เย็นย่ำ ณ เรือนชานเมืองซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราวของ ‘พระเกษตรานพคุณ’ หรือที่คนทั่วไปเรียกท่านว่า ‘คุณพระเกษตรนพ’ หรือ ‘คุณพระนพ’ ตามบรรดาศักดิ์ ‘พระเกษตรา’ และ ‘นพ’ ชื่อเดิมของท่านประสมกัน
เนื่องจากท่านมิได้เป็นข้าราชการบรรดาศักดิ์นี้แต่เพียงผู้เดียว หากแต่ยังมีอีกหลายท่านที่ดำรงตำแหน่งพระเกษตรา ทั้งในเขตพระนครและตามหัวเมืองต่างๆ
ด้วยการเก็บภาษีที่นา รวมทั้งการควบคุมดูแลให้ความรู้เรื่องพันธุ์ข้าว การจัดหาสัตว์ทำนา การหาแหล่งน้ำ รวมไปถึงการตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำนา เพื่อลดความขัดแย้งและเพื่อให้ชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีมากขึ้น ก็ล้วนแต่เป็นหน้าที่การกำกับดูและของพระเกษตราทุกท่าน
ดังนั้นหากไม่มีชื่อต่อท้าย ผู้คนอาจจะงุนงงได้ว่า ‘พระเกษตรา’ ที่กำลังกล่าวถึงนั้นเป็นผู้ใดกัน
แต่สำหรับ ‘เข้ม’ บ่าวติดสอยห้อยตามคุณพระนพมาจากพระนครกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะสำหรับมันแล้ว เมื่อเอ่ยถึง ‘พระเกษตรา’ ที่ออกเยี่ยมเยือนชาวบ้าน ตรวจตราดูความเป็นอยู่อัตคัดขัดสนของชาวบ้านอย่างแท้จริง ก็คงมีแต่ ‘คุณพระนพ’ นายของมันเท่านั้น
ด้วยเป็นอันสามัญของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการความสะดวกสบายในทุกด้าน มีคนปรนนิบัติพัดวี ยิ่งมีผู้ใต้บังคับบัญชาคอยจัดการกิจธุระทุกอย่างให้ นั่นก็ทำให้พระเกษตราท่านอื่นนั้นเพียงนั่งสั่งการอยู่ในเขตพระนคร หาได้เที่ยวเสาะแสวงออกมาหาความลำบากยากกายดั่งนายของมันไม่
เหตุนี้จึงทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณพระนพ ไม่ว่าจะเป็น หลวงธรณีพิทักษ์ ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์ และ หมื่นพิบูลย์ไพศาล ก็ต่างเสมือนได้เป็นทั้งขุนนางสายบู๊และขุนนางสายบุ๋นไปพร้อมๆ กัน
ด้วยเมื่อชาวบ้านในพื้นที่รับผิดชอบเกิดปัญหาและต้องการให้คุณพระนพช่วยเหลือ ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้ง 3 ก็จะติดสอยห้อยตามไปด้วยทุกครั้ง
เช่น ณ ชานเมืองนี้ ที่เกิดข้อพิพาทเรื่องที่นาให้เข้าหูคุณพระนพอยู่เนืองๆ
เรื่องที่กำนันและพวกพ้อง ตั้งตนเป็นผู้มีอิทธิพล เรียกเก็บภาษีที่นาเกินกว่าที่นำส่งหลวง ทั้งยังเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน ให้นำที่นาที่ไร่มาจำนอง จากนั้นก็ริบทั้งผลผลิตและสิทธิ์ในที่นาที่ไร่นั้นมาเป็นของตน และหากบ้านใดเรือนใดมีลูกสาวหลานสาววัยกำดัด ก็ไม่แคล้วจะถูกย่ำยีบัดสี
แต่คุณพระท่านก็ว่านั่นก็เป็นเพียงคำร่ำลือ เพราะที่ใดมีอำนาจ ที่นั่นย่อมมีผู้แย่งชิง
ดังนั้นการใส่ไคล้เพื่อให้อีกฝ่ายมัวหมองหรือต้องอาญาก็ล้วนเกิดขึ้นได้ ควรให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย หากกำนันผิดจริงก็ต้องมีหลักฐานชัดเจนทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ เพื่อไม่ให้กำนันและพวกพ้องแก้ต่างได้หากส่งเรื่องไปถึงคณะกรรมการคดีพิพาท
เพราะหากตรวจสอบไม่แน่นหนาพอ ผลร้ายก็จะตกอยู่กับชาวบ้านต่อไป
และก็เป็นตามที่คุณพระนพคาดการไว้ เพราะเมื่อให้หมื่นพิบูลย์ไพศาลหรือ ‘หมื่นขวัญ’ ไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นเหตุมีมูล แต่กลับไม่มีชาวบ้านคนใดกล้ายืนยันเอาผิดกำนันและพวกพ้อง แม้นจะพบความผิดซึ่งหน้า ในยามที่พวกลูกน้องของกำนันเข้าแย่งชิงข้าวในยุ้งฉางของชาวบ้าน
เมื่อสอบสวนเรื่องราว กลับกลายเป็นชาวบ้านให้การปกป้อง ว่านั่นเป็นเพียงสินน้ำใจที่ตนตั้งใจมอบให้กำนันเพื่อตอบแทนที่กำนันให้การดูแลลูกบ้านเป็นอย่างดี
แต่คำแก้ต่างเหล่านั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเพราะชาวบ้านเกรงกลัวอิทธิพลของกำนัน
และเมื่อสาวลึกไปมากกว่านั้นก็พบว่าไม่ใช่แค่กำนันเท่านั้นที่ชาวบ้านเกรงกลัว แต่ครอบครัวและเครือญาติของกำนัน ไม่ว่าจะเป็นลูก เมีย พี่สาว น้องสาว น้องชาย หลานๆ หรือแม้แต่ญาติห่างๆ ที่แค่เอ่ยชื่อว่าเป็นญาติของกำนัน ชาวบ้านก็พานเกรงกลัวไปเสียทั้งนั้น
จึงกลายเป็นช่องทางเอารัดเอาเปรียบ ที่ไม่ว่าอย่างไร ชาวบ้านก็เป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคนที่ควรให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล กลับกลายเป็นคนที่เอารัดเอาเปรียบเสียเอง
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คุณพระนพมาปักหลักอยู่ที่ชานเมืองนี้ได้หลายเดือนแล้ว
‘ถ้ายังหาทางแก้ไขแบบถอนรากถอนโคนไม่ได้ หรือห้ามเชื้อพันธุ์คดโกงเกิดขึ้นใหม่ไม่ได้ ข้าก็ไม่คิดจะกลับพระนครเด็ดขาด จะรั้งอยู่ที่ชานเมืองนี้ อยู่เป็นหอกข้างแคร่กำนันไปจนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย’
ในแต่ละวันงานหลักของท่านหากไม่ออกไปเยี่ยมเยือนชาวบ้านและรับฟังสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชามารายงานแล้วนั้น กิจวัตรประจำวันของท่านก็คือตรวจสอบเอกสาร
เริ่มตั้งแต่หลวงท่านยกเลิกให้นายเสนาเดินสำรวจและเปลี่ยนมาเป็นใช้กำนันเดินสำรวจ หลวงท่านให้สิทธิ์ชาวบ้านถือครองที่นาไม่เกิน 7 ไร่ต่อ 1 ครัวเรือน ที่ต้องตรวจสอบก็คือ
ชาวบ้านทำนาได้ข้าว หรือต้องเอาข้าวไปให้ใคร
7 ไร่พอกิน จนถึงเหลือพอขายหรือไม่
และพื้นที่ถือครองของชาวบ้านยังเป็นของชาวบ้านอยู่จริงหรือไม่ หรือเพียงทำกินในพื้นที่แต่สิทธิ์ขาดของผลผลิตเป็นของนายเงิน
คุณพระนพและผู้ใต้บังคับบัญชาต้องตรวจหาช่องโหว่เพื่อใช้เรียกสอบกำนันแบบขัดไม่ได้
เจ้าเข้มทอดสายตามองนายของตนด้วยความห่วงใย เพราะหลายเดือนที่ผ่านมานี้ คุณพระนพดูจะคล้ำไป ร่างกายแม้จะไม่ได้ผ่ายผอมแบบคนอดอาหาร แต่ก็คล้ำแดดกร้านลม ทั้งความเจริญใจยิ้มแย้มบนใบหน้าไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีให้เห็นเลย ด้วยในแต่ละวันท่านก็คร่ำเคร่งแบบนี้ ตั้งแต่เช้าจดค่ำ
แม้ว่าเหล่าข้าราชการในพื้นที่ พ่อค้าวาณิช หรือแม้แต่กำนันเองจะนำลูกสาว หลานสาว น้องสาว มาเสนอตัวให้ดูแลรับใช้ท่าน ซึ่งก็หมายถึงนำความสำราญมาส่งให้ถึงเรือน โดยบอกว่าเป็นสินน้ำใจ คุณพระท่านก็ไม่ได้รับไว้เลยสักนาง เพราะถือว่านั่นคือการผูกมัดและจะกลายเป็นบ่วงที่ผูกติดท่านจนไม่สามารถเอาผิดกับคนคดโกงได้
.
