เย็นวันหนึ่งของเดือนตุลาคม มาร์กาเร็ต ลูกสาวคนที่สองของครอบครัวสตีเว่นนั่งเป็นตัวเอกท่ามกลางสมาชิกครอบครัว พวกเขาต่างรับประทานอาหารพร้อมหน้าเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดครบหกขวบของเธอ
มันควรเป็นวันพิเศษวันหนึ่ง เพียงแต่ว่าความพิเศษถูกยกระดับไปอีกขั้น และมันไม่ใช่ระดับที่เธอพึงปรารถนาเลยสักนิด
ท่ามกลางกลิ่นอายแห่งความสุข เธอไม่ได้ล่วงรู้เลยว่ากำลังจะมีเหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นในไม่ช้านี้
สมาชิกทุกคนในครอบครัวสตีเว่นล้วนมีผมสีบลอนด์ทองหยักศกกับดวงตาสีเขียวดั่งหยก ขณะนั้นเด็กหญิงเจ้าของวันเกิดยิ้มจนปากแทบฉีกไปถึงแก้ม
วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดเลย เธอคิดในใจ
เด็กหญิงอาจลืมไปแล้วว่าเคยสัมผัสความสุขสนุกสนานแบบนี้ทุกปี ไม่แปลกหรอก เด็กอย่างเธอชอบงานปาร์ตี้ เค้ก และของขวัญ และเธอก็ไม่ได้ต่างจากเด็กคนอื่นเลย พ่อแม่จัดงานถูกใจเธอเสมอ ทั้งสองยังมอบของขวัญเป็นบ้านตุ๊กตาที่เพิ่งวางขายล่าสุด ของขวัญที่เด็กผู้หญิงทุกคนในโรงเรียนยังไม่ได้ครอบครอง และมาร์กาเร็ตจะเป็นคนแรกที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ เด็กหญิงตัวน้อยคิดภาพเพื่อน ๆ รายล้อมดูของเล่นชิ้นใหม่ โดยลืมไปว่าเธอไม่มีทางขนของเล่นขนาดนี้ไปที่โรงเรียนได้ และที่สำคัญที่สุด โรงเรียนไม่อนุญาตให้เอาไปเสียด้วย แต่เธอก็ภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของคนแรกจนลืมข้อเท็จจริงนี้ไป นอกจากพ่อแม่แล้ว มอลลี่ พี่สาวคนโตยังมอบสร้อยคอเจ้าหญิงให้เป็นของขวัญอีกหนึ่ง ซึ่งมันเข้ากับชุดเจ้าหญิงที่พ่อและแม่ให้เธอเมื่ออาทิตย์ก่อน มีเพียงคนเดียวที่ไม่ต้องให้ของขวัญแก่มาร์กาเร็ต นั่นคือ น้องน้อย แมรี่ น้องสาวที่อายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปี
ห่างจากโต๊ะรับประทานอาหารประมาณหนึ่งเมตร เสียงใส ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งดังออกมาจากโทรทัศน์กรอบไม้ที่ตั้งอยู่ โดยมีเสาอากาศวางอยู่ด้านบน
“สวัสดียามเย็นค่ะท่านผู้ชม ขอต้อนรับสู่รายการนั่งคุยกับเซซิเลีย ช่วงรับประทานอาหารเย็นวันนี้ ดิฉันมั่นใจว่าผู้ชมทางบ้านคงนั่งไม่ติดเก้าอี้แน่ ๆ เลยค่ะ เพราะแขกรับเชิญในวันนี้ คือ ดร. แคลสเตอร์ ดีนส์ รองศาสตราจารย์จากโรงเรียนกฎหมายเฮมส์เวิร์ธ ผู้ที่ทำให้สถานการณ์การเมืองร้อนฉ่าอยู่ตอนนี้ สวัสดีค่ะ ดร. ดีนส์”
“สวัสดีครับ เซซิเลียที่รัก”
“ดร.คะ กล่าวถึงบทความของคุณที่ลงในวารสารเฮมส์เวิร์ธฉบับ122 หน้า 22 ถึง 25 คุณได้แถลงจุดยืนคัดค้านรัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติ ปี 2966 หลายคนชื่นชมผลงานของคุณมากเลยค่ะ ดิฉันก็เช่นกัน (“ขอบคุณครับผม!” ดร.ดีนส์กล่าวพร้อมยืดตัวขึ้น ขณะที่เซซิเลียหันมาสบกับกล้อง) ท่านผู้ชมคะ บทความนี้กลายเป็นหัวข้อร้อนทันทีที่วารสารได้รับการตีพิมพ์ (เสียงไพเราะของเธอดึงดูดให้มาร์กาเรตสนใจ แต่พิธีกรสาวได้หันกลับไปหาแขกรับเชิญแล้ว) คุณกำลังบอกว่า คุณไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าวที่ขัดแย้งกับหลักเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน...”
“พ่อคะ ปิดทีวีสักทีสิ เราจะร้องเพลงอวยพรให้เม็กนะคะ” พี่สาววัยสิบหกปีขอร้องเชิงตำหนิ แต่แทนที่จะปิดทีวี พ่อกลับลดเสียงให้เบาลงเท่านั้น ทำไงได้ เขาชื่นชอบรายการนี้มากและมักจะอวดว่าเซซิเลียซึ่งเป็นพิธีกรรายการเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา “เธอเป็นคนฉลาดมาก” เพราะเหตุนี้เอง มอลลี่จึงชอบแหย่พ่อกับแม่ด้วยการพูดว่าเซซิเลียคือรักแรกของพ่อแน่ ๆ เลย และแม่จะหัวเสียทุกครั้งที่พี่พูดแบบนี้
มาร์กาเร็ตเลียซอสบนมุมปาก ตอนนี้ก็ยังได้ยินเสียงทีวีอยู่
“...ครับ เราต้องพิจารณาคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนเหล่านี้ก่อน ‘กลุ่มเสี่ยง’ ทำไมเราถึงเรียกพวกเขาแบบนั้น พวกเขาก็เหมือนกับพวกเรา เพียงแต่มีทักษะพิเศษที่น่าเหลือเชื่อเท่านั้นเอง แค่หลักการทางวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ยังไม่สามารถหาที่มาของความพิเศษนี้ได้ อ้อ ใช่แล้ว เพราะการที่เราหาคำตอบไม่ได้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดกฎหมายนี้ เพราะคำถามที่ว่าอะไรทำให้พวกเขาถึงพิเศษกว่าคนอื่นยังไม่มีคำตอบ เอาละ ๆ ผมจะไม่พูดถึงหลักศาสนาหรือผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์หรือการเปลี่ยนแปลงในดีเอ็นเอหรอกนะ มันฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ สำหรับผม การที่เราให้คุณค่ากับคนกลุ่มนี้ต่างหากที่ผมอยากจะเน้นย้ำให้ตระหนัก แม้เราไม่สามารถหาคำตอบได้ในตอนนี้ก็จริง แต่ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะลดคุณค่าของพวกเขาในฐานะมนุษย์ หากให้ขยายความ มีผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ที่มีพรสวรรค์หรือมีทักษะพิเศษในบางกิจกรรมที่อาจทำให้เราแปลกใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่ากลัวเลย คำถามของผมคือ ทำไมเรามองพวกเขาเหมือนเป็นตัวอันตราย ทำไมเราต้องปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเป็นเชื้อโรคร้ายแรง ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่สิ่งน่ากลัว มันก็เหมือนกับเวลาคุณมีพรสวรรค์ในการวาดรูปหรือร้องเพลง หรือลองคิดถึงทักษะประหลาด ๆ ที่เรามักเห็นในรายการทีวีหรือคณะละครสัตว์สิ บางที นี่อาจจะเป็นวิวัฒนาการบางอย่างของมนุษย์ทางร่างกายและมันสมอง ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว พวกเราวิวัฒนาการอยู่เรื่อย ๆ หรือนี่อาจเป็นเพียงแค่พรสวรรค์พิเศษจริง ๆ”
“...แฮปปี้เบิร์ธเดยยย์ ทู—ยู” พวกเขาเกือบจบเพลงพร้อมกันแล้ว ถ้าหากพ่อหยุดมองจอโทรทัศน์สักนิด เขาถลึงตาจ้องหน้าจอ ส่วนปากฮัมเพลงอวยพรเธอด้วยเสียงเหมือนกับเครื่องดูดฝุ่นเก่า ๆ
“อย่างนี้นี่เอง แสดงว่าคุณคิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนป่วย พวกเขาเหมือนกับพวกเราและสมควรได้รับสิทธิในฐานะมนุษย์เหมือนกับคนปกติ”
“ใช่ครับ พวกเขาเป็นมนุษย์ปกติเหมือนพวกเรา มีสิทธิเช่นเดียวกับ...”
ทันใดนั้น มาร์กาเร็ตเหลือบเห็นหน้าจอโทรทัศน์ปรากฏข้อความแจ้งว่ารายการนี้ขัดต่อบทบัญญัติทางกฎหมาย แต่เวลานี้พ่อหันเหความสนใจทั้งหมดมาที่เธอแล้ว เขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่ารายการโปรดได้ถูกระงับออกอากาศเป็นที่เรียบร้อย
“ขอพรเลยเม็ก แต่ระวังพรที่ขอด้วยนะ”
เด็กหญิงเลิกจ้องทีวีแล้วก้มมองเค้กตรงหน้า
“ถ้าน้องขอให้พรุ่งนี้โรงเรียนประกาศหยุดละก็ ยังไงพรก็ไม่มีวันเป็นจริงหรอกจ้ะ” พอมอลลี่พูดจบ ทุกคนหัวเราะกันทันที เด็กหญิงทำหน้ามุ่ยที่พี่สาวรู้ทัน
เธอจะขอพรอะไรดี ขอให้เป็นแบบนี้ตลอดไปดีไหม มีพ่อ แม่ มอลลี่ และแมรี่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ฉันขอให้มีความสุขและชีวิตราบรื่นเหมือนวันนี้ละกัน เด็กหญิงขอพรในที่สุด แต่โชคร้าย พรของมาร์กาเร็ตไม่มีวันเป็นจริง ไม่มีวัน...เพราะเงาดำย่างกรายมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เวลาแห่งความสุขของเธอกำลังจะจบลงในไม่ช้า
เสียงกริ่งดังขึ้น แม่ทำจมูกย่นแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจนัก คงนึกสงสัยว่าใครมาเยี่ยมในเวลาเย็นแบบนี้แน่เลย
“โธ่ ไม่เอาน่า อย่าทำแบบนี้สิ พวกเขาระงับการออกอากาศแล้ว” นายสตีเว่นคร่ำครวญอยู่คนเดียว
“ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่รัก คุณต้องหาช่องโปรดช่องใหม่แล้วล่ะค่ะ บอกลาเซซิเลียที่รักของคุณได้เลย อาชีพการงานของเธอจบแล้ว” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสะใจจนออกนอกหน้า จากนั้นจึงเดินไปที่ประตู
มาร์กาเร็ตวิ่งไปที่บ้านตุ๊กตา เธอเอาเศษกระดาษของขวัญมาถมทับไว้ก่อนจะหันไปมอง
แมรี่ “ยังเล่นไม่ได้นะ” แต่น้องเล็กหัวเราะแล้วจ้วงเค้กเข้าปาก ไม่สนใจคำพูดของพี่สาวเลย เด็กหญิงเท้าเอวขัดใจแล้วเดินกลับไปที่เก้าอี้ “มันเป็นของฉัน”“แบ่งให้แมรี่เล่นสิ อย่าไร้น้ำใจ” มอลลี่เอ็ด
“เดี๋ยวถึงวันเกิดแมรี่เมื่อไรก็จะได้เหมือนกัน!” เธอเถียง
“เราก็จะมีบ้านสองหลัง พวกเธอก็เล่นเป็นเพื่อนบ้านกันไง” พี่สาวแนะนำ แมรี่หันมาพยักหน้าหงึก ๆ ใบหน้าเปื้อนครีมสดเป็นที่เรียบร้อย
“เดี๋ยวนะคะ ลูกสาวของฉันทำอะไรผิดเหรอคะ!”
เสียงแม่ดังมาจากด้านหน้า พ่อที่กำลังกุมหัวจ้องทีวีรีบกดปิดแล้วเดินอาด ๆ ตามแม่ไป “อะไรเหรอคุณ”
มอลลี่ได้ทีแอบขโมยมันฝรั่งทอดที่เธอปฏิเสธไปตอนแรกจากจานของพ่อ
“พี่บอกว่ากลัวอ้วนนี่นา” เด็กหญิงเลิกคิ้วถาม พี่สาวหันมาทำเสียงขู่ใส่
มาร์กาเร็ตหยิบช้อนสับเค้กในจานเล่น นึกสงสัยว่าทำไมพ่อกับแม่หายไปนาน แถมยังไม่พาแขกเข้ามา หรือว่าเป็นพวกขายของ แต่ว่าปกติแล้วพวกเขาไม่มาตอนเย็นแบบนี้นี่นา ความอยากรู้ของเด็กน้อยดึงความสนใจจากจานของหวานไปที่ประตู เธอกระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งตรงไปยังทางเดินเข้าบ้าน ร่างเล็กหลบอยู่หลังตู้โชว์แจกันกระเบื้องเคลือบ เธอเห็นพ่อกับแม่คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาเป็นตำรวจแน่ ๆ เธอจำเครื่องแบบสีกรมท่าได้ แถมมากันสองคน
“...นี่เป็นหมายจับภายใต้อำนาจดำเนินการของกฎหมายที่พวกเราก็รู้ว่ามาจากข้อไหน คงไม่ต้องให้อธิบายมากความหรอกนะครับ โปรดให้พวกเราเข้าไปเถอะครับ เราต้องการพบกับมอลลี่ สตีเว่น” หนึ่งในนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ยังแฝงว่ารีบร้อน
หมายจับ...จับใคร
แม่เหยียดแขนกันทั้งสองคนไว้ “แหม ขอโทษนะแต่มอลลี่ไม่มีลักษณะเข้าข่ายว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเลย เธอถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลเพราะปอดบวมตั้งแต่แปดขวบ ช่วยตรวจสอบประวัติการรักษาให้ดีก่อนที่จะกล่าวหาลูกสาวที่รักของฉันดีกว่านะคะ” น้ำเสียงนั้นกระแทกกระทั้นมาร์กาเร็ตอมยิ้มขำท่าทางไม่เคยเกรงกลัวใครของแม่ ส่วนพ่อพยายามปลอบไม่ให้แม่พูดจารุนแรง แม่น่ะ สู้คนจะตาย เธอพยายามปิดปากไม่ให้หลุดขำออกมา เด็กหญิงวิ่งกลับเข้าไปในห้องอาหาร มอลลี่ยังคงสวาปามมันฝรั่งทอดของพ่อ ส่วนแมรี่กำลังเดินเมียงมองบ้านตุ๊กตาของเธออยู่“แมรี่ อย่ายุ่งกับบ้านของฉันนะ” เธอหวีดเสียงร้อง น้องสาวตัวดียิ้มยิงฟัน แววตาเหมือนจะใสซื่อ พ่อกับแม่ไม่รู้หรอก มอลลี่ก็ไม่รู้ว่ายายแมรี่ซ่อนความร้ายกาจไว้มากมาย เธอชอบขโมยของเล่นของมาร์กาเร็ตตลอด ยิ่งพวกเขาถูกจับให้อยู่ห้องเดียวกันเพราะอายุไม่ได้ห่างกันมาก เธอยิ่งปกป้องของเล่นไม่ได้ทั้งหมด“พี่แกะแล้วให้หนูเล่นด้วยสิ จูดี้อยากมีบ้านเหมือนกับลิซ่านะ”แต่ก่อนที่มาร์กาเร็ตจะตอบ มอลลี่หันมาถามว่า “พ่อกับแม่ทำอะไรน่ะ”“ตำรวจมา” เธอตอบเด็กสาวขมวดคิ้ว “ตำรวจเหรอ”“มอลลี่ ลูกมีอะไรจะบอกพ่อกับแม่ไหม” คำถามท
30 ปีต่อมาปี 3012 เขตซานโบซ่า“ขอให้เดตวันนี้ราบรื่นนะ อีริน” คุณหมอกล่าวอวยพรนางพยาบาลคนหนึ่งในทีม พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนชุดผ่าตัดเป็นชุดเครื่องแบบปกติเสร็จ“ขอบคุณค่ะคาเลบ ตื่นเต้นจังเลย กลับก่อนนะคะ”พอเห็นอีรินถลันวิ่งออกไป คนอื่นยิ่งพยายามสะกดกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมาคาเลบหันไปจับมือและกล่าวขอบคุณสมาชิกคนอื่นในทีม ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปยังห้องทำงานของแต่ละคนการผ่าตัดประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่อทีมแพทย์สามารถนำช้อนออกมาจากท้องของผู้ป่วยได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดช้อนเจ้ากรรมจึงไหลผ่านหลอดอาหารลงสู่ท้องของคนไข้ได้ก็ตามคาเลบ เดวิส วัยสี่สิบห้าปีเป็นคุณหมอประจำอยู่ที่โรงพยาบาลซานโบซ่า ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กในเมืองขนาดย่อม เขตซานโบซ่าอยู่ในรัฐอิดริน่า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหพันธรัฐนิวโฮป เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่สงบสุขมาก ผู้คนส่วนใหญ่จึงรู้จักค่าหน้าค่าตากันเป็นอย่างดี อย่างคนไข้ที่คาเลบเพิ่งผ่าตัดเอาช้อนออกมาก็เป็นเจ้าของร้านอาหารที่เปิดขายอยู่ใจกลางตัวเมือง ร้านของเขาตั้งมานานหลายปี บริหารกิจการจากรุ่นสู่รุ่นเคสผ่าตัดแบบนี้ไม่ค่อยมีม
หญิงสาวกลอกตาเมื่อเขาพูดคำว่า ‘พระเจ้า’ ออกมา ราวกับแสลงหูมากเมื่อได้ยินคำนี้ “คุณเลี้ยงดูพวกเขามาดีต่างหาก ทั้งคุณและเบียนน่า ฉันเพิ่งได้ยินมาว่าอเล็กซิสได้รับจดหมายตอบรับจากวิทยาลัยการแพทย์มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คาเลบ คุณเก่งมาก ๆ เลยนะคะ พวกเขาช่างน่าทึ่งจริง ๆ คุณก็ด้วย ลูก ๆ ของพวกคุณเป็นเด็กดีและฉลาด เพราะคุณนั่นแหละ อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย บอกฉันทีสิ สรุปแล้วอเล็กซิสเลือกเส้นทางไหนกันแน่ จะเป็นหมอหรือจะเป็นนางแบบ” เธอไม่ใช่แค่ใช้ปากพูด แต่ยังเอาเท้าตัวเองถูเท้าของเขาคุณหมอค่อย ๆ ดึงเท้าตัวเองออกมาจากจุดอันตรายอย่างนิ่มนวล หัวใจของเขาเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไม่ใช่เพราะเกิดอารมณ์ตามที่ถูกหญิงสาวยั่วยวน แต่เป็นเพราะกลัวความไวของผู้หญิงคนนี้ต่างหาก คาเลบไม่เคยคิดที่จะกระโดดลงไปในหลุมกับดัก ไม่แม้แต่กระหายใคร่รู้ที่จะลิ้มลองเสน่ห์ของเธอ แต่เขากลัวว่าหากใครมาเห็นเข้าแบบนี้จะเข้าใจผิดเอาได้ สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงคือภรรยาและลูกเท่านั้น พวกเขาเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าที่เขาไม่มีวันยอมให้อะไรก็ตามมาพรากไปเด็ดขาด“ผมแต่งงานแล้ว และผมรักเธอมาก ต้องบอกคุณกี่ครั้งว่าอย่าทำแบบนี้ ผมไม่ชอบเล่นเกมกับคุ
ครอบครัวของคาเลบอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ห่างจากสวนสาธารณะประจำเมืองอยู่เพียงสองช่วงตึก ทั้งหลังทาสีขาวละมุนคล้ายสีเปลือกไข่ ที่แห่งนี้เป็นสวรรค์บนดินของคาเลบ ตรงสวนหน้าบ้านจะมีโรงไม้เล็กตั้งแอบอยู่ เป็นที่ประดิษฐ์ของเล่นชิ้นเล็กหรือของใช้ที่ทำจากไม้โดยฝีมือคาเลบเอง ซึ่งผลงานของเขาสร้างรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ มันเป็นไอเดียของลูกคนที่สาม อเล็กซิสได้ถ่ายรูปชิ้นงานของพ่อ แล้วอัปโหลดลงอินเทอร์เน็ต เธอยังพิมพ์ใบโฆษณาขายงานไม้ของเขาแล้วเอาไปแปะบนกระดานประกาศอีกด้วย อเล็กซิสไม่ได้หิวเงินขนาดนั้นหรอก แต่เธอทำไปเพื่อให้เขาภูมิใจในตัวเอง แน่นอนว่าคาเลบภูมิใจทั้งตัวเขาและไอเดียของลูกสาวมากคาเลบจอดรถไว้ในโรงจอด รถตู้สีเทาคันนี้รับใช้ครอบครัวเดวิสมาประมาณสิบสองปีแล้ว คาเลบยังครองตัวเป็นสุภาพบุรุษอยู่เสมอ ด้วยการประคองเบียนน่าลงจากรถ เขาปฏิบัติกับภรรยาเช่นนี้เรื่อยมาตั้งแต่ออกเดตครั้งแรก เบียนน่ามีดวงตาโตสีน้ำตาลเข้มแสนอบอุ่นไปถึงหัวใจ ผิวสีทองแดงเข้มคล้ายกับผิวของเขาแต่เนียนและมีสุขภาพดีกว่า เบียนน่าเป็นผู้หญิงร่างอวบ ผู้มีรอยยิ้มสวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น พวกเขาคบหากันราวสองปี จากนั้นคาเลบขอเธอแต่งงา
คาเลบและเบียนน่าเป็นพ่อแม่จำพวกที่ไม่ออกจากบ้านเลยหากไม่มีภาระจากหน้าที่การงานที่ทำอยู่ พวกเขาเลือกใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากกว่าเรื่องอื่น ยกเว้นเสียแต่ว่าภาระงานในบางครั้งที่ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่ซื้ออาหารสำเร็จนอกบ้าน เด็ก ๆ จึงใจดีอุ่นอาหารไว้ให้เมื่อชาร์ลีเห็นว่าพ่อและแม่ง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะอาหาร เขาจึงเดินกลับไปนั่งหน้าทีวีเพื่อดูการ์ตูนต่อ คาเลบเหลือบมองแล้วถอนหายใจพลางคิดว่าตนเองควรใช้เวลาอยู่กับลูกชายคนเล็กมากกว่านี้ อีกทั้งยังสงสัยด้วยว่าทำไมเจสซี่กับอเล็กซิสยังเอาแต่อยู่ข้างบน ไม่ลงมาเล่นกับน้องข้างล่าง“พวกเขาคงกำลังคุยอะไรกันอยู่แน่ ๆ บางทีอาจเป็นเรื่องสำคัญนะ” เขาบอกกับเบียนน่า คาเลบมักสนใจใคร่รู้เรื่องราวของลูกเสมอ เขาจึงเปรียบเสมือนกับคุณพ่อที่ค่อนข้างจู้จี้ แต่คาเลบถือว่าเขามีข้ออ้างที่น่าฟังอยู่ เพราะเจสซี่กับอเล็กซิสไม่เหมือนกับไบรซ์ ทั้งสองจะเป็นพวกเฮฮาขี้เล่น ปกติแล้วจะไม่ทิ้งชาร์ลีให้อยู่คนเดียวแบบนี้ พวกวัยรุ่นชอบเก็บความลับไว้กับตัว ไม่ยอมให้พ่อแม่รู้ และคาเลบก็ไม่ใช่พวกพ่อแม่ที่เข้าใจวัยรุ่นเสียด้วยภรรยาของเขาไม่ค่อยสนใจเหมือนที่คาเลบรู้สึก เธอเป็นคุณแม่
เขาหายตัวไปอย่างปริศนา ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อเล็กซิสตกใจและรับรู้ถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเมื่อสื่อทุกแขนงลงข่าวการหายตัวไปอย่างลึกลับของจอห์น ลีลอยด์ดังนี้“...แซลลี่ มัมฟอร์ด วัย 19 ปี พักอาศัยอยู่ในรีสอร์ตพร้อมกับครอบครัวในวันเดียวกับที่ลีลอยด์และเพื่อนอีกสามคนอาศัยในบ้านพักตากอากาศข้างเคียง พยานสาวเล่าว่า ลีลอยด์และกลุ่มเพื่อนจัดงานปาร์ตี้เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงในคืนก่อนที่ทั้งหมดหายตัวไป ตำรวจพบยาเสพติดและเครื่องดื่มมึนเมาที่ผสมสารผิดกฎหมายในที่พัก ลีลอยด์หายตัวไปนานกว่าสองสัปดาห์แล้ว ทางครอบครัวของเขาให้การว่า ผู้จัดการของลีลอยด์แจ้งว่า นักแสดงหนุ่มติดงานจนไม่มีเวลากลับบ้าน พวกเขาจึงไม่เอะใจว่าเขาหายตัวไปเพราะเป็นเรื่องปกติสำหรับอาชีพการงานของนักแสดงหนุ่ม จากการสอบสวนเบื้องต้น ตำรวจตั้งข้อสงสัยกับ ทิม ยัง ผู้จัดการของลีลอยด์ที่พยายามปกปิดข่าวการหายตัวไปเพื่อหาทางทำลายหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งอาจเชื่อมโยงนักแสดงหนุ่มกับยาเสพติด อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของผู้จัดการคนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าต้องการปกปิดเรื่องยาเสพติดเพียงอย่างเดียว หรือมีเหตุผลอื่นกันแน่ หรืออาจจะโยงไ
เด็กสาวสั่นหัว ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกฎหมายแต่หมายถึงปฏิเสธข้อสันนิษฐานของพี่ต่างหาก “เขาเป็นภูมิแพ้”“ไม่เกี่ยว ถ้าเขาทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ทางการเห็นชัดว่าเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มต้องสงสัย เขาก็ไม่มีทางรอดข้อหานี้ จริง ๆ นะ แม้ว่าจอห์นจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงทุกโรคเลยก็ตามเถอะ แต่มันไม่มีทางช่วยเขาให้หลุดพ้นจากกฎหมายนี้ได้หรอก” เจสซี่โยนเอกสารชุดหนึ่งลงบนตักของเธอ “อ่านสิ”‘...มาตราที่ 1 ย่อหน้าที่ 4 ผู้ที่มีความสามารถพิเศษอันแปลกประหลาดจากความสามารถของมนุษย์ที่พึงมี ผู้นั้นต้องลงทะเบียนว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ณ สถานที่ราชการแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือ สถานีตำรวจ...มาตราที่ 2 ย่อหน้าที่ 1 พลเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะรายงานตำรวจเกี่ยวกับเบาะแส ร่องรอย ข้อค้นพบ หรือ ข้อสงสัย ว่าคนคนนั้นจะเข้าข่าย หรือมีแนวโน้มเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง สำหรับกรณีเอชโอวัน การกระทำเพื่อปกป้องสหพันธรัฐไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล...’“นี่มัน...”“ข้อกฎหมายในรัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติ ปี 2966” เจสซี่ตอบ เขาเอานิ้วมือหวีผมหยิกหย็อยของตัวเอง มันไม่เคยเรียบเลย“พี่
เขาพูดถึงทุนการศึกษาที่เธออยากได้ใจจะขาด ทุนที่มอบโดยรัฐบาลนี้จะเป็นตัวช่วยสนับสนุนทางการเงินและโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับผู้ชนะ ทุนคือกุญแจนำไปสู่ความสำเร็จ รวมทั้งการใช้ชีวิตในเมืองหลวงฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิส ทั้งยังเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี การศึกษา และนวัตกรรม ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกคนรวย เดลฟีอาจมีวิทยาลัยทางการแพทย์อันดับต้น ๆ แต่วิทยาลัยแพทย์ของมหาวิทยาลัยฟิวเจอร์ริสติกนั้นเป็นอันดับหนึ่ง หากให้อเล็กซิสเลือก เธอย่อมเลือกไปที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจบการศึกษา เธอยังสามารถเข้าทำงานในโรงพยาบาลใดก็ได้ในเมืองหลวง ซึ่งอุปกรณ์และระดับเงินเดือนสูงกว่ามาก มันเป็นหนทางที่จะลาออกจากการเป็นชนชั้นกลางไปเป็นชนชั้นกลางระดับบน หรืออาจไปถึงชนชั้นสูงเลยก็ว่าได้ เจสซี่กับไบรซ์เคยได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์เช่นกัน แต่ทั้งสองไปไม่ถึงจุดหมาย อเล็กซิสรู้ดีว่าเธอเป็นความหวังสุดท้าย หรือไม่อย่างนั้น ทั้งครอบครัวคงต้องรออีกสิบกว่าปีกว่าชาร์ลีจะโต“ฉันก็พยายามไม่หวังนะ แต่คิดว่าน่าจะมีโอกาสสูงอยู่ พวกเขาดูสนใจฉันมากพอสมควร” เธอเล่า ดวงตาแสดงออกว่ามั่นใจมากกว่าที่พูดคิ้วเจสซี่กระต
อ้อ ไม่นับว่าหากเบนคนเดียวอยู่กับผู้หญิงมากกว่าหนึ่ง ข้อนี้ยกเว้น พวกเขาไม่สามารถมองหน้ากันระหว่างทำเรื่องแบบนี้ได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทั้งที่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกันได้แท้ ๆอเล็กซ์เลื่อนสายตามองไปทางอื่นเมื่อเห็นท่าทางยั่วยวนของซาร่าห์ “เอ่อ ล้อเล่น ช่างมันเถอะ คือ ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าหิว ก็เลยออกมา แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียง...เสียงนั้นนั่นแหละ” เขาหรี่ตามองทั้งคู่พร้อมรอยยิ้มร้ายแน่นอนว่าอเล็กซ์ต้องคุ้นกับเสียงของซาร่าห์ พวกเขาคบหาเป็นคู่รักกันตั้งสองสามสัปดาห์ก่อนที่เบนจะทำลายความสัมพันธ์ลง อย่างน้อย ตอนนี้ทั้งสองต่างคุยกันอย่างปกติ เหมือนเพื่อนที่ดีต่อกัน“มันยากนักเหรอไง ที่จะหาผู้ชายสักคน” อเล็กซ์ถามอดีตแฟน “ที่ดีกว่าหมอนี่?”“ใช่” ซาร่าห์สารภาพระหว่างสางผมสีทองของตัวเอง “ที่นี่ไม่ได้มีหนุ่มฮอตเยอะแยะสักหน่อย แถมส่วนใหญ่ก็ดูจะไม่สนใจพวกผู้หญิงกันแล้ว...รวมถึงนายด้วย”“เปล่าซะหน่อย...” อเล็กซ์เม้มปาก “ก็พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
เขาพยายามคิดว่าอเล็กซิสจะอยู่ที่ไหน บางทีอาจเป็นห้องฉายภาพยนตร์ เท่าที่เห็น เด็กสาวดูไม่น่าจะชอบที่จอแจ หากเป็นพวกผู้หญิงที่ง่ายหน่อยก็ไม่ต้องใช้เวลามาก แต่กับอีกประเภท ชั้นเชิงเป็นสิ่งจำเป็น แต่เด็กคนนี้ยังเด็กอยู่เลย บางทีอาจไม่ต้องใช้เวลามากก็ได้มั้ง แค่ให้ไอ้หัวทองไปไกล ๆ ก็พออย่างไรก็ตาม เขาไม่เจออเล็กซิสอยู่ดี เขาเจอผู้หญิงอีกคนเขาไม่แปลกใจที่เห็นเธอยืนเหมือนรออยู่แล้ว หญิงสาวยืนพิงกำแพงส่งยิ้มงาม เธอเคยสวยกว่านี้ เบนคิด วันเวลา สภาพที่ถูกกักขังในสถานที่ปิดลดทอนความสดใสในตัวคน ซาร่าห์ตรงหน้าเขาไม่ต่างจากกุหลาบใกล้ตาย เธอบิดริมฝีปากกึ่งเหยียดกึ่งยินดีเมื่อเขายิ้มให้เธอ เขารู้ว่าเธอต้องการอะไร หญิงสาวอาจไม่ผ่านบททดสอบ และแม้ดอกไม้ดอกนี้กำลังแห้งเหี่ยว แต่มันก็ยังดูสวยสง่าในแบบของมัน“ตายแล้ว นี่คือแบตเตอรี่ที่กำลังเสื่อมสภาพหรือเปล่า” ปากเธอว่าอย่างนั้น แต่มือกลับคล้องคอเขา ไม่ว่าจะอยู่ระดับไหน อีตัวก็คืออีตัวอยู่วันยังค่ำ กลิ่นน้ำหอมของหญิงสาวแตะจมูก มันเป็นกลิ่นกุหลาบ“เธอเคยเห็นกระป๋องซุปข้าวโพดที่ไม่ม
เขาเดินเตร็ดเตร่ไปตามทาง พวกเขาอาจจะถูกปล่อยให้เน่าตายอยู่ในนี้ก็ได้ทั้งสองคนตกนรกมาเกือบเดือน มันเริ่มมาจากคืนนั้น เบน อเล็กซ์ และซาร่าห์ ดื่มมากเกินไปหน่อย หรืออาจจะเรียกว่า บริโภคแอลกอฮอล์ไปเกือบถัง ไม่ใช่ถังปกติ แต่ระดับถังกักเก็บน้ำก็เป็นได้ ปกติแล้ว เท่าที่เบนศึกษาจากตัวพวกเขาเอง มนุษย์ที่มีพรสวรรค์ต้านทานฤทธิ์แอลกอฮอล์และยาได้ดีกว่าคนทั่วไปมาก หรืออาจจะเรียกว่าของพวกนี้ทำอะไรเขาไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเขาสูบหรือดื่มในปริมาณขนาดนั้น สุดท้าย ร่างกายก็ยอมแพ้อยู่ดี เมื่อสมองถูกแอลกอฮอล์หรือยาสักชนิดเล่นงาน สติค่อย ๆ ลดลง มันเป็นความประมาทเลินเล่อของพวกเขาด้วย วันนั้น ในห้องเพนต์เฮาส์ของอเล็กซ์ (ของอเล็กซ์จริง ๆ ไม่ใช่ของครอบครัว) ด้วยปราศจากสติสัมปชัญญะ พวกเบนทำเรื่องโง่เง่าที่สุดลงไป นั่นก็คือแสดงพลังเพื่อข่มกันและกันเบนค้นพบความสามารถเหนือมนุษย์มาตั้งแต่เด็ก ส่วนอเล็กซ์ได้รับพลังพิเศษมาจากอุบัติเหตุ สำหรับซาร่าห์ เขาไม่แน่ใจว่าเธอได้มาได้อย่างไร เพราะเธอไม่เคยเล่าให้ฟัง วันนั้นพวกเขาเพียงแค่แสดงความสามารถที่มี ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนใกล้ชิดคิดทรยศ
เครื่องตรวจจับควันถูกติดตั้งแทบทุกตารางนิ้ว ยกเว้นห้องใหม่ที่เพิ่งเปิด พวกเขานึกขอบคุณความสะเพร่าของเจ้าหน้าที่ติดตั้งระบบ เบนกับอเล็กซ์จึงได้โอกาสสูบกัญชาอัดปอดกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งรบกวน น่าแปลกที่ว่า เบนควรรู้สึกว่าเป็นผู้ชนะ (ซึ่งตอนแรกก็รู้สึกแบบนั้น) ทว่าอารมณ์เริงร่ายินดีกับเรื่องนี้หมดลง เมื่อเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ทำตัวแปลกไป นับวันอเล็กซ์ยิ่งมีอาการแย่ลง แย่ลง เขาเอาแต่สิงอยู่ในท้องฟ้าจำลองตั้งแต่ที่พบว่ามันเป็นเขตปลอดเครื่องดักจับควัน คิดไปว่าห้องนี้คือพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง เบนมองว่าอเล็กซ์คงเลือกนอนตายในห้องนี้แน่นอนอเล็กซ์ค่อนข้างหงุดหงิดในช่วงแรกที่คนอื่นรู้ว่ามีห้องใหม่ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบหรือตื่นเต้นไปกับดวงดาวเท่าไรนัก (เหมือนกับเบน) มีไม่เยอะนักที่จะมานั่งแช่นาน ๆ ดังนั้น ไม่กี่วันผ่านไปจึงเหลือไม่กี่คนที่เข้ามาดู อีกเหตุผลหนึ่งที่แขกมีจำนวนน้อย เพราะอเล็กซ์สูบบุหรี่ เมื่อเขาเริ่มจุด คนเริ่มทยอยหนีออกไป เพราะเหตุนี้ ห้องจึงมีกลิ่นกัญชาเกือบตลอดเวลา อเล็กซ์รู้วิธีไล่คนออกไปจากห้อง เขาต้องการยึดห้องนี้ไว้คนเดียว&
อเล็กซิสมองตาม เห็นอดีตประธานนักเรียนกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหม่อย่างสนุกสนาน เบลินดาปรับตัวกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับที่เวดทำได้ คงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาเหมือนกัน เธอดูมีความสุขมากขึ้น หากนับจากวันที่ถูกจับมาด้วยกัน“นายยังคุยกับคาร์เตอร์อยู่ ฉันเห็น” อเล็กซิสพูด “นายไม่โกรธเธอเลยเหรอ”เขาสั่นหัว “หายโกรธไปแล้ว พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่นา ฉันค่อนข้างเห็นใจเบลนะ พวกเธอสองคนเย็นชาใส่เขามากไปหน่อย”อเล็กซิสจ้องตาออสโล่เขม็ง ชี้นิ้วไปที่หน้าตัวเอง “ฉันเนี่ยนะ เย็นชาเหรอ เขาตั้งใจจะให้ฉันถูกจับเลยนะ”“ฉันรู้ ๆ อย่างน้อยเธอก็แค่ไม่สนใจเบล ก็ยังดี ฉันก็ไม่ได้จะว่าเธอสักหน่อย”อเล็กซิสถอนหายใจอย่างแรง “ออสโล่ ฉันรู้ว่านายใจอ่อนง่าย โอเค ฉันอาจไม่บ่น ไม่กล่าวโทษคาร์เตอร์ แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะเตือนนายให้ระวังคนแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าคาร์เตอร์คิดอะไรอยู่ แถมเธอยังไม่เคยขอโทษพวกเราเลยด้วยซ้ำ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายยังคุยกับคนแบบนั้นได้ นับถือจริง ๆ”“
วินาทีที่อเล็กซิสหันไปมอง เด็กคนนั้นมองกลับมาอย่างรวดเร็ว มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาด เขามักจะมองกลับมาเร็วเสมอเหมือนรู้สึกตัวตลอดเวลาว่ามีคนมองอยู่ รูปลักษณ์ของเขาดึงดูดสายตาของอเล็กซิสได้สนิท ทั้งผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าเข้ม สีหน้าของเขาเหมือนกับกระจกสะท้อนสีหน้าของอเล็กซิสเช่นกัน เธอสอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีเรดาร์ติดตัวหรืออย่างไร ในเมื่อเขาสามารถจับสายตาคนได้ตลอด เธอจำเด็กหนุ่มคนนี้ได้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ พวกเขาเหมือนรู้จักกันมาก่อน อันที่จริง ควรใช้คำว่า พอคุ้นหน้าคุ้นตามากกว่า“เด็กคนนั้น” โนเอลพึมพำ “เขาไม่คุยกับใครเลย พวกเราพยายามจะเป็นเพื่อนกับเขา แต่เขากลับอยากอยู่คนเดียว เป็นเด็กที่แปลกจริง ๆ ไม่มีใครรู้ชื่อเขาเลยด้วย”“ไมเคิล” อเล็กซิสตอบ“เธอรู้จักเขาเหรอ” เวดถาม เริ่มกระวนกระวายขึ้นมาทันที“อื้อ เราเคยเจอกันนานพอสมควร ฉันว่าเขาน่าจะเป็นคนขี้อายมาก ๆ ...หรือไม่ก็ ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่สิ ไม่ชอบคน”“แล้วไปรู้จักกันตอนไหน”“ตอนที่ไปเทสต์หน้ากล้อง”
“หวัดดี พวกนาย!” เทสซ่าเดินเข้ามา สวยเด่นมาแต่ไกล พอมาถึงก็เอามือเท้าเอว ส่วนอีกข้างเกาะขอบเก้าอี้ไว้ เทสซ่าสวมเสื้อสายเดี่ยวสีดำครึ่งตัวกับกางเกงทหารสีกากี ศีรษะของเธออยู่ประมาณหูของอเล็กซิส“ได้เวลาพอดีเลย ลุยเลยเพื่อน!” เวดเชียร์เมื่อพวกพี่น้องโธมัสโผล่มาเทสซ่าอายุสิบเก้า เป็นเพื่อนคนแรกของพวกเขา เธอทำตัวเหมือนกับเป็นเจ้าของที่นี่ คอยให้คำแนะนำและพาเดินชมรอบ ๆ จนพวกอเล็กซิสรู้ว่าที่ไหนเป็นอะไรบ้าง พวกเทสซ่าแทบจะเป็นประชากรกลุ่มแรกเลยก็ว่าได้ เพราะอยู่ที่มาก่อนเด็กซานโบซ่าราว ๆ สามอาทิตย์ เธอเล่าว่า ตอนแรกมีคนไม่เยอะเท่าไรนัก แต่เมื่อมีหน้าใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ ที่นี่ก็เริ่มแน่นขึ้นอย่างที่เห็น“อเล็กซิสจ๊ะ ฉันแอบเห็นเธอถามหาจอห์น ลีลอยด์ที่โรงหนังด้วยนะ ถ้าพวกฉันไม่เห็นเขา ก็ไม่มีใครเห็นแล้วล่ะ เชื่อเถอะ” เทสซ่าว่า สายตามองไปยังเสื้อแจ๊กเกตของเพื่อนสาว “ตัวนี้ก็สวยจัง”ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้างหลังเทสซ่าคือ มินนี่และโนเอล มินนี่เป็นน้องเล็กสุด อายุสิบเจ็ดปี แม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่มินนี่ไม่เหมือนเทสซ่า เด็กสาว
เสียงเพลงในเลานจ์ดังพอสมควร แม้ดนตรีจะเป็นแจ๊สแต่ก็ออกมาจากตู้เพลง หาใช่ฝีมือนักดนตรีไม่ ครั้งแรกที่เธอเข้ามาที่นี่อดทึ่งและประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างขับเคลื่อนอัตโนมัติ ปราศจากหุ่นยนต์หรือแรงงานมนุษย์คอยควบคุม หรืออาจจะอยู่เบื้องหลัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายคอยปรนเปรอ ทุกอย่างเหมือนดีกว่าที่คิดไว้ อย่างน้อยเธอยังมีเพื่อน ทว่าความเหงาไม่ได้ทุเลาลงเลยหากอยากฟังเพลงอะไร อยากดื่มอะไร เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอหรือออกคำสั่งด้วยเสียง ไม่กี่วินาทีของที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอเคยเห็นเทคโนโลยีแบบนี้แค่ในหนังเท่านั้น รัฐบาลโกหกประชาชนไว้หลายอย่าง พวกเขาปิดกั้นความรู้ไม่ให้ชาวนิวโฮปเข้าถึงดั่งอดัมกับอีฟ ทุกคนอยู่ในโลกอนาคต แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนคนในยุคก่อน และความจริงที่เธอรับรู้ในตอนนี้อาจเป็นเพียงความจริงเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความจริงทั้งหมดก็ได้ไม่มีใครให้คำตอบหรืออธิบายข้อสงสัยอะไรทั้งสิ้น คนที่ถูกจับทั้งหมดถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่ในเกาะปลีกวิเวกสุดหรู อเล็กซิสเฝ้าถามตัวเองว่า ที่นี่มีไว้ทำอะไรกัน เธอไม่รู้ว่ามันอยู่ไกลกว่าบ้านหรือเปล่า หรือว่าอยู่ใน
“เออ ไม่มีน่ะสิ”พวกเขาหยุดอยู่หน้าประตูโลหะสีดำ มันเป็นสีดำ เพราะอย่างนี้นี่เอง ห้องนี้จึงโดดเด่นขึ้นมาจากห้องอื่น เพราะสีที่ต่างกับที่อื่นทำให้เบนรู้สึกถูกใจขึ้นมาทันที แม้ยังไม่เห็นว่าข้างในเป็นอย่างไรก็ตาม สีดำเป็นสีคลาสสิกและสะท้อนรสนิยม เพราะสีดำมีสไตล์ในตัวมันเองอเล็กซ์เปิดประตูนำเข้าไป ดวงตาสีดำเปิดประกายเจิดจ้าขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาอยู่ในห้องเหมือนเด็กที่เห็นของเล่นถูกใจ ที่แท้ ห้องนี้คือห้องท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่ ทรงกลม มีโปรเจ็คเตอร์ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง พร้อมกับที่นั่งรอบกำแพงจำนวนสิบที่ ท้องฟ้าจำลองยามค่ำคืนอวดดวงดาวนับพันที่กำลังส่องแสงระยิบระยิบ ตรงข้ามกับอเล็กซ์ เบนกลับผิดหวังที่มันเป็นท้องฟ้าจำลอง เพราะเขาไม่ใช่คนที่สนใจดูดาวพวกนี้เลย ทั้งความเงียบและท้องฟ้ามืด ๆ ดาวอะไรก็ไม่รู้ เบนไม่รู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้น เขายอมอยู่ในห้องฉายภาพยนตร์ที่มีแต่หนังโรแมนติกเก่า ๆ เล่าเรื่องราวความรักน้ำเน่ายังดีกว่า อเล็กซ์เดินวนไปวนมา จ้องมองท้องฟ้าข้างบนด้วยท่าทางครึกครื้น“นี่นะเหรอ...ที่ที่นายบอกว่าเจ๋ง”“เดี๋ยวสิวะ อ