เย็นวันหนึ่งของเดือนตุลาคม มาร์กาเร็ต ลูกสาวคนที่สองของครอบครัวสตีเว่นนั่งเป็นตัวเอกท่ามกลางสมาชิกครอบครัว พวกเขาต่างรับประทานอาหารพร้อมหน้าเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดครบหกขวบของเธอ
มันควรเป็นวันพิเศษวันหนึ่ง เพียงแต่ว่าความพิเศษถูกยกระดับไปอีกขั้น และมันไม่ใช่ระดับที่เธอพึงปรารถนาเลยสักนิด
ท่ามกลางกลิ่นอายแห่งความสุข เธอไม่ได้ล่วงรู้เลยว่ากำลังจะมีเหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นในไม่ช้านี้
สมาชิกทุกคนในครอบครัวสตีเว่นล้วนมีผมสีบลอนด์ทองหยักศกกับดวงตาสีเขียวดั่งหยก ขณะนั้นเด็กหญิงเจ้าของวันเกิดยิ้มจนปากแทบฉีกไปถึงแก้ม
วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดเลย เธอคิดในใจ
เด็กหญิงอาจลืมไปแล้วว่าเคยสัมผัสความสุขสนุกสนานแบบนี้ทุกปี ไม่แปลกหรอก เด็กอย่างเธอชอบงานปาร์ตี้ เค้ก และของขวัญ และเธอก็ไม่ได้ต่างจากเด็กคนอื่นเลย พ่อแม่จัดงานถูกใจเธอเสมอ ทั้งสองยังมอบของขวัญเป็นบ้านตุ๊กตาที่เพิ่งวางขายล่าสุด ของขวัญที่เด็กผู้หญิงทุกคนในโรงเรียนยังไม่ได้ครอบครอง และมาร์กาเร็ตจะเป็นคนแรกที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ เด็กหญิงตัวน้อยคิดภาพเพื่อน ๆ รายล้อมดูของเล่นชิ้นใหม่ โดยลืมไปว่าเธอไม่มีทางขนของเล่นขนาดนี้ไปที่โรงเรียนได้ และที่สำคัญที่สุด โรงเรียนไม่อนุญาตให้เอาไปเสียด้วย แต่เธอก็ภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของคนแรกจนลืมข้อเท็จจริงนี้ไป นอกจากพ่อแม่แล้ว มอลลี่ พี่สาวคนโตยังมอบสร้อยคอเจ้าหญิงให้เป็นของขวัญอีกหนึ่ง ซึ่งมันเข้ากับชุดเจ้าหญิงที่พ่อและแม่ให้เธอเมื่ออาทิตย์ก่อน มีเพียงคนเดียวที่ไม่ต้องให้ของขวัญแก่มาร์กาเร็ต นั่นคือ น้องน้อย แมรี่ น้องสาวที่อายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปี
ห่างจากโต๊ะรับประทานอาหารประมาณหนึ่งเมตร เสียงใส ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งดังออกมาจากโทรทัศน์กรอบไม้ที่ตั้งอยู่ โดยมีเสาอากาศวางอยู่ด้านบน
“สวัสดียามเย็นค่ะท่านผู้ชม ขอต้อนรับสู่รายการนั่งคุยกับเซซิเลีย ช่วงรับประทานอาหารเย็นวันนี้ ดิฉันมั่นใจว่าผู้ชมทางบ้านคงนั่งไม่ติดเก้าอี้แน่ ๆ เลยค่ะ เพราะแขกรับเชิญในวันนี้ คือ ดร. แคลสเตอร์ ดีนส์ รองศาสตราจารย์จากโรงเรียนกฎหมายเฮมส์เวิร์ธ ผู้ที่ทำให้สถานการณ์การเมืองร้อนฉ่าอยู่ตอนนี้ สวัสดีค่ะ ดร. ดีนส์”
“สวัสดีครับ เซซิเลียที่รัก”
“ดร.คะ กล่าวถึงบทความของคุณที่ลงในวารสารเฮมส์เวิร์ธฉบับ122 หน้า 22 ถึง 25 คุณได้แถลงจุดยืนคัดค้านรัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติ ปี 2966 หลายคนชื่นชมผลงานของคุณมากเลยค่ะ ดิฉันก็เช่นกัน (“ขอบคุณครับผม!” ดร.ดีนส์กล่าวพร้อมยืดตัวขึ้น ขณะที่เซซิเลียหันมาสบกับกล้อง) ท่านผู้ชมคะ บทความนี้กลายเป็นหัวข้อร้อนทันทีที่วารสารได้รับการตีพิมพ์ (เสียงไพเราะของเธอดึงดูดให้มาร์กาเรตสนใจ แต่พิธีกรสาวได้หันกลับไปหาแขกรับเชิญแล้ว) คุณกำลังบอกว่า คุณไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าวที่ขัดแย้งกับหลักเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน...”
