“บ่าวกราบเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงใสเป็นกังวานดังมาจากร่างสาวที่ก้มหน้างุดอยู่แทบพื้น เสียงนั้นแม้จะสุภาพแต่กลับไม่ได้บ่งบอกเลยว่านางจันทร์คนนี้จะสงบเสงี่ยมเจียมตัว เพราะสตรีที่มีน้ำเสียงเปี่ยมอกมั่นใจแบบนี้ บ่งบอกว่าเจ้าตัวออกจะกล้าเกินหญิงเสียด้วยซ้ำ เพราะดูจากที่บุกรุกมาที่เรือนเขาอยู่บ่อยครั้งก็ตรงกับน้ำเสียงมุ่งมั่นนั้นเสียจริง
“ข้ายังไม่ได้รับเอ็งเป็นบ่าว ไม่ต้องมาแทนตัวเองว่าบ่าว”
“บ่าว... เอ่อ... อิฉันกราบเจ้าค่ะ”
นางจันทร์ก้มกราบอีกครั้ง แต่ไม่ได้เงยหน้ามอง
“ข้าบอกเจ้าเข้มไปแล้วว่าไม่รับบ่าว เอ็งฟังไม่รู้ความรึ ถึงได้เทียวไปเทียวมาไม่หยุด สร้างความรำคาญใจให้ข้าไม่เว้นแต่ละวัน”
น้ำเสียงออกดุส่งไปด้วยหวังว่านางจันทร์จะไม่มาอีก ทว่าปลายน้ำเสียงกลับเป็นอิดหนาระอาใจ ไม่เด็ดขาดตามที่ควรจะเป็น นพรู้ตัวแบบนั้น แต่คนฟังอาจจะไม่ทันรู้ เพราะร่างอรชรที่สั่นสะอื้นแทบพื้นกลับทำให้ใจเขาอ่อนยวบไปอีก
ครั้นจะเอ่ยปากพูดก่อนก็กลัวว่าจะอดใจรับนางจันทร์เข้ามาไม่ได้ ทว่าเด็กสาวที่เงยหน้ามองเขา ดวงตาฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาก็ทำให้ใจเขาอ่อนยวบจริงๆ แต่คงไม่เท่าคำพูด
“อิฉันขออภัยเจ้าค่ะที่ทำให้คุณพระรำคาญใจ แต่ที่อิฉันเทียวไปเทียวมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นั่นเพราะอิฉันมองไม่เห็นที่พึ่งอื่นแล้ว เห็นมีแค่คุณพระเพียงผู้เดียวที่จะช่วยอิฉันได้เจ้าค่ะ”
คำพูดเจ้าสำบัดสำนวนทำให้พระเกษตราต้องมองนางจันทร์ให้เต็มตามากขึ้น จากรูปลักษณ์ที่ทำให้เขาตื่นตาไม่เท่าคำพูดที่ทำให้ตื่นใจ
เด็กสาววัยน่าจะไม่เกิน 18 ปี และไม่น่าจะได้เข้าเรียนตามแบบลูกสาวผู้มีเงิน แต่นางจันทร์กลับรู้จักใช้ภาษาพูดได้ดีทีเดียว
“เอ็งนี่มันพูดจารู้ความนักนะนางจันทร์ ร่ำเรียนมาจากไหน”
“มิได้เจ้าค่ะ บ่าว... เอ่อ... อิฉันไม่ได้เข้าเรียน”
เด็กสาวเหลือบตาขึ้นมองเขาก่อนจะหลุบมองมือตัวเองและพูดต่อ
“แต่อิฉันรู้หนังสือจากที่พ่อและแม่สอนให้เจ้าค่ะ”
นพมองเจ้าเข้มที่พยักหน้าว่ารู้ในสิ่งที่นางจันทร์บอก เขาจึงไม่อยากถามในเรื่องอื่น ต้องพุ่งประเด็นไปที่จุดหมายที่นางจันทร์มาที่นี่
“ไหนเอ็งว่ามาสิ ว่าเงินยี่สิบบาทเอ็งจะเอาไปทำอะไร ถ้าเอ็งมีเหตุอันสมควร ข้าจะให้”
“เงินยี่สิบบาทเป็นค่าไถ่ที่นาคืนจากกำนันเจ้าค่ะ”
