แม่เหยียดแขนกันทั้งสองคนไว้ “แหม ขอโทษนะแต่มอลลี่ไม่มีลักษณะเข้าข่ายว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเลย เธอถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลเพราะปอดบวมตั้งแต่แปดขวบ ช่วยตรวจสอบประวัติการรักษาให้ดีก่อนที่จะกล่าวหาลูกสาวที่รักของฉันดีกว่านะคะ” น้ำเสียงนั้นกระแทกกระทั้น
มาร์กาเร็ตอมยิ้มขำท่าทางไม่เคยเกรงกลัวใครของแม่ ส่วนพ่อพยายามปลอบไม่ให้แม่พูดจารุนแรง แม่น่ะ สู้คนจะตาย เธอพยายามปิดปากไม่ให้หลุดขำออกมา เด็กหญิงวิ่งกลับเข้าไปในห้องอาหาร มอลลี่ยังคงสวาปามมันฝรั่งทอดของพ่อ ส่วนแมรี่กำลังเดินเมียงมองบ้านตุ๊กตาของเธออยู่
“แมรี่ อย่ายุ่งกับบ้านของฉันนะ” เธอหวีดเสียงร้อง น้องสาวตัวดียิ้มยิงฟัน แววตาเหมือนจะใสซื่อ พ่อกับแม่ไม่รู้หรอก มอลลี่ก็ไม่รู้ว่ายายแมรี่ซ่อนความร้ายกาจไว้มากมาย เธอชอบขโมยของเล่นของมาร์กาเร็ตตลอด ยิ่งพวกเขาถูกจับให้อยู่ห้องเดียวกันเพราะอายุไม่ได้ห่างกันมาก เธอยิ่งปกป้องของเล่นไม่ได้ทั้งหมด
“พี่แกะแล้วให้หนูเล่นด้วยสิ จูดี้อยากมีบ้านเหมือนกับลิซ่านะ”
แต่ก่อนที่มาร์กาเร็ตจะตอบ มอลลี่หันมาถามว่า “พ่อกับแม่ทำอะไรน่ะ”
“ตำรวจมา” เธอตอบ
เด็กสาวขมวดคิ้ว “ตำรวจเหรอ”
“มอลลี่ ลูกมีอะไรจะบอกพ่อกับแม่ไหม” คำถามที่พ่อแม่ลั่นออกมาเดี๋ยวนั้นทำให้มอลลี่ตกใจมากจนโยนมันฝรั่งลงไปในน้ำอัดลม แมรี่หัวเราะใหญ่
ทันใดนั้นเธอรู้สึกราวกับว่าแสงไฟในห้องมืดลง แต่จริง ๆ แล้วมันก็ยังสว่างปกติดีอยู่ สุดท้ายหันกลับไปมองพี่สาวที่มีเครื่องหมายคำถามบนใบหน้า
“หมายความว่าไงคะ”
“นั่นสิ” มาร์กาเร็ตสงสัยตามพี่สาว ออกจะรำคาญด้วยซ้ำที่ความสนใจไปตกอยู่ที่พี่มากกว่า แถมสีหน้าสดชื่นรื่นเริงของพ่อและแม่ก็หายวับไปด้วย
“มีตำรวจมารออยู่หน้าบ้าน รอลูกนี่แหละ” พ่ออธิบาย “พวกเขาพูดถึงกฎหมายอันนั้น”
“อันไหน...” ฉับพลัน สีหน้าของมอลลี่ซีดลงทันที ปากสั่นระริก พี่สาวกระโดดจากเก้าอี้ไปหลบอยู่ที่มุมห้องในก้าวเดียว “นะ นะ หนูไม่รู้นะ ไม่รู้เลย มันเกิดขึ้นเอง หนูไม่รู้ว่าหนูทำยังไง...ช่วยหนูเถอะ หนูไม่อยากไปกับพวกเขา” อากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปโดยฉับพลันทำให้เธอกับน้องอีกสองคนตกตะลึง โดยเฉพาะมาร์กาเร็ตที่แม้จะเข้าใจดีกว่าแมรี่ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้น
มอลลี่ทำอะไรผิด
“บอกแม่มาเถอะลูก บอกมาให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้น!” แม่เร่งให้พี่พูด
มาร์กาเร็ตกับแมรี่หันมาสบตากัน เด็กหญิงมองอากัปกิริยาลนลานของพี่ มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเมื่อวานก่อน และมันไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย
“มีรถคันนึง...ไถลมาทางหนู...และ...หนูหยุดมัน หยุดรถคันนั้นไว้...นะ...หนูไม่รู้ว่าทำยังไง แต่มันหยุดเอง...มันหยุดเอง ใช่ไหม หนูไม่ได้ทำอะไรเลยนะ บางทีคนขับอาจจะเหยียบเบรกทันก็ได้!”
“มากับพวกเราเถอะ คุณสตีเว่น”
เธอไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่เข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อใด แถมยังไม่ได้รับอนุญาตด้วย มาร์กาเร็ตจ้องเขม็งไปยังผู้บุกรุกที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เธอไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่รู้อย่างเดียวว่าเจ้าหน้าที่จะมาเอาตัวพี่สาวไปในงานวันเกิดของเธอ และเธอไม่มีวันยอมเด็ดขาด
ไร้มารยาทจริง ๆ
“เรามีหมายจับ ซึ่งเป็นหมายจับพิเศษ และถ้าคุณไม่ไปกับพวกเรา พวกผมคงต้องใช้กำลัง”
“อย่ามาขู่พวกเราเลย!” แม่กรีดร้องเสียงแหลมด้วยความโมโห เธอวิ่งเข้าไปหามอลลี่ กางแขนออก ตั้งใจจะปกป้องพี่อย่างสุดความสามารถ
ส่วนพ่อเหมือนพยายามคลี่คลายสถานการณ์ลง เขาเตือนแม่ว่า “อย่าทำเรื่องโง่เลยนะ อกาธา ได้โปรดเถอะครับ พวกเรามีเด็ก ๆ อยู่ด้วย ให้พวกเราคุยกับลูกเองเถอะ เม็ก แมรี่ กลับขึ้นห้องของลูกก่อน ไปสิ!”
มาร์กาเร็ตสะดุ้ง เธอเริ่มเบะปากจะร้องไห้ แต่พ่อย้ำอีกที “ขึ้นไป!” ความเสียใจเปลี่ยนเป็นโกรธ เด็กหญิงจับมือน้องสาววิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว ปกติแล้วพ่อไม่เคยขึ้นเสียงดุขนาดนี้ เธอไม่ลืมย่ำเท้าหนักลงทุกขั้นบันไดเพื่อแสดงให้เห็นว่าโกรธพ่อมากที่ขัดใจ แต่มาร์กาเร็ตและแมรี่ไม่ได้วิ่งหนีเข้าห้อง พวกเธอแอบมองลงไปข้างล่างผ่านลูกกรงระเบียงชั้นบน
“เราไม่มีเวลาแล้ว มาเถอะ คุณสตีเว่น! เป็นเด็กดีเถอะนะ”
เมื่อพ่อมองขึ้นมา ทั้งสองหมอบลงหลบสายตาของเขา พวกเธอฟังแม่และพี่สาวเถียงกับพวกตำรวจ ได้ยินมอลลี่ตะโกนร้องไห้ไม่ยอมไป ร้องบอกว่าพวกเขาจะฆ่าเธอ เมื่อนั้น มาร์กาเร็ตและแมรี่ร้องไห้ตาม เธอรู้สึกกลัวเมื่อฟังบทสนทนาที่เต็มไปด้วยอารมณ์เดือดดาลของแต่ละฝ่าย แม้ยังไม่เข้าใจความผิดของมอลลี่ชัดเจน แต่ทั้งสองไม่อยากให้พี่สาวถูกฆ่าหรือถูกนำตัวไป
นี่มันวันเกิดของฉันนะ มาร์กาเร็ตร้องไห้ฮือ ๆ สลับกับเสียงงอแงของแมรี่
“เขาจะเอามอลลี่ไปอะ เม็ก”
จากนั้นทั้งสองได้ยินเสียงดังเหมือนกับว่าคนข้างล่างกำลังต่อสู้กัน เสียงกรีดร้องของแม่ดังขึ้น ทั้งมาร์กาเร็ตและแมรี่ไม่กล้าดู พวกเธอหลับตาปี๋กอดกันแน่น ภาวนาขอให้พระเจ้าหรืออะไรก็แล้วแต่ช่วยหยุดความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้านล่างเสียที เธอต้องการงานวันเกิดของเธอกลับคืนมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“หยุดเถอะมอลลี่ อย่าทำแบบนี้ ลูกทำให้เรื่องมันแย่ลง”
มอลลี่กรีดร้อง แม้แต่เด็กหกขวบอย่างมาร์กาเร็ตยังสัมผัสความกลัวสุดขีดของพี่ได้ “หนูทำไม่ได้ หนูไม่รู้ หนูไม่ได้ทำนะ”
พ่อร้องวิงวอนเสียงดัง “อย่าเลย ได้โปรด อย่าทำแบบนี้ ให้ผมปลอบเธอเถอะ ยังมีเด็กเล็กอีกนะครับ ได้โปรดเถอะครับ”
“คุณนายหลบไป ลูกคุณเป็นตัวอันตราย”
“ไม่ เธอไม่ใช่ตัวอันตราย และพวกคุณไม่มีสิทธิเอาตัวเธอไป!”
จากนั้นเสียงปืนดังขึ้นเพียงนัดเดียว นัดเดียวเท่านั้นที่จบความวุ่นวายทุกอย่างลง นัดเดียวที่ทำลายทุกสิ่ง มาร์กาเร็ตรู้สึกประหลาดในช่องอก เธอคลายอ้อมแขนที่กอดน้องสาวแล้วรีบวิ่งลงไปข้างล่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่แมรี่วิ่งตามหลังมาติด ๆ เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่รู้ว่าทำไมงานวันเกิดของเธอถึงพังไม่เป็นท่า แต่ตอนนี้ ตรงหน้าเธอ พ่อกำลังร้องโวยวายอย่างตื่นตระหนกอยู่บนพื้น ร้องไห้เช่นคนไร้เรี่ยวแรง พวกตำรวจใจร้ายยืนนิ่งไม่พูดอะไร ส่วนแม่และมอลลี่นอนอยู่บนพื้น ร่างของแม่นอนนิ่ง ดวงตายังเบิกกว้าง เด็กหญิงกรีดร้องเสียงดัง หวาดกลัวกับภาพที่เห็น หนำซ้ำบนร่างของแม่ยังมีอีกร่าง นั่นคือมอลลี่ ร่างของพี่สาวกระตุกอยู่ ปากขยับเรียก “แม่...คะ” จากนั้นดวงตาสีเขียวคู่นั้นสบเข้ากับดวงตาเธอ ตอนนั้นเองที่มาร์กาเร็ตตระหนักแล้วว่ามอลลี่ไม่อยู่กับเธออีกแล้ว ร่างนั้นเป็นเพียงกายเปล่า ชั่วเวลาหนึ่งที่เธอเห็นว่าช่วงเวลาที่จิตวิญญาณออกจากร่างเป็นอย่างไร ดวงตาสีเขียวเจิดจ้าของพี่ค่อย ๆ อับแสงปราศจากสัญญาณแห่งชีวิตเหมือนกับเวลาที่ไฟค่อย ๆ ดับลง
พระเจ้าไม่มีอยู่จริง หรือถ้าท่านมีตัวตน ท่านช่างโหดร้ายเหลือเกิน
และนี่คืองานฉลองวันเกิดครั้งสุดท้ายของครอบครัวสตีเว่น
30 ปีต่อมาปี 3012 เขตซานโบซ่า“ขอให้เดตวันนี้ราบรื่นนะ อีริน” คุณหมอกล่าวอวยพรนางพยาบาลคนหนึ่งในทีม พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนชุดผ่าตัดเป็นชุดเครื่องแบบปกติเสร็จ“ขอบคุณค่ะคาเลบ ตื่นเต้นจังเลย กลับก่อนนะคะ”พอเห็นอีรินถลันวิ่งออกไป คนอื่นยิ่งพยายามสะกดกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมาคาเลบหันไปจับมือและกล่าวขอบคุณสมาชิกคนอื่นในทีม ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปยังห้องทำงานของแต่ละคนการผ่าตัดประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่อทีมแพทย์สามารถนำช้อนออกมาจากท้องของผู้ป่วยได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดช้อนเจ้ากรรมจึงไหลผ่านหลอดอาหารลงสู่ท้องของคนไข้ได้ก็ตามคาเลบ เดวิส วัยสี่สิบห้าปีเป็นคุณหมอประจำอยู่ที่โรงพยาบาลซานโบซ่า ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กในเมืองขนาดย่อม เขตซานโบซ่าอยู่ในรัฐอิดริน่า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหพันธรัฐนิวโฮป เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่สงบสุขมาก ผู้คนส่วนใหญ่จึงรู้จักค่าหน้าค่าตากันเป็นอย่างดี อย่างคนไข้ที่คาเลบเพิ่งผ่าตัดเอาช้อนออกมาก็เป็นเจ้าของร้านอาหารที่เปิดขายอยู่ใจกลางตัวเมือง ร้านของเขาตั้งมานานหลายปี บริหารกิจการจากรุ่นสู่รุ่นเคสผ่าตัดแบบนี้ไม่ค่อยมีม
หญิงสาวกลอกตาเมื่อเขาพูดคำว่า ‘พระเจ้า’ ออกมา ราวกับแสลงหูมากเมื่อได้ยินคำนี้ “คุณเลี้ยงดูพวกเขามาดีต่างหาก ทั้งคุณและเบียนน่า ฉันเพิ่งได้ยินมาว่าอเล็กซิสได้รับจดหมายตอบรับจากวิทยาลัยการแพทย์มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คาเลบ คุณเก่งมาก ๆ เลยนะคะ พวกเขาช่างน่าทึ่งจริง ๆ คุณก็ด้วย ลูก ๆ ของพวกคุณเป็นเด็กดีและฉลาด เพราะคุณนั่นแหละ อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย บอกฉันทีสิ สรุปแล้วอเล็กซิสเลือกเส้นทางไหนกันแน่ จะเป็นหมอหรือจะเป็นนางแบบ” เธอไม่ใช่แค่ใช้ปากพูด แต่ยังเอาเท้าตัวเองถูเท้าของเขาคุณหมอค่อย ๆ ดึงเท้าตัวเองออกมาจากจุดอันตรายอย่างนิ่มนวล หัวใจของเขาเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไม่ใช่เพราะเกิดอารมณ์ตามที่ถูกหญิงสาวยั่วยวน แต่เป็นเพราะกลัวความไวของผู้หญิงคนนี้ต่างหาก คาเลบไม่เคยคิดที่จะกระโดดลงไปในหลุมกับดัก ไม่แม้แต่กระหายใคร่รู้ที่จะลิ้มลองเสน่ห์ของเธอ แต่เขากลัวว่าหากใครมาเห็นเข้าแบบนี้จะเข้าใจผิดเอาได้ สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงคือภรรยาและลูกเท่านั้น พวกเขาเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าที่เขาไม่มีวันยอมให้อะไรก็ตามมาพรากไปเด็ดขาด“ผมแต่งงานแล้ว และผมรักเธอมาก ต้องบอกคุณกี่ครั้งว่าอย่าทำแบบนี้ ผมไม่ชอบเล่นเกมกับคุ
ครอบครัวของคาเลบอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ห่างจากสวนสาธารณะประจำเมืองอยู่เพียงสองช่วงตึก ทั้งหลังทาสีขาวละมุนคล้ายสีเปลือกไข่ ที่แห่งนี้เป็นสวรรค์บนดินของคาเลบ ตรงสวนหน้าบ้านจะมีโรงไม้เล็กตั้งแอบอยู่ เป็นที่ประดิษฐ์ของเล่นชิ้นเล็กหรือของใช้ที่ทำจากไม้โดยฝีมือคาเลบเอง ซึ่งผลงานของเขาสร้างรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ มันเป็นไอเดียของลูกคนที่สาม อเล็กซิสได้ถ่ายรูปชิ้นงานของพ่อ แล้วอัปโหลดลงอินเทอร์เน็ต เธอยังพิมพ์ใบโฆษณาขายงานไม้ของเขาแล้วเอาไปแปะบนกระดานประกาศอีกด้วย อเล็กซิสไม่ได้หิวเงินขนาดนั้นหรอก แต่เธอทำไปเพื่อให้เขาภูมิใจในตัวเอง แน่นอนว่าคาเลบภูมิใจทั้งตัวเขาและไอเดียของลูกสาวมากคาเลบจอดรถไว้ในโรงจอด รถตู้สีเทาคันนี้รับใช้ครอบครัวเดวิสมาประมาณสิบสองปีแล้ว คาเลบยังครองตัวเป็นสุภาพบุรุษอยู่เสมอ ด้วยการประคองเบียนน่าลงจากรถ เขาปฏิบัติกับภรรยาเช่นนี้เรื่อยมาตั้งแต่ออกเดตครั้งแรก เบียนน่ามีดวงตาโตสีน้ำตาลเข้มแสนอบอุ่นไปถึงหัวใจ ผิวสีทองแดงเข้มคล้ายกับผิวของเขาแต่เนียนและมีสุขภาพดีกว่า เบียนน่าเป็นผู้หญิงร่างอวบ ผู้มีรอยยิ้มสวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น พวกเขาคบหากันราวสองปี จากนั้นคาเลบขอเธอแต่งงา
คาเลบและเบียนน่าเป็นพ่อแม่จำพวกที่ไม่ออกจากบ้านเลยหากไม่มีภาระจากหน้าที่การงานที่ทำอยู่ พวกเขาเลือกใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากกว่าเรื่องอื่น ยกเว้นเสียแต่ว่าภาระงานในบางครั้งที่ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่ซื้ออาหารสำเร็จนอกบ้าน เด็ก ๆ จึงใจดีอุ่นอาหารไว้ให้เมื่อชาร์ลีเห็นว่าพ่อและแม่ง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะอาหาร เขาจึงเดินกลับไปนั่งหน้าทีวีเพื่อดูการ์ตูนต่อ คาเลบเหลือบมองแล้วถอนหายใจพลางคิดว่าตนเองควรใช้เวลาอยู่กับลูกชายคนเล็กมากกว่านี้ อีกทั้งยังสงสัยด้วยว่าทำไมเจสซี่กับอเล็กซิสยังเอาแต่อยู่ข้างบน ไม่ลงมาเล่นกับน้องข้างล่าง“พวกเขาคงกำลังคุยอะไรกันอยู่แน่ ๆ บางทีอาจเป็นเรื่องสำคัญนะ” เขาบอกกับเบียนน่า คาเลบมักสนใจใคร่รู้เรื่องราวของลูกเสมอ เขาจึงเปรียบเสมือนกับคุณพ่อที่ค่อนข้างจู้จี้ แต่คาเลบถือว่าเขามีข้ออ้างที่น่าฟังอยู่ เพราะเจสซี่กับอเล็กซิสไม่เหมือนกับไบรซ์ ทั้งสองจะเป็นพวกเฮฮาขี้เล่น ปกติแล้วจะไม่ทิ้งชาร์ลีให้อยู่คนเดียวแบบนี้ พวกวัยรุ่นชอบเก็บความลับไว้กับตัว ไม่ยอมให้พ่อแม่รู้ และคาเลบก็ไม่ใช่พวกพ่อแม่ที่เข้าใจวัยรุ่นเสียด้วยภรรยาของเขาไม่ค่อยสนใจเหมือนที่คาเลบรู้สึก เธอเป็นคุณแม่
เขาหายตัวไปอย่างปริศนา ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อเล็กซิสตกใจและรับรู้ถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเมื่อสื่อทุกแขนงลงข่าวการหายตัวไปอย่างลึกลับของจอห์น ลีลอยด์ดังนี้“...แซลลี่ มัมฟอร์ด วัย 19 ปี พักอาศัยอยู่ในรีสอร์ตพร้อมกับครอบครัวในวันเดียวกับที่ลีลอยด์และเพื่อนอีกสามคนอาศัยในบ้านพักตากอากาศข้างเคียง พยานสาวเล่าว่า ลีลอยด์และกลุ่มเพื่อนจัดงานปาร์ตี้เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงในคืนก่อนที่ทั้งหมดหายตัวไป ตำรวจพบยาเสพติดและเครื่องดื่มมึนเมาที่ผสมสารผิดกฎหมายในที่พัก ลีลอยด์หายตัวไปนานกว่าสองสัปดาห์แล้ว ทางครอบครัวของเขาให้การว่า ผู้จัดการของลีลอยด์แจ้งว่า นักแสดงหนุ่มติดงานจนไม่มีเวลากลับบ้าน พวกเขาจึงไม่เอะใจว่าเขาหายตัวไปเพราะเป็นเรื่องปกติสำหรับอาชีพการงานของนักแสดงหนุ่ม จากการสอบสวนเบื้องต้น ตำรวจตั้งข้อสงสัยกับ ทิม ยัง ผู้จัดการของลีลอยด์ที่พยายามปกปิดข่าวการหายตัวไปเพื่อหาทางทำลายหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งอาจเชื่อมโยงนักแสดงหนุ่มกับยาเสพติด อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของผู้จัดการคนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าต้องการปกปิดเรื่องยาเสพติดเพียงอย่างเดียว หรือมีเหตุผลอื่นกันแน่ หรืออาจจะโยงไ
เด็กสาวสั่นหัว ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกฎหมายแต่หมายถึงปฏิเสธข้อสันนิษฐานของพี่ต่างหาก “เขาเป็นภูมิแพ้”“ไม่เกี่ยว ถ้าเขาทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ทางการเห็นชัดว่าเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มต้องสงสัย เขาก็ไม่มีทางรอดข้อหานี้ จริง ๆ นะ แม้ว่าจอห์นจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงทุกโรคเลยก็ตามเถอะ แต่มันไม่มีทางช่วยเขาให้หลุดพ้นจากกฎหมายนี้ได้หรอก” เจสซี่โยนเอกสารชุดหนึ่งลงบนตักของเธอ “อ่านสิ”‘...มาตราที่ 1 ย่อหน้าที่ 4 ผู้ที่มีความสามารถพิเศษอันแปลกประหลาดจากความสามารถของมนุษย์ที่พึงมี ผู้นั้นต้องลงทะเบียนว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ณ สถานที่ราชการแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือ สถานีตำรวจ...มาตราที่ 2 ย่อหน้าที่ 1 พลเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะรายงานตำรวจเกี่ยวกับเบาะแส ร่องรอย ข้อค้นพบ หรือ ข้อสงสัย ว่าคนคนนั้นจะเข้าข่าย หรือมีแนวโน้มเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง สำหรับกรณีเอชโอวัน การกระทำเพื่อปกป้องสหพันธรัฐไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล...’“นี่มัน...”“ข้อกฎหมายในรัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติ ปี 2966” เจสซี่ตอบ เขาเอานิ้วมือหวีผมหยิกหย็อยของตัวเอง มันไม่เคยเรียบเลย“พี่
เขาพูดถึงทุนการศึกษาที่เธออยากได้ใจจะขาด ทุนที่มอบโดยรัฐบาลนี้จะเป็นตัวช่วยสนับสนุนทางการเงินและโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับผู้ชนะ ทุนคือกุญแจนำไปสู่ความสำเร็จ รวมทั้งการใช้ชีวิตในเมืองหลวงฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิส ทั้งยังเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี การศึกษา และนวัตกรรม ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกคนรวย เดลฟีอาจมีวิทยาลัยทางการแพทย์อันดับต้น ๆ แต่วิทยาลัยแพทย์ของมหาวิทยาลัยฟิวเจอร์ริสติกนั้นเป็นอันดับหนึ่ง หากให้อเล็กซิสเลือก เธอย่อมเลือกไปที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจบการศึกษา เธอยังสามารถเข้าทำงานในโรงพยาบาลใดก็ได้ในเมืองหลวง ซึ่งอุปกรณ์และระดับเงินเดือนสูงกว่ามาก มันเป็นหนทางที่จะลาออกจากการเป็นชนชั้นกลางไปเป็นชนชั้นกลางระดับบน หรืออาจไปถึงชนชั้นสูงเลยก็ว่าได้ เจสซี่กับไบรซ์เคยได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์เช่นกัน แต่ทั้งสองไปไม่ถึงจุดหมาย อเล็กซิสรู้ดีว่าเธอเป็นความหวังสุดท้าย หรือไม่อย่างนั้น ทั้งครอบครัวคงต้องรออีกสิบกว่าปีกว่าชาร์ลีจะโต“ฉันก็พยายามไม่หวังนะ แต่คิดว่าน่าจะมีโอกาสสูงอยู่ พวกเขาดูสนใจฉันมากพอสมควร” เธอเล่า ดวงตาแสดงออกว่ามั่นใจมากกว่าที่พูดคิ้วเจสซี่กระต
อเล็กซิสมัดผมตัวเองเป็นทรงหางม้า และไม่ลืมที่จะเติมมาสคาร่า ทาปากด้วยสิปสติกสีชมพูกุหลาบที่เธอมองว่าเข้ากันดีกับลุคแต่งตัวในฤดูร้อน เธอเช็กเสื้อผ้าและหน้าตาของตัวเองในกระจกให้แน่ใจ โอเค พอมั่นใจว่าสวยแล้วก็เช็กส่วนอื่นต่อ อเล็กซิสเลือกสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยแจ๊คเกตหนังสีดำ กางเกงยีน (แน่นอนว่ายี่ห้อเล็กซี่) และรองเท้าผ้าใบสีแดง มันเป็นสไตล์เดิมๆที่เธอชอบแต่ง บางครั้งเธอใส่เดรสหวาน ๆ บ้าง แต่กางเกงยีนทำให้เธอรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากกว่า“นี่มันหน้าร้อนนะจ๊ะ”เด็กสาวเม้มปากเมื่อพี่สาวทักพร้อมกับรอยยิ้มขบขัน “แดดร้อนกับเสื้อแจ๊คเกตเนี่ยนะ”“ก็ไม่ร้อนเท่าไรนี่” เธอโต้ แต่ถอดเสื้อแจ็คเกตออก ก่อนจะนำมันมาผูกไว้ที่เอวแทนในห้องนอนของสองสาวมีเตียงเดี่ยวสองหลัง ทั้งห้องถูกแบ่งออกเป็นสองเขตแดนนั่นคือ เขตแดนของไบรซ์และเขตแดนของอเล็กซิส ส่วนของไบรซ์จะมีเพียงโปสเตอร์วงดนตรีคันทรี่ใบเดียวแปะอยู่บนโต๊ะบวกกับกีตาร์โปร่งทำจากไม้มะฮอกกานี ไบรซ์มีเสียงที่ไพเราะมาก ทั้งยังเล่นกีตาร์เก่ง แต่เธอไม่ค่อยแสดงออกเท่าไรเพราะติดนิสัยขี้อายและเก็บตัว อเล็กซิสเล่นกีตาร์ได้เหมือนกัน แต่ไม่เก่งเท่าพี่สาว ข้าวของของ
อ้อ ไม่นับว่าหากเบนคนเดียวอยู่กับผู้หญิงมากกว่าหนึ่ง ข้อนี้ยกเว้น พวกเขาไม่สามารถมองหน้ากันระหว่างทำเรื่องแบบนี้ได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทั้งที่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกันได้แท้ ๆอเล็กซ์เลื่อนสายตามองไปทางอื่นเมื่อเห็นท่าทางยั่วยวนของซาร่าห์ “เอ่อ ล้อเล่น ช่างมันเถอะ คือ ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าหิว ก็เลยออกมา แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียง...เสียงนั้นนั่นแหละ” เขาหรี่ตามองทั้งคู่พร้อมรอยยิ้มร้ายแน่นอนว่าอเล็กซ์ต้องคุ้นกับเสียงของซาร่าห์ พวกเขาคบหาเป็นคู่รักกันตั้งสองสามสัปดาห์ก่อนที่เบนจะทำลายความสัมพันธ์ลง อย่างน้อย ตอนนี้ทั้งสองต่างคุยกันอย่างปกติ เหมือนเพื่อนที่ดีต่อกัน“มันยากนักเหรอไง ที่จะหาผู้ชายสักคน” อเล็กซ์ถามอดีตแฟน “ที่ดีกว่าหมอนี่?”“ใช่” ซาร่าห์สารภาพระหว่างสางผมสีทองของตัวเอง “ที่นี่ไม่ได้มีหนุ่มฮอตเยอะแยะสักหน่อย แถมส่วนใหญ่ก็ดูจะไม่สนใจพวกผู้หญิงกันแล้ว...รวมถึงนายด้วย”“เปล่าซะหน่อย...” อเล็กซ์เม้มปาก “ก็พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
เขาพยายามคิดว่าอเล็กซิสจะอยู่ที่ไหน บางทีอาจเป็นห้องฉายภาพยนตร์ เท่าที่เห็น เด็กสาวดูไม่น่าจะชอบที่จอแจ หากเป็นพวกผู้หญิงที่ง่ายหน่อยก็ไม่ต้องใช้เวลามาก แต่กับอีกประเภท ชั้นเชิงเป็นสิ่งจำเป็น แต่เด็กคนนี้ยังเด็กอยู่เลย บางทีอาจไม่ต้องใช้เวลามากก็ได้มั้ง แค่ให้ไอ้หัวทองไปไกล ๆ ก็พออย่างไรก็ตาม เขาไม่เจออเล็กซิสอยู่ดี เขาเจอผู้หญิงอีกคนเขาไม่แปลกใจที่เห็นเธอยืนเหมือนรออยู่แล้ว หญิงสาวยืนพิงกำแพงส่งยิ้มงาม เธอเคยสวยกว่านี้ เบนคิด วันเวลา สภาพที่ถูