‘เอ๊ะ! นี่พ่อเป็นคนบ้านไหน ไยไม่รู้เรื่องรู้ราว ลูกสาวหลานสาวบ้านไหนที่เอาที่ทางไปวางกู้เงิน โตขึ้นหน่อยก็ต้องไปขัดดอกที่เรือนกำนันกันทั้งนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นลูกชายก็ต้องไปใช้แรงงาน ทั้งทำนาทำสวน หรือไม่ก็ต้องมาเป็นเบ้ไอ้พวกที่มาคอยเก็บดอกให้กำนัน แล้วหน้าตาอย่างอีนวลมันจะเหลือรึ กำนันก็ให้พวกไอ้นาทเทียวไร้เทียวขื่ออยู่ตลอด นี่ถ้าพวกมันไม่มาเก็บดอกที่ตลาด โน่นมันก็ไปดักที่เรือน มันว่ากำนันท่านอยากได้อีนวลเป็นเมียจะตายไป ติดที่อีนวลมันหาสตางค์ส่งดอกได้ทุกวี่วันนั่นแหละ กำนันก็เลยเร่งไม่ได้’
ป้าแม่ค้าที่พูดเหมือนหมั่นไส้แม่นวล แต่ปานกลับรับรู้ได้ถึงความเห็นใจ
‘ป้าก็เลยตั้งใจปล่อยให้แม่นวลขายหมดก่อน ป้าถึงจะขาย ใช่ไหมจ๊ะ’
‘แหม... พ่อพูดดี จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ป้าน่ะก็อยากให้มันขายให้หมดทุกวันนั่นแหละ ป้ารอได้ กว่าตลาดจะวายก็สาย อีนวลมันขายเร็วมันก็กลับบ้านเร็ว’
‘แม่น้อย หวังครองตลาดสายคนเดียวก็บอกพ่อหนุ่มไปเถอะ ไม่ต้องทำทีเป็นเห็นใจอีนวลมันเลย’
‘แล้วแกเลี่ยงได้เรอะตาแก้ว จะให้ข้าไปร้องแรกแหกกระเชอแข่งกับอีนวลมันไหมเล่า’
‘อย่าเลย ข้ากลัวจะขายไปไม่ได้ไปอีกฝนหนึ่ง’
ป้าแม่ค้ามองค้อนผัวทำปากขมุบขมิบก่อนจะหันมาหาเขา
‘โน่นพ่อหนุ่ม หอยอีนวลยังเหลืออยู่ พ่อไปช่วยมันซื้อเร็ว มันจะได้กลับๆ ไปสักที ป้าจะได้ขายบ้าง’
ไม่ต้องรอให้บอกซ้ำเพราะปานเองก็อยากเข้าไปเห็นหน้าตาแม่ค้าคนสวยใกล้ๆ อยู่แล้ว และก็อยากรู้ด้วยว่าคนของกำนันเดชมาเก็บดอกเบี้ยต่อวันเท่าไร แล้วมาตอนไหน
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคนที่จะให้คำตอบเรื่องกำนันได้ดีที่สุดก็คือแม่ค้าปลาคนนี้ เพราะถ้าแม่นวลทำทุกอย่างเพื่อยื้อเวลาจากกำนัน หล่อนย่อมช่วยเขา และหากหล่อนเต็มใจช่วย เขาเองก็พร้อมจะช่วยหล่อนทุกทางที่ทำได้
“เหลือแค่หอยกองเดียวแล้วจ้ะพี่ พี่รับเลยไหมจ๊ะ”
นวลที่หยิบจับข้าวของให้เป็นระเบียบร้องถามเมื่อเห็นท่อนขาของผู้ชายยืนอยู่ด้านหน้าแผงปลา เพราะกลเม็ดในการค้าขาย ไม่ว่าหล่อนจะแนะนำอะไร ลูกค้าหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายก็พากันซื้อจนหมด ไม่เคยมีใครปฏิเสธ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองลูกค้า และได้สบสายตา ก็เป็นนวลเองที่เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ก่อนจะรีบปรับให้เป็นปกติเร็วที่สุด
“ขายยังไงเล่าแม่ค้า”
“กองนี้ห้าสตางค์จ้ะ เหลือกองสุดท้าย ตัวมันเล็กหน่อย เพราะไอ้ที่กองโตๆ ก็ขายหมดแล้ว พี่รับเลยนะจ๊ะ”
ปานยิ้มน้อยๆ ในสีหน้า ตามองกองหอย ไม่ได้มองหน้าแม่ค้า เพราะอาการตกประหม่าของหล่อนเมื่อครู่ เขาเองก็รู้สึกเช่นกัน ตาสบตากันแบบนั้น ก่อเกิดอาการวูบวาบแบบนี้ ไม่เคยสักครั้งที่จะเกิดกับใคร
แต่ถ้าไม่มองตอนนี้ เขาคงขาดทุนแน่
ดวงตาคมเข้มค่อยๆ เหลือบขึ้นมองแม่ค้าชื่อนวล ผู้มีใบหน้านวลแฉล้ม เห็นไกลว่างามมาก ใกล้ระยะนี้ยิ่งงามจัด หากจะบอกว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้หล่อนต้องหาเงินจ่ายดอกเบี้ยให้ครบในทุกวัน เขาก็จะเชื่อ เพราะหากขาดไปสักวันเดียว ผู้ชายที่ไหนจะไม่เรียกหล่อนไปขัดดอกกันเล่า
โดยเฉพาะน้ำเสียงใสกล้าต่อปากต่อคำ ที่แม้จะประหม่าแต่หล่อนก็ไม่วายจะขายของแบบมัดมือชก ไม่ถามเขาสักคำว่าจะเอาไหม แต่หล่อนกลับบอกว่า ‘รับเลยนะ’
“ห้าสตางค์ ได้กำไรรึ”
เสียงทุ้มนุ่มเจือไปด้วยความเห็นใจและอ่อนโยนทำให้ขอบตาร้อนผ่าว น้ำตารื้นขึ้นดื้อๆ จนนวลต้องเป่าปากเบาๆ พร้อมกะพริบตาถี่ พยายามไม่ให้ตารินไหล เพราะจังหวะน้ำเสียงแบบนี้ ตั้งแต่จำความได้ก็มีแค่พ่อเท่านั้น ที่พูดกับหล่อนได้อ่อนโยนถึงเพียงนี้
คิดดังนั้นรอยยิ้มหวานจึงระบายไปทั่วใบหน้า ดวงตาคมสวยมองสบสายตาชายร่างสูงใหญ่กว่าชายใดในหมู่บ้านที่หล่อนเคยเห็น
“พอได้จ้ะพี่ เหลือกองสุดท้ายแล้วด้วย ไม่มีให้พี่เลือกเทียบ ของขายหมดเร็ว ฉันก็จะได้กลับบ้านเร็วด้วย แล้วนี่พี่มีอะไรมาใส่หรือเปล่าล่ะจ๊ะ ถ้าไม่มีฉันจะห่อให้”
นวลถามไปมองไป เมื่อไม่เห็นว่าเขาจะถือตะกร้าถือข้องมาด้วย หล่อนจึงเอี้ยวตัวไปหยิบกะหลัวขนาดย่อมขึ้นมาวางบนแผง จากนั้นวางใบตองลงไปรองก้น มือน้อยกอบหอยขมใส่ไป เอื้อมหยิบลูกมะกรูดมาเฉือนเอาแต่ผิว พร้อมทั้งใส่ใบมะกรูดและตะไคร้หั่นท่อนลงไปด้วย จากนั้นก็วางใบตองปิดไปอีกชั้น
“กะหลัวนี้ฉันให้พี่ยืมก่อน คราวหน้าพี่มาตลาด พี่ค่อยเอามาคืนฉันนะ ฉันใส่มะกรูดกับตะไคร้ไปให้ด้วย เผื่อพี่ไปซื้อของอย่างอื่นจะได้ไม่คาว”
ปานรับกะหลัวใส่หอยมาพร้อมกับยื่นสตางค์ให้ แต่กิริยาหย่อนสตางค์ใส่ฝ่ามือชนิดที่ปลายนิ้วไม่ได้แตะกันสักนิด ก็ทำให้นวลยิ้มน้อยๆ ด้วยไม่เคยมีเลยที่ลูกค้าชายคนไหนจะพลาดสัมผัสมือหล่อน ในช่วงจังหวะนี้ที่หล่อนจะเปลืองตัว แต่ก็ถือว่าแค่มือ ไม่ได้นักหนาอันใด
แต่น้ำหนักเหรียญก็ทำให้หัวคิ้วมุ่น นวลมองเหรียญในมือก่อนจะมองคนตรงหน้า
“แค่ห้าสตางค์จ้ะพี่” นับเหรียญที่เกินแล้วยื่นให้