.
.
------
.
.
.
.
นิยายชุด ‘หอมรัญจวน’
ประกอบไปด้วยนิยายพีเรียด 4 เรื่อง ดังนี้
1.กลิ่นจันทร์ (พระเกษตรานพคุณ - จันทร์)
2.กลิ่นนวล (หลวงธรณีพิทักษ์ - นวล)
3.กลิ่นนาง (ขุนชลาสินธุ์อนุรักษ์ - กำไล)
4.กลิ่นแก้ว (หมื่นพิบูลย์ไพศาล - แก้วตา)
เพื่อนๆ สามารถแยกอ่านได้
แต่หากต้องการให้ครบรสชาติ แนะนำให้อ่านทั้ง 4 เรื่องค่ะ
ขอบคุณในทุกๆ กำลังใจ
..ชนิตร์นันท์..
‘คุณแก้วตา หลานสาวของกำนันดูจะชอบคุณพระอยู่มากนะขอรับ คุณเหมยฮัว ลูกสาวเถ้าแก่ย้งก็ดูจะมีใจ และไหนจะยังคุณกำไล ลูกสาวคุณหลวงเทพนั่นก็...’‘พูดมากจริงเจ้าเข้ม ที่ข้าบอกไปทั้งหมด ไม่ได้สำเหนียกเข้าหัวเอ็งเลยใช่ไหม อย่างนั้นก็เก็บผ้าผ่อนกลับไปพระนครไป’‘โธ่... คุณพระขอรับ เข้มหวังดี นานแล้วนะขอรับ’‘อย่าสู่รู้เรื่องของข้า’แว่วเสียงเข้มๆ ดุๆ ยังคงกังวานสันหลังให้เสียววาบๆ เพราะเกรงว่าจะถูกดุเหมือนเช่นทุกครั้งที่เอ่ยเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่เข็ดไม่หลาบจำสักที ได้แต่ท่องไว้ว่าก็ถ้าครั้งนี้ทำสำเร็จ มันก็จะจำไว้ว่ามันเป็นบ่าวที่ดี ที่ทำให้เจ้านายสำราญกายสำราญใจได้ แถมยังได้เป็นคนดี ได้ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอีกด้วยดวงตาคมเข้มดูดุดันยังมองเอกสารในมืออย่างพินิจพิเคราะห์ พลางจดบางอย่างในสมุดด้านข้าง สีหน้าเคร่งเครียดดังเช่นทุกวัน แต่มันก็ยังกล้าเอาเรื่องมากวนใจท่าน ด้วยหวังว่าเรื่องกวนใจในวันนี้จะส่งผลดีกับใครหลายๆ คน อย่างน้อยก็ใครบางคนที่กำลังรอคำตอบแบบใจจอจ่ออยู่ที่หัวกระไดท่าน้ำ“จะพูดอะไรก็พูดมาเจ้าเข้ม มัวแต่พิรี้พิไร”“เอ่อ... คุณพระขอรับ”เข้มสะดุ้งเล็กน้อย เพราะเสียงดุเช่นนั้นยิ่งทำให้ม
นพมองหน้าปูเลี่ยนของบ่าวคนสนิทที่พยายามพูดเนิบนาบแบบจับกิริยาเขาไปด้วยว่าเขาจะตะเพิดมันตอนไหน แต่ก็เพราะข้อหาที่มันรู้ใจเขาไปเสียทั้งหมด เขาจึงโกรธมันไม่ค่อยลง“ข้าจะผ่อนคลายหรือไม่ผ่อนคลาย ข้ารู้ตัวของข้าดี เอ็งน่ะ แค่ทำตัวให้รู้หน้าที่ก็พอแล้ว ไม่ใช่นายสั่งอย่าง เอ็งก็รั้นจะทำอย่าง”“เข้ม...”“ข้ายังพูดไม่จบ ห้ามสอด”“ขอรับ”“อย่ามาทำเป็นสู่รู้ใจข้า เข้าใจไหมเจ้าเข้ม”เจ้าเข้มที่ก้มหน้าแบบสำนึกผิด เหลือบตาขึ้นมอง คล้ายจะถามว่ามันพูดได้หรือยัง นั่นก็ยิ่งทำให้ความโมโหเหมือนจะกลับมา แต่ก็ต้องข่มกลั้นไว้ให้มันพูดออกมาเสียให้หมด จะได้ไปให้พ้นๆ สักที“เอาละ จะว่าอย่างไรก็ว่ามาขอรับคุณเข้ม กระผมจะได้ทำการทำงานเสียที พูดจบแล้วคุณเข้มก็รีบไปให้พ้นๆ หน้ากระผมนะขอรับ”“โธ่! คุณพระขอรับ ล้อเข้มอีกแล้ว”“พูดมา” “เข้มกราบขออภัยขอรับคุณพระ เข้มก็เพียงแต่คิดว่าถ้าอีจันทร์มันอยู่ที่นี่ด้วยอีกสักคน คุณพระก็จะได้ผ่อนคลาย และอีจันทร์มันเองก็จะได้ช่วยเหลือพ่อแม่มันได้ด้วยขอรับ”นพหลับตาข่มกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธที่เริ่มจะผุดขึ้นทีละน้อยทีละน้อย เพราะนั่นคือสิ่งที่เจ้าเข้มเร้าหรือเขาตลอดในช่วง 1 เ
“นายจั่นมีลูกกี่คน”“หกคนขอรับ ออกเรือนไปเสียสี่ ก็เหลืออีจันทร์กับไอ้จุกที่ยังอยู่กับพ่อแม่มันขอรับ”นั่นเท่ากับว่าในเรือนมีกันอยู่เพียง 4 ชีวิต แล้ววิถีคนชนบทเยี่ยงนี้ ลงน้ำก็ได้ปูปลา ลงนาก็ได้ข้าว อาหารในแต่ละวันล้วนหาได้ในนาในหนองเงินที่มีก็เก็บไว้แลกอาหารแห้งอื่นๆ ที่นำมาจากต่างเมือง จำพวกเกลือหรือเครื่องเทศ หรือไม่ก็ซื้อหาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งดูจากเสื้อผ้าที่นายจั่นกับนางจวงสวมใส่ก็เรียกได้ว่าธรรมดามาก ผ้าผ่อนเนื้อหยาบเหล่านั้นน่าจะทอเอง นั่นเท่ากับว่าเงิน 20 บาทนั้น ย่อมใช้ได้ทั้งปีหรืออาจมากถึง 2 ปีด้วยซ้ำอย่างนั้นแล้วเด็กนั่นจะเอาเงินไปทำอะไรมากมาย จะว่าเป็นหนี้ในครัวเรือน เขาก็มองไม่เห็นทางใดที่นายจั่นจะมีหนี้สินได้มากมายเพียงนั้น“แล้วเด็กนั่นจะเอาเงินไปใช้อะไรมากมาย หรือว่านายจั่นติดการพนัน”“อีจันทร์มันบอกว่า...”ยังไม่ทันที่เข้มจะพูดจบเสียงอึกทึกจากหน้าเรือนก็ทำให้ต้องหันมองทันที เสียงผู้หญิงวัยสาวที่ร้องตะโกนบอกให้ ‘ปล่อยๆ’ ไม่ขาดปากก็ทำเอาเจ้าเข้มตาโตนพมองบ่าวคนสนิทที่ยิ้มแห้งก่อนจะยกมือไหว้เขาแล้วรีบเดินเร็วรี่ไปยังทิศทางของเสียง แค่นั้นก็รู้ได้ว่าเด็กสาวที่ช
“บ่าวกราบเจ้าค่ะ” น้ำเสียงใสเป็นกังวานดังมาจากร่างสาวที่ก้มหน้างุดอยู่แทบพื้น เสียงนั้นแม้จะสุภาพแต่กลับไม่ได้บ่งบอกเลยว่านางจันทร์คนนี้จะสงบเสงี่ยมเจียมตัว เพราะสตรีที่มีน้ำเสียงเปี่ยมอกมั่นใจแบบนี้ บ่งบอกว่าเจ้าตัวออกจะกล้าเกินหญิงเสียด้วยซ้ำ เพราะดูจากที่บุกรุกมาที่เรือนเขาอยู่บ่อยครั้งก็ตรงกับน้ำเสียงมุ่งมั่นนั้นเสียจริง “ข้ายังไม่ได้รับเอ็งเป็นบ่าว ไม่ต้องมาแทนตัวเองว่าบ่าว” “บ่าว... เอ่อ... อิฉันกราบเจ้าค่ะ” นางจันทร์ก้มกราบอีกครั้ง