“พ่อคะ ปิดทีวีสักทีสิ เราจะร้องเพลงอวยพรให้เม็กนะคะ” พี่สาววัยสิบหกปีขอร้องเชิงตำหนิ แต่แทนที่จะปิดทีวี พ่อกลับลดเสียงให้เบาลงเท่านั้น ทำไงได้ เขาชื่นชอบรายการนี้มากและมักจะอวดว่าเซซิเลียซึ่งเป็นพิธีกรรายการเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา “เธอเป็นคนฉลาดมาก” เพราะเหตุนี้เอง มอลลี่จึงชอบแหย่พ่อกับแม่ด้วยการพูดว่าเซซิเลียคือรักแรกของพ่อแน่ ๆ เลย และแม่จะหัวเสียทุกครั้งที่พี่พูดแบบนี้
มาร์กาเร็ตเลียซอสบนมุมปาก ตอนนี้ก็ยังได้ยินเสียงทีวีอยู่
“...ครับ เราต้องพิจารณาคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนเหล่านี้ก่อน ‘กลุ่มเสี่ยง’ ทำไมเราถึงเรียกพวกเขาแบบนั้น พวกเขาก็เหมือนกับพวกเรา เพียงแต่มีทักษะพิเศษที่น่าเหลือเชื่อเท่านั้นเอง แค่หลักการทางวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ยังไม่สามารถหาที่มาของความพิเศษนี้ได้ อ้อ ใช่แล้ว เพราะการที่เราหาคำตอบไม่ได้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดกฎหมายนี้ เพราะคำถามที่ว่าอะไรทำให้พวกเขาถึงพิเศษกว่าคนอื่นยังไม่มีคำตอบ เอาละ ๆ ผมจะไม่พูดถึงหลักศาสนาหรือผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์หรือการเปลี่ยนแปลงในดีเอ็นเอหรอกนะ มันฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ สำหรับผม การที่เราให้คุณค่ากับคนกลุ่มนี้ต่างหากที่ผมอยากจะเน้นย้ำให้ตระหนัก แม้เราไม่สามารถหาคำตอบได้ในตอนนี้ก็จริง แต่ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะลดคุณค่าของพวกเขาในฐานะมนุษย์ หากให้ขยายความ มีผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ที่มีพรสวรรค์หรือมีทักษะพิเศษในบางกิจกรรมที่อาจทำให้เราแปลกใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่ากลัวเลย คำถามของผมคือ ทำไมเรามองพวกเขาเหมือนเป็นตัวอันตราย ทำไมเราต้องปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเป็นเชื้อโรคร้ายแรง ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่สิ่งน่ากลัว มันก็เหมือนกับเวลาคุณมีพรสวรรค์ในการวาดรูปหรือร้องเพลง หรือลองคิดถึงทักษะประหลาด ๆ ที่เรามักเห็นในรายการทีวีหรือคณะละครสัตว์สิ บางที นี่อาจจะเป็นวิวัฒนาการบางอย่างของมนุษย์ทางร่างกายและมันสมอง ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว พวกเราวิวัฒนาการอยู่เรื่อย ๆ หรือนี่อาจเป็นเพียงแค่พรสวรรค์พิเศษจริง ๆ”
“...แฮปปี้เบิร์ธเดยยย์ ทู—ยู” พวกเขาเกือบจบเพลงพร้อมกันแล้ว ถ้าหากพ่อหยุดมองจอโทรทัศน์สักนิด เขาถลึงตาจ้องหน้าจอ ส่วนปากฮัมเพลงอวยพรเธอด้วยเสียงเหมือนกับเครื่องดูดฝุ่นเก่า ๆ
“อย่างนี้นี่เอง แสดงว่าคุณคิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนป่วย พวกเขาเหมือนกับพวกเราและสมควรได้รับสิทธิในฐานะมนุษย์เหมือนกับคนปกติ”
“ใช่ครับ พวกเขาเป็นมนุษย์ปกติเหมือนพวกเรา มีสิทธิเช่นเดียวกับ...”
ทันใดนั้น มาร์กาเร็ตเหลือบเห็นหน้าจอโทรทัศน์ปรากฏข้อความแจ้งว่ารายการนี้ขัดต่อบทบัญญัติทางกฎหมาย แต่เวลานี้พ่อหันเหความสนใจทั้งหมดมาที่เธอแล้ว เขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่ารายการโปรดได้ถูกระงับออกอากาศเป็นที่เรียบร้อย
“ขอพรเลยเม็ก แต่ระวังพรที่ขอด้วยนะ”
เด็กหญิงเลิกจ้องทีวีแล้วก้มมองเค้กตรงหน้า
“ถ้าน้องขอให้พรุ่งนี้โรงเรียนประกาศหยุดละก็ ยังไงพรก็ไม่มีวันเป็นจริงหรอกจ้ะ” พอมอลลี่พูดจบ ทุกคนหัวเราะกันทันที เด็กหญิงทำหน้ามุ่ยที่พี่สาวรู้ทัน
เธอจะขอพรอะไรดี ขอให้เป็นแบบนี้ตลอดไปดีไหม มีพ่อ แม่ มอลลี่ และแมรี่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ฉันขอให้มีความสุขและชีวิตราบรื่นเหมือนวันนี้ละกัน เด็กหญิงขอพรในที่สุด แต่โชคร้าย พรของมาร์กาเร็ตไม่มีวันเป็นจริง ไม่มีวัน...เพราะเงาดำย่างกรายมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เวลาแห่งความสุขของเธอกำลังจะจบลงในไม่ช้า
เสียงกริ่งดังขึ้น แม่ทำจมูกย่นแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจนัก คงนึกสงสัยว่าใครมาเยี่ยมในเวลาเย็นแบบนี้แน่เลย
“โธ่ ไม่เอาน่า อย่าทำแบบนี้สิ พวกเขาระงับการออกอากาศแล้ว” นายสตีเว่นคร่ำครวญอยู่คนเดียว
“ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่รัก คุณต้องหาช่องโปรดช่องใหม่แล้วล่ะค่ะ บอกลาเซซิเลียที่รักของคุณได้เลย อาชีพการงานของเธอจบแล้ว” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสะใจจนออกนอกหน้า จากนั้นจึงเดินไปที่ประตู
มาร์กาเร็ตวิ่งไปที่บ้านตุ๊กตา เธอเอาเศษกระดาษของขวัญมาถมทับไว้ก่อนจะหันไปมอง
แมรี่ “ยังเล่นไม่ได้นะ” แต่น้องเล็กหัวเราะแล้วจ้วงเค้กเข้าปาก ไม่สนใจคำพูดของพี่สาวเลย เด็กหญิงเท้าเอวขัดใจแล้วเดินกลับไปที่เก้าอี้ “มันเป็นของฉัน”“แบ่งให้แมรี่เล่นสิ อย่าไร้น้ำใจ” มอลลี่เอ็ด
“เดี๋ยวถึงวันเกิดแมรี่เมื่อไรก็จะได้เหมือนกัน!” เธอเถียง
“เราก็จะมีบ้านสองหลัง พวกเธอก็เล่นเป็นเพื่อนบ้านกันไง” พี่สาวแนะนำ แมรี่หันมาพยักหน้าหงึก ๆ ใบหน้าเปื้อนครีมสดเป็นที่เรียบร้อย
“เดี๋ยวนะคะ ลูกสาวของฉันทำอะไรผิดเหรอคะ!”
