคนหนึ่งไปหาใครอีกหลายๆ คนเป็นแน่เขาถึงว่ากันว่า ‘ปากตลาด’ มีอะไรก็พูดหมดเป้าหมายคือต้องหาใครคนนั้นให้พบคนที่พร้อมจะท้าชนกับ ‘กำนันเดช’ อย่างหมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัวเกรงติดตรงที่ว่าเขาจะไปหาคนคนนั้นได้จากไหน เพราะแค่เอ่ยชื่อกำนันเดช ชาวบ้านก็ล้วนแต่บอกปัด ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แต่จะให้เลยตามเลยไม่มาหาเบาะแสก็ไม่ได้ เพราะนี่คืองานที่ได้รับมอบหมาย และจะต้องทำให้สำเร็จจงได้ด้วยเรื่องความกินดีอยู่ดีของชาวบ้าน ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับนี้ ข้าราชการในพื้นที่