นางจันทร์พูดแล้วเว้นวรรคคล้ายจะให้เขาเป็นฝ่ายถาม แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ถาม เด็กสาวจึงพูดต่อ เขาอยากรู้ว่านางจันทร์จะพูดเรื่องใด จะตรงใจในสิ่งที่เขาอยากรู้หรือไม่
“เหตุเพราะเมื่อปีกลายพี่ชายเดือดร้อนทำลูกสาวบ้านอื่นท้องเจ้าค่ะ พ่อก็เลยต้องเอาที่นาไปฝากไว้กับกำนัน ให้พี่ชายเอาเงินไปแต่งเมีย พ่อทำสัญญากับกำนันว่าเกี่ยวข้าวเสร็จจะเร่งใช้คืนทั้งต้นทั้งดอก แต่ปีก่อนน้ำหลาก ยังไม่ทันได้เกี่ยว ข้าวก็จมน้ำตายเกือบหมด ได้ข้าวมาแค่พอกินอยู่แบบกระเหม็ดกระแหม่เต็มทนเจ้าค่ะ ในแต่ละมื้อต้องหาเผือกหามันมาผสมข้าวหุง มาปีนี้น้ำก็ดีเกินไปอีก ซ้ำพ่อก็มาป่วยอยู่หลายเดือน เกี่ยวข้าวทั้งหมดก็คงไม่พอขายใช้หนี้กำนันอยู่ดี ทั้งกำนันก็แจ้งมาว่าทั้งต้นทั้งดอกเกือบสองปีที่พ่อไม่ได้ผ่อนส่ง รวมๆ แล้วก็เท่าพ่อเป็นหนี้กำนันอยู่ยี่สิบบาทเจ้าค่ะ”
เด็กสาวที่พูดพลางสั่นสะอื้นน้อยๆ แต่ก็ผืนพูดต่อ นั่นเป็นช่วงเวลาที่นพจะได้สำรวจนางจันทร์ทั้งเนื้อทั้งตัว จึงปล่อยให้เด็กสาวพูดไปโดยไม่ขัด
“อิฉันใคร่ครวญดูแล้วจึงบอกพ่อแม่ว่าอยากมาเป็นบ่าวที่เรือนคุณพระเจ้าค่ะ พ่อก็เลยบากหน้ามาหาคุณพระ แต่คุณพระไม่รับอิฉันไว้”
“ข้าบอกพ่อเอ็งไปแล้วว่าเหตุอันใดถึงไม่รับ”
“อิฉันทราบเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่เห็นทางว่าจะพึ่งพาใครได้เลย คุณพระเจ้าขา ได้โปรดเมตตารับอิฉันไว้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ จะให้... ให้อิฉันทำสิ่งใดก็ได้ทั้งหมด อิฉันจะไม่เกี่ยง ไม่เลี่ยง ไม่ขัดขืนใดๆ เลย ขอแค่คุณพระเมตตา”
คำว่า ‘ไม่ขัดขืน’ ถูกเอ่ยพร้อมๆ ใบหน้านองน้ำตาเงยขึ้น และดวงตาฉ่ำแดงมองสบ
นพรู้ดีกว่าเด็กสาวหมายถึงยอมได้ทุกสิ่ง แม้จะต้องพลีกายให้เขากลืนกิน แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เสีย เพราะใช่ว่านางจันทร์มาอยู่เรือนเขาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะจบ ในเมื่อเจ้าหนี้นั้นคือกำนัน
เขาเข้าใจดีว่าเป็นหนี้ก็ต้องใช้ และนายเงินก็มีสิทธิ์ที่จะยึดที่ทางทำกินหรือเก็บผลผลิตเป็นค่าดอกเบี้ยของเงินที่เอาไป ส่วนจะมากไปน้อยไป หรือคดโกงกันตรงตามสัญญาหรือไม่ ก็ต้องสอบสาวเรื่องราวเท็จจริงกันก่อน แต่นั่นมันใช่เรื่องอะไรที่นางจันทร์จะต้องเร่เอาตัวเองมาขาย ทำไมไม่ให้พี่ชายเป็นคนใช้หนี้เล่า ในเมื่อคนสร้างหนี้คือพี่ชาย
