ทั้งลีลาการขายของแม่ค้าคนสวยก็จัดจ้านติดตรึงตราเสียเหลือเกิน เพราะสำหรับตัวเขาเอง แม้จะพึ่งเคยเห็นวิธีค้าขายแบบนี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องยอมรับว่าติดใจจนอยากมายืนดูลีลาแม่ค้าอีกหลายครั้ง หรือจะให้มาดูทุกวันก็ย่อมได้
ริมฝีปากแดงระเรื่อยามตะโกนเรียกลูกค้า ขยับปากพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะแย้มยิ้ม อดทำให้คิดไม่ได้ว่าหากได้กุ้งหอยปูปลาจากร้านนี้ไป อาหารคงจะปรุงออกมาได้อร่อยมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะกินไปก็ให้นึกถึงหน้าตาและรอยยิ้มของแม่ค้าอยู่ร่ำไป
‘ทั้งสดปลาและสดใจ’ อย่างที่แม่ค้าสูงวัยเปรียบเปรย
“แล้วพ่อคิดว่าคนอื่นเขาคิดแบบไหนกันเล่า ดูสิเข้าไปรุมล้อมอยู่แต่แผงอีนวล แล้วดูแผงฉันสิ ดูแผงนู้น แผงโน้นด้วย คิดว่าป่าช้ามาเยือนกันแล้วนะเนี่ย”
“รอก่อนเถอะแม่น้อย ประเดี๋ยวอีนวลมันขายหมดก็ถึงคราวของเราบ้าง”
พ่อค้าที่คงเป็นผัวพูดเหมือนจะปลอบใจเมียที่ส่งสายตามองค้อนไปยังแม่ค้าคนสวยแบบกะหลับกะเหลือก แต่แล้วก็กลายเป็นเขม่นมองและพูดโดยเร็ว
“โน่น! อีนวลมันว่างแล้ว พ่อรีบไปก่อนจะหมดเร็ว!”
ปานหันมองตามแล้วก็เห็นว่าแม่ค้านวลถอนหายใจเฮือกพร้อมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ แบบคนเหนื่อยจริง แต่ไม่ทันไร ลูกค้าผู้ชายกลุ่มใหญ่ก็ตรงเข้าไปอีก และแม่ค้านวลก็ยิ้มหวานทักทายทันที ใบหน้าที่เห็นว่าเหน็ดเหนื่อยหายวับ
“เห็นไหมล่ะนั่น พ่อมัวแต่ช้า อีนวลน่ะมันไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้นนะ ใครมาซื้อก่อนมันก็ขายก่อน มันน่ะเน้นขายเร็วหมดเร็ว แบบรวยคนเดียวไม่แบ่งปันพ่อค้าแม่ค้าคนอื่นเลย!”
“แม่น้อยอย่าไปพูดแบบนั้น แม่น้อยก็รู้ว่าอีนวลมันจำเป็นต้องขายของให้หมดทุกวัน”
“แล้วใครไม่จำเป็นกันเล่า ฉันก็จำเป็นเหมือนกัน ต้นดอกก็ต้องส่งกำนันเหมือนกันนั่นแหละ มีใครไม่ต้องส่งบ้างเล่า”
“เหมือนที่ไหนกัน แม่น้อยก็พูดเหมือนไม่รู้ความ พ่อหนุ่มอย่าถือสาเมียลุงเลยนะ ขายของดีไม่สู้เขา มันก็พูดไปเรื่อย”
ลุงพ่อค้าที่พูดแบบเป็นความนัยกับป้าแม่ค้าที่หน้าง้ำมองผัว ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง กระตุ้นให้ปานต้องขยับเข้าไปชิด ทั้งที่ตัวเขาเอง ไม่เคยจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องใครเลย ยิ่งคนตั้งท่าจะพูดทำทีอยากให้เขาถาม เขายิ่งไม่ทำแน่ แต่เรื่องของแม่ค้าชื่อนวลนั้น เขาไม่รู้ไม่ได้ ทว่ามาจากเรื่องกำนันเป็นเจ้าหนี้ หรือเรื่องที่หัวใจเขาเต้นระส่ำกันล่ะ