เสียงแม่ดังมาจากด้านหน้า พ่อที่กำลังกุมหัวจ้องทีวีรีบกดปิดแล้วเดินอาด ๆ ตามแม่ไป “อะไรเหรอคุณ”
มอลลี่ได้ทีแอบขโมยมันฝรั่งทอดที่เธอปฏิเสธไปตอนแรกจากจานของพ่อ
“พี่บอกว่ากลัวอ้วนนี่นา” เด็กหญิงเลิกคิ้วถาม พี่สาวหันมาทำเสียงขู่ใส่
มาร์กาเร็ตหยิบช้อนสับเค้กในจานเล่น นึกสงสัยว่าทำไมพ่อกับแม่หายไปนาน แถมยังไม่พาแขกเข้ามา หรือว่าเป็นพวกขายของ แต่ว่าปกติแล้วพวกเขาไม่มาตอนเย็นแบบนี้นี่นา ความอยากรู้ของเด็กน้อยดึงความสนใจจากจานของหวานไปที่ประตู เธอกระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งตรงไปยังทางเดินเข้าบ้าน ร่างเล็กหลบอยู่หลังตู้โชว์แจกันกระเบื้องเคลือบ เธอเห็นพ่อกับแม่คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาเป็นตำรวจแน่ ๆ เธอจำเครื่องแบบสีกรมท่าได้ แถมมากันสองคน
“...นี่เป็นหมายจับภายใต้อำนาจดำเนินการของกฎหมายที่พวกเราก็รู้ว่ามาจากข้อไหน คงไม่ต้องให้อธิบายมากความหรอกนะครับ โปรดให้พวกเราเข้าไปเถอะครับ เราต้องการพบกับมอลลี่ สตีเว่น” หนึ่งในนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ยังแฝงว่ารีบร้อน
หมายจับ...จับใคร
แม่เหยียดแขนกันทั้งสองคนไว้ “แหม ขอโทษนะแต่มอลลี่ไม่มีลักษณะเข้าข่ายว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเลย เธอถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลเพราะปอดบวมตั้งแต่แปดขวบ ช่วยตรวจสอบประวัติการรักษาให้ดีก่อนที่จะกล่าวหาลูกสาวที่รักของฉันดีกว่านะคะ” น้ำเสียงนั้นกระแทกกระทั้นมาร์กาเร็ตอมยิ้มขำท่าทางไม่เคยเกรงกลัวใครของแม่ ส่วนพ่อพยายามปลอบไม่ให้แม่พูดจารุนแรง แม่น่ะ สู้คนจะตาย เธอพยายามปิดปากไม่ให้หลุดขำออกมา เด็กหญิงวิ่งกลับเข้าไปในห้องอาหาร มอลลี่ยังคงสวาปามมันฝรั่งทอดของพ่อ ส่วนแมรี่กำลังเดินเมียงมองบ้านตุ๊กตาของเธออยู่“แมรี่ อย่ายุ่งกับบ้านของฉันนะ” เธอหวีดเสียงร้อง น้องสาวตัวดียิ้มยิงฟัน แววตาเหมือนจะใสซื่อ พ่อกับแม่ไม่รู้หรอก มอลลี่ก็ไม่รู้ว่ายายแมรี่ซ่อนความร้ายกาจไว้มากมาย เธอชอบขโมยของเล่นของมาร์กาเร็ตตลอด ยิ่งพวกเขาถูกจับให้อยู่ห้องเดียวกันเพราะอายุไม่ได้ห่างกันมาก เธอยิ่งปกป้องของเล่นไม่ได้ทั้งหมด“พี่แกะแล้วให้หนูเล่นด้วยสิ จูดี้อยากมีบ้านเหมือนกับลิซ่านะ”แต่ก่อนที่มาร์กาเร็ตจะตอบ มอลลี่หันมาถามว่า “พ่อกับแม่ทำอะไรน่ะ”“ตำรวจมา” เธอตอบเด็กสาวขมวดคิ้ว “ตำรวจเหรอ”“มอลลี่ ลูกมีอะไรจะบอกพ่อกับแม่ไหม” คำถามท
30 ปีต่อมาปี 3012 เขตซานโบซ่า“ขอให้เดตวันนี้ราบรื่นนะ อีริน” คุณหมอกล่าวอวยพรนางพยาบาลคนหนึ่งในทีม พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนชุดผ่าตัดเป็นชุดเครื่องแบบปกติเสร็จ“ขอบคุณค่ะคาเลบ ตื่นเต้นจังเลย กลับก่อนนะคะ”พอเห็นอีรินถลันวิ่งออกไป คนอื่นยิ่งพยายามสะกดกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมาคาเลบหันไปจับมือและกล่าวขอบคุณสมาชิกคนอื่นในทีม ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปยังห้องทำงานของแต่ละคนการผ่าตัดประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่อทีมแพทย์สามารถนำช้อนออกมาจากท้องของผู้ป่วยได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดช้อนเจ้ากรรมจึงไหลผ่านหลอดอาหารลงสู่ท้องของคนไข้ได้ก็ตามคาเลบ เดวิส วัยสี่สิบห้าปีเป็นคุณหมอประจำอยู่ที่โรงพยาบาลซานโบซ่า ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กในเมืองขนาดย่อม เขตซานโบซ่าอยู่ในรัฐอิดริน่า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหพันธรัฐนิวโฮป เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่สงบสุขมาก ผู้คนส่วนใหญ่จึงรู้จักค่าหน้าค่าตากันเป็นอย่างดี อย่างคนไข้ที่คาเลบเพิ่งผ่าตัดเอาช้อนออกมาก็เป็นเจ้าของร้านอาหารที่เปิดขายอยู่ใจกลางตัวเมือง ร้านของเขาตั้งมานานหลายปี บริหารกิจการจากรุ่นสู่รุ่นเคสผ่าตัดแบบนี้ไม่ค่อยมีม
หญิงสาวกลอกตาเมื่อเขาพูดคำว่า ‘พระเจ้า’ ออกมา ราวกับแสลงหูมากเมื่อได้ยินคำนี้ “คุณเลี้ยงดูพวกเขามาดีต่างหาก ทั้งคุณและเบียนน่า ฉันเพิ่งได้ยินมาว่าอเล็กซิสได้รับจดหมายตอบรับจากวิทยาลัยการแพทย์มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คาเลบ คุณเก่งมาก ๆ เลยนะคะ พวกเขาช่างน่าทึ่งจริง ๆ คุณก็ด้วย ลูก ๆ ของพวกคุณเป็นเด็กดีและฉลาด เพราะคุณนั่นแหละ อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย บอกฉันทีสิ สรุปแล้วอเล็กซิสเลือกเส้นทางไหนกันแน่ จะเป็นหมอหรือจะเป็นนางแบบ” เธอไม่ใช่แค่ใช้ปากพูด แต่ยังเอาเท้าตัวเองถูเท้าของเขาคุณหมอค่อย ๆ ดึงเท้าตัวเองออกมาจากจุดอันตรายอย่างนิ่มนวล หัวใจของเขาเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไม่ใช่เพราะเกิดอารมณ์ตามที่ถูกหญิงสาวยั่วยวน แต่เป็นเพราะกลัวความไวของผู้หญิงคนนี้ต่างหาก คาเลบไม่เคยคิดที่จะกระโดดลงไปในหลุมกับดัก ไม่แม้แต่กระหายใคร่รู้ที่จะลิ้มลองเสน่ห์ของเธอ แต่เขากลัวว่าหากใครมาเห็นเข้าแบบนี้จะเข้าใจผิดเอาได้ สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงคือภรรยาและลูกเท่านั้น พวกเขาเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าที่เขาไม่มีวันยอมให้อะไรก็ตามมาพรากไปเด็ดขาด“ผมแต่งงานแล้ว และผมรักเธอมาก ต้องบอกคุณกี่ครั้งว่าอย่าทำแบบนี้ ผมไม่ชอบเล่นเกมกับคุ
ครอบครัวของคาเลบอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ห่างจากสวนสาธารณะประจำเมืองอยู่เพียงสองช่วงตึก ทั้งหลังทาสีขาวละมุนคล้ายสีเปลือกไข่ ที่แห่งนี้เป็นสวรรค์บนดินของคาเลบ ตรงสวนหน้าบ้านจะมีโรงไม้เล็กตั้งแอบอยู่ เป็นที่ประดิษฐ์ของเล่นชิ้นเล็กหรือของใช้ที่ทำจากไม้โดยฝีมือคาเลบเอง ซึ่งผลงานของเขาสร้างรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ มันเป็นไอเดียของลูกคนที่สาม อเล็กซิสได้ถ่ายรูปชิ้นงานของพ่อ แล้วอัปโหลดลงอินเทอร์เน็ต เธอยังพิมพ์ใบโฆษณาขายงานไม้ของเขาแล้วเอาไปแปะบนกระดานประกาศอีกด้วย อเล็กซิสไม่ได้หิวเงินขนาดนั้นหรอก แต่เธอทำไปเพื่อให้เขาภูมิใจในตัวเอง แน่นอนว่าคาเลบภูมิใจทั้งตัวเขาและไอเดียของลูกสาวมากคาเลบจอดรถไว้ในโรงจอด รถตู้สีเทาคันนี้รับใช้ครอบครัวเดวิสมาประมาณสิบสองปีแล้ว คาเลบยังครองตัวเป็นสุภาพบุรุษอยู่เสมอ ด้วยการประคองเบียนน่าลงจากรถ เขาปฏิบัติกับภรรยาเช่นนี้เรื่อยมาตั้งแต่ออกเดตครั้งแรก เบียนน่ามีดวงตาโตสีน้ำตาลเข้มแสนอบอุ่นไปถึงหัวใจ ผิวสีทองแดงเข้มคล้ายกับผิวของเขาแต่เนียนและมีสุขภาพดีกว่า เบียนน่าเป็นผู้หญิงร่างอวบ ผู้มีรอยยิ้มสวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น พวกเขาคบหากันราวสองปี จากนั้นคาเลบขอเธอแต่งงา
คาเลบและเบียนน่าเป็นพ่อแม่จำพวกที่ไม่ออกจากบ้านเลยหากไม่มีภาระจากหน้าที่การงานที่ทำอยู่ พวกเขาเลือกใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากกว่าเรื่องอื่น ยกเว้นเสียแต่ว่าภาระงานในบางครั้งที่ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่ซื้ออาหารสำเร็จนอกบ้าน เด็ก ๆ จึงใจดีอุ่นอาหารไว้ให้เมื่อชาร์ลีเห็นว่าพ่อและแม่ง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะอาหาร เขาจึงเดินกลับไปนั่งหน้าทีวีเพื่อดูการ์ตูนต่อ คาเลบเหลือบมองแล้วถอนหายใจพลางคิดว่าตนเองควรใช้เวลาอยู่กับลูกชายคนเล็กมากกว่านี้ อีกทั้งยังสงสัยด้วยว่าทำไมเจสซี่กับอเล็กซิสยังเอาแต่อยู่ข้างบน ไม่ลงมาเล่นกับน้องข้างล่าง“พวกเขาคงกำลังคุยอะไรกันอยู่แน่ ๆ บางทีอาจเป็นเรื่องสำคัญนะ” เขาบอกกับเบียนน่า คาเลบมักสนใจใคร่รู้เรื่องราวของลูกเสมอ เขาจึงเปรียบเสมือนกับคุณพ่อที่ค่อนข้างจู้จี้ แต่คาเลบถือว่าเขามีข้ออ้างที่น่าฟังอยู่ เพราะเจสซี่กับอเล็กซิสไม่เหมือนกับไบรซ์ ทั้งสองจะเป็นพวกเฮฮาขี้เล่น ปกติแล้วจะไม่ทิ้งชาร์ลีให้อยู่คนเดียวแบบนี้ พวกวัยรุ่นชอบเก็บความลับไว้กับตัว ไม่ยอมให้พ่อแม่รู้ และคาเลบก็ไม่ใช่พวกพ่อแม่ที่เข้าใจวัยรุ่นเสียด้วยภรรยาของเขาไม่ค่อยสนใจเหมือนที่คาเลบรู้สึก เธอเป็นคุณแม่
เขาหายตัวไปอย่างปริศนา ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อเล็กซิสตกใจและรับรู้ถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเมื่อสื่อทุกแขนงลงข่าวการหายตัวไปอย่างลึกลับของจอห์น ลีลอยด์ดังนี้“...แซลลี่ มัมฟอร์ด วัย 19 ปี พักอาศัยอยู่ในรีสอร์ตพร้อมกับครอบครัวในวันเดียวกับที่ลีลอยด์และเพื่อนอีกสามคนอาศัยในบ้านพักตากอากาศข้างเคียง พยานสาวเล่าว่า ลีลอยด์และกลุ่มเพื่อนจัดงานปาร์ตี้เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงในคืนก่อนที่ทั้งหมดหายตัวไป ตำรวจพบยาเสพติดและเครื่องดื่มมึนเมาที่ผสมสารผิดกฎหมายในที่พัก ลีลอยด์หายตัวไปนานกว่าสองสัปดาห์แล้ว ทางครอบครัวของเขาให้การว่า ผู้จัดการของลีลอยด์แจ้งว่า นักแสดงหนุ่มติดงานจนไม่มีเวลากลับบ้าน พวกเขาจึงไม่เอะใจว่าเขาหายตัวไปเพราะเป็นเรื่องปกติสำหรับอาชีพการงานของนักแสดงหนุ่ม จากการสอบสวนเบื้องต้น ตำรวจตั้งข้อสงสัยกับ ทิม ยัง ผู้จัดการของลีลอยด์ที่พยายามปกปิดข่าวการหายตัวไปเพื่อหาทางทำลายหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งอาจเชื่อมโยงนักแสดงหนุ่มกับยาเสพติด อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของผู้จัดการคนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าต้องการปกปิดเรื่องยาเสพติดเพียงอย่างเดียว หรือมีเหตุผลอื่นกันแน่ หรืออาจจะโยงไ
เด็กสาวสั่นหัว ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกฎหมายแต่หมายถึงปฏิเสธข้อสันนิษฐานของพี่ต่างหาก “เขาเป็นภูมิแพ้”“ไม่เกี่ยว ถ้าเขาทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ทางการเห็นชัดว่าเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มต้องสงสัย เขาก็ไม่มีทางรอดข้อหานี้ จริง ๆ นะ แม้ว่าจอห์นจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงทุกโรคเลยก็ตามเถอะ แต่มันไม่มีทางช่วยเขาให้หลุดพ้นจากกฎหมายนี้ได้หรอก” เจสซี่โยนเอกสารชุดหนึ่งลงบนตักของเธอ “อ่านสิ”‘...มาตราที่ 1 ย่อหน้าที่ 4 ผู้ที่มีความสามารถพิเศษอันแปลกประหลาดจากความสามารถของมนุษย์ที่พึงมี ผู้นั้นต้องลงทะเบียนว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ณ สถานที่ราชการแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือ สถานีตำรวจ...มาตราที่ 2 ย่อหน้าที่ 1 พลเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะรายงานตำรวจเกี่ยวกับเบาะแส ร่องรอย ข้อค้นพบ หรือ ข้อสงสัย ว่าคนคนนั้นจะเข้าข่าย หรือมีแนวโน้มเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง สำหรับกรณีเอชโอวัน การกระทำเพื่อปกป้องสหพันธรัฐไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล...’“นี่มัน...”“ข้อกฎหมายในรัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติ ปี 2966” เจสซี่ตอบ เขาเอานิ้วมือหวีผมหยิกหย็อยของตัวเอง มันไม่เคยเรียบเลย“พี่
เขาพูดถึงทุนการศึกษาที่เธออยากได้ใจจะขาด ทุนที่มอบโดยรัฐบาลนี้จะเป็นตัวช่วยสนับสนุนทางการเงินและโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับผู้ชนะ ทุนคือกุญแจนำไปสู่ความสำเร็จ รวมทั้งการใช้ชีวิตในเมืองหลวงฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิส ทั้งยังเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี การศึกษา และนวัตกรรม ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกคนรวย เดลฟีอาจมีวิทยาลัยทางการแพทย์อันดับต้น ๆ แต่วิทยาลัยแพทย์ของมหาวิทยาลัยฟิวเจอร์ริสติกนั้นเป็นอันดับหนึ่ง หากให้อเล็กซิสเลือก เธอย่อมเลือกไปที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจบการศึกษา เธอยังสามารถเข้าทำงานในโรงพยาบาลใดก็ได้ในเมืองหลวง ซึ่งอุปกรณ์และระดับเงินเดือนสูงกว่ามาก มันเป็นหนทางที่จะลาออกจากการเป็นชนชั้นกลางไปเป็นชนชั้นกลางระดับบน หรืออาจไปถึงชนชั้นสูงเลยก็ว่าได้ เจสซี่กับไบรซ์เคยได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์เช่นกัน แต่ทั้งสองไปไม่ถึงจุดหมาย อเล็กซิสรู้ดีว่าเธอเป็นความหวังสุดท้าย หรือไม่อย่างนั้น ทั้งครอบครัวคงต้องรออีกสิบกว่าปีกว่าชาร์ลีจะโต“ฉันก็พยายามไม่หวังนะ แต่คิดว่าน่าจะมีโอกาสสูงอยู่ พวกเขาดูสนใจฉันมากพอสมควร” เธอเล่า ดวงตาแสดงออกว่ามั่นใจมากกว่าที่พูดคิ้วเจสซี่กระต
เธอกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง อเล็กซิสพยายามปลุกสติตัวเอง เล็บของเบ็กกี้จิกลึกมากขึ้นทุกที เลือดไหลทะลักจากใต้ผิว ทุกอย่างช้าลงตรงข้ามกับความรู้สึกที่ทวีคูณ เล็บค่อย ๆ ฉีกออกจากกัน บางนิ้วฝังแล้วกรีดลงบนเนื้อเธอ หนังค่อย ๆ ปริแยกออกพร้อมลาวาสีเลือดเอ่อล้น กล้ามเนื้อขึ้นเป็นเส้นหนาเกร็งไปจนถึงขมับ ตัวเธอถูกยกขึ้นสูงแล้วดิ่งลงปะทะกับพื้น ริมฝีปากชิมน้ำสกปรกและคราบเลือด ใบหน้าถูไถลไป...ตื่น!เธอลืมตาโพล่ง ความทรงจำชัดขึ้นทุกทีจนอเล็กซิสแทบไม่อยากนอน แต่แล้วจำต้องหลับตาอีกรอบเพราะเจ็บเบ้าตาก่อนจะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดก่อนไอสำลักออกมา มือใครสักคนแปะอยู่บนศีรษะแล้วเลื่อนมาจับไหล่เธอไว้ อเล็กซิสลุกขึ้นนั่งทันที ตกใจ พอมองเต็มตาจึงเห็นดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องกลับมา“ไมเคิล...”คงเรียกว่าเป็นเด็กหนุ่มผมเงินไม่ได้แล้ว เพราะเฉดผมสีน้ำตาลเริ่มโผล่ออกมามากขึ้น มุมปากของเขาเชิดขึ้น อมยิ้มบาง ๆ “เธอผอมไปนะ”ทันใดนั้น อเล็กซิสโผเข้ากอดเขา เธอไม่ได้ฝันไป และข้างหลังไมเคิลคือเรมีที่นั่งมองพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น เธอกวาดตามอง
เธอนิ่งคิดเมื่อเดสซิเรถามคำถามนี้ เพราะเหตุนี้วันนี้เธอจึงตัดสินใจจะพบไมเคิล แต่ขณะเดียวกันก็ไม่แน่ใจความคิดตัวเอง “ก็...”ข้างหลังตึกมีพื้นที่โล่ง ๆ ขนาดเท่าครึ่งสนามบาสเกตบอล เอมอนสวมเสื้อกล้ามเผยผิวแทนแกว่งแขนไปมา เขาพยักหน้าให้หญิงสาวข้างอเล็กซิสแต่นัยน์ตานั้นเป็นประกายปิดบังความสนใจของตัวเองไม่อยู่ แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะอธิบายเป็นคำพูดยาก สิ่งหนึ่งที่อเล็กซิสมั่นใจคือ เอมอนหลงรักเดสซิเร เขาไม่ได้มองเธอเป็นเพื่อน-กิน-กัน-มัน-ดีแต่อย่างใด แต่ฝ่ายหญิงคิดอย่างไร เธอเดาไม่ออกเด็กสาวกวาดตามองโดยรอบแต่ไม่เห็นอุปกรณ์ใด ๆ เลยนอกจากนวมสีน้ำเงิน“นายนี่นะ จะฝึกสาว” เดสซิเรกอดอก ทำเสียงดูแคลน “แน่ใจรึ”ชายหนุ่มยักไหล่ “ก็...ฉันทำร้ายผู้หญิงไม่ลงเธอก็รู้” เขาโยนนวมชกให้อเล็กซิส “ดังนั้น เริ่มบทเรียนด้วยการโดนตัวฉันให้ได้ดีกว่า”เดสซิเรผิวปาก ทึ่ง “เข้าใจคิดนี่”ทว่าคนที่ถูกฝึกกลับผิดหวัง อเล็กซิสอยากให้เขาทำให้เธอแข็งแกร่ง“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเสียใจสิ จ
ผ้าห่มสีขาวสะอาดส่งกลิ่นหอมจากการอบความร้อนฆ่าเชื้อ เธอพยายามลุกขึ้นแต่เหมือนติดอยู่ในร่างนี้ เสียงกรีดร้องของเอเลน่าดังเข้าโสตประสาทประหนึ่งมีพลังสั่นคลอนสะเทือนไปจนถึงแกนหูข้างใน อเล็กซิสหันไปเห็นเธออยู่ในสภาพมัดติดกับเตียง เธอร้องระบายความเจ็บปวดข้างในจนขากรรไกรแทบฉีกออกจากกัน “ฆ่าฉันซะ ฆ่าฉันซะ” ราวเหล็กบนเตียงกระตุกรัว อเล็กซิสมองดูเหมือนเตียงจะถล่มตามแรงเคลื่อนไหว เสียงหวีดร้องกรีดหัวใจจนอยากตะโกนบอกให้พวกเขา...ฆ่าเธอซะ ทำตามที่เธออ้อนวอน“เราจะทำอย่างไรดีคะคุณหมอ” “ทำตามที่เธอปรารถนา เราช่วยเธอไม่ได้แล้ว” อเล็กซิสมองทรอย เห็นแต่เพียงแผ่นหลังและผมสีเทา พวกเขาเข็นเตียงเธอออกไปตามคำสั่ง ไม่นานเสียงเอเลน่าสงบลง และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเด็กสาว“มันอยู่ในตัวเธอด้วย”เธอส่ายหน้า “ฉันกำลังจะตายเหมือนเธอเหรอคะ”ทรอยไม่ตอบ“มันอยู่ในตัวเธอ”“มันอยู่ในตัวเธอ”อเล
“อย่าปล่อยเด็ดขาด”น้ำตาเด็กสาวไหลรินหยดลงบนแขน ความเค็มของน้ำตาทำให้แผลแสบร้อนนิด ๆ นิ้วของเบ็กกี้จิกลึกลงบนแขนจนเลือดไหลซิบ อเล็กซิสกัดฟันทนความเจ็บปวดทุกอย่าง ขืนตัวรั้งเพื่อนไว้ไม่ให้พวกมันเอาตัวไปได้ ชายสองคนต่างพยายามแยกพวกเธอออกจากกันราวกับเล่นชักเย่อ “ใช้มันซะ เบ็กกี้ ได้โปรด” เธอขอร้อง “ได้โปรด...” เด็กสาวหวีดร้อง เล็บที่จิกอยู่กับเนื้อฉีกขาดฝังอยู่ข้างในเนื้อของเธอ บางนิ้วมีเล็บแข็งเกินจึงเฉือนฉวัดขูดผิวเป็นรอยยาว เสียงดังตุบกลางหลังเด็กสาว เบ็กกี้ล้มฟุบลงกับพื้น ยูฟุนแบกร่างเธอออกไปพร้อมกับเด็กอีกคน“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” เกรกอรี่พึมพำแล้วเหวี่ยงตัวอเล็กซิสลงไปกองกับพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำโสโครกผสมเลือดเจิ่งนอง เธอตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นไม่ทันไรก็ล้มลง เด็กแฝดที่ยังเหลืออีกคนถูกโขกกับกำแพงดังจนคล้ายกับกะโหลกแตก ร่างอ่อนปวกเปียกไถลครูดลงเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต อเล็กซิสปากสั่น เกรกอรี่ย่างสามขุมแล้วกดหน้าเธอลงกับพื้นก่อนจะมัดมือไพล่หลัง เธอดิ้นจนแขนเสียดสีกับเชือก รอยแผลที่เบ็กก
อาคุสะนอนอยู่บนเตียงนิ่งเหมือนไม่ได้ยินใครทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงมากที่สุดคือออร่าหลากสีที่ล้อมเป็นรัศมีรอบตัวเขา พอเธอเขยิบเข้าไป อเล็กซ์ดึงแขนรั้งไว้ทันที “อย่า มันอันตราย”ชายหนุ่มเกาแก้มตัวเอง “ฉันโดนแล้ว มันเหมือนกับพลังของเขากระจายรอบตัว ถ้าเธอเข้าไปในรัศมีนั้นจะเหมือนคนบ้า ทั้งร้องไห้ หัวเราะ ด่าทุกสิ่ง ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะสงบลงได้”หญิงสาวเขยิบถอยหลังทันที ออร่าที่พุ่งออกมาทำให้อาคุสะเหมือนกับเจ้าชายนิทราต้องสาปประมาณนั้น “มันเกิดอะไรขึ้น เพราะแบบนี้ใช่ไหม พวกนายถึงไม่ส่งข่าวมา”เขาพยักหน้า ชายหนุ่มเชื้อเชิญให้เธอหาที่นั่งเอง ส่วนเขาเดินเก็บของผ่านหน้าไปมา ปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น “พวกเราชนะเควสทั้งสองระดับ วันต่อมาระดับสามเปิด พวกเราก็เลยลอง”“บ้าไปแล้ว” เทสซ่าร้อง“ก็จริง” เขาหัวเราะ เธอไม่ได้เห็นเสียงหัวเราะของเขามานานแล้วตั้งแต่เบนจากไป หนุ่มผมดำผู้นี้มีลักษณะเหมือนคนหลายบุคลิก บางครั้งยียวน บางครั้งเงียบขรึม บางครั้งกราดเกรี้ยว “อาคุสะเกือบตาย
กำแพงสูงราวตึกสามชั้นคือตัวแบ่งเขต อากาศในเครสเตอร์อาจร้อนระอุแต่สิ่งก่อสร้างภายในเว้นระยะห่างมากพอไม่ให้เกิดความรู้สึกคับแคบเบียดเสียดเหมือนในเดอะวาล ขณะที่นอร์ธร่มรื่นกว่ามาก แต่ตัวอาคารสร้างติดกันไม่ต่างจากในเดอะวาล เธอผ่านช่องสแกนตรงประตูทางเข้าโดยพยายามไม่เหลือบมองสิ่งรอบข้างเพราะกำแพงทำให้เธอนึกถึงด่านสุดท้าย และเพราะเหตุนั้น เธอจะเห็นภาพออสโล่ตกลงไปด้วย“คนสวยจ๊ะ” เทสซ่าทำเป็นไม่ได้ยินแก๊งข้างถนน “อย่าเดินหนีสิ” และสะเหล่อ“มาด้วยกันไหม ฉันมีชิปเยอะนะ เลี้ยงข้าวเธอได้หลายมือเลย”เธอหันไปเผชิญหน้า ชายผมยาวสวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมยืนยิ้มยิงฟัน พอกลุ่มเพื่อนที่ส่งเสียงเชียร์เขาทำท่าแอ่นอยากอวดของลับใต้กางเกง เทสซ่าปรายตามอง ยิ้มน้อย ๆ “ถามแม่แกสิว่าถ้าให้ล้านชิปแล้วเธอยอมให้แกดูดหัวนม ฉันจะให้แกดูดนิ้วเท้าฟรี ๆ เลย”“อ้าว อีเวร”เธอสะบัดหน้าไม่ฟังมันพล่ามต่อ หากเพื่อนของชายคนดังกล่าวไม่ดึงไว้ เขาคงได้ชิมคลื่นเสียงของเธอแน่ อันที่จริงเทสซ่าไม่ได้อยากใช้พลังต่อหน้าคน เพราะเธอก็ไม่รู้ว
แสตนเนอร์ส่ายหัว “เรากำลังสืบสวนอยู่ ผมพอจะบอกพวกคุณได้คร่าว ๆ ว่าทั้งสองถูกลักพาตัวโดยกลุ่มขบวนการที่เรายังจับไม่ได้ และต้องใช้เวลาสืบสวนพอสมควรเพราะข้อมูลถูกลบไปหมด...”“ถูกลบไปหมด” เรมีโพล่งขึ้นมา “แสดงว่าพวกคุณอยู่เบื้องหลัง...”“พวกคุณ?” ชายผมสกินเฮดถอนหายใจ “มีคนในกลุ่มพวกเราอยู่เบื้องหลัง ถูกต้อง แต่ไม่ใช่พวกเราทั้งหมด ผมขอแก้ตัวหน่อยก็แล้วกัน คิดดูสิ ไม่อย่างนั้นคงไม่โดนเปลี่ยนยกหน่วยถูกไหม คำกล่าวหาแบบนี้ระวังนิดนึงนะพ่อหนุ่ม” เขาแตะมือตัวเอง “เอาล่ะ ตอนนี้เบ็กกี้ ควินน์อาจยังอยู่ในเงื้อมมือพวกมันหรือหลบอยู่สักที่ ยังไงพวกเราจะพยายามหาเพื่อนพวกเธอให้เจอ”เทสซ่ากัดปาก เธอควรบอกเรื่องความฝันของมินนี่ดีหรือไม่ไม่ทันได้ตัดสินใจ เรมีเป็นฝ่ายเผย “เบ็กกี้มีพลังเกี่ยวกับความฝัน” แสตนเนอร์เลิกคิ้วรอฟัง “เธอส่งภาพบางอย่างผ่านความฝัน พวกเราเห็นดวงไฟ บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด เธอดูเหมือนจะขยับตัวไม่ได้”“พวกเรา?” เขากวาดตามองทุกคน“เป
เทสซ่าส่ายหัวแล้วไล่เดินเก็บกล่องอาหารทิ้งขยะ ตั้งแต่เบลินดาพบคนหน้าเหมือนอเล็กซิสในสถานพยาบาลเขตเดอะวาล ไมเคิลกับเรมีก็ยังหาอเล็กซิสไม่เจออยู่ดี ดูเหมือนมินนี่จะเป็นคนเดียวที่มีปัญหากับความฝันเสียด้วย เพราะถ้าไม่อย่างนั้นสองหนุ่มน่าจะพูดกับเธอเรื่องนี้บ้าง แต่ดูเหมือนพวกเขาแค่ฝันเห็นเท่านั้น มันก็แค่ฝันร้ายหรือภาพนิมิตที่เบ็กกี้ส่งมาให้แบบสัญญาณติด ๆ ดับ ๆ ในขณะที่น้องสาวของเธอรับข้อความเต็ม ๆ และทรมานราวกับอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เธออดโกรธเบ็กกี้ไม่ได้และมันเป็นความรู้สึกที่เธอไม่อยากยอมรับ ไม่กล้าแม้แต่เผยมันให้ใครรู้ทำไมเบ็กกี้ ทำไมเธอต้องทรมานมินนี่ของฉันด้วย เธอเตะถังขยะดังปัง เทสซ่าไม่สนว่าใครจะมองอย่างไร แต่เธอสบายใจที่ได้ระบาย“เทส ฉันกับเรมีกลับก่อนนะ”เทสซ่าพยักหน้า คาดไว้แล้วว่าอีกเดี๋ยวไมเคิลต้องพูดคำนี้ “เธออาจไปอยู่เขตอื่น หรือไป ๆ มา ๆ ก็ได้ พวกนายเลยไม่เจอ”ไมเคิลพยักหน้า “เพราะอย่างนี้พวกเราถึงกระจายกันอยู่ทั้งสามเขตไม่ใช่หรือ”“หรือไม่ เบลินดาอาจตาฝาด” ฟีบี้แทรกขึ้นมา เทสซ่าส่
“เธอร้องทั้งคืน เทส ฉันไม่ได้นอนเลย ไม่ไหวจริง ๆ” คำพูดของเบลินดาวนเวียนอยู่ในหัว จนกระทั่ง “เทสซ่า” ไมเคิลปลุกเธอตื่นจากภวังค์สถานการณ์ตรงหน้าตอนนี้สาหัส หุ่นยนต์สามตัวยืนจังก้าขวางทางราวกับเป็นผู้พิทักษ์สมบัติ มีสติสิยัยบ้า หญิงสาวด่าตัวเอง พยายามอย่างยิ่งที่จะเพ่งสายตาไปยังส่วนหัว มวลพลังก่อตัวภายในเหมือนพายุในทะเล เทสซ่าปลดปล่อยมันออกไป เสียงสร้างแรงสะเทือนเคลื่อนตัวเป็นเส้นคล้ายใบมีดตัดศีรษะหุ่นเหล็กขาดออกจากกัน รอยยิ้มปรากฏเพียงครู่เดียว เพราะภาพโนเอลฉายขึ้นมา...หากฉันทำได้มากกว่านี้ หากตอนนั้นควบคุมมันได้ดีกว่านี้ เธอถอนหายใจ เทสซ่าถือว่าตัวเองพัฒนาไปมากหากเทียบกับแบนชีที่เบนชอบล้อเลียน ทว่าดีใจได้ไม่ทันไร กระสุนปริศนาเกือบแฉลบบาดกระพุ้งแก้ม โชคดีสองชั้นเมื่อเรมีไหวตัวทัน ทำตัวเป็นเกราะคุ้มกันห่ากระสุนจากอีกทีม ไมเคิลเหวี่ยงหุ่นที่ยังทำงานอยู่ใส่กลุ่มนั้นเป็นการเอาคืน หางตาของเธอเหลือบเห็นโคดี้วิ่งจ้ำอ้าวใกล้ถึงธง“นายไม่เป็นไรนะ” เธอถามเพื่อนหัวโมฮอว์กเขาส่ายหัว “อย่าเหม่อสิ” ออกปากเตือนแล้วรีบวิ่งตามโคดี้ไปทั้งที่เสื้อขาด เทสซ่าหงุดหงิดที่ตัวเองคงสมาธิไว้ไม่ได้ คิดได้เช่นน