ตอนที่ 3
เขาต้องเป็นพระเอกที่แสนดี!
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป โคลว์ยังคงให้คีอาร์อาศัยอยู่ด้วย เขาไม่ขับไล่คีอาร์แถมยังเลี้ยงดูอย่างดี ดูเหมือนโคลว์ตัดสินใจที่จะรับเลี้ยงคีอาร์แล้ว เพราะเขาได้วางแผนที่จะส่งคีอาร์เข้าเรียนเมื่อคีอาร์อายุครบหกปีและเขาได้ทำทะเบียนระบุตัวตนของคีอาร์แล้วด้วย
รับง่ายๆ เลยแฮะ
ฉันจึงจดบันทึกในข้อมูลตัวละครไปว่าโคลว์คือผู้มีพระคุณของคีอาร์ไป และในอนาคตโคลว์คงจะกลายเป็นทั้งพ่อและครูของคีอาร์ไปด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้คีอาร์ได้แสดงก้อนสีดำกลมๆ เท่าลูกปิงปองให้โคลว์ได้เห็น เมื่อโคลว์ได้รู้ความสามารถของเจ้าลูกกลมๆ นั่นเขาก็ทำหน้าจริงจังมากในตอนนั้น
ฉันคิดว่ามันคงเป็นพลังที่อันตรายมากเขาถึงได้แสดงสีหน้าออกมาแบบนั้น ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่าไอ้ก้อนกลมสีดำมันใช้ทำอะไรจึงขอให้คีอาร์ลองใช้มัน
เขายอมทำตามคำขอของฉันจึงได้แสดงความสามารถของตัวเองให้ฉันดูโดยการสั่งให้เจ้าลูกกลมๆ นั่นกินอาหารบนโต๊ะ ปรากฏว่าก้อนกลมๆ นั่นเขมือบทั้งโต๊ะ มันไม่ได้กินแค่อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างที่คีอาร์ต้องการ มันกินโต๊ะไปเลยล่ะ!!
หายไปในชั่วพริบตาเลยด้วย
ฉันถึงกับกลุ้มใจ มันไม่เหมือนพลังของพระเอก มันโหดเกินไป ฉันคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะบรรยายฉากที่พระเอกกำลังสั่งให้ลูกกลมๆ นั่นกินคนแน่ มันคงน่าสยดสยองน่าดู พระเอกที่มีพลังโหดแบบนี้ต้องมีนิสัยขี้ขลาด หากพระเอกขี้ขลาดเขาจะไม่กล้าใช้พลังมั่วๆ เขาจะงัดออกมาใช้ตอนจำเป็นเท่านั้น
แต่ดูแล้วคีอาร์ไม่น่าใช่พระเอกจำพวกแบบนั้น น่าจะเป็นประเภทพระเอกสุดโหดฆ่าคนตาไม่กะพริบ
อย่างไรก็ตามเพราะฉันที่อยากเห็นพลังของคีอาร์จึงทำให้โต๊ะของร้านอาหารของโคลว์หายไปอันหนึ่ง โคลว์ผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนตลอดเวลาได้แสดงด้านมืดออกมาผ่านบรรยากาศรอบตัว คีอาร์ที่ไม่เคยแสดงท่าทางอะไรชัดเจนนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงออกมาว่ากลัวโคลว์เอามาก ๆ
โคลว์ได้สั่งให้คีอาร์ไปทำความสะอาดถนนหลังร้านเป็นการลงโทษหลังจากที่บ่นคีอาร์ไปสองสามประโยค
“ขอโทษนะ” ฉันเอ่ยอย่างรู้สึกผิด คีอาร์ไม่พูดอะไร เขาเก็บกวาดเศษขยะหลังร้านเงียบๆ ฉันจึงถอนหายใจ
หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งอาทิตย์ทำให้ฉันรู้ว่าคีอาร์นั้นเป็นเด็กที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนัก ไม่ถึงกับเย็นชาและไร้ความรู้สึกแต่การแสดงอารมณ์มันน้อยมากสำหรับเด็กวัย 5 ขวบ ฉันควรแก้ไขอารมณ์ความรู้สึกที่เริ่มจะตายด้านของเขาโดยการแนะนำสิ่งดี ๆ และมอบความอบอุ่นให้เขาในฐานะคนในครอบครัว
“แมว...” คีอาร์พึมพำขึ้นมาเมื่อเห็นแมวเดินเลาะกำแพงมา ฉันมองดูว่าเขาจะทำอะไรต่อ ฉันอยากให้เขาก้มลงไปลูบหัวแมวเพราะมันจะทำให้เขามี...
ผัวะ!
...ความอ่อนโยน
ฉันยังไม่ทันจะได้คิดจบคีอาร์ก็ย่อตัวลงและตบหัวแมวดังผลัวะใหญ่ๆ ฉันอ้าปากค้างมองคีอาร์ที่ตบหัวแมวจนมันวิ่งหนีไปไกล เขาทำเหมือนกับตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรกในสวนสาธารณะเลย! เนื่องจากตอนนี้เขาหันหลังให้ฉันอยู่ ฉันจึงคาดเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนั้นลงไป ฉันดึงไหล่บางของคีอาร์เบาๆ เพื่อให้เขาหันหน้ามาหาและฉันตั้งใจจะต่อว่าเขา
“คิก” สีหน้าของคีอาร์ดูพอใจอย่างมากในตอนนี้
“คีอาร์...” ฉันทำหน้าเหมือนจะเป็นลมเมื่อพบกับรอยยิ้มแสยะของคีอาร์ ดวงตาสีม่วงสั่นระริกด้วยอารมณ์สนุกสนาน
“ดูมันสิ มันร้องด้วยความเจ็บแล้วรีบวิ่งหนีผม” เขาหัวเราะคิกคักกับตัวเองเนื่องจากรู้สึกสนุกสนานเมื่อได้ทำร้ายแมว ฉันรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างมาก
ฉันหวังให้นายเป็นพระเอกแสนดี แต่ทำไมนายถึงทำตัวเหมือนตัวร้ายไปได้ล่ะ!?
“คีอาร์ นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่ควรทำนะ!” ฉันตักเตือนเขาอย่างจริงจัง คีอาร์ขมวดคิ้วไม่พอใจ
“ทำไม?” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ
“เธอห้ามทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอนะ เธอต้องถนอมมันสิ ต้องลูบหัวมันอย่างอ่อนโยนไม่ใช่ตบหัวมัน” ฉันบอกและหวังว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ฉันพยายามจะบอก
“อือ...” คีอาร์ขมวดคิ้วแล้วลากเสียงยาวในลำคอ “พอตบหัวมันแล้วผมรู้สึกดีกว่าการไปลูบหัวมันซะอีก” เขาบอกความรู้สึกของตัวเอง เห็นอนาคตเลยว่าเขาจะกลายเป็นสาย S ก่อนที่เขาจะรู้ตัวฉันต้องเปลี่ยนแปลงนิสัยพวกนี้ของเขาไม่งั้นฉันได้พระเอกสายซาดิสม์มาแทนพระเอกแสนดีแน่
“คนปกติเขาไม่ทำอย่างนั้นหรอกนะ พวกมันน่าสงสารออก พวกเราต้องกอดและลูบมันอย่างอ่อนโยนสิ”
“หมายความว่าผมไม่ปกติ”
เขาฉลาดมาก! เขาตีความหมายที่ฉันสื่ออ้อมๆ ออกไปได้ยังไงกัน! แต่อย่างไรก็ตามคีอาร์ไม่ใช่คนผิดปกติอะไร เขาแค่ไม่มีความคิดเหมือนคนทั่วไปเท่านั้นเพราะไม่ได้รับการสอนมาอย่างถูกต้องต่างหาก ตอนนี้พวกมันน่าจะยังไม่ใช่ความชอบส่วนตัวของคีอาร์ แก้ไขตอนนี้น่าจะยังทัน!
“พี่สาวไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เอาเป็นว่าเราห้ามทำร้ายสิ่งที่อ่อนแอกว่า หากเราทำร้ายพวกที่อ่อนแอกว่าตัวเองก็เท่ากับว่าเรารังแกมัน ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมของคนที่ไม่เก่งแต่กลับคิดว่าตัวเองเก่งเพราะสามารถเอาชนะคนที่อ่อนแอกว่าได้ ฟังมันดูไม่เท่เลยใช่ไหมล่ะ?” ฉันคิดว่าประโยคหลังน่าจะใช้ได้นะ หากบอกว่ามันเป็นพฤติกรรมของคนไม่ดีคีอาร์คงยอมรับหน้าตาเฉยว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีเหมือนที่ยอมรับว่าตัวเองไม่ปกติ และที่เสริมคำว่า เท่ ลงไปก็เผื่อมันได้ผลด้วย
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้คีอาร์เข้าใจคำว่าศักดิ์ศรีรึเปล่าแต่มันน่าจะได้ผลพอสมควร
คีอาร์นิ่งคิดคนเดียวเงียบๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันบอกไป เขาค่อยๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้ากับตัวเอง ฉันหวังว่าเขาจะเข้าใจจริงๆ นะ
วันต่อมาฉันออกไปหาข้อมูลของโลกนี้เพิ่มเติมเพื่อนำมาเขียนเป็นนิยาย ฉันต้องเข้าใจมากกว่านี้ถึงจะอธิบายได้ถูกอารมณ์ ฉันออกไปได้ไม่นานก็กลับมาหาคีอาร์เพราะเป็นห่วงเขา จะด้วยเรื่องอะไรก็ไม่ทราบชัดแต่เมื่อฉันลอยผ่านเส้นทางแห่งหนึ่งฉันก็พบกับคีอาร์ที่กำลังโดนรังแกโดยเด็กแถวนั้น
ฉันอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างเล็กขดตัวอยู่บนพื้นและให้เด็กคนอื่น ๆ กระทืบ
กฎของนักเขียนอีกข้อคือห้ามแทรกแซงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครเอก....ต่างหูกระดิ่งของฉันส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งขึ้นมา แต่ยังไงฉันก็ทนเห็นเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้! ฉันจึงเข้าไปแกล้งผลักพวกเด็ก ๆ พวกนั้นให้ตกใจกลัว ยังไงเด็กก็คือเด็กพวกเขากลัวที่ไม่เห็นตัวคนที่ทำร้ายจึงหนีไป
ฉันถือว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่เข้าสู่เนื้อเรื่องฉันจึงไม่ผิดที่เข้ามาแทรกแซง!
“คีอาร์เป็นอะไรมากรึเปล่า ลุกไหวไหม? ทำไมไม่สู้กลับบ้างล่ะ!” ฉันถามคีอาร์รัวๆ แล้วพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่ง คีอาร์ไม่ร้องไห้หรือแสดงอาการเจ็บปวด เขาเพียงยกมือเช็ดหน้าที่เปื้อนดินของตัวเองเงียบๆ “เธอเจ็บไปทั้งตัวเลย ยอมให้พวกเขาทำร้ายเธอได้ยังไงกัน” ฉันทำหน้าไม่ชอบใจแล้วปัดฝุ่นดินที่ติดตามตัวคีอาร์ออกไป
“พวกนั้นอ่อนแอ แค่ผมใช้พลังพวกนั้นก็จะหายไปแล้ว” คีอาร์ตอบเสียงเรียบ ฉันถึงกับกุมหัวตัวเอง เขาหมายความว่า เขาไม่จำเป็นต้องสู้กับเด็กพวกนั้นเพราะพวกเขาอ่อนแอกว่าสินะ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันบอกเขาเมื่อวาน...
“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้พวกนั้นรังแกเธอและทำร้ายเธอนะ” ฉันพูดเสียงอ่อย ฉันไม่เหมาะกับการสอนเด็กเลยจริงๆ ฉันพยายามหาคำอธิบายดี ๆ ให้กับเขา “หากมีใครทำร้ายเธอก่อนเธอควรโต้กลับบ้าง แต่ไม่ใช่การฆ่านะ! หากสู้ไม่ได้เธอก็แค่หนีไปไกล ๆ จากพวกนั้น”
“....ยุ่งยาก” คีอาร์มองฉันนิ่งก่อนจะพูดออกมา
“มันไม่ยุ่งยากหรอกนะ แค่หลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายของเธอโดนทำร้ายเอง!” ฉันรู้สึกเหนื่อยใจจัง ฉันควรให้โคลว์สอนเรื่องความเป็นมนุษย์ปกติให้คีอาร์บ้าง มีอย่างที่ไหนให้คนอื่นรังแกง่ายๆ เพียงเพราะเห็นคนพวกนั้นอ่อนแอกว่าตัวเอง ฉันไม่อยากให้เขารังแกใครแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เขายอมให้คนอื่นรังแกนะ หากพลาดขึ้นมาเขาอาจจะช้ำในตายได้เลยนะ
“....” คีอาร์มองหน้าฉันนิ่งอีกครั้งก่อนจะสะบัดหน้าหนี เข้าใจไหมเนี่ย?
“เอาเถอะ เธอลุกขึ้นได้ไหม? เรากลับร้านของโคลว์กันเถอะ เราควรทำแผลให้เธอ” ฉันพูดเสียงนุ่ม คีอาร์ลุกขึ้นยืนแต่เขาก็โซเซทำท่าจะล้มไป สีหน้าเจ็บปวดของเขาทำให้ฉันรู้ตัวว่าเขาเจ็บขา
เมื่อตรวจดูแล้วฉันก็พบว่ามันบวม ฉันจึงตัดสินใจอุ้มคีอาร์ แขนเล็ก ๆ ของเขากอดคอฉันอย่างตกใจเมื่อฉันอุ้มเขาขึ้นมา สีหน้าแข็งค้างของคีอาร์ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันตลก เขาไม่เคยถูกอุ้มรึไงกันนะ ฉันกระชับอ้อมแขนแล้วลงไปเดินไปตามถนนด้วยขาของตัวเอง
“....คนอื่นไม่เห็นคุณไม่ใช่เหรอ” คีอาร์พึมพำอยู่ข้างหู ขณะเดียวกันเขาก็แอบเล่นต่างหูกระดิ่งแก้วของฉัน คาดว่าคีอาร์คงชอบเสียงของมัน ฉันอมยิ้มและลากเสียงยาวในลำคอเมื่อนึกถึงคำถามของคีอาร์ ในตอนนี้คนอื่น ๆ คงเห็นเหมือนกับว่าคีอาร์ตัวลอยขึ้นซะเฉยๆ แน่ หวังว่าจะไม่ตกใจกันมากนะ ยังไงซะที่นี่ก็โลก MP หรือโลกพลังจิตนี่นา
“หากมีใครมาถาม เธอก็ตอบพวกเขาไปว่ามันคือพลังของเธอสิ หรือไม่ก็พี่สาวแสนสวยของผมที่มีพลังล่องหนกำลังอุ้มผมอยู่” ฉันพูดติดตลกและหัวเราะคนเดียว คีอาร์มองฉันตาปริบๆ เขาจ้องอยู่อย่างนั้นจนฉันสงสัยจึงหันไปสบตาเขาตอบ คีอาร์ก้มหน้าหลบทันที
“คือว่า...” เขาพูดอึกอัก แขนของเขากอดคอฉันแน่นขึ้นอย่างประหม่า “ชื่อ...อะไรเหรอ” เขาพูดเสียงเบา แต่เพราะตอนนี้ใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันมากฉันจึงได้ยินสิ่งที่เขาพูดชัดเจน
จะว่าไปฉันก็ไม่เคยบอกชื่อตัวเองกับเขาเลยนี่นา
“เรียกพี่สาวว่าเลล่าก็ได้” ฉันบอกนามปากกาของตัวเองออกไป ตอนนี้ฉันอยู่ในฐานะนักเขียนก็ต้องใช้นามปากกาอยู่แล้ว
“เลล่า....เลย์!” คีอาร์พึมพำชื่อของฉันแล้วตะโกนชื่อของฉันที่สั้นลงในประโยคหลังพร้อมรอยยิ้มสดใส “เรียกเลย์ได้ไหม!?” สีหน้าสดใสที่ไม่ค่อยได้เห็นจากคีอาร์ทำให้ฉันไม่ปฏิเสธ
“ได้สิ ตามใจเธอเลย” ฉันถูแก้มของตนเองไปกับหัวของคีอาร์อย่างเอ็นดูเขา เด็กนี่มันน่ารักจริงๆ
เมื่อไปถึงหลังร้านอาหารโคลเวอร์ของโคลว์ฉันก็วางคีอาร์ลงแต่เขาไม่ยอมปล่อยแขนออกจากคอของฉันเลย ดูเหมือนเขาจะติดใจการถูกอุ้มซะแล้ว ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุด จะอุ้มเข้าร้านไปเลยก็ไม่ได้ซะด้วยสิ ฉันจะให้คนอื่นรู้ตัวตนของตัวเองไม่ได้เด็ดขาด เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็หากฉันเริ่มต้นเขียนเข้าเนื้อเรื่อง คนอื่นที่รู้ตัวตนของฉันเกิดหันมาพูดกับฉันและดึงฉันไปในส่วนเนื้อเรื่องสำคัญจะทำยังไง
ฉันไม่สามารถเขียนบรรยายส่วนนั้นได้และหากมันมีผลกับเนื้อเรื่องมันก็ไม่ใช่เรื่องดี นักเขียนต้องมีผลกับเนื้อเรื่องให้น้อยที่สุด
ฉันสามารถทำให้แขนของคีอาร์หลุดจากการเกาะคอของตัวเองได้แล้ว ฉันก็ให้เขาไปหาโคลว์ ซึ่งโคลว์ก็มีท่าทางตกใจเมื่อเห็นสภาพของคีอาร์ เขารีบไปนำอุปกรณ์ทำแผลและเริ่มทำแผลให้กับคีอาร์อย่างเบามือพลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงไปด้วย เป็นคุณลุงที่อ่อนโยนจริงๆ
นี่มันพ่อของลูก!
โคลว์เหมาะจะเป็นพ่อบุญธรรมของพระเอกดีนะ เขาต้องสามารถแนะนำคีอาร์ได้หลายอย่างแน่นอน
โคลว์ พ่อบุญธรรมของคีอาร์ยิ้มอ่อนโยนต้อนรับลูกชายบุญธรรมของตัวเองทุกครั้งที่เขากลับมาจากโรงเรียน และเขาคอยเป็นห่วงคีอาร์ทุกครั้งที่คีอาร์กลับมาที่บ้านในสภาพบาดเจ็บ และทุกครั้งเขาก็จะทำแผลให้คีอาร์ไปด้วยดุสั่งสอนคีอาร์ที่ไปมีเรื่องไม่หยุดหย่อนไปด้วย เป็นทั้งพ่อที่แสนอ่อนโยนและครูที่เข้มงวด
น่ารักจัง~~
คีอาร์เองก็รักและเคารพโคลว์ที่เปรียบเสมือนพ่อแท้ๆ ของตนเช่นกัน ยามที่โคลว์มีปัญหาเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยผู้มีพระคุณของตัวเอง!
บันทึกแบบนี้ใช้ได้เลยล่ะ!
ในค่ำคืนของวันนี้ฉันก็นอนบนเตียงเดียวกับคีอาร์อย่างเช่นทุกครั้งแต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือคีอาร์ เขาไม่ได้นอนกอดหมอนอย่างเช่นทุกคืนที่เขาทำ คืนนี้คีอาร์กลับเข้ามากอดเอวของฉันแน่นพร้อมกับซุกหน้าลงมาบนหน้าท้องของฉัน
ฉันแปลกใจมาก ทุกครั้งที่ฉันล้มตัวนอนบนเตียงลงข้างๆ เขาจะเว้นระยะห่างไม่ให้เราอยู่ใกล้ชิดกันมากจนเกินไป ที่เขาเปลี่ยนมาทำแบบนี้หมายความว่าเขาเริ่มสนิทใจกับฉันมากขึ้นแล้วใช่ไหม? เมื่อสนิทใจแล้วเขาก็ต้องการความอบอุ่นจากฉันที่เป็นคนที่เขาสนิทใจด้วยมากที่สุด
ฉันกอดเขาตอบอย่างเต็มใจ เป็นแบบนี้ดีเลยล่ะ ฉันจะอยู่เคียงข้างเขาในฐานะพี่สาวผู้มอบความอบอุ่นแบบครอบครัวที่เขาไม่เคยได้รับจากครอบครัวแท้ๆ มาก่อน ถึงถ้านับจากอายุฉันจะสามารถเป็นแม่ของเขาได้เลยก็เถอะ แต่ฉันยังไม่อยากมีลูกชาย!
“เลย์ ผมขอกอดอย่างนี้ทุกวันได้ไหม?” เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันตาแป๋ว ฉันได้เห็นเต็มๆ ในระยะประชิด เขาทำให้ฉันรู้สึกหวั่นไหวกับความน่ารัก
“ได้สิ” เมื่อฉันตอบรับไปเขาก็ซุกหน้าลงไปที่ท้องของฉันอีกครั้งพร้อมเสียงหัวเราะเล็ก ๆ อย่างพอใจ ฉันลูบหัวของเขาเพื่อกล่อมนอนจนกระทั่งพวกเราหลับไปทั้งคู่...
ตอนที่ 4การเรียนรู้ของคีอาร์เช้าวันนี้คีอาร์ได้เริ่มฝึกงานเป็นคนเสิร์ฟอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามความสามารถที่ร่างเล็กของเขาจะทำได้ในร้านอาหารโคลเวอร์ ซึ่งเด็กที่โคลว์รับทำงานทั้งสามคนก็พากันสอนงานให้กับคีอาร์ พวกเขามีชื่อว่า โจนี่ โคนี่ และเจนอส พวกเขาทั้งหมดเป็นเด็กที่มาจากสลัมใกล้ๆทั้งสามทำงานกับโคลว์ก็เพราะพวกเขาจะซื้ออาหารไปเลี้ยงเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสลัม พวกเขาถือเป็นพี่ใหญ่เลยล่ะอนาคตถ้าเป็นพระเอกคงเป็นพระเอกสู้ชีวิต เก่งกาจ และใจดี ทำทุกอย่างเพื่อหาข้าวมาเลี้ยงน้อง ๆ ที่แทบไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลย เมื่อหันกลับมาดูพระเอกในตอนนี้ของฉัน คีอาร์มักจะไร้รอยยิ้มบนใบหน้า ไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่มีรอยยิ้มสดใสได้ทุกเมื่อแม้จะเป็นเด็กจากกองขยะ ความใจดีจากใจก็ไม่มี ดูจากการตบหัวแมวและสุนัขครั้งนั้น เป้าหมายชีวิตก็ไม่มี เขาไม่แม้แต่จะอาลัยอาวรณ์ถึงบ้านที่จากมาอย่างกะทันหันเลยด้วยซ้ำ“คีอาร์ การต้อนรับลูกค้าเธอต้องยิ้มนะ” โคลว์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเสียงทุ้มและนุ่มนวลของเขา โคลว์เฝ้ามองคีอาร์ทำงานอยู่ตลอด เขามักจะพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อคีอาร์ทำได้ดี แต่มีปัญหาเดียวนั่นก็คือรอยยิ้มบนใบหน้
ตอนที่ 5ไปกลับสองอาทิตย์ผ่านไป หากนับรวมแล้วนี่ก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้วที่ฉันอยู่ที่นี่และคงประมาณสองชั่วโมงกว่าในโลกที่แท้จริงของฉัน การเลี้ยงดูเด็กยากกว่าที่คิด ไม่ใช่ว่าคีอาร์ดื้อ แต่เพราะเมื่อยัดอะไรเข้าสมองของเขาคีอาร์ก็จะตีความในแบบของเขา ซึ่งบางครั้งมันก็แปลกๆ จนต้องรีบตามแก้ให้เขาเข้าใจใหม่เขาเชื่อฟังมากจนฉันกังวลว่าเขาจะเชื่อคนอื่นที่สอนสิ่งผิดๆ ให้เขาแต่ฉันคิดว่าคงอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว การเข้ามามองต่างโลกในแต่ละครั้งมันก็มีขีดจำกัดของมัน การเฝ้ามองเฉยๆ ก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งต้องมีการสัมผัสสิ่งของที่ต่างโลกมันยิ่งกินพลังงานมากขึ้น ถึงขณะที่จิตวิญญาณมาที่นี่ร่างจริงของฉันจะเหมือนคนหลับธรรมดา แต่มันก็เป็นการกึ่งหลับกึ่งตื่นเหมือนจะพักแต่ก็ไม่พอฉันควรกลับไปพักสักชั่วโมงเพื่อเติมพลังงานไม่งั้นฉันอาจจะป่วยแต่ฉันไม่รู้ว่าจะบอกคีอาร์ไปยังไงดี เขาติดฉันมากขึ้น ฉันเคยหายไปสืบข่าวเกี่ยวกับโลกนี้เพียงครู่เดียวคีอาร์ก็ลนลานตามหาฉันซะทั่วจนโคลว์สงสัยมากกว่าเดิมว่าฉันมีตัวตนอยู่ และพอถึงเวลานอนเขาก็จะใช้ฉันเป็นหมอนข้าง หากไม่มีฉันเขาก็จะนอนไม่หลับ ฉันว่าตัวเองกำลังสร้างนิสัยเสียให
ตอนที่ 6ปรากฏตัวร่างกายสูงโปร่ง ใบหน้างดงาม ดวงตาสีเขียวอ่อนเป็นประกาย ขนตางอนยาว ริมฝีปากบางสีชมพู เส้นผมสีน้ำตาลนุ่มลื่นพลิ้วไหว ดูยังไงจะหญิงก็ไม่เชิงจะชายก็ไม่เหมือนลักษณะเคะไม่ใช่เรอะ!? ฉันมองตามผู้ชายหน้าสวยไปอย่างไม่ละสายตาด้วยความรู้สึกหลงใหล แต่ก็ต้องหยุดชะงักไปเมื่อผู้ชายหน้าสวยไปควงแขนผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเข้าไปในโรงแรมใกล้ๆ ......เคะจริงๆ ด้วยฉันมองหาคนใหม่ทันที ฉันจะเขียนนิยายแนวสืบสวนแฟนตาซีไม่ใช่นิยายแนววาย!การค้นหาคนที่ตรงตามความต้องการเป็นเรื่องที่ยากมาก ฉันลองแวะเข้าสถานีตำรวจแล้ว แต่ก็ไม่มีคนที่น่าสนใจสักคนโดยเฉพาะเป้าหมายในชีวิต มันจืดชืดจนไร้รสชาติเลยทีเดียวฉันจึงคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ หากไม่มีตำรวจที่น่าสนใจก็ไปหานักสืบซะสิ! นักสืบเอกชนที่ไม่ขึ้นตรงต่อใคร เป็นพวกที่สอดรู้ แค่ก! หมายถึงอยากรู้อย่างเห็นกับคดีที่เกิดขึ้นมากที่สุด ฉันอยากตามหาคนที่เหมือนตัวละครเอกการ์ตูนเรื่องนั้นไง เรื่องนั้น! เมื่อตัดสินใจได้แล้วฉันก็ตามหาสำนักงานนักสืบเอกชน เนื่องจากสำนักงานนักสืบมีมากมายหลายแห่งฉันจึงต้องตรวจสอบประวัติของคนพวกนั้นอย่างละเอียดเพื่อจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ท