“ไม่เป็นไร ฉันให้สิบสตางค์เลย ถือว่าช่วยสมทบเป็นค่าดอกเบี้ยที่แม่นวลจะต้องจ่ายให้กับกำนันก็แล้วกัน”
นวลมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจจนอยากจะร้องไห้ เพราะสิ่งที่หล่อนหวังไว้ใกล้จะเป็นจริงใช่ไหม ผู้ชายที่แตกต่างไปจากชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เขาที่ทำให้หล่อนตะลึงมองตั้งแต่ครั้งแรกที่สบสายตา เขาเป็นคนที่หล่อนคาดหวังไว้จริงๆ แต่ก็ต้องให้แน่ใจ“พี่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”“ใครไม่รู้บ้างต่างหาก”“หือ...” นวลทำเสียงสูง และสุดสายตาก็เห็นลุงป้าฝั่งตรงกันข้ามที่มองตรงมา นึกรู้ทันทีว่าเขารู้เรื่องมาจากใคร“อ๋อ... พี่คงรู้มาจากลุงป้าฟากโน้น แต่ฉันรับน้ำใจของพี่ไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ ฉันกับพี่ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน ฉันรับแค่ค่าหอยห้าสตางค์พอ ที่เหลือฉันขอคืน”“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นค่ากะหลัวนี่ก็ได้”“นั่นฉันให้ยืม”“ไม่ได้มาตลาดนี้บ่อย”“ถึงเป็นเช่นนั้นฉันก็รับไว้ไม่ได้ สตางค์พวกนี้ฉันขอคืน ฉันไม่รับของใครโดยไม่ลงแรงไม่เสียเหงื่อ”ปานฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามพูดให้เหตุให้ผล แต่เหมือนว่าหัวใจของเขามันจะซึมซับแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มและถ้อยคำฉลาดรู้ฉลาดพูด ทั้งยังหยิ่งไปด้วยศักดิ์ศรี‘ศักดิ์ศรี’ ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนมีไว้ต่อรองกับกำนัน“เช่นนั้นอีกห้าสตางค์ ฉันให้เป็นค่าจ้างเล่าเรื่องอะไรบางอย่างไ
ยามเช้าตรู่ที่ท่าเทียบเรือทางขึ้นตลาดกลางประจำหมู่บ้าน บุรุษร่างสูงใหญ่ 2 นาย กำลังก้าวขึ้นจากลำเรือ แม้ทั้งคู่จะแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เรือนกายอกผายไหล่ผึ่งก็ให้เห็นความแตกต่างได้ชัดดวงตาคมเข้มของชายที่ก้าวนำขึ้นไปก่อน มองตรงไปยังร้านรวงมากมายตลอดสองฝั่งข้างทางที่พ่อค้าแม่ค้าต่างมาจับจองตั้งแผงขายของกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ก่อนจะกวาดมองทั้งซ้ายขวาโดยรอบ เพราะตั้งใจว่าในวันนี้จะต้องหาจุดหมายปลายทางให้พบ นั่นคือ ต้องมีใครสักคนที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง เพราะขึ้นชื่อว่า ‘ตลาด’ ย่อมเป็นที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวของใครคนหนึ่งไปหาใครอีกหลายๆ คนเป็นแน่เขาถึงว่ากันว่า ‘ปากตลาด’ มีอะไรก็พูดหมดเป้าหมายคือต้องหาใครคนนั้นให้พบคนที่พร้อมจะท้าชนกับ ‘กำนันเดช’ อย่างหมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัวเกรงติดตรงที่ว่าเขาจะไปหาคนคนนั้นได้จากไหน เพราะแค่เอ่ยชื่อกำนันเดช ชาวบ้านก็ล้วนแต่บอกปัด ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แต่จะให้เลยตามเลยไม่มาหาเบาะแสก็ไม่ได้ เพราะนี่คืองานที่ได้รับมอบหมาย และจะต้องทำให้สำเร็จจงได้ด้วยเรื่องความกินดีอยู่ดีของชาวบ้าน ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับนี้ ข้าราชการในพื้นที่
ยามนั้นคุณพระให้เขานำข่าวจากทางนี้ไปส่งที่พระนครฯ จึงไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่เจ้าเข้มมันเล่าว่า แม่จันทร์กล้าหาญมากที่มาขอให้คุณพระท่านช่วยจนเกิดเหตุบุพเพฯ ได้ตกล่องปล่องชิ้นกลายเป็นเมียของคุณพระ แต่จะให้แม่จันทร์มาเป็นพยานนั้นคงไม่ได้ เพราะเหตุที่จะเป็นพยานมีหลักฐานนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นด้วยแม่จันทร์รู้ตัวว่าพ่อแม่ไม่มีกำลังส่งดอกเบี้ย จนกำนันยื่นคำขาดว่าต้องส่งลูกไปขัดดอก ซึ่งลูกที่เหลืออยู่เรือนก็มีตัวแม่จันทร์และเจ้าจ้อยน้องชาย ดังนั้นคนที่ต้องไปก่อนก็คือแม่จันทร์อย่างแน่นอน และหน้าตาสะสวยแบบนั้น หากไปถึงเรือนกำนันคงไม่รอดเงื้อมมือไปได้เมื่อคุณพระนพยื่นมือเข้าช่วยจนไถ่ที่นาคืนได้สำเร็จ จึงไม่มีมูลเหตุจะเอาผิดกำนัน เพราะเป็นหนี้ย่อมต้องใช้คืนนั้นถูกต้องแล้ว แทนที่จะเอาผิดกำนัน เรื่องอาจจะกลับกลายเป็นว่ากำนันเอื้อเฟื้อให้ลูกบ้านหยิบยืมเงินไปเสียอีกจึงมีเพียงพวกเขาต้องหาคนที่มีใจร่วมกันต่อไป“เช่นนั้นเราเข้าไปดูกันพี่ ดูสิว่าถ้ามันเจอเราทั้งเช้าทั้งเย็น มันจะหาทางไปเก็บดอกเก็บผลกับชาวบ้านยังไงได้อีก”“แยกกันไปพ่อเปลว พ่อเปลวไปทางด้านซ้าย ส่วนพี่จะไปทางด้านขวา”“ได้จ้ะพี่”“วนส
ทั้งลีลาการขายของแม่ค้าคนสวยก็จัดจ้านติดตรึงตราเสียเหลือเกิน เพราะสำหรับตัวเขาเอง แม้จะพึ่งเคยเห็นวิธีค้าขายแบบนี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องยอมรับว่าติดใจจนอยากมายืนดูลีลาแม่ค้าอีกหลายครั้ง หรือจะให้มาดูทุกวันก็ย่อมได้ริมฝีปากแดงระเรื่อยามตะโกนเรียกลูกค้า ขยับปากพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะแย้มยิ้ม อดทำให้คิดไม่ได้ว่าหากได้กุ้งหอยปูปลาจากร้านนี้ไป อาหารคงจะปรุงออกมาได้อร่อยมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะกินไปก็ให้นึกถึงหน้าตาและรอยยิ้มของแม่ค้าอยู่ร่ำไป‘ทั้งสดปลาและสดใจ’ อย่างที่แม่ค้าสูงวัยเปรียบเปรย“แล้วพ่อคิดว่าคนอื่นเขาคิดแบบไหนกันเล่า ดูสิเข้าไปรุมล้อมอยู่แต่แผงอีนวล แล้วดูแผงฉันสิ ดูแผงนู้น แผงโน้นด้วย คิดว่าป่าช้ามาเยือนกันแล้วนะเนี่ย”“รอก่อนเถอะแม่น้อย ประเดี๋ยวอีนวลมันขายหมดก็ถึงคราวของเราบ้าง”พ่อค้าที่คงเป็นผัวพูดเหมือนจะปลอบใจเมียที่ส่งสายตามองค้อนไปยังแม่ค้าคนสวยแบบกะหลับกะเหลือก แต่แล้วก็กลายเป็นเขม่นมองและพูดโดยเร็ว“โน่น! อีนวลมันว่างแล้ว พ่อรีบไปก่อนจะหมดเร็ว!”ปานหันมองตามแล้วก็เห็นว่าแม่ค้านวลถอนหายใจเฮือกพร้อมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ แบบคนเหนื่อยจริง แต่ไม่ทันไร ลูกค้าผู้ชา
นวลมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจจนอยากจะร้องไห้ เพราะสิ่งที่หล่อนหวังไว้ใกล้จะเป็นจริงใช่ไหม ผู้ชายที่แตกต่างไปจากชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เขาที่ทำให้หล่อนตะลึงมองตั้งแต่ครั้งแรกที่สบสายตา เขาเป็นคนที่หล่อนคาดหวังไว้จริงๆ แต่ก็ต้องให้แน่ใจ“พี่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”“ใครไม่รู้บ้างต่างหาก”“หือ...” นวลทำเสียงสูง และสุดสายตาก็เห็นลุงป้าฝั่งตรงกันข้ามที่มองตรงมา นึกรู้ทันทีว่าเขารู้เรื่องมาจากใคร“อ๋อ... พี่คงรู้มาจากลุงป้าฟากโน้น แต่ฉันรับน้ำใจของพี่ไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ ฉันกับพี่ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน ฉันรับแค่ค่าหอยห้าสตางค์พอ ที่เหลือฉันขอคืน”“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นค่ากะหลัวนี่ก็ได้”“นั่นฉันให้ยืม”“ไม่ได้มาตลาดนี้บ่อย”“ถึงเป็นเช่นนั้นฉันก็รับไว้ไม่ได้ สตางค์พวกนี้ฉันขอคืน ฉันไม่รับของใครโดยไม่ลงแรงไม่เสียเหงื่อ”ปานฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามพูดให้เหตุให้ผล แต่เหมือนว่าหัวใจของเขามันจะซึมซับแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มและถ้อยคำฉลาดรู้ฉลาดพูด ทั้งยังหยิ่งไปด้วยศักดิ์ศรี‘ศักดิ์ศรี’ ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนมีไว้ต่อรองกับกำนัน“เช่นนั้นอีกห้าสตางค์ ฉันให้เป็นค่าจ้างเล่าเรื่องอะไรบางอย่างไ
‘เอ๊ะ! นี่พ่อเป็นคนบ้านไหน ไยไม่รู้เรื่องรู้ราว ลูกสาวหลานสาวบ้านไหนที่เอาที่ทางไปวางกู้เงิน โตขึ้นหน่อยก็ต้องไปขัดดอกที่เรือนกำนันกันทั้งนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นลูกชายก็ต้องไปใช้แรงงาน ทั้งทำนาทำสวน หรือไม่ก็ต้องมาเป็นเบ้ไอ้พวกที่มาคอยเก็บดอกให้กำนัน แล้วหน้าตาอย่างอีนวลมันจะเหลือรึ กำนันก็ให้พวกไอ้นาทเทียวไร้เทียวขื่ออยู่ตลอด นี่ถ้าพวกมันไม่มาเก็บดอกที่ตลาด โน่นมันก็ไปดักที่เรือน มันว่ากำนันท่านอยากได้อีนวลเป็นเมียจะตายไป ติดที่อีนวลมันหาสตางค์ส่งดอกได้ทุกวี่วันนั่นแหละ กำนันก็เลยเร่งไม่ได้’ป้าแม่ค้าที่พูดเหมือนหมั่นไส้แม่นวล แต่ปานกลับรับรู้ได้ถึงความเห็นใจ‘ป้าก็เลยตั้งใจปล่อยให้แม่นวลขายหมดก่อน ป้าถึงจะขาย ใช่ไหมจ๊ะ’‘แหม... พ่อพูดดี จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ป้าน่ะก็อยากให้มันขายให้หมดทุกวันนั่นแหละ ป้ารอได้ กว่าตลาดจะวายก็สาย อีนวลมันขายเร็วมันก็กลับบ้านเร็ว’‘แม่น้อย หวังครองตลาดสายคนเดียวก็บอกพ่อหนุ่มไปเถอะ ไม่ต้องทำทีเป็นเห็นใจอีนวลมันเลย’‘แล้วแกเลี่ยงได้เรอะตาแก้ว จะให้ข้าไปร้องแรกแหกกระเชอแข่งกับอีนวลมันไหมเล่า’‘อย่าเลย ข้ากลัวจะขายไปไม่ได้ไปอีกฝนหนึ่ง’ป้าแม่ค้ามองค้อนผัวท
ทั้งลีลาการขายของแม่ค้าคนสวยก็จัดจ้านติดตรึงตราเสียเหลือเกิน เพราะสำหรับตัวเขาเอง แม้จะพึ่งเคยเห็นวิธีค้าขายแบบนี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องยอมรับว่าติดใจจนอยากมายืนดูลีลาแม่ค้าอีกหลายครั้ง หรือจะให้มาดูทุกวันก็ย่อมได้ริมฝีปากแดงระเรื่อยามตะโกนเรียกลูกค้า ขยับปากพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะแย้มยิ้ม อดทำให้คิดไม่ได้ว่าหากได้กุ้งหอยปูปลาจากร้านนี้ไป อาหารคงจะปรุงออกมาได้อร่อยมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะกินไปก็ให้นึกถึงหน้าตาและรอยยิ้มของแม่ค้าอยู่ร่ำไป‘ทั้งสดปลาและสดใจ’ อย่างที่แม่ค้าสูงวัยเปรียบเปรย“แล้วพ่อคิดว่าคนอื่นเขาคิดแบบไหนกันเล่า ดูสิเข้าไปรุมล้อมอยู่แต่แผงอีนวล แล้วดูแผงฉันสิ ดูแผงนู้น แผงโน้นด้วย คิดว่าป่าช้ามาเยือนกันแล้วนะเนี่ย”“รอก่อนเถอะแม่น้อย ประเดี๋ยวอีนวลมันขายหมดก็ถึงคราวของเราบ้าง”พ่อค้าที่คงเป็นผัวพูดเหมือนจะปลอบใจเมียที่ส่งสายตามองค้อนไปยังแม่ค้าคนสวยแบบกะหลับกะเหลือก แต่แล้วก็กลายเป็นเขม่นมองและพูดโดยเร็ว“โน่น! อีนวลมันว่างแล้ว พ่อรีบไปก่อนจะหมดเร็ว!”ปานหันมองตามแล้วก็เห็นว่าแม่ค้านวลถอนหายใจเฮือกพร้อมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ แบบคนเหนื่อยจริง แต่ไม่ทันไร ลูกค้าผู้ชา
ยามนั้นคุณพระให้เขานำข่าวจากทางนี้ไปส่งที่พระนครฯ จึงไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่เจ้าเข้มมันเล่าว่า แม่จันทร์กล้าหาญมากที่มาขอให้คุณพระท่านช่วยจนเกิดเหตุบุพเพฯ ได้ตกล่องปล่องชิ้นกลายเป็นเมียของคุณพระ แต่จะให้แม่จันทร์มาเป็นพยานนั้นคงไม่ได้ เพราะเหตุที่จะเป็นพยานมีหลักฐานนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นด้วยแม่จันทร์รู้ตัวว่าพ่อแม่ไม่มีกำลังส่งดอกเบี้ย จนกำนันยื่นคำขาดว่าต้องส่งลูกไปขัดดอก ซึ่งลูกที่เหลืออยู่เรือนก็มีตัวแม่จันทร์และเจ้าจ้อยน้องชาย ดังนั้นคนที่ต้องไปก่อนก็คือแม่จันทร์อย่างแน่นอน และหน้าตาสะสวยแบบนั้น หากไปถึงเรือนกำนันคงไม่รอดเงื้อมมือไปได้เมื่อคุณพระนพยื่นมือเข้าช่วยจนไถ่ที่นาคืนได้สำเร็จ จึงไม่มีมูลเหตุจะเอาผิดกำนัน เพราะเป็นหนี้ย่อมต้องใช้คืนนั้นถูกต้องแล้ว แทนที่จะเอาผิดกำนัน เรื่องอาจจะกลับกลายเป็นว่ากำนันเอื้อเฟื้อให้ลูกบ้านหยิบยืมเงินไปเสียอีกจึงมีเพียงพวกเขาต้องหาคนที่มีใจร่วมกันต่อไป“เช่นนั้นเราเข้าไปดูกันพี่ ดูสิว่าถ้ามันเจอเราทั้งเช้าทั้งเย็น มันจะหาทางไปเก็บดอกเก็บผลกับชาวบ้านยังไงได้อีก”“แยกกันไปพ่อเปลว พ่อเปลวไปทางด้านซ้าย ส่วนพี่จะไปทางด้านขวา”“ได้จ้ะพี่”“วนส
ยามเช้าตรู่ที่ท่าเทียบเรือทางขึ้นตลาดกลางประจำหมู่บ้าน บุรุษร่างสูงใหญ่ 2 นาย กำลังก้าวขึ้นจากลำเรือ แม้ทั้งคู่จะแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เรือนกายอกผายไหล่ผึ่งก็ให้เห็นความแตกต่างได้ชัดดวงตาคมเข้มของชายที่ก้าวนำขึ้นไปก่อน มองตรงไปยังร้านรวงมากมายตลอดสองฝั่งข้างทางที่พ่อค้าแม่ค้าต่างมาจับจองตั้งแผงขายของกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ก่อนจะกวาดมองทั้งซ้ายขวาโดยรอบ เพราะตั้งใจว่าในวันนี้จะต้องหาจุดหมายปลายทางให้พบ นั่นคือ ต้องมีใครสักคนที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง เพราะขึ้นชื่อว่า ‘ตลาด’ ย่อมเป็นที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวของใครคนหนึ่งไปหาใครอีกหลายๆ คนเป็นแน่เขาถึงว่ากันว่า ‘ปากตลาด’ มีอะไรก็พูดหมดเป้าหมายคือต้องหาใครคนนั้นให้พบคนที่พร้อมจะท้าชนกับ ‘กำนันเดช’ อย่างหมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัวเกรงติดตรงที่ว่าเขาจะไปหาคนคนนั้นได้จากไหน เพราะแค่เอ่ยชื่อกำนันเดช ชาวบ้านก็ล้วนแต่บอกปัด ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แต่จะให้เลยตามเลยไม่มาหาเบาะแสก็ไม่ได้ เพราะนี่คืองานที่ได้รับมอบหมาย และจะต้องทำให้สำเร็จจงได้ด้วยเรื่องความกินดีอยู่ดีของชาวบ้าน ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับนี้ ข้าราชการในพื้นที่