“แล้วมันเหตุอันใดที่พ่อแม่เอ็งต้องเร่เอาเอ็งมาขายฝาก ทำไมไม่ให้พี่ชายเอ็งทำใช้หนี้กำนันไปเล่า ในเมื่อเป็นต้นเหตุของหนี้สิน หรือว่ามันอกตัญญู ไม่สนใจพ่อแม่น้อง ห่วงแต่ทางบ้านเมียรึ หรือว่าเมียมันร้าย ไม่ให้เอาพ่อเอาแม่ ไหนว่ามาสิ”
ถามพร้อมจับจ้องร่างที่สั่นสะอื้นหนักขึ้นอีก
เย็นย่ำ ณ เรือนชานเมืองซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราวของ ‘พระเกษตรานพคุณ’ หรือที่คนทั่วไปเรียกท่านว่า ‘คุณพระเกษตรนพ’ หรือ ‘คุณพระนพ’ ตามบรรดาศักดิ์ ‘พระเกษตรา’ และ ‘นพ’ ชื่อเดิมของท่านประสมกันเนื่องจากท่านมิได้เป็นข้าราชการบรรดาศักดิ์นี้แต่เพียงผู้เดียว หากแต่ยังมีอีกหลายท่านที่ดำรงตำแหน่งพระเกษตรา ทั้งในเขตพระนครและตามหัวเมืองต่างๆด้วยการเก็บภาษีที่นา รวมทั้งการควบคุมดูแลให้ความรู้เรื่องพันธุ์ข้าว การจัดหาสัตว์ทำนา การหาแหล่งน้ำ รวมไปถึงการตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำนา เพื่อลดความขัดแย้งและเพื่อให้ชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีมากขึ้น ก็ล้วนแต่เป็นหน้าที่การกำกับดูและของพระเกษตราทุกท่านดังนั้นหากไม่มีชื่อต่อท้าย ผู้คนอาจจะงุนงงได้ว่า ‘พระเกษตรา’ ที่กำลังกล่าวถึงนั้นเป็นผู้ใดกันแต่สำหรับ ‘เข้ม’ บ่าวติดสอยห้อยตามคุณพระนพมาจากพระนครกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะสำหรับมันแล้ว เมื่อเอ่ยถึง ‘พระเกษตรา’ ที่ออกเยี่ยมเยือนชาวบ้าน ตรวจตราดูความเป็นอยู่อัตคัดขัดสนของชาวบ้านอย่างแท้จริง ก็คงมีแต่ ‘คุณพระนพ’ นายของมันเท่านั้นด้วยเป็นอันสามัญของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการความสะดวกสบายในทุกด
‘คุณแก้วตา หลานสาวของกำนันดูจะชอบคุณพระอยู่มากนะขอรับ คุณเหมยฮัว ลูกสาวเถ้าแก่ย้งก็ดูจะมีใจ และไหนจะยังคุณกำไล ลูกสาวคุณหลวงเทพนั่นก็...’‘พูดมากจริงเจ้าเข้ม ที่ข้าบอกไปทั้งหมด ไม่ได้สำเหนียกเข้าหัวเอ็งเลยใช่ไหม อย่างนั้นก็เก็บผ้าผ่อนกลับไปพระนครไป’‘โธ่... คุณพระขอรับ เข้มหวังดี นานแล้วนะขอรับ’‘อย่าสู่รู้เรื่องของข้า’แว่วเสียงเข้มๆ ดุๆ ยังคงกังวานสันหลังให้เสียววาบๆ เพราะเกรงว่าจะถูกดุเหมือนเช่นทุกครั้งที่เอ่ยเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่เข็ดไม่หลาบจำสักที ได้แต่ท่องไว้ว่าก็ถ้าครั้งนี้ทำสำเร็จ มันก็จะจำไว้ว่ามันเป็นบ่าวที่ดี ที่ทำให้เจ้านายสำราญกายสำราญใจได้ แถมยังได้เป็นคนดี ได้ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอีกด้วยดวงตาคมเข้มดูดุดันยังมองเอกสารในมืออย่างพินิจพิเคราะห์ พลางจดบางอย่างในสมุดด้านข้าง สีหน้าเคร่งเครียดดังเช่นทุกวัน แต่มันก็ยังกล้าเอาเรื่องมากวนใจท่าน ด้วยหวังว่าเรื่องกวนใจในวันนี้จะส่งผลดีกับใครหลายๆ คน อย่างน้อยก็ใครบางคนที่กำลังรอคำตอบแบบใจจอจ่ออยู่ที่หัวกระไดท่าน้ำ“จะพูดอะไรก็พูดมาเจ้าเข้ม มัวแต่พิรี้พิไร”“เอ่อ... คุณพระขอรับ”เข้มสะดุ้งเล็กน้อย เพราะเสียงดุเช่นนั้นยิ่งทำให้ม
นพมองหน้าปูเลี่ยนของบ่าวคนสนิทที่พยายามพูดเนิบนาบแบบจับกิริยาเขาไปด้วยว่าเขาจะตะเพิดมันตอนไหน แต่ก็เพราะข้อหาที่มันรู้ใจเขาไปเสียทั้งหมด เขาจึงโกรธมันไม่ค่อยลง“ข้าจะผ่อนคลายหรือไม่ผ่อนคลาย ข้ารู้ตัวของข้าดี เอ็งน่ะ แค่ทำตัวให้รู้หน้าที่ก็พอแล้ว ไม่ใช่นายสั่งอย่าง เอ็งก็รั้นจะทำอย่าง”“เข้ม...”“ข้ายังพูดไม่จบ ห้ามสอด”“ขอรับ”“อย่ามาทำเป็นสู่รู้ใจข้า เข้าใจไหมเจ้าเข้ม”เจ้าเข้มที่ก้มหน้าแบบสำนึกผิด เหลือบตาขึ้นมอง คล้ายจะถามว่ามันพูดได้หรือยัง นั่นก็ยิ่งทำให้ความโมโหเหมือนจะกลับมา แต่ก็ต้องข่มกลั้นไว้ให้มันพูดออกมาเสียให้หมด จะได้ไปให้พ้นๆ สักที“เอาละ จะว่าอย่างไรก็ว่ามาขอรับคุณเข้ม กระผมจะได้ทำการทำงานเสียที พูดจบแล้วคุณเข้มก็รีบไปให้พ้นๆ หน้ากระผมนะขอรับ”“โธ่! คุณพระขอรับ ล้อเข้มอีกแล้ว”“พูดมา” “เข้มกราบขออภัยขอรับคุณพระ เข้มก็เพียงแต่คิดว่าถ้าอีจันทร์มันอยู่ที่นี่ด้วยอีกสักคน คุณพระก็จะได้ผ่อนคลาย และอีจันทร์มันเองก็จะได้ช่วยเหลือพ่อแม่มันได้ด้วยขอรับ”นพหลับตาข่มกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธที่เริ่มจะผุดขึ้นทีละน้อยทีละน้อย เพราะนั่นคือสิ่งที่เจ้าเข้มเร้าหรือเขาตลอดในช่วง 1 เ
“นายจั่นมีลูกกี่คน”“หกคนขอรับ ออกเรือนไปเสียสี่ ก็เหลืออีจันทร์กับไอ้จุกที่ยังอยู่กับพ่อแม่มันขอรับ”นั่นเท่ากับว่าในเรือนมีกันอยู่เพียง 4 ชีวิต แล้ววิถีคนชนบทเยี่ยงนี้ ลงน้ำก็ได้ปูปลา ลงนาก็ได้ข้าว อาหารในแต่ละวันล้วนหาได้ในนาในหนองเงินที่มีก็เก็บไว้แลกอาหารแห้งอื่นๆ ที่นำมาจากต่างเมือง จำพวกเกลือหรือเครื่องเทศ หรือไม่ก็ซื้อหาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งดูจากเสื้อผ้าที่นายจั่นกับนางจวงสวมใส่ก็เรียกได้ว่าธรรมดามาก ผ้าผ่อนเนื้อหยาบเหล่านั้นน่าจะทอเอง นั่นเท่ากับว่าเงิน 20 บาทนั้น ย่อมใช้ได้ทั้งปีหรืออาจมากถึง 2 ปีด้วยซ้ำอย่างนั้นแล้วเด็กนั่นจะเอาเงินไปทำอะไรมากมาย จะว่าเป็นหนี้ในครัวเรือน เขาก็มองไม่เห็นทางใดที่นายจั่นจะมีหนี้สินได้มากมายเพียงนั้น“แล้วเด็กนั่นจะเอาเงินไปใช้อะไรมากมาย หรือว่านายจั่นติดการพนัน”“อีจันทร์มันบอกว่า...”ยังไม่ทันที่เข้มจะพูดจบเสียงอึกทึกจากหน้าเรือนก็ทำให้ต้องหันมองทันที เสียงผู้หญิงวัยสาวที่ร้องตะโกนบอกให้ ‘ปล่อยๆ’ ไม่ขาดปากก็ทำเอาเจ้าเข้มตาโตนพมองบ่าวคนสนิทที่ยิ้มแห้งก่อนจะยกมือไหว้เขาแล้วรีบเดินเร็วรี่ไปยังทิศทางของเสียง แค่นั้นก็รู้ได้ว่าเด็กสาวที่ช
“บ่าวกราบเจ้าค่ะ” น้ำเสียงใสเป็นกังวานดังมาจากร่างสาวที่ก้มหน้างุดอยู่แทบพื้น เสียงนั้นแม้จะสุภาพแต่กลับไม่ได้บ่งบอกเลยว่านางจันทร์คนนี้จะสงบเสงี่ยมเจียมตัว เพราะสตรีที่มีน้ำเสียงเปี่ยมอกมั่นใจแบบนี้ บ่งบอกว่าเจ้าตัวออกจะกล้าเกินหญิงเสียด้วยซ้ำ เพราะดูจากที่บุกรุกมาที่เรือนเขาอยู่บ่อยครั้งก็ตรงกับน้ำเสียงมุ่งมั่นนั้นเสียจริง “ข้ายังไม่ได้รับเอ็งเป็นบ่าว ไม่ต้องมาแทนตัวเองว่าบ่าว” “บ่าว... เอ่อ... อิฉันกราบเจ้าค่ะ” นางจันทร์ก้มกราบอีกครั้ง แต่ไม่ได้เงยหน้ามอง “ข้าบอกเจ้าเข้มไปแล้วว่าไม่รับบ่าว เอ็งฟังไม่รู้ความรึ ถึงได้เทียวไปเทียวมาไม่หยุด สร้างความรำคาญใจให้ข้าไม่เว้นแต่ละวัน”น้ำเสียงออกดุส่งไปด้วยหวังว่านางจันทร์จะไม่มาอีก ทว่าปลายน้ำเสียงกลับเป็นอิดหนาระอาใจ ไม่เด็ดขาดตามที่ควรจะเป็น นพรู้ตัวแบบนั้น แต่คนฟังอาจจะไม่ทันรู้ เพราะร่างอรชรที่สั่นสะอื้นแทบพื้นกลับทำให้ใจเขาอ่อนยวบไปอีกครั้นจะเอ่ยปากพูดก่อนก็กลัวว่าจะอดใจรับนางจันทร์เข้ามาไม่ได้ ทว่าเด็กสาวที่เงยหน้ามองเขา ดวงตาฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาก็ทำให้ใจเขาอ่อนยวบจริงๆ แต่คงไม่เท่า
“นายจั่นมีลูกกี่คน”“หกคนขอรับ ออกเรือนไปเสียสี่ ก็เหลืออีจันทร์กับไอ้จุกที่ยังอยู่กับพ่อแม่มันขอรับ”นั่นเท่ากับว่าในเรือนมีกันอยู่เพียง 4 ชีวิต แล้ววิถีคนชนบทเยี่ยงนี้ ลงน้ำก็ได้ปูปลา ลงนาก็ได้ข้าว อาหารในแต่ละวันล้วนหาได้ในนาในหนองเงินที่มีก็เก็บไว้แลกอาหารแห้งอื่นๆ ที่นำมาจากต่างเมือง จำพวกเกลือหรือเครื่องเทศ หรือไม่ก็ซื้อหาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งดูจากเสื้อผ้าที่นายจั่นกับนางจวงสวมใส่ก็เรียกได้ว่าธรรมดามาก ผ้าผ่อนเนื้อหยาบเหล่านั้นน่าจะทอเอง นั่นเท่ากับว่าเงิน 20 บาทนั้น ย่อมใช้ได้ทั้งปีหรืออาจมากถึง 2 ปีด้วยซ้ำอย่างนั้นแล้วเด็กนั่นจะเอาเงินไปทำอะไรมากมาย จะว่าเป็นหนี้ในครัวเรือน เขาก็มองไม่เห็นทางใดที่นายจั่นจะมีหนี้สินได้มากมายเพียงนั้น“แล้วเด็กนั่นจะเอาเงินไปใช้อะไรมากมาย หรือว่านายจั่นติดการพนัน”“อีจันทร์มันบอกว่า...”ยังไม่ทันที่เข้มจะพูดจบเสียงอึกทึกจากหน้าเรือนก็ทำให้ต้องหันมองทันที เสียงผู้หญิงวัยสาวที่ร้องตะโกนบอกให้ ‘ปล่อยๆ’ ไม่ขาดปากก็ทำเอาเจ้าเข้มตาโตนพมองบ่าวคนสนิทที่ยิ้มแห้งก่อนจะยกมือไหว้เขาแล้วรีบเดินเร็วรี่ไปยังทิศทางของเสียง แค่นั้นก็รู้ได้ว่าเด็กสาวที่ช
นพมองหน้าปูเลี่ยนของบ่าวคนสนิทที่พยายามพูดเนิบนาบแบบจับกิริยาเขาไปด้วยว่าเขาจะตะเพิดมันตอนไหน แต่ก็เพราะข้อหาที่มันรู้ใจเขาไปเสียทั้งหมด เขาจึงโกรธมันไม่ค่อยลง“ข้าจะผ่อนคลายหรือไม่ผ่อนคลาย ข้ารู้ตัวของข้าดี เอ็งน่ะ แค่ทำตัวให้รู้หน้าที่ก็พอแล้ว ไม่ใช่นายสั่งอย่าง เอ็งก็รั้นจะทำอย่าง”“เข้ม...”“ข้ายังพูดไม่จบ ห้ามสอด”“ขอรับ”“อย่ามาทำเป็นสู่รู้ใจข้า เข้าใจไหมเจ้าเข้ม”เจ้าเข้มที่ก้มหน้าแบบสำนึกผิด เหลือบตาขึ้นมอง คล้ายจะถามว่ามันพูดได้หรือยัง นั่นก็ยิ่งทำให้ความโมโหเหมือนจะกลับมา แต่ก็ต้องข่มกลั้นไว้ให้มันพูดออกมาเสียให้หมด จะได้ไปให้พ้นๆ สักที“เอาละ จะว่าอย่างไรก็ว่ามาขอรับคุณเข้ม กระผมจะได้ทำการทำงานเสียที พูดจบแล้วคุณเข้มก็รีบไปให้พ้นๆ หน้ากระผมนะขอรับ”“โธ่! คุณพระขอรับ ล้อเข้มอีกแล้ว”“พูดมา” “เข้มกราบขออภัยขอรับคุณพระ เข้มก็เพียงแต่คิดว่าถ้าอีจันทร์มันอยู่ที่นี่ด้วยอีกสักคน คุณพระก็จะได้ผ่อนคลาย และอีจันทร์มันเองก็จะได้ช่วยเหลือพ่อแม่มันได้ด้วยขอรับ”นพหลับตาข่มกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธที่เริ่มจะผุดขึ้นทีละน้อยทีละน้อย เพราะนั่นคือสิ่งที่เจ้าเข้มเร้าหรือเขาตลอดในช่วง 1 เ
‘คุณแก้วตา หลานสาวของกำนันดูจะชอบคุณพระอยู่มากนะขอรับ คุณเหมยฮัว ลูกสาวเถ้าแก่ย้งก็ดูจะมีใจ และไหนจะยังคุณกำไล ลูกสาวคุณหลวงเทพนั่นก็...’‘พูดมากจริงเจ้าเข้ม ที่ข้าบอกไปทั้งหมด ไม่ได้สำเหนียกเข้าหัวเอ็งเลยใช่ไหม อย่างนั้นก็เก็บผ้าผ่อนกลับไปพระนครไป’‘โธ่... คุณพระขอรับ เข้มหวังดี นานแล้วนะขอรับ’‘อย่าสู่รู้เรื่องของข้า’แว่วเสียงเข้มๆ ดุๆ ยังคงกังวานสันหลังให้เสียววาบๆ เพราะเกรงว่าจะถูกดุเหมือนเช่นทุกครั้งที่เอ่ยเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่เข็ดไม่หลาบจำสักที ได้แต่ท่องไว้ว่าก็ถ้าครั้งนี้ทำสำเร็จ มันก็จะจำไว้ว่ามันเป็นบ่าวที่ดี ที่ทำให้เจ้านายสำราญกายสำราญใจได้ แถมยังได้เป็นคนดี ได้ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอีกด้วยดวงตาคมเข้มดูดุดันยังมองเอกสารในมืออย่างพินิจพิเคราะห์ พลางจดบางอย่างในสมุดด้านข้าง สีหน้าเคร่งเครียดดังเช่นทุกวัน แต่มันก็ยังกล้าเอาเรื่องมากวนใจท่าน ด้วยหวังว่าเรื่องกวนใจในวันนี้จะส่งผลดีกับใครหลายๆ คน อย่างน้อยก็ใครบางคนที่กำลังรอคำตอบแบบใจจอจ่ออยู่ที่หัวกระไดท่าน้ำ“จะพูดอะไรก็พูดมาเจ้าเข้ม มัวแต่พิรี้พิไร”“เอ่อ... คุณพระขอรับ”เข้มสะดุ้งเล็กน้อย เพราะเสียงดุเช่นนั้นยิ่งทำให้ม
เย็นย่ำ ณ เรือนชานเมืองซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราวของ ‘พระเกษตรานพคุณ’ หรือที่คนทั่วไปเรียกท่านว่า ‘คุณพระเกษตรนพ’ หรือ ‘คุณพระนพ’ ตามบรรดาศักดิ์ ‘พระเกษตรา’ และ ‘นพ’ ชื่อเดิมของท่านประสมกันเนื่องจากท่านมิได้เป็นข้าราชการบรรดาศักดิ์นี้แต่เพียงผู้เดียว หากแต่ยังมีอีกหลายท่านที่ดำรงตำแหน่งพระเกษตรา ทั้งในเขตพระนครและตามหัวเมืองต่างๆด้วยการเก็บภาษีที่นา รวมทั้งการควบคุมดูแลให้ความรู้เรื่องพันธุ์ข้าว การจัดหาสัตว์ทำนา การหาแหล่งน้ำ รวมไปถึงการตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำนา เพื่อลดความขัดแย้งและเพื่อให้ชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีมากขึ้น ก็ล้วนแต่เป็นหน้าที่การกำกับดูและของพระเกษตราทุกท่านดังนั้นหากไม่มีชื่อต่อท้าย ผู้คนอาจจะงุนงงได้ว่า ‘พระเกษตรา’ ที่กำลังกล่าวถึงนั้นเป็นผู้ใดกันแต่สำหรับ ‘เข้ม’ บ่าวติดสอยห้อยตามคุณพระนพมาจากพระนครกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะสำหรับมันแล้ว เมื่อเอ่ยถึง ‘พระเกษตรา’ ที่ออกเยี่ยมเยือนชาวบ้าน ตรวจตราดูความเป็นอยู่อัตคัดขัดสนของชาวบ้านอย่างแท้จริง ก็คงมีแต่ ‘คุณพระนพ’ นายของมันเท่านั้นด้วยเป็นอันสามัญของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการความสะดวกสบายในทุกด