ยามนั้นคุณพระให้เขานำข่าวจากทางนี้ไปส่งที่พระนครฯ จึงไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่เจ้าเข้มมันเล่าว่า แม่จันทร์กล้าหาญมากที่มาขอให้คุณพระท่านช่วยจนเกิดเหตุบุพเพฯ ได้ตกล่องปล่องชิ้นกลายเป็นเมียของคุณพระ แต่จะให้แม่จันทร์มาเป็นพยานนั้นคงไม่ได้ เพราะเหตุที่จะเป็นพยานมีหลักฐานนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น
ด้วยแม่จันทร์รู้ตัวว่าพ่อแม่ไม่มีกำลังส่งดอกเบี้ย จนกำนันยื่นคำขาดว่าต้องส่งลูกไปขัดดอก ซึ่งลูกที่เหลืออยู่เรือนก็มีตัวแม่จันทร์และเจ้าจ้อยน้องชาย ดังนั้นคนที่ต้องไปก่อนก็คือแม่จันทร์อย่างแน่นอน และหน้าตาสะสวยแบบนั้น หากไปถึงเรือนกำนันคงไม่รอดเงื้อมมือไปได้
เมื่อคุณพระนพยื่นมือเข้าช่วยจนไถ่ที่นาคืนได้สำเร็จ จึงไม่มีมูลเหตุจะเอาผิดกำนัน เพราะเป็นหนี้ย่อมต้องใช้คืนนั้นถูกต้องแล้ว แทนที่จะเอาผิดกำนัน เรื่องอาจจะกลับกลายเป็นว่ากำนันเอื้อเฟื้อให้ลูกบ้านหยิบยืมเงินไปเสียอีก
จึงมีเพียงพวกเขาต้องหาคนที่มีใจร่วมกันต่อไป
“เช่นนั้นเราเข้าไปดูกันพี่ ดูสิว่าถ้ามันเจอเราทั้งเช้าทั้งเย็น มันจะหาทางไปเก็บดอกเก็บผลกับชาวบ้านยังไงได้อีก”
“แยกกันไปพ่อเปลว พ่อเปลวไปทางด้านซ้าย ส่วนพี่จะไปทางด้านขวา”
“ได้จ้ะพี่”
“วนสักรอบแล้วมาเจอกันที่ท่าน้ำ”
เปลวพยักหน้าให้พี่ชาย ดวงตาแกล้วกล้าบ่งบอกถึงความมั่นใจมองสบกัน ก่อนจะแยกย้ายไปตามที่พี่ชายสั่งการ
เมื่อเห็นน้องชายเดินปะปนไปกับชาวบ้านที่มาจับจ่ายซื้อกับข้าวยามเช้า ดวงตาคมเข้มจึงมองไปยังเส้นทางของเขา
ผู้คนดูหนาตาขึ้นทั้งชายหญิง ทั้งสูงวัย และหนุ่มสาว ต่างเดินถือตะกร้า หรือไม่ก็ก้าวขึ้นจากลำเรือ บ้างก็ไปทางซ้ายและมีมากที่ไปทางขวา เพราะจากที่เห็น ด้านขวานี้จะเป็นของสด จำพวกเป็ด ไก่ ปลา
ปานกระชับผ้าขาวม้าขึ้นอำพรางใบหน้าให้เห็นแค่ครึ่งหน้า เพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกตก่อนจะเดินตรงไป
เลี้ยงเจ๊าะแจ๊ะจอแจของชาวบ้านที่มาจับจ่ายซื้อหากับข้าวกับปลาในยามเช้า รวมทั้งเสียงของพ่อค้าแม่ขายที่ตะโกนเรียกให้ลูกค้าซื้อของ ดังขึ้นแบบไม่มีใครยอมใคร แต่กลับมีเสียงหนึ่งที่ดังกว่าใครเพื่อน
เสียงหวานใสที่ทำให้คนเดินผ่านไปผ่านมาต้องหยุดมอง เพราะเสียงดังฟังชัดดูออดอ้อนแบบนั้น บ่งบอกว่าเป็นคนสาว และย่อมต้องสวยมาก และก็เป็นจริงดังคิด
แม่ค้า ‘สาว’ และ ‘สวย’ มีน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง ช่างจ๊ะ ช่างจ๋า ช่างจำนรรจา เรียกลูกค้าไปพลาง โปรยยิ้มไปพลาง ไม่ว่าใครเดินผ่าน หล่อนก็กวักมือเรียก พร้อมออดอ้อนให้เข้ามาช่วยซื้อของ และที่เห็นยืนอออยู่หน้าร้านขายปลา ก็มีทั้งหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ และไม่หนุ่มแล้ว ต่างแย่งกันเป็นลูกค้า
“เร่เข้ามาจ้า เร่เข้ามา ปลาสดๆ ทั้งนั้นจ้ะ สดกว่านี้ก็ต้องไปจับเองในคลองแล้วนะจ๊ะ กุ้งก็มี หอยก็มี ปลาก็มี แล้วแต่พ่อจ๋าแม่จ๋าอยากจะกินสิ่งไหน น้องนวลก็มีให้ทั้งหมดจ้า เอ้า! เร่เข้ามาจ้า เร่เข้ามา พี่จ๊ะ! พี่จ๋า... พี่ชายเอาอะไรดีจ๊ะ น้องนวลจะเลือกตัวอวบๆ ใหญ่ให้เลยจ้ะ แล้วพี่ล่ะจ้ะเอาอะไร อุ๊ย! น้องนวลนี่ ไม่น่าลืมง่าย เมื่อวานพี่บอกจะเอากุ้งนี่นา รอประเดี๋ยวนะจ๊ะพี่จ๋า ให้น้องนวลขายให้เจ้านี้ก่อนนะจ๊ะ น้องนวลจะเลือกกุ้งตัวใหญ่ มันจุกๆ ให้พี่สักสามตัว”
“กุ้งตัวละเท่าไรจ๊ะ แม่ค้าหน้าหวาน”
“ห้าสตางค์จ้ะพี่จ๋า”
“แล้วปลานี่ล่ะจ๊ะขายยังไง”
“ช่อนเล็กตัวละสิบสตางค์ ไอ้ช่อนใหญ่สิบห้าสตางค์จ้ะพี่”
“พี่เอาตัวเล็กสาม”
“ขอบใจจ้ะ ฉันคิดพี่สามตัวยี่สิบห้าสตางค์นะจ๊ะ”
แม่ค้าพูดเพราะ ส่งรอยยิ้มหวานสุดๆ ให้กับลูกค้าหนุ่มใหญ่ พร้อมเอื้อมมือไปรับสตางค์ ก่อนจะจับปลาใส่ข้องที่ลูกค้าเตรียมมาด้วย จากนั้นก็ขอบอกขอบใจ พริบตาก็หันไปตอบรับลูกค้ารายใหม่ เรียกได้ว่ารอยยิ้มไม่ได้ขาดจากใบหน้า เสียงหวานไม่ได้ขาดหาย และมือก็ไม่เว้นที่จะหยิบจับปลา กุ้ง หอย ใส่ข้องพร้อมรับสตางค์
ปานเองถึงกับเผลอยิ้มออกมา เพราะแม่ค้าหน้าหวานน่ามองจริงๆ อีกทั้งลีลาการค้าขายก็จัดได้ว่าเด็ด เพราะแค่ไม่นานที่เขายืนอยู่ตรงนี้ ปลาหน้าแผงของแม่ค้าคนสวยก็แทบจะหมดอยู่แล้ว แต่คงไม่ดีกับแม่ค้าพ่อค้าแผงตรงกันข้ามแน่ เพราะสายตาเคืองๆ มองค้อนมันบ่งบอก
“พ่อหนุ่ม! จะซื้อปลากุ้งหอยของอีนวลมันอีกคนไหมล่ะ รีบหน่อยนะ เดี๋ยวจะหมดซะก่อน”
“ใช่! เพราะถ้าขืนพ่อช้าชัก พ่อคงต้องได้กินปลาแก่ๆ ที่แผงของฉันแทนแล้วล่ะ”
เสียงทักแบบสะบัดๆ ของพ่อค้าแม่ค้าแผงที่เขายืนอยู่ด้านข้าง ทำให้ปานยิ้มน้อยๆ ก่อนจะขยับเข้าไปยืนหน้าแผงขายปลาซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับแผงแม่ค้าหน้าสวยที่มีชื่อว่า ‘นวล’
“ทำไมป้าไม่เรียกลูกค้าเหมือนแม่ค้าแผงนั้นบ้างล่ะจ๊ะ ฉันว่าดีนะ เรียกลูกค้าแบบนี้ ลูกค้าจะได้รู้ว่าที่ร้านมีปลาอะไรบ้าง หรือมีกุ้ง หอย มากมายแค่ไหน ลูกค้าก็จะได้สนใจซื้อยังไงล่ะ”
“ตะโกนน่ะพอได้นะพ่อ แต่จะให้ขายดีแบบอีนวลมันคงไม่ได้หรอก นี่ถ้าป้าย้อนเวลาไปได้สักสิบปียี่สิบปี สิบอีนวลก็สู้ป้าไม่ได้แน่ แต่ตอนเนี้ย! ไอ้เรามันต้องยอมรับ สังขารมันไม่เที่ยงแท้ ใครเล่าจะอยากกินกุ้งปลาหอยแก่ๆ ลูกค้าก็ต้องอยากกินกุ้งปลาหอยสดๆ สาวๆ มากกว่านั่นล่ะ พ่อหนุ่มจะซื้อก็รีบไปซื้อเถอะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันเอานะ”
“ไม่ทันก็ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันมาซื้อปลาสดกุ้งสด ซื้อร้านไหนก็ได้ ของป้าก็สดดีนี่จ๊ะ”
“มันสดแค่ปลา แต่คงไม่สดใจ”
“เช่นนั้นฉันควรซื้อปลาสดๆ หรือควรซื้อปลาจากแม่ค้าคนสวยกันแน่จ๊ะ”
ปานถามไปแบบยิ้มๆ ต้องการให้แม่ค้าสูงวัยอารมณ์ดี แต่ก็เห็นด้วยที่ว่าเป็นใครก็คงอยากซื้อกุ้งหอยปูปลากับแม่ค้าหน้าสวยมากกว่าแม่ค้าหน้าคว่ำเป็นแน่
ทั้งลีลาการขายของแม่ค้าคนสวยก็จัดจ้านติดตรึงตราเสียเหลือเกิน เพราะสำหรับตัวเขาเอง แม้จะพึ่งเคยเห็นวิธีค้าขายแบบนี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องยอมรับว่าติดใจจนอยากมายืนดูลีลาแม่ค้าอีกหลายครั้ง หรือจะให้มาดูทุกวันก็ย่อมได้ริมฝีปากแดงระเรื่อยามตะโกนเรียกลูกค้า ขยับปากพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะแย้มยิ้ม อดทำให้คิดไม่ได้ว่าหากได้กุ้งหอยปูปลาจากร้านนี้ไป อาหารคงจะปรุงออกมาได้อร่อยมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะกินไปก็ให้นึกถึงหน้าตาและรอยยิ้มของแม่ค้าอยู่ร่ำไป‘ทั้งสดปลาและสดใจ’ อย่างที่แม่ค้าสูงวัยเปรียบเปรย“แล้วพ่อคิดว่าคนอื่นเขาคิดแบบไหนกันเล่า ดูสิเข้าไปรุมล้อมอยู่แต่แผงอีนวล แล้วดูแผงฉันสิ ดูแผงนู้น แผงโน้นด้วย คิดว่าป่าช้ามาเยือนกันแล้วนะเนี่ย”“รอก่อนเถอะแม่น้อย ประเดี๋ยวอีนวลมันขายหมดก็ถึงคราวของเราบ้าง”พ่อค้าที่คงเป็นผัวพูดเหมือนจะปลอบใจเมียที่ส่งสายตามองค้อนไปยังแม่ค้าคนสวยแบบกะหลับกะเหลือก แต่แล้วก็กลายเป็นเขม่นมองและพูดโดยเร็ว“โน่น! อีนวลมันว่างแล้ว พ่อรีบไปก่อนจะหมดเร็ว!”ปานหันมองตามแล้วก็เห็นว่าแม่ค้านวลถอนหายใจเฮือกพร้อมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ แบบคนเหนื่อยจริง แต่ไม่ทันไร ลูกค้าผู้ชา
‘เอ๊ะ! นี่พ่อเป็นคนบ้านไหน ไยไม่รู้เรื่องรู้ราว ลูกสาวหลานสาวบ้านไหนที่เอาที่ทางไปวางกู้เงิน โตขึ้นหน่อยก็ต้องไปขัดดอกที่เรือนกำนันกันทั้งนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นลูกชายก็ต้องไปใช้แรงงาน ทั้งทำนาทำสวน หรือไม่ก็ต้องมาเป็นเบ้ไอ้พวกที่มาคอยเก็บดอกให้กำนัน แล้วหน้าตาอย่างอีนวลมันจะเหลือรึ กำนันก็ให้พวกไอ้นาทเทียวไร้เทียวขื่ออยู่ตลอด นี่ถ้าพวกมันไม่มาเก็บดอกที่ตลาด โน่นมันก็ไปดักที่เรือน มันว่ากำนันท่านอยากได้อีนวลเป็นเมียจะตายไป ติดที่อีนวลมันหาสตางค์ส่งดอกได้ทุกวี่วันนั่นแหละ กำนันก็เลยเร่งไม่ได้’ป้าแม่ค้าที่พูดเหมือนหมั่นไส้แม่นวล แต่ปานกลับรับรู้ได้ถึงความเห็นใจ‘ป้าก็เลยตั้งใจปล่อยให้แม่นวลขายหมดก่อน ป้าถึงจะขาย ใช่ไหมจ๊ะ’‘แหม... พ่อพูดดี จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ป้าน่ะก็อยากให้มันขายให้หมดทุกวันนั่นแหละ ป้ารอได้ กว่าตลาดจะวายก็สาย อีนวลมันขายเร็วมันก็กลับบ้านเร็ว’‘แม่น้อย หวังครองตลาดสายคนเดียวก็บอกพ่อหนุ่มไปเถอะ ไม่ต้องทำทีเป็นเห็นใจอีนวลมันเลย’‘แล้วแกเลี่ยงได้เรอะตาแก้ว จะให้ข้าไปร้องแรกแหกกระเชอแข่งกับอีนวลมันไหมเล่า’‘อย่าเลย ข้ากลัวจะขายไปไม่ได้ไปอีกฝนหนึ่ง’ป้าแม่ค้ามองค้อนผัวท
นวลมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจจนอยากจะร้องไห้ เพราะสิ่งที่หล่อนหวังไว้ใกล้จะเป็นจริงใช่ไหม ผู้ชายที่แตกต่างไปจากชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เขาที่ทำให้หล่อนตะลึงมองตั้งแต่ครั้งแรกที่สบสายตา เขาเป็นคนที่หล่อนคาดหวังไว้จริงๆ แต่ก็ต้องให้แน่ใจ“พี่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”“ใครไม่รู้บ้างต่างหาก”“หือ...” นวลทำเสียงสูง และสุดสายตาก็เห็นลุงป้าฝั่งตรงกันข้ามที่มองตรงมา นึกรู้ทันทีว่าเขารู้เรื่องมาจากใคร“อ๋อ... พี่คงรู้มาจากลุงป้าฟากโน้น แต่ฉันรับน้ำใจของพี่ไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ ฉันกับพี่ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน ฉันรับแค่ค่าหอยห้าสตางค์พอ ที่เหลือฉันขอคืน”“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นค่ากะหลัวนี่ก็ได้”“นั่นฉันให้ยืม”“ไม่ได้มาตลาดนี้บ่อย”“ถึงเป็นเช่นนั้นฉันก็รับไว้ไม่ได้ สตางค์พวกนี้ฉันขอคืน ฉันไม่รับของใครโดยไม่ลงแรงไม่เสียเหงื่อ”ปานฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามพูดให้เหตุให้ผล แต่เหมือนว่าหัวใจของเขามันจะซึมซับแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มและถ้อยคำฉลาดรู้ฉลาดพูด ทั้งยังหยิ่งไปด้วยศักดิ์ศรี‘ศักดิ์ศรี’ ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนมีไว้ต่อรองกับกำนัน“เช่นนั้นอีกห้าสตางค์ ฉันให้เป็นค่าจ้างเล่าเรื่องอะไรบางอย่างไ
ยามเช้าตรู่ที่ท่าเทียบเรือทางขึ้นตลาดกลางประจำหมู่บ้าน บุรุษร่างสูงใหญ่ 2 นาย กำลังก้าวขึ้นจากลำเรือ แม้ทั้งคู่จะแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เรือนกายอกผายไหล่ผึ่งก็ให้เห็นความแตกต่างได้ชัดดวงตาคมเข้มของชายที่ก้าวนำขึ้นไปก่อน มองตรงไปยังร้านรวงมากมายตลอดสองฝั่งข้างทางที่พ่อค้าแม่ค้าต่างมาจับจองตั้งแผงขายของกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ก่อนจะกวาดมองทั้งซ้ายขวาโดยรอบ เพราะตั้งใจว่าในวันนี้จะต้องหาจุดหมายปลายทางให้พบ นั่นคือ ต้องมีใครสักคนที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง เพราะขึ้นชื่อว่า ‘ตลาด’ ย่อมเป็นที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวของใครคนหนึ่งไปหาใครอีกหลายๆ คนเป็นแน่เขาถึงว่ากันว่า ‘ปากตลาด’ มีอะไรก็พูดหมดเป้าหมายคือต้องหาใครคนนั้นให้พบคนที่พร้อมจะท้าชนกับ ‘กำนันเดช’ อย่างหมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัวเกรงติดตรงที่ว่าเขาจะไปหาคนคนนั้นได้จากไหน เพราะแค่เอ่ยชื่อกำนันเดช ชาวบ้านก็ล้วนแต่บอกปัด ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แต่จะให้เลยตามเลยไม่มาหาเบาะแสก็ไม่ได้ เพราะนี่คืองานที่ได้รับมอบหมาย และจะต้องทำให้สำเร็จจงได้ด้วยเรื่องความกินดีอยู่ดีของชาวบ้าน ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับนี้ ข้าราชการในพื้นที่
นวลมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจจนอยากจะร้องไห้ เพราะสิ่งที่หล่อนหวังไว้ใกล้จะเป็นจริงใช่ไหม ผู้ชายที่แตกต่างไปจากชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เขาที่ทำให้หล่อนตะลึงมองตั้งแต่ครั้งแรกที่สบสายตา เขาเป็นคนที่หล่อนคาดหวังไว้จริงๆ แต่ก็ต้องให้แน่ใจ“พี่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”“ใครไม่รู้บ้างต่างหาก”“หือ...” นวลทำเสียงสูง และสุดสายตาก็เห็นลุงป้าฝั่งตรงกันข้ามที่มองตรงมา นึกรู้ทันทีว่าเขารู้เรื่องมาจากใคร“อ๋อ... พี่คงรู้มาจากลุงป้าฟากโน้น แต่ฉันรับน้ำใจของพี่ไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ ฉันกับพี่ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน ฉันรับแค่ค่าหอยห้าสตางค์พอ ที่เหลือฉันขอคืน”“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นค่ากะหลัวนี่ก็ได้”“นั่นฉันให้ยืม”“ไม่ได้มาตลาดนี้บ่อย”“ถึงเป็นเช่นนั้นฉันก็รับไว้ไม่ได้ สตางค์พวกนี้ฉันขอคืน ฉันไม่รับของใครโดยไม่ลงแรงไม่เสียเหงื่อ”ปานฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามพูดให้เหตุให้ผล แต่เหมือนว่าหัวใจของเขามันจะซึมซับแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มและถ้อยคำฉลาดรู้ฉลาดพูด ทั้งยังหยิ่งไปด้วยศักดิ์ศรี‘ศักดิ์ศรี’ ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนมีไว้ต่อรองกับกำนัน“เช่นนั้นอีกห้าสตางค์ ฉันให้เป็นค่าจ้างเล่าเรื่องอะไรบางอย่างไ
‘เอ๊ะ! นี่พ่อเป็นคนบ้านไหน ไยไม่รู้เรื่องรู้ราว ลูกสาวหลานสาวบ้านไหนที่เอาที่ทางไปวางกู้เงิน โตขึ้นหน่อยก็ต้องไปขัดดอกที่เรือนกำนันกันทั้งนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นลูกชายก็ต้องไปใช้แรงงาน ทั้งทำนาทำสวน หรือไม่ก็ต้องมาเป็นเบ้ไอ้พวกที่มาคอยเก็บดอกให้กำนัน แล้วหน้าตาอย่างอีนวลมันจะเหลือรึ กำนันก็ให้พวกไอ้นาทเทียวไร้เทียวขื่ออยู่ตลอด นี่ถ้าพวกมันไม่มาเก็บดอกที่ตลาด โน่นมันก็ไปดักที่เรือน มันว่ากำนันท่านอยากได้อีนวลเป็นเมียจะตายไป ติดที่อีนวลมันหาสตางค์ส่งดอกได้ทุกวี่วันนั่นแหละ กำนันก็เลยเร่งไม่ได้’ป้าแม่ค้าที่พูดเหมือนหมั่นไส้แม่นวล แต่ปานกลับรับรู้ได้ถึงความเห็นใจ‘ป้าก็เลยตั้งใจปล่อยให้แม่นวลขายหมดก่อน ป้าถึงจะขาย ใช่ไหมจ๊ะ’‘แหม... พ่อพูดดี จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ป้าน่ะก็อยากให้มันขายให้หมดทุกวันนั่นแหละ ป้ารอได้ กว่าตลาดจะวายก็สาย อีนวลมันขายเร็วมันก็กลับบ้านเร็ว’‘แม่น้อย หวังครองตลาดสายคนเดียวก็บอกพ่อหนุ่มไปเถอะ ไม่ต้องทำทีเป็นเห็นใจอีนวลมันเลย’‘แล้วแกเลี่ยงได้เรอะตาแก้ว จะให้ข้าไปร้องแรกแหกกระเชอแข่งกับอีนวลมันไหมเล่า’‘อย่าเลย ข้ากลัวจะขายไปไม่ได้ไปอีกฝนหนึ่ง’ป้าแม่ค้ามองค้อนผัวท
ทั้งลีลาการขายของแม่ค้าคนสวยก็จัดจ้านติดตรึงตราเสียเหลือเกิน เพราะสำหรับตัวเขาเอง แม้จะพึ่งเคยเห็นวิธีค้าขายแบบนี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องยอมรับว่าติดใจจนอยากมายืนดูลีลาแม่ค้าอีกหลายครั้ง หรือจะให้มาดูทุกวันก็ย่อมได้ริมฝีปากแดงระเรื่อยามตะโกนเรียกลูกค้า ขยับปากพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะแย้มยิ้ม อดทำให้คิดไม่ได้ว่าหากได้กุ้งหอยปูปลาจากร้านนี้ไป อาหารคงจะปรุงออกมาได้อร่อยมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะกินไปก็ให้นึกถึงหน้าตาและรอยยิ้มของแม่ค้าอยู่ร่ำไป‘ทั้งสดปลาและสดใจ’ อย่างที่แม่ค้าสูงวัยเปรียบเปรย“แล้วพ่อคิดว่าคนอื่นเขาคิดแบบไหนกันเล่า ดูสิเข้าไปรุมล้อมอยู่แต่แผงอีนวล แล้วดูแผงฉันสิ ดูแผงนู้น แผงโน้นด้วย คิดว่าป่าช้ามาเยือนกันแล้วนะเนี่ย”“รอก่อนเถอะแม่น้อย ประเดี๋ยวอีนวลมันขายหมดก็ถึงคราวของเราบ้าง”พ่อค้าที่คงเป็นผัวพูดเหมือนจะปลอบใจเมียที่ส่งสายตามองค้อนไปยังแม่ค้าคนสวยแบบกะหลับกะเหลือก แต่แล้วก็กลายเป็นเขม่นมองและพูดโดยเร็ว“โน่น! อีนวลมันว่างแล้ว พ่อรีบไปก่อนจะหมดเร็ว!”ปานหันมองตามแล้วก็เห็นว่าแม่ค้านวลถอนหายใจเฮือกพร้อมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ แบบคนเหนื่อยจริง แต่ไม่ทันไร ลูกค้าผู้ชา
ยามนั้นคุณพระให้เขานำข่าวจากทางนี้ไปส่งที่พระนครฯ จึงไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่เจ้าเข้มมันเล่าว่า แม่จันทร์กล้าหาญมากที่มาขอให้คุณพระท่านช่วยจนเกิดเหตุบุพเพฯ ได้ตกล่องปล่องชิ้นกลายเป็นเมียของคุณพระ แต่จะให้แม่จันทร์มาเป็นพยานนั้นคงไม่ได้ เพราะเหตุที่จะเป็นพยานมีหลักฐานนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นด้วยแม่จันทร์รู้ตัวว่าพ่อแม่ไม่มีกำลังส่งดอกเบี้ย จนกำนันยื่นคำขาดว่าต้องส่งลูกไปขัดดอก ซึ่งลูกที่เหลืออยู่เรือนก็มีตัวแม่จันทร์และเจ้าจ้อยน้องชาย ดังนั้นคนที่ต้องไปก่อนก็คือแม่จันทร์อย่างแน่นอน และหน้าตาสะสวยแบบนั้น หากไปถึงเรือนกำนันคงไม่รอดเงื้อมมือไปได้เมื่อคุณพระนพยื่นมือเข้าช่วยจนไถ่ที่นาคืนได้สำเร็จ จึงไม่มีมูลเหตุจะเอาผิดกำนัน เพราะเป็นหนี้ย่อมต้องใช้คืนนั้นถูกต้องแล้ว แทนที่จะเอาผิดกำนัน เรื่องอาจจะกลับกลายเป็นว่ากำนันเอื้อเฟื้อให้ลูกบ้านหยิบยืมเงินไปเสียอีกจึงมีเพียงพวกเขาต้องหาคนที่มีใจร่วมกันต่อไป“เช่นนั้นเราเข้าไปดูกันพี่ ดูสิว่าถ้ามันเจอเราทั้งเช้าทั้งเย็น มันจะหาทางไปเก็บดอกเก็บผลกับชาวบ้านยังไงได้อีก”“แยกกันไปพ่อเปลว พ่อเปลวไปทางด้านซ้าย ส่วนพี่จะไปทางด้านขวา”“ได้จ้ะพี่”“วนส
ยามเช้าตรู่ที่ท่าเทียบเรือทางขึ้นตลาดกลางประจำหมู่บ้าน บุรุษร่างสูงใหญ่ 2 นาย กำลังก้าวขึ้นจากลำเรือ แม้ทั้งคู่จะแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เรือนกายอกผายไหล่ผึ่งก็ให้เห็นความแตกต่างได้ชัดดวงตาคมเข้มของชายที่ก้าวนำขึ้นไปก่อน มองตรงไปยังร้านรวงมากมายตลอดสองฝั่งข้างทางที่พ่อค้าแม่ค้าต่างมาจับจองตั้งแผงขายของกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ก่อนจะกวาดมองทั้งซ้ายขวาโดยรอบ เพราะตั้งใจว่าในวันนี้จะต้องหาจุดหมายปลายทางให้พบ นั่นคือ ต้องมีใครสักคนที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง เพราะขึ้นชื่อว่า ‘ตลาด’ ย่อมเป็นที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวของใครคนหนึ่งไปหาใครอีกหลายๆ คนเป็นแน่เขาถึงว่ากันว่า ‘ปากตลาด’ มีอะไรก็พูดหมดเป้าหมายคือต้องหาใครคนนั้นให้พบคนที่พร้อมจะท้าชนกับ ‘กำนันเดช’ อย่างหมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัวเกรงติดตรงที่ว่าเขาจะไปหาคนคนนั้นได้จากไหน เพราะแค่เอ่ยชื่อกำนันเดช ชาวบ้านก็ล้วนแต่บอกปัด ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แต่จะให้เลยตามเลยไม่มาหาเบาะแสก็ไม่ได้ เพราะนี่คืองานที่ได้รับมอบหมาย และจะต้องทำให้สำเร็จจงได้ด้วยเรื่องความกินดีอยู่ดีของชาวบ้าน ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับนี้ ข้าราชการในพื้นที่