แต่ไม่ได้เงยหน้ามอง “ข้าบอกเจ้าเข้มไปแล้วว่าไม่รับบ่าว เอ็งฟังไม่รู้ความรึ ถึงได้เทียวไปเทียวมาไม่หยุด สร้างความรำคาญใจให้ข้าไม่เว้นแต่ละวัน”น้ำเสียงออกดุส่งไปด้วยหวังว่านางจันทร์จะไม่มาอีก ทว่าปลายน้ำเสียงกลับเป็นอิดหนาระอาใจ ไม่เด็ดขาดตามที่ควรจะเป็น นพรู้ตัวแบบนั้น แต่คนฟังอาจจะไม่ทันรู้ เพราะร่างอรชรที่สั่นสะอื้นแทบพื้นกลับทำให้ใจเขาอ่อนยวบไปอีกครั้นจะเอ่ยปากพูดก่อนก็กลัวว่าจะอดใจรับนางจันทร์เข้ามาไม่ได้ ทว่าเด็กสาวที่เงยหน้ามองเขา ดวงตาฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาก็ทำให้ใจเขาอ่อนยวบจริงๆ แต่คงไม่เท่า
“บ่าวกราบเจ้าค่ะ” น้ำเสียงใสเป็นกังวานดังมาจากร่างสาวที่ก้มหน้างุดอยู่แทบพื้น เสียงนั้นแม้จะสุภาพแต่กลับไม่ได้บ่งบอกเลยว่านางจันทร์คนนี้จะสงบเสงี่ยมเจียมตัว เพราะสตรีที่มีน้ำเสียงเปี่ยมอกมั่นใจแบบนี้ บ่งบอกว่าเจ้าตัวออกจะกล้าเกินหญิงเสียด้วยซ้ำ เพราะดูจากที่บุกรุกมาที่เรือนเขาอยู่บ่อยครั้งก็ตรงกับน้ำเสียงมุ่งมั่นนั้นเสียจริง “ข้ายังไม่ได้รับเอ็งเป็นบ่าว ไม่ต้องมาแทนตัวเองว่าบ่าว” “บ่าว... เอ่อ... อิฉันกราบเจ้าค่ะ” นางจันทร์ก้มกราบอีกครั้ง แต่ไม่ได้เงยหน้ามอง “ข้าบอกเจ้าเข้มไปแล้วว่าไม่รับบ่าว เอ็งฟังไม่รู้ความรึ ถึงได้เทียวไปเทียวมาไม่หยุด สร้างความรำคาญใจให้ข้าไม่เว้นแต่ละวัน”น้ำเสียงออกดุส่งไปด้วยหวังว่านางจันทร์จะไม่มาอีก ทว่าปลายน้ำเสียงกลับเป็นอิดหนาระอาใจ ไม่เด็ดขาดตามที่ควรจะเป็น นพรู้ตัวแบบนั้น แต่คนฟังอาจจะไม่ทันรู้ เพราะร่างอรชรที่สั่นสะอื้นแทบพื้นกลับทำให้ใจเขาอ่อนยวบไปอีกครั้นจะเอ่ยปากพูดก่อนก็กลัวว่าจะอดใจรับนางจันทร์เข้ามาไม่ได้ ทว่าเด็กสาวที่เงยหน้ามองเขา ดวงตาฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาก็ทำให้ใจเขาอ่อนยวบจริงๆ แต่คงไม่เท่า
“นายจั่นมีลูกกี่คน”“หกคนขอรับ ออกเรือนไปเสียสี่ ก็เหลืออีจันทร์กับไอ้จุกที่ยังอยู่กับพ่อแม่มันขอรับ”นั่นเท่ากับว่าในเรือนมีกันอยู่เพียง 4 ชีวิต แล้ววิถีคนชนบทเยี่ยงนี้ ลงน้ำก็ได้ปูปลา ลงนาก็ได้ข้าว อาหารในแต่ละวันล้วนหาได้ในนาในหนองเงินที่มีก็เก็บไว้แลกอาหารแห้งอื่นๆ ที่นำมาจากต่างเมือง จำพวกเกลือหรือเครื่องเทศ หรือไม่ก็ซื้อหาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งดูจากเสื้อผ้าที่นายจั่นกับนางจวงสวมใส่ก็เรียกได้ว่าธรรมดามาก ผ้าผ่อนเนื้อหยาบเหล่านั้นน่าจะทอเอง นั่นเท่ากับว่าเงิน 20 บาทนั้น ย่อมใช้ได้ทั้งปีหรืออาจมากถึง 2 ปีด้วยซ้ำอย่างนั้นแล้วเด็กนั่นจะเอาเงินไปทำอะไรมากมาย จะว่าเป็นหนี้ในครัวเรือน เขาก็มองไม่เห็นทางใดที่นายจั่นจะมีหนี้สินได้มากมายเพียงนั้น“แล้วเด็กนั่นจะเอาเงินไปใช้อะไรมากมาย หรือว่านายจั่นติดการพนัน”“อีจันทร์มันบอกว่า...”ยังไม่ทันที่เข้มจะพูดจบเสียงอึกทึกจากหน้าเรือนก็ทำให้ต้องหันมองทันที เสียงผู้หญิงวัยสาวที่ร้องตะโกนบอกให้ ‘ปล่อยๆ’ ไม่ขาดปากก็ทำเอาเจ้าเข้มตาโตนพมองบ่าวคนสนิทที่ยิ้มแห้งก่อนจะยกมือไหว้เขาแล้วรีบเดินเร็วรี่ไปยังทิศทางของเสียง แค่นั้นก็รู้ได้ว่าเด็กสาวที่ช
นพมองหน้าปูเลี่ยนของบ่าวคนสนิทที่พยายามพูดเนิบนาบแบบจับกิริยาเขาไปด้วยว่าเขาจะตะเพิดมันตอนไหน แต่ก็เพราะข้อหาที่มันรู้ใจเขาไปเสียทั้งหมด เขาจึงโกรธมันไม่ค่อยลง“ข้าจะผ่อนคลายหรือไม่ผ่อนคลาย ข้ารู้ตัวของข้าดี เอ็งน่ะ แค่ทำตัวให้รู้หน้าที่ก็พอแล้ว ไม่ใช่นายสั่งอย่าง เอ็งก็รั้นจะทำอย่าง”“เข้ม...”“ข้ายังพูดไม่จบ ห้ามสอด”“ขอรับ”“อย่ามาทำเป็นสู่รู้ใจข้า เข้าใจไหมเจ้าเข้ม”เจ้าเข้มที่ก้มหน้าแบบสำนึกผิด เหลือบตาขึ้นมอง คล้ายจะถามว่ามันพูดได้หรือยัง นั่นก็ยิ่งทำให้ความโมโหเหมือนจะกลับมา แต่ก็ต้องข่มกลั้นไว้ให้มันพูดออกมาเสียให้หมด จะได้ไปให้พ้นๆ สักที“เอาละ จะว่าอย่างไรก็ว่ามาขอรับคุณเข้ม กระผมจะได้ทำการทำงานเสียที พูดจบแล้วคุณเข้มก็รีบไปให้พ้นๆ หน้ากระผมนะขอรับ”“โธ่! คุณพระขอรับ ล้อเข้มอีกแล้ว”“พูดมา” “เข้มกราบขออภัยขอรับคุณพระ เข้มก็เพียงแต่คิดว่าถ้าอีจันทร์มันอยู่ที่นี่ด้วยอีกสักคน คุณพระก็จะได้ผ่อนคลาย และอีจันทร์มันเองก็จะได้ช่วยเหลือพ่อแม่มันได้ด้วยขอรับ”นพหลับตาข่มกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธที่เริ่มจะผุดขึ้นทีละน้อยทีละน้อย เพราะนั่นคือสิ่งที่เจ้าเข้มเร้าหรือเขาตลอดในช่วง 1 เ
‘คุณแก้วตา หลานสาวของกำนันดูจะชอบคุณพระอยู่มากนะขอรับ คุณเหมยฮัว ลูกสาวเถ้าแก่ย้งก็ดูจะมีใจ และไหนจะยังคุณกำไล ลูกสาวคุณหลวงเทพนั่นก็...’‘พูดมากจริงเจ้าเข้ม ที่ข้าบอกไปทั้งหมด ไม่ได้สำเหนียกเข้าหัวเอ็งเลยใช่ไหม อย่างนั้นก็เก็บผ้าผ่อนกลับไปพระนครไป’‘โธ่... คุณพระขอรับ เข้มหวังดี นานแล้วนะขอรับ’‘อย่าสู่รู้เรื่องของข้า’แว่วเสียงเข้มๆ ดุๆ ยังคงกังวานสันหลังให้เสียววาบๆ เพราะเกรงว่าจะถูกดุเหมือนเช่นทุกครั้งที่เอ่ยเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่เข็ดไม่หลาบจำสักที ได้แต่ท่องไว้ว่าก็ถ้าครั้งนี้ทำสำเร็จ มันก็จะจำไว้ว่ามันเป็นบ่าวที่ดี ที่ทำให้เจ้านายสำราญกายสำราญใจได้ แถมยังได้เป็นคนดี ได้ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอีกด้วยดวงตาคมเข้มดูดุดันยังมองเอกสารในมืออย่างพินิจพิเคราะห์ พลางจดบางอย่างในสมุดด้านข้าง สีหน้าเคร่งเครียดดังเช่นทุกวัน แต่มันก็ยังกล้าเอาเรื่องมากวนใจท่าน ด้วยหวังว่าเรื่องกวนใจในวันนี้จะส่งผลดีกับใครหลายๆ คน อย่างน้อยก็ใครบางคนที่กำลังรอคำตอบแบบใจจอจ่ออยู่ที่หัวกระไดท่าน้ำ“จะพูดอะไรก็พูดมาเจ้าเข้ม มัวแต่พิรี้พิไร”“เอ่อ... คุณพระขอรับ”เข้มสะดุ้งเล็กน้อย เพราะเสียงดุเช่นนั้นยิ่งทำให้ม
เย็นย่ำ ณ เรือนชานเมืองซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราวของ ‘พระเกษตรานพคุณ’ หรือที่คนทั่วไปเรียกท่านว่า ‘คุณพระเกษตรนพ’ หรือ ‘คุณพระนพ’ ตามบรรดาศักดิ์ ‘พระเกษตรา’ และ ‘นพ’ ชื่อเดิมของท่านประสมกันเนื่องจากท่านมิได้เป็นข้าราชการบรรดาศักดิ์นี้แต่เพียงผู้เดียว หากแต่ยังมีอีกหลายท่านที่ดำรงตำแหน่งพระเกษตรา ทั้งในเขตพระนครและตามหัวเมืองต่างๆด้วยการเก็บภาษีที่นา รวมทั้งการควบคุมดูแลให้ความรู้เรื่องพันธุ์ข้าว การจัดหาสัตว์ทำนา การหาแหล่งน้ำ รวมไปถึงการตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับการทำนา เพื่อลดความขัดแย้งและเพื่อให้ชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีมากขึ้น ก็ล้วนแต่เป็นหน้าที่การกำกับดูและของพระเกษตราทุกท่านดังนั้นหากไม่มีชื่อต่อท้าย ผู้คนอาจจะงุนงงได้ว่า ‘พระเกษตรา’ ที่กำลังกล่าวถึงนั้นเป็นผู้ใดกันแต่สำหรับ ‘เข้ม’ บ่าวติดสอยห้อยตามคุณพระนพมาจากพระนครกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะสำหรับมันแล้ว เมื่อเอ่ยถึง ‘พระเกษตรา’ ที่ออกเยี่ยมเยือนชาวบ้าน ตรวจตราดูความเป็นอยู่อัตคัดขัดสนของชาวบ้านอย่างแท้จริง ก็คงมีแต่ ‘คุณพระนพ’ นายของมันเท่านั้นด้วยเป็นอันสามัญของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่ล้วนแล้วแต่ต้องการความสะดวกสบายในทุกด