“ไม่เหมือนยังไงหรือจ๊ะ ลุง ป้า ช่วยบอกฉันหน่อย”
“พ่ออย่ารู้เลย รู้ไปพ่อก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก อีกอย่าง หน้าตาพ่อก็ไม่คุ้น ดูเชิงพ่อไม่ใช่คนถิ่นนี้ ยิ่งช่วยได้ยากใหญ่”
“บอกฉันหน่อยเถอะจ้ะลุง ฉันจะได้รู้ว่าควรมาซื้อปลาที่แผงของแม่ค้าคนสวยในวันพรุ่งนี้อีกหรือเปล่า”
ดวงตาคมเข้มที่เปลี่ยนเป็นหวานล้ำยามมองไปยังแม่ค้าหน้าสวยที่ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสหยิบจับปลากุ้งหอยใส่ข้องให้ลูกค้า ทำเอาป้าแม่ค้าค้อนน้อยๆ ก่อนจะหันไปพยักหน้าเบ้ปากให้กับลุงพ่อค้า ทำนองที่ว่าเขาก็เป็นอีกหนึ่งผู้ชายที่มาติดพันแม่ค้าขายปลานั่นแหละ
“พูดแล้วเหยียบไว้นะพ่อ ลุงไม่ได้อยากพูดเรื่องคนอื่น ประเดี๋ยวใครๆ จะหาว่าพ่อค้าแม่ค้าร้านนี้ขี้นินทา”
“จ้ะลุง รับรองว่าฉันจะไม่บอกใคร ฉันแค่อยากให้ความช่วยเหลือ... ถ้าเป็นไปได้”
พูดเสียงทุ้มและสายตายังคงจับจ้องที่ใบหน้าสวย ‘ใช่’ เขาพูดตรงตามใจ เป็นไปได้อยากให้ความช่วยเหลือจริงๆ
“ก็อีนวลน่ะ มันต้องหาเงินส่งดอกให้กำนันน่ะสิ มันถึงต้องขายของให้หมดให้ได้สตางค์เยอะๆ ถ้าขายไม่หมดหรือได้น้อยนะ คราวนี้มันแย่แน่”
“ทำไมล่ะจ๊ะลุง”
“มานี่พ่อหนุ่ม ไหนๆ ก็เล่าแล้ว ตาแก้ว! ไปเฝ้าหน้าไว้ พ่อหนุ่มมานี่สิ ป้าจะเล่าให้ฟัง”
ป้าแม่ค้ากวักมือเรียกเขาไปนั่งด้านหลังร้าน มองซ้ายขวาเหมือนจะมีใครมาได้ยิน ทั้งที่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็พุ่งตรงไปยังแผงแม่ค้านวล ไม่มีสักคนที่จะสนใจมองมาทางฝั่งนี้
.
.
‘ก็อีนวลน่ะมันอาภัพ พ่อแม่มันน่ะก็ถูกฟ้าผ่าตาย เหลือมันกับไอ้กล้าน้องชายเท่านั้นแหละ แทนที่มันจะได้ทำนาดูแลบ้านเรือนและเตรียมตัวมีผัวมีลูก มันก็ต้องมาเป็นแม่ค้าเร่ขายปลากุ้งหอย และต้องขายให้ได้สตางค์มากสุดในแต่ละวันด้วยนะ เพราะคนของกำนันก็จะมาเก็บดอกเบี้ยทุกวัน’
‘ดอกเบี้ยจากอะไรจ๊ะป้า แม่นวลไปเอาเงินกำนันมาเรอะ’
‘มันน่ะไม่ได้เอามาหรอก แต่เป็นพ่อแม่มันน่ะสิ สร้างหนี้ เอาที่นาไปจำนองไว้กับกำนันก่อนตาย อีนวลมันเลยต้องรับใช้หนี้ แล้วหน้าตาอย่างมันนะ เงินต้นไม่มี ถ้าดอกเบี้ยให้น้อยอีก ไม่พ้นที่มันต้องไปเป็นนางขัดดอกของกำนันแน่ นี่เพราะป้ามีผัวแล้วหรอกนะ ไม่งั้นขี้คร้านจะได้ไปขัดดอกกับเขาเหมือนกัน’
‘มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือจ๊ะ’
‘น้อยไปน่ะสิพ่อ ขัดดอกน่ะมันไม่เลือกอายุหรอกนะ รุ่นราวคราวเดียวกับป้าถ้ายังไม่มีผัว กำนันท่านก็เรียกใช้เหมือนกัน ก็อย่างว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน อิอิ...’
‘ไม่ใช่เรื่องนั้นจ้ะป้า ฉันหมายถึงว่าแม่นวลต้องขายของให้หมดเพื่อเอาสตางค์ไปส่งดอกเบี้ยกำนัน ถ้าไม่พอก็ต้องไปเป็นนางขัดดอกจริงๆ หรือจ๊ะป้า’
‘เอ๊ะ! นี่พ่อเป็นคนบ้านไหน ไยไม่รู้เรื่องรู้ราว ลูกสาวหลานสาวบ้านไหนที่เอาที่ทางไปวางกู้เงิน โตขึ้นหน่อยก็ต้องไปขัดดอกที่เรือนกำนันกันทั้งนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นลูกชายก็ต้องไปใช้แรงงาน ทั้งทำนาทำสวน หรือไม่ก็ต้องมาเป็นเบ้ไอ้พวกที่มาคอยเก็บดอกให้กำนัน แล้วหน้าตาอย่างอีนวลมันจะเหลือรึ กำนันก็ให้พวกไอ้นาทเทียวไร้เทียวขื่ออยู่ตลอด นี่ถ้าพวกมันไม่มาเก็บดอกที่ตลาด โน่นมันก็ไปดักที่เรือน มันว่ากำนันท่านอยากได้อีนวลเป็นเมียจะตายไป ติดที่อีนวลมันหาสตางค์ส่งดอกได้ทุกวี่วันนั่นแหละ กำนันก็เลยเร่งไม่ได้’ป้าแม่ค้าที่พูดเหมือนหมั่นไส้แม่นวล แต่ปานกลับรับรู้ได้ถึงความเห็นใจ‘ป้าก็เลยตั้งใจปล่อยให้แม่นวลขายหมดก่อน ป้าถึงจะขาย ใช่ไหมจ๊ะ’‘แหม... พ่อพูดดี จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ป้าน่ะก็อยากให้มันขายให้หมดทุกวันนั่นแหละ ป้ารอได้ กว่าตลาดจะวายก็สาย อีนวลมันขายเร็วมันก็กลับบ้านเร็ว’‘แม่น้อย หวังครองตลาดสายคนเดียวก็บอกพ่อหนุ่มไปเถอะ ไม่ต้องทำทีเป็นเห็นใจอีนวลมันเลย’‘แล้วแกเลี่ยงได้เรอะตาแก้ว จะให้ข้าไปร้องแรกแหกกระเชอแข่งกับอีนวลมันไหมเล่า’‘อย่าเลย ข้ากลัวจะขายไปไม่ได้ไปอีกฝนหนึ่ง’ป้าแม่ค้ามองค้อนผัวท
นวลมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจจนอยากจะร้องไห้ เพราะสิ่งที่หล่อนหวังไว้ใกล้จะเป็นจริงใช่ไหม ผู้ชายที่แตกต่างไปจากชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เขาที่ทำให้หล่อนตะลึงมองตั้งแต่ครั้งแรกที่สบสายตา เขาเป็นคนที่หล่อนคาดหวังไว้จริงๆ แต่ก็ต้องให้แน่ใจ“พี่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”“ใครไม่รู้บ้างต่างหาก”“หือ...” นวลทำเสียงสูง และสุดสายตาก็เห็นลุงป้าฝั่งตรงกันข้ามที่มองตรงมา นึกรู้ทันทีว่าเขารู้เรื่องมาจากใคร“อ๋อ... พี่คงรู้มาจากลุงป้าฟากโน้น แต่ฉันรับน้ำใจของพี่ไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ ฉันกับพี่ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน ฉันรับแค่ค่าหอยห้าสตางค์พอ ที่เหลือฉันขอคืน”“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นค่ากะหลัวนี่ก็ได้”“นั่นฉันให้ยืม”“ไม่ได้มาตลาดนี้บ่อย”“ถึงเป็นเช่นนั้นฉันก็รับไว้ไม่ได้ สตางค์พวกนี้ฉันขอคืน ฉันไม่รับของใครโดยไม่ลงแรงไม่เสียเหงื่อ”ปานฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามพูดให้เหตุให้ผล แต่เหมือนว่าหัวใจของเขามันจะซึมซับแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มและถ้อยคำฉลาดรู้ฉลาดพูด ทั้งยังหยิ่งไปด้วยศักดิ์ศรี‘ศักดิ์ศรี’ ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนมีไว้ต่อรองกับกำนัน“เช่นนั้นอีกห้าสตางค์ ฉันให้เป็นค่าจ้างเล่าเรื่องอะไรบางอย่างไ
ยามเช้าตรู่ที่ท่าเทียบเรือทางขึ้นตลาดกลางประจำหมู่บ้าน บุรุษร่างสูงใหญ่ 2 นาย กำลังก้าวขึ้นจากลำเรือ แม้ทั้งคู่จะแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เรือนกายอกผายไหล่ผึ่งก็ให้เห็นความแตกต่างได้ชัดดวงตาคมเข้มของชายที่ก้าวนำขึ้นไปก่อน มองตรงไปยังร้านรวงมากมายตลอดสองฝั่งข้างทางที่พ่อค้าแม่ค้าต่างมาจับจองตั้งแผงขายของกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ก่อนจะกวาดมองทั้งซ้ายขวาโดยรอบ เพราะตั้งใจว่าในวันนี้จะต้องหาจุดหมายปลายทางให้พบ นั่นคือ ต้องมีใครสักคนที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง เพราะขึ้นชื่อว่า ‘ตลาด’ ย่อมเป็นที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวของใครคนหนึ่งไปหาใครอีกหลายๆ คนเป็นแน่เขาถึงว่ากันว่า ‘ปากตลาด’ มีอะไรก็พูดหมดเป้าหมายคือต้องหาใครคนนั้นให้พบคนที่พร้อมจะท้าชนกับ ‘กำนันเดช’ อย่างหมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัวเกรงติดตรงที่ว่าเขาจะไปหาคนคนนั้นได้จากไหน เพราะแค่เอ่ยชื่อกำนันเดช ชาวบ้านก็ล้วนแต่บอกปัด ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แต่จะให้เลยตามเลยไม่มาหาเบาะแสก็ไม่ได้ เพราะนี่คืองานที่ได้รับมอบหมาย และจะต้องทำให้สำเร็จจงได้ด้วยเรื่องความกินดีอยู่ดีของชาวบ้าน ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับนี้ ข้าราชการในพื้นที่
ยามนั้นคุณพระให้เขานำข่าวจากทางนี้ไปส่งที่พระนครฯ จึงไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่เจ้าเข้มมันเล่าว่า แม่จันทร์กล้าหาญมากที่มาขอให้คุณพระท่านช่วยจนเกิดเหตุบุพเพฯ ได้ตกล่องปล่องชิ้นกลายเป็นเมียของคุณพระ แต่จะให้แม่จันทร์มาเป็นพยานนั้นคงไม่ได้ เพราะเหตุที่จะเป็นพยานมีหลักฐานนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นด้วยแม่จันทร์รู้ตัวว่าพ่อแม่ไม่มีกำลังส่งดอกเบี้ย จนกำนันยื่นคำขาดว่าต้องส่งลูกไปขัดดอก ซึ่งลูกที่เหลืออยู่เรือนก็มีตัวแม่จันทร์และเจ้าจ้อยน้องชาย ดังนั้นคนที่ต้องไปก่อนก็คือแม่จันทร์อย่างแน่นอน และหน้าตาสะสวยแบบนั้น หากไปถึงเรือนกำนันคงไม่รอดเงื้อมมือไปได้เมื่อคุณพระนพยื่นมือเข้าช่วยจนไถ่ที่นาคืนได้สำเร็จ จึงไม่มีมูลเหตุจะเอาผิดกำนัน เพราะเป็นหนี้ย่อมต้องใช้คืนนั้นถูกต้องแล้ว แทนที่จะเอาผิดกำนัน เรื่องอาจจะกลับกลายเป็นว่ากำนันเอื้อเฟื้อให้ลูกบ้านหยิบยืมเงินไปเสียอีกจึงมีเพียงพวกเขาต้องหาคนที่มีใจร่วมกันต่อไป“เช่นนั้นเราเข้าไปดูกันพี่ ดูสิว่าถ้ามันเจอเราทั้งเช้าทั้งเย็น มันจะหาทางไปเก็บดอกเก็บผลกับชาวบ้านยังไงได้อีก”“แยกกันไปพ่อเปลว พ่อเปลวไปทางด้านซ้าย ส่วนพี่จะไปทางด้านขวา”“ได้จ้ะพี่”“วนส
นวลมองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจจนอยากจะร้องไห้ เพราะสิ่งที่หล่อนหวังไว้ใกล้จะเป็นจริงใช่ไหม ผู้ชายที่แตกต่างไปจากชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป เขาที่ทำให้หล่อนตะลึงมองตั้งแต่ครั้งแรกที่สบสายตา เขาเป็นคนที่หล่อนคาดหวังไว้จริงๆ แต่ก็ต้องให้แน่ใจ“พี่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”“ใครไม่รู้บ้างต่างหาก”“หือ...” นวลทำเสียงสูง และสุดสายตาก็เห็นลุงป้าฝั่งตรงกันข้ามที่มองตรงมา นึกรู้ทันทีว่าเขารู้เรื่องมาจากใคร“อ๋อ... พี่คงรู้มาจากลุงป้าฟากโน้น แต่ฉันรับน้ำใจของพี่ไว้ไม่ได้หรอกจ้ะ ฉันกับพี่ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน ฉันรับแค่ค่าหอยห้าสตางค์พอ ที่เหลือฉันขอคืน”“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นค่ากะหลัวนี่ก็ได้”“นั่นฉันให้ยืม”“ไม่ได้มาตลาดนี้บ่อย”“ถึงเป็นเช่นนั้นฉันก็รับไว้ไม่ได้ สตางค์พวกนี้ฉันขอคืน ฉันไม่รับของใครโดยไม่ลงแรงไม่เสียเหงื่อ”ปานฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามพูดให้เหตุให้ผล แต่เหมือนว่าหัวใจของเขามันจะซึมซับแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มและถ้อยคำฉลาดรู้ฉลาดพูด ทั้งยังหยิ่งไปด้วยศักดิ์ศรี‘ศักดิ์ศรี’ ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนมีไว้ต่อรองกับกำนัน“เช่นนั้นอีกห้าสตางค์ ฉันให้เป็นค่าจ้างเล่าเรื่องอะไรบางอย่างไ
‘เอ๊ะ! นี่พ่อเป็นคนบ้านไหน ไยไม่รู้เรื่องรู้ราว ลูกสาวหลานสาวบ้านไหนที่เอาที่ทางไปวางกู้เงิน โตขึ้นหน่อยก็ต้องไปขัดดอกที่เรือนกำนันกันทั้งนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นลูกชายก็ต้องไปใช้แรงงาน ทั้งทำนาทำสวน หรือไม่ก็ต้องมาเป็นเบ้ไอ้พวกที่มาคอยเก็บดอกให้กำนัน แล้วหน้าตาอย่างอีนวลมันจะเหลือรึ กำนันก็ให้พวกไอ้นาทเทียวไร้เทียวขื่ออยู่ตลอด นี่ถ้าพวกมันไม่มาเก็บดอกที่ตลาด โน่นมันก็ไปดักที่เรือน มันว่ากำนันท่านอยากได้อีนวลเป็นเมียจะตายไป ติดที่อีนวลมันหาสตางค์ส่งดอกได้ทุกวี่วันนั่นแหละ กำนันก็เลยเร่งไม่ได้’ป้าแม่ค้าที่พูดเหมือนหมั่นไส้แม่นวล แต่ปานกลับรับรู้ได้ถึงความเห็นใจ‘ป้าก็เลยตั้งใจปล่อยให้แม่นวลขายหมดก่อน ป้าถึงจะขาย ใช่ไหมจ๊ะ’‘แหม... พ่อพูดดี จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ป้าน่ะก็อยากให้มันขายให้หมดทุกวันนั่นแหละ ป้ารอได้ กว่าตลาดจะวายก็สาย อีนวลมันขายเร็วมันก็กลับบ้านเร็ว’‘แม่น้อย หวังครองตลาดสายคนเดียวก็บอกพ่อหนุ่มไปเถอะ ไม่ต้องทำทีเป็นเห็นใจอีนวลมันเลย’‘แล้วแกเลี่ยงได้เรอะตาแก้ว จะให้ข้าไปร้องแรกแหกกระเชอแข่งกับอีนวลมันไหมเล่า’‘อย่าเลย ข้ากลัวจะขายไปไม่ได้ไปอีกฝนหนึ่ง’ป้าแม่ค้ามองค้อนผัวท
ทั้งลีลาการขายของแม่ค้าคนสวยก็จัดจ้านติดตรึงตราเสียเหลือเกิน เพราะสำหรับตัวเขาเอง แม้จะพึ่งเคยเห็นวิธีค้าขายแบบนี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องยอมรับว่าติดใจจนอยากมายืนดูลีลาแม่ค้าอีกหลายครั้ง หรือจะให้มาดูทุกวันก็ย่อมได้ริมฝีปากแดงระเรื่อยามตะโกนเรียกลูกค้า ขยับปากพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะแย้มยิ้ม อดทำให้คิดไม่ได้ว่าหากได้กุ้งหอยปูปลาจากร้านนี้ไป อาหารคงจะปรุงออกมาได้อร่อยมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะกินไปก็ให้นึกถึงหน้าตาและรอยยิ้มของแม่ค้าอยู่ร่ำไป‘ทั้งสดปลาและสดใจ’ อย่างที่แม่ค้าสูงวัยเปรียบเปรย“แล้วพ่อคิดว่าคนอื่นเขาคิดแบบไหนกันเล่า ดูสิเข้าไปรุมล้อมอยู่แต่แผงอีนวล แล้วดูแผงฉันสิ ดูแผงนู้น แผงโน้นด้วย คิดว่าป่าช้ามาเยือนกันแล้วนะเนี่ย”“รอก่อนเถอะแม่น้อย ประเดี๋ยวอีนวลมันขายหมดก็ถึงคราวของเราบ้าง”พ่อค้าที่คงเป็นผัวพูดเหมือนจะปลอบใจเมียที่ส่งสายตามองค้อนไปยังแม่ค้าคนสวยแบบกะหลับกะเหลือก แต่แล้วก็กลายเป็นเขม่นมองและพูดโดยเร็ว“โน่น! อีนวลมันว่างแล้ว พ่อรีบไปก่อนจะหมดเร็ว!”ปานหันมองตามแล้วก็เห็นว่าแม่ค้านวลถอนหายใจเฮือกพร้อมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ แบบคนเหนื่อยจริง แต่ไม่ทันไร ลูกค้าผู้ชา
ยามนั้นคุณพระให้เขานำข่าวจากทางนี้ไปส่งที่พระนครฯ จึงไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่เจ้าเข้มมันเล่าว่า แม่จันทร์กล้าหาญมากที่มาขอให้คุณพระท่านช่วยจนเกิดเหตุบุพเพฯ ได้ตกล่องปล่องชิ้นกลายเป็นเมียของคุณพระ แต่จะให้แม่จันทร์มาเป็นพยานนั้นคงไม่ได้ เพราะเหตุที่จะเป็นพยานมีหลักฐานนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นด้วยแม่จันทร์รู้ตัวว่าพ่อแม่ไม่มีกำลังส่งดอกเบี้ย จนกำนันยื่นคำขาดว่าต้องส่งลูกไปขัดดอก ซึ่งลูกที่เหลืออยู่เรือนก็มีตัวแม่จันทร์และเจ้าจ้อยน้องชาย ดังนั้นคนที่ต้องไปก่อนก็คือแม่จันทร์อย่างแน่นอน และหน้าตาสะสวยแบบนั้น หากไปถึงเรือนกำนันคงไม่รอดเงื้อมมือไปได้เมื่อคุณพระนพยื่นมือเข้าช่วยจนไถ่ที่นาคืนได้สำเร็จ จึงไม่มีมูลเหตุจะเอาผิดกำนัน เพราะเป็นหนี้ย่อมต้องใช้คืนนั้นถูกต้องแล้ว แทนที่จะเอาผิดกำนัน เรื่องอาจจะกลับกลายเป็นว่ากำนันเอื้อเฟื้อให้ลูกบ้านหยิบยืมเงินไปเสียอีกจึงมีเพียงพวกเขาต้องหาคนที่มีใจร่วมกันต่อไป“เช่นนั้นเราเข้าไปดูกันพี่ ดูสิว่าถ้ามันเจอเราทั้งเช้าทั้งเย็น มันจะหาทางไปเก็บดอกเก็บผลกับชาวบ้านยังไงได้อีก”“แยกกันไปพ่อเปลว พ่อเปลวไปทางด้านซ้าย ส่วนพี่จะไปทางด้านขวา”“ได้จ้ะพี่”“วนส
ยามเช้าตรู่ที่ท่าเทียบเรือทางขึ้นตลาดกลางประจำหมู่บ้าน บุรุษร่างสูงใหญ่ 2 นาย กำลังก้าวขึ้นจากลำเรือ แม้ทั้งคู่จะแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เรือนกายอกผายไหล่ผึ่งก็ให้เห็นความแตกต่างได้ชัดดวงตาคมเข้มของชายที่ก้าวนำขึ้นไปก่อน มองตรงไปยังร้านรวงมากมายตลอดสองฝั่งข้างทางที่พ่อค้าแม่ค้าต่างมาจับจองตั้งแผงขายของกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ก่อนจะกวาดมองทั้งซ้ายขวาโดยรอบ เพราะตั้งใจว่าในวันนี้จะต้องหาจุดหมายปลายทางให้พบ นั่นคือ ต้องมีใครสักคนที่จะบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง เพราะขึ้นชื่อว่า ‘ตลาด’ ย่อมเป็นที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวของใครคนหนึ่งไปหาใครอีกหลายๆ คนเป็นแน่เขาถึงว่ากันว่า ‘ปากตลาด’ มีอะไรก็พูดหมดเป้าหมายคือต้องหาใครคนนั้นให้พบคนที่พร้อมจะท้าชนกับ ‘กำนันเดช’ อย่างหมดสิ้นแล้วซึ่งความกลัวเกรงติดตรงที่ว่าเขาจะไปหาคนคนนั้นได้จากไหน เพราะแค่เอ่ยชื่อกำนันเดช ชาวบ้านก็ล้วนแต่บอกปัด ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว แต่จะให้เลยตามเลยไม่มาหาเบาะแสก็ไม่ได้ เพราะนี่คืองานที่ได้รับมอบหมาย และจะต้องทำให้สำเร็จจงได้ด้วยเรื่องความกินดีอยู่ดีของชาวบ้าน ความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับนี้ ข้าราชการในพื้นที่