ตอนที่ 7ประวัติสามวันผ่านไปหลังจากเกิดเรื่องคีอาร์พังร้านโคลเวอร์ วันนี้เป็นวันแรกที่ร้านอาหารโคลเวอร์จะได้เปิดร้านอีกครั้งหลังจากซ่อมแซมเสร็จ โคลว์และคีอาร์ตื่นกันแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวเปิดร้าน มีแค่ฉันที่ยังนอนจนถึงแปดโมงเช้าเพราะยังไงฉันก็ไม่มีบทบาทให้ทำอยู่แล้วเมื่อตื่นดีแล้วฉันก็ลงไปข้างล่างที่เป็นร้านอาหาร ฉันพบว่าทุกคนกำลังทำงานกันอยากหนัก เจนอส โคนี่ และโจนี่ที่หยุดงานไปสองวันขยันขันแข็งกันอยากมาก คีอาร์ที่ตัวเล็กก็ยังพยายามทำงานหนัก ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องขึ้นมาเลยล่ะ“อรุณสวัสดิ์ คีอาร์” ฉันทักทายน้องชายตัวน้อยที่กำลังนั่งเช็ดจานอยู่ “อรุณสวัสดิ์โคลว์” ฉันเอ่ยพลางเคาะนิ้วลงบนแก้วที่วางอยู่ตรงหน้าโคลว์ มันคือข้อตกลงของฉันและโคลว์ เมื่อฉันเข้าใกล้เขาฉันจะต้องส่งสัญญาณบางอย่างให้เขารู้ตัวว่าฉันอยู่ใกล้ๆเสียงเคาะแก้วทำให้โคลว์รู้ตัวว่าฉันอยู่ตรงนี้แล้ว เขามองเล็กน้อยและยิ้มเบาๆ เป็นเชิงรับรู้ “เลย์” คีอาร์หน้าบูดเมื่อฉันทักทายโคลว์ เขามักจะเป็นแบบนี้เพราะหวงฉัน นิสัยของเด็กติดแม่ชัดๆ ไม่สิ! พี่สาวต่างหาก!ซึ่งวิธีที่จะทำให้เขาหยุดทำหน้าบูดก็มีวิธีเดียวฉ
ตอนที่ 8นักสืบหมายเลขศูนย์ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าชื่อนิยายที่มีซีโร่เป็นตัวละครเอกจะมีชื่อเรื่องว่าอะไร เนื่องจากว่ามันเป็นนิยายแนวสืบสวนและซีโร่ก็ทำอาชีพเป็นนักสืบ ชื่อเรื่องก็ต้องเป็น นักสืบหมายเลขศูนย์ ที่เป็นหมายเลขศูนย์ก็เพราะเขาชื่อซีโร่นี่เองส่วนของคีอาร์คงต้องเลื่อนออกไปก่อนอีกยาวๆ เพราะคีอาร์ยังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน หากเขาไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนเรื่องราวของคีอาร์คงเป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจ ซึ่งฉันก็ไม่รีบร้อนเพราะคีอาร์พึ่งจะอายุแค่ห้าขวบเองแต่อย่างไรก็ตามฉันต้องการที่จะเริ่มเรื่องราวของซีโร่เร็วๆ ฉันจึงอธิบายกับคีอาร์ว่ามีธุระอื่นที่ต้องไปทำจึงขอแยกตัวออกไป แน่นอนคีอาร์ที่ติดฉันอย่างเหนียวหนึบไม่ยอมรับ ฉันจึงต้องให้สัญญาว่าจะกลับมาอยู่กับเขาเท่าที่จะทำได้เมื่อทำให้คีอาร์หายงอแงแล้วฉันก็ไปฝากฝังกับโคลว์ให้ดูแลคีอาร์ ฉันหวังว่าเขาจะสอนคีอาร์อย่างดีเมื่อหมดห่วงเรื่องคีอาร์แล้วฉันก็เข้าสู่โหมดจริงจังกับงาน การบอกเล่าเรื่องราวของคนอีกโลกไปให้คนอีกโลกได้รับรู้ผ่านตัวอักษรคือหน้าที่ของฉันที่เป็น นักเขียนฉันได้เริ่มเขียนบทนำของ ซีโร่ ริคเกอร์ขาเรียวก้าวเดินไปบนพื้นที่นองไปด้วยน้ำส
ตอนที่ 9เยี่ยมบ้านสองอาทิตย์แล้วที่ฉันติดตามซีโร่แทบตลอดเวลาเนื่องจากบางครั้งฉันก็กลับไปหาคีอาร์เหมือนในคืนแรก เพราะความเหนื่อยล้าฉันจึงต้องการเติมพลังจากคีอาร์ ฉันไม่สามารถจมอยู่กับคดีตลอดเวลาเหมือนกับนักสืบที่มีสมองเป็นเหมือนเขาวงกตพวกนั้นได้อย่างไรก็ตามตอนนี้ฉันเขียนได้สามตอนแล้ว ตอนละยี่สิบหน้า เพราะงั้นฉันสามารถที่จะพักได้แล้ว ยังมีเวลาอีกมากให้เขียนเพราะในโลกของฉันก็เพิ่งผ่านไปแค่ชั่วโมงกว่าเอง ฉันกำหนดไว้ว่าจะฉันจะลงนิยายวันละตอนสองตอนเพื่อให้ได้รับความสนใจก่อนด้วย หากลงรวดเดียวฉันจะไม่ได้เหรียญทองจากความคิดเห็น แต่จะได้แค่เหรียญเงินจากยอดวิวอย่างเดียว สาเหตุคงไม่พ้นนักอ่านดันอ่านเพลินจนลืมแสดงความคิดเห็นหรือไม่ก็ขี้เกียจพิมพ์ล้วน ๆ ไม่ไหวๆด้วยเหตุนี้เองเมื่อวานนี้ฉันจึงลงเรื่องย่อของนิยายเรื่อง นักสืบหมายเลขศูนย์ ลงในเว็บ Go - D นั่นก็เพื่อดูเสียงตอบรับว่ามันจะเป็นยังไง ซึ่งฉันก็ไม่ลืมลงรูปซีโร่ที่ถูกแปลงเป็นรูปวาดแล้วด้วยหวังว่านักอ่านของฉันจะไม่สนใจแต่หน้าตาของซีโร่นะ ควรสนใจเนื้อเรื่องสืบสวนที่ฉันพยายามบรรยายด้วยจะดีมาก!เรื่องการตอบรับฉันยังไม่รู้ผลทันทีเพราะโลกของฉั
ตอนที่ 10นั่นอาจจะเป็นนางเอกท้องฟ้าที่มืดครึ้มและพายุฝนที่โหมกระหน่ำลงมาไม่มีทีท่าจะหยุด พี่ใหญ่ทั้งสามของอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ยังไม่กลับมา ฉันเริ่มรู้สึกกังวลหนักกว่าเดิมที่พวกเขายังไม่กลับมาก็เพราะหาฮันนี่ไม่เจอแน่ มันอาจจะเกิดเรื่องบางอย่างกับเด็กคนนั้นฉันตัดสินใจที่จะออกไปช่วยตามหาอีกแรง ยังไงซะตอนนี้ฉันก็มีร่างกายเป็นจิตวิญญาณ หากฉันไม่ต้องการสัมผัสอะไร แม้แต่อากาศก็ไม่สามารถสัมผัสถึงตัวฉันได้ น้ำฝนก็เช่นกัน“คีอาร์ เดี๋ยวพี่สาวจะออกไปข้างนอกสักพักรออยู่ที่นี่อย่าไปไหนซะล่ะ” ฉันหันไปบอกกับคีอาร์และรีบลอยตัวออกไปข้างนอกเนื่องจากมีฝนตกหนักฉันจึงมองเห็นทางข้างหน้าไม่ค่อยจะชัดเจนนัก ฉันไม่รู้ว่าจะไปตามหาเด็กผมชมพูที่ไหนดีจึงคิดจะตามหารอบๆ ก่อน แต่พอมานึกดูดี ๆ พวกโจนี่น่าจะหาแล้ว คงต้องตามหาในที่อื่นที่คาดไม่ถึงฉันดึงความสามารถในการสืบคดีของตัวเองออกมา อย่างน้อยการที่ได้ติดตามซีโร่มันก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้การสืบหาสิ่งของหรือคนได้จากการคำนวณข้อมูลที่เล็กน้อยฮันนี่ได้ออกมาเพื่อทำตามคำพูดของคีอาร์ ซึ่งคีอาร์ก็บอกให้ฮันนี่ออกตามหาดอกไม้ในตำนานที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่งตามนิทานที่ฉันแต่งขึ้
ตอนที่11ความคืบหน้านับตั้งแต่วันที่ฉันได้พบคีอาร์นี่ก็ผ่านมาได้สองปีแล้ว นับตามเวลาโลกของฉันมันก็ผ่านไปได้ประมาณหกสิบชั่วโมงหรือเกือบสามวัน งานแข่งขันการเขียนนิยายของนักเขียนที่ได้รับดวงตาพระเจ้าก็เหลืออยู่สิบสองวัน หรือหากให้นับตามเวลาในโลกMPก็จะเหลือเวลาแปดถึงเก้าปีฉันจึงไม่รีบร้อนเขียนนิยายเรื่อง นักสืบหมายเลขศูนย์ ให้จบและยังพยายามตัดบทที่ไม่สำคัญออกจนเหลือแต่เนื้อหาส่วนสำคัญ ส่วนมากเป็นเนื้อหาการสืบคดีฉันจึงต้องตัดออกสักคดีเพื่อไม่ให้เรื่อง นักสืบหมายเลขศูนย์ ยาวเกินไปนับรวมแล้วนิยายเรื่อง นักสืบหมายเลขศูนย์ มีประมาณหกสิบตอนแล้ว เยอะเกินไปสำหรับนิยายที่ยังไม่ได้เบาะแสเป้าหมายหลักเป้าหมายของซีโร่ก็คือเป้าหมายของนิยาย ซึ่งเป้าหมายที่ว่านั้นก็คือล้มล้างองค์กรมาเฟีย ชาโดว์แฟมิลี่ ซีโร่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรนี้มาน้อยมาก เป
ตอนพิเศษ พี่น้องชื่อของเขาคือโอนิกซ์ อายุเจ็ดขวบแล้ว เขามีน้องสาวชื่อเอย์ลิน เขาและน้องสาวมีความทรงจำของชาติเดิมอยู่ครบไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ถ้าให้เดาก็คงเป็นเพราะคุณพ่อของเขา คีอาร์...คือตัวปัญหาระดับจักรวาล แม้แต่การจะมีลูกยังสร้างปัญหาโดยการดึงวิญญาณจากโลกอื่นให้มาเกิดเป็นลูกตัวเองอีกแม่ของเขาชื่อว่าเลล่า เป็นนักเขียน ได้ยินว่าแบบนั้น เป็นนักเขียนที่มีพลังมากที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมาเลยแต่วันนี้โอนิกซ์ไม่ได้จะมาเล่าเรื่องของพ่อแม่ เขาจะเล่าช่วงเวลาที่เขาได้ดูแลน้องสาวของเขา!โอนิกซ์ได้รับหน้าที่ดูแลน้องสาววัยสองขวบเพราะพ่อแม่ของพวกเขาติดงาน โอนิกซ์ได้ใช้เวลาสอนน้องสาวให้เดิน พูดและเข้าใจภาษาของคนที่นี่ มันจะดีกว่าหากเข้าใจที่คนอื่นพูดโดยไม่ต้องใช้เวทเข้าใจภาษาโอนิกซ์สามารถทำให้เอย์ลินเรียนรู้ภาษาได้อย่างรวดเร็วเพราะเขาและเอย์ลินมาจากโลกเดียวกันในชาติก่อนจึงพูดภาษาเดียวกัน โอนิกซ์ไม่ค่อยสนใจนักว่าน้องสาวของเขาจะเป็นใครในชีวิตก่อน เขามีความสุขกับครอบครัวในตอนนี้ เขาดีใจที่มีน้องสาวน่ารัก"เอย์ลิน เรียกพี่ชายหน่อยสิ เธอไม่เคยเรียกพี่ชายเลยนะ พี่ชายโอนิกซ์น่ะ" โอนิกซ์พยายามยิ้มสว
บทพิเศษ[ดูแลคนท้อง]คนท้องต้องถูกดูแลอย่างดี โอนิกซ์ได้รับคำสอนจากท่านพ่อของเขามาอย่างนั้นเพราะงั้นเขาจึงระวังตัวเต็มที่เพื่อปกป้องท่านแม่ของเขาด้วยเหตุนี้เองไม่ว่าเลล่าจะไปไหนหรือทำอะไรทุกคนก็ต้องเห็นโอนิกซ์เกาะติดแม่ของเขาไม่ห่าง หากไม่มีโอนิกซ์ก็จะมีคีอาร์มาแทน สองพ่อลูกร่วมมือกันทำงานตามติดเลล่าอย่างเป็นระบบระเบียบกันเลยทีเดียว“นี่...ก็รู้อยู่หรอกนะว่าเป็นห่วง แต่ถ้าจะตามทุกฝีก้าวแบบนี้มันอึดอัดนะ! จะให้ฉันรำคาญจนล้มป่วยรึไง!”เนื่องจากคนท้องมักจะมีอารมณ์แปรปรวนอยู่แล้ว บ่อยครั้งจึงจะได้เห็นเลล่าตะโกนไล่สองพ่อลูกให้ออกห่างๆ บ้างตามติดมากไปมันก็น่ารำคาญนะ!“ขอโทษ...ผมแค่อยากอยู่กับเลย์ตลอดเวลา” คีอาร์ทำหน้าเศร้า“ผมแค่ดีใจที่จะมีน้องแล้วเอง...” โอนิกซ์เอ่ยเสียงเหงาหงอย เลล่าปิดปากเงียบไม่พูดกับพวกเขาแต่สุดท้ายเลล่าก็ต้องใจอ่อนเมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนกับลูกหมาถูกทิ้งของพวกเขา แค่คนเดียวก็พออดทนได้อยู่หรอก แต่สองพ่อลูกนั่นทำพร้อมกันเลยนี่นา หัวใจของเลล่าทำงานหนักจริงๆ ...“ก็แค่อย่ามากไปเท่านั้น และอย่าทำท่าทางระวังตัวตลอดเวลาด้วย อารมณ์มันเหมือนอยู่ในสนามรบตลอดเวลา คนท้องจะเครี
ตอนที่ 72มีความสุขจริงๆ!ฉันประคองร่างของเรมไว้ในอ้อมแขน แม้ฉันจะรู้จักกับเรมแค่วันเดียวแต่ก็รู้สึกเสียใจที่เธอต้องตายเพราะปกป้องฉัน ฉันกอดร่างของเธอไว้ด้วยความรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดและรู้สึกโกรธตัวเองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กที่ใสซื่อคนหนึ่งต้องตายในตอนนั้นเองคีอาร์ก็สามารถทำให้ลูกแก้วเข้าไปในวิญญาณของเอมิลี่ได้สำเร็จ เอมิลี่แสดงท่าทีทรมานออกมาเมื่อลูกแก้วเข้าไปในร่าง ฉันรู้สึกได้ว่าแรงกดดันจากของพลังของเธอลดลงอย่างรวดเร็ว“ไม่นะ พลังของฉันเกิดอะไรขึ้น!” เอมิลี่กรีดร้องอย่างไม่พอใจเมื่อพลังของเธอหายไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปสักพักลูกแก้วนั้นก็ออกมาจากร่างของเอมิลี่และบินตรงกลับมาหาฉัน ฉันรับลูกแก้วไว้ขณะเดียวกันก็ให้เรมนอนอย่างสงบบนพื้น“ขอบคุณที่ช่วยเหลือเด็กน้อย” ฉันเอ่ยเสียงเบา ขณะผละออกจากเรมและเดินไปหาเอมิลี่“ลูกแก้วนั่น! เอาคืนมาให้ฉัน!” เอมิลี่รู้ว่าพลังตัวเองหายไปไหน เธอจึงพุ่งเข้ามาหาฉันเพื่อแย่งลูกแก้วไป ฉันจึงเก็บมันเข้าไปในช่องเก็บของเพื่อไม่ให้มันถูกแย่งไปเอมิลี่แสดงสีหน้าโกรธจัดออกมาและเหมือนจะเข้ามาทำร้ายฉัน คีอาร์จึงใช้พลังตรึงร่างที่เป็นวิญญาณของเอมิลี่ไว้และดึงเธอใ
ตอนที่ 71ต่อสู้จนโลกถล่มความวุ่นวายและความวินาศสันตะโรเข้าปกคลุมฐานทัพลี้ภัยแห่งหนึ่ง สาเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้นไม่ได้เกิดมาจากซอมบี้ซึ่งเป็นศัตรูของมนุษยชาติแต่อย่างใด แต่เกิดมาจากมนุษย์ที่เป็นมากกว่ามนุษย์สองคนต่อสู้กันต่างหากเอมิลี่อดีตนักเขียนผู้มีดวงตาพระเจ้า เนื่องจากเธอกลืนกินคนที่พลังเหมือนกันเธอจึงมีพลังมหาศาลและมากพอที่จะทำให้โลกเกิดความวุ่นวายได้ เธอถือว่าเป็นตัวอันตรายสำหรับเหล่านักเขียนผู้มีดวงตาพระเจ้าทุกคนเลยล่ะส่วนอีกคนก็คือ คีอาร์ มนุษย์ผู้มีพลังจิตจากโลก MP เขามีความทะเยอทะยานในการสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่ นั่นทำให้เขากลายเป็นตัวปัญหาระดับจักรวาลเนื่องจากพลังที่แหกกฎจักรวาลที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองเมื่อทั้งสองสู้กันมันคงไม่ใช่การต่อสู้เล็กน้อยตูม!เสียงระเบิดดังขึ้นมาตามด้วยตึกที่พังละลายลงมาเป็นแถบ เอมิลี่เดินออกจากซากตึกที่ถล่มลงมาและควบคุมซากตึกรอบบริเวณให้ลอยขึ้นและพุ่งเข้าไปโจมตีคีอาร์ที่ลอยอยู่เหนือพื้น เมื่อพลังดวงตาพระเจ้ารวมกันเธอก็เริ่มที่จะทำอะไรได้หลายอย่างคล้ายกับพลังแห่งการควบคุมสรรพสิ่งของพระเจ้า ยิ่งเธอกลืนกินมากเท่าไหร่พลังก็จะยิ่งแข็งแกร่
ตอนที่ 70เจอกันแล้วการที่ได้ตื่นขึ้นมาในที่แปลกตาทำเอาฉันนั่งมึนไปพักใหญ่ ฉันจำได้ว่าก่อนที่จะนอนหลับไปตัวเองได้นอนอยู่ข้างๆ คีอาร์นะ แต่ไหงพอตื่นขึ้นมาอีกทีฉันถึงได้มาอยู่กลางดงพืชมีชีวิตไปได้ล่ะ? รอบข้างของฉันมีแต่พวกพืชมีชีวิตเคลื่อนไหวได้เต็มไปหมด ดูเหมือนฉันจะถูกลักพาตัวโดยพืชมีชีวิตพวกนี้นะว่าแต่พวกมันพาฉันมาทำไม? พวกมันไม่ได้เอาฉันไปย่อยกิน แต่นำฉันมาปล่อยไว้กลางดงพวกมันโดยไม่ทำอะไรเลยแต่อย่างไรก็ตามฉันควรออกจากที่นี่ก่อนที่พวกมันจะเปลี่ยนใจมากินฉัน พลังน้ำแข็งของฉันได้แช่แข็งพวกมันในชั่วพริบตา ฉันจึงวิ่งออกจากดงของพวกพืชมีชีวิตได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหลังจากที่ฉันออกมาได้พวกมันก็พังน้ำแข็งออกมาได้พอดี อาจจะเพราะพวกมันมีน้ำกรดเคลือบตัวอยู่จึงละลายน้ำแข็งของฉันได้อย่างง่ายดายพวกมันดูอันตรายกว่าที่คิด และมันจะยิ่งอันตรายหากพวกมันจับฉันได้ ฉันหนีออกจากที่นั่นไปไกลเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่คาดเลยว่าระหว่างที่หนีออกจากดงพืชมีชีวิตพวกนั้นฉันจะไปจ๊ะเอ๋กับคนกลุ่มหนึ่ง“อย่าขยับ! ถ้าเธอขยับพวกเราจะยิง!” หนึ่งในสี่คนในกลุ่มนั้นตะโกนและเล็งปืนมาทางฉันฉันยกมือขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อถูกจ่อปืนใส่
ตอนที่ 69หายในที่สุดพวกฉันก็มาถึงเมือง B แต่พวกเราก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าเมืองแห่งนี้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ที่นี่เต็มไปด้วยซอมบี้ไม่มีมนุษย์เหลืออยู่เลย ฉันอดไม่ได้ที่จะนำลูกแก้วที่ออสตินให้มาออกมาเพื่อตรวจดู ลูกแก้วนี้จะมีปฏิกิริยาเมื่อมันสัมผัสได้ถึงพลังดวงตาพระเจ้าที่มีพลังมากกว่าดวงตาพระเจ้าปกติทั่วไป ถึงมันจะไม่เคยส่งสัญญาณแปลกๆ แต่ฉันก็คิดว่าเรื่องพวกนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับผู้แทรกแซงจากโลกอื่นแต่ลูกแก้วไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยฉันสงสัยว่ามันใช้ได้จริงๆ งั้นเหรอ? หรือเพราะอยู่ห่างไกลเกินไปจึงสัมผัสมันถึงตัวตนของเอมิลี่ไม่ได้...ว่าแต่ไกลแค่ไหนกัน คงไม่ใช่ว่าคนละซีกโลกนะ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะไปยังไง โลกนี้ยิ่งไม่ปกติอยู่ด้วย ไม่มีเครื่องบินให้โดยสารในโลกที่เป็นแบบนี้แน่“เอายังไงต่อดี? กลับเมือง A หรือจะไปต่อ?” โคนี่หันมาถามความเห็นทุกคน ในโลกที่ถูกทอดทิ้งนี้ทุกคนดูไม่มีเป้าหมายนอกจากการเอาชีวิตรอด พวกเขาจะไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบสถานที่ปลอดภัยที่แท้จริง“นี่ รู้กันรึเปล่าว่าซอมบี้พวกนี้เกิดมาจากอะไร?” ฉันตั้งคำถามขึ้นมา โคนี่และเจมส์ชะงัก เอลล่าหันมามองหน้าฉันประมาณว่าทำไมถึงถามขึ้นมา“เอ่อ.
ตอนที่ 68ออกจากเมืองเมื่อเสียงเตือนภัยซอมบี้บุกได้ดังขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่นานเมือง A ก็ได้กลายเป็นสถานที่วุ่นวายและเสียงดังอย่างมาก ผู้ที่มีพลังพยายามที่จะไปจัดการพวกซอมบี้ แต่ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนกำแพงถึงได้เกิดไฟไหม้และระเบิด ซอมบี้ที่อยู่ด้านนอกบุกเข้ามาเยอะมากขึ้นกว่าเดิมฉันที่กำลังมองเหตุการณ์จากที่สูงถอนหายใจและกุมขมับ การที่จะฟื้นฟูพื้นที่เป็นเรื่องยากซะแล้วสิ“ไปช่วยพวกเขาเท่าที่จะทำได้แล้วกัน” ฉันพูดกับคีอาร์และโอนิกซ์“พวกเขาไม่ใช่คนในปกครองของผม แต่ก็จะพยายามช่วยแล้วกัน” โอนิกซ์พึมพำ ฉันขมวดคิ้วสงสัยกับคำว่า คนในปกครองของเขา“น่าสนุกดีนะ...ผมจะได้รับพลังใหม่ไหมเมื่อให้ชูบี้กินชอมบี้เข้าไปน่ะ” คีอาร์เอ่ยกับตัวเองด้วยท่าทีสนใจ จะว่าไปถ้าไม่ใช่พวกคลั่งไคล้การไขว่คว้าหาพลังใหม่ๆ เพื่อความแข็งแกร่งจริงๆ คีอาร์คงไม่มีแรงผลักดันจนดิ้นรนมาถึงจุดนี้ได้หรอก ความสนใจในการค้นหาความสามารถและพลังใหม่ๆ ของเขาทำให้เขาแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆถึงว่าล่ะทำไมออสตินถึงบอกว่าคีอาร์คือตัวปัญหา“อย่าให้เละมากล่ะ” ฉันเตือนพวกเขา“ไม่ต้องห่วง” โอนิกซ์ยิ้มสดใส แต่ฉันไม่ไว้ใจอยู่ดี ฉันได้รู้แล้วว่
ตอนที่ 67ซอมบี้บุกเมือง? ช่างมันสิ!โลกที่ถูกทอดทิ้งเป็นโลกที่อยู่ยากมาก ในเขตเมืองที่อยู่อาศัยค่อนข้างสกปรกและแออัด ก็เข้าใจว่าทุกคนพยายามหนีเอาตัวรอดและมาอาศัยในที่เดียวกันจนรักษาระเบียบและความสะอาดไม่ไหว แต่กลิ่นที่เหม็นจนไม่อยากอยู่นี่มันอะไรกันฉัน ไม่สิ คีอาร์โชคดีหน่อยที่เป็นนายทหารเขาจึงได้อาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ที่ดูดีกว่าคนทั่วไป แต่ออกจะมีพื้นที่เล็กสักนิดหน่อยสำหรับครอบครัวหนึ่ง เนื่องจากมีเตียงเดียวฉัน โอนิกซ์ และคีอาร์จึงต้องนอนเบียดกันในคืนแรก แม้ว่าคีอาร์จะชอบนอนเบียดกับฉันแต่คีอาร์ก็อดบ่นถึงความแคบและล้าสมัยของที่นี่ไม่ได้ก็เพราะคีอาร์เกิดในโลกที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย มีรถบินได้ มีพลังหลากหลาย และอื่น ๆ ที่นี่เทียบไม่ติดเลยล่ะฉันเห็นโลกที่เป็นแบบนี้แล้วก็คิดอยากจะฟื้นฟูและพัฒนามัน อย่างแรกคงต้องเพิ่มพลังในโลกนี้ก่อน พลังจากภายนอกหรือก็คือจากนักอ่านมันจะทำให้โลกสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ง่ายขึ้น พลังจะไปเสริมธรรมชาติของโลก มีอากาศที่ดี มีน้ำสะอาด มีป่าที่อุดมสมบูรณ์ และคงจะไปเสริมพลังให้มนุษย์ด้วย นั่นจะทำให้มนุษย์สามารถเอาตัวรอดจากภัยพิบัติได้ฉันเพิ่งเคยเห็นโลกที่ใกล้จะล่ม
ตอนที่ 66โลกที่ถูกทิ้งก็ต้องมีซอมบี้“ในเมื่อคุณหายดีแล้วผมคงจะต้องส่งคุณไปที่โลกที่ถูกทอดทิ้งทันที แต่ก่อนที่คุณจะไปผมต้องบอกเรื่องอย่างหนึ่งกับคุณ นั่นก็คือเรื่องร่างที่คุณจะใช้ในโลกนั้น ทางเราจะตัดสินใจเองว่าคุณจะได้ร่างไหน รวมถึงร่างของคนรักและลูกของคุณด้วยนะ เนื่องจากโลกนั้นใกล้ล่มสลายมากกว่าโลกอื่น ๆ เราจึงค่อนข้างระวังเป็นพิเศษ แต่หากจะต่อสู้ก็ต่อสู้แบบเต็มที่ได้เลย แต่อย่าบ่อยเกินไปก็พอ และไม่ต้องกังวลว่าหากตายในโลกนั้นจะเป็นอันตรายกับคุณ พวกเราจะหาร่างใหม่ให้ทันทีเมื่อร่างเดิมตาย และอีกเรื่อง คุณต้องระวังการใช้ระบบด้วยเพราะหากผู้ทรยศอยู่ใกล้ๆ อีกฝ่ายจะรู้ตัวทันทีว่าคุณเป็นนักเขียน และสุดท้ายขอให้คุณโชคดี”ออสตินร่ายยาวไม่หยุดพักหายใจ จากนั้นเขาก็โบกมือส่งฉันไปที่โลกที่ถูกทอดทิ้งโดยไม่ให้ฉันเอ่ยอะไรเพิ่มเติมฉันรู้สึกเอ๋อไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ออสตินตรวจพบว่าวิญญาณของฉันหายเป็นปกติแล้วเขาก็มาหาฉันและได้ร่ายประโยคยาวๆ เมื่อครู่และส่งฉันไปโลกต่อไปโดยไม่ให้ฉันได้อ้าปากพูดอะไรเลย อะไรจะรีบปานนั้น...เจ็บ...ความรู้สึกแรกเมื่อมาถึงร่างที่ออสตินเตรียมไว้ให้ในโลกที่ถูกทอดทิ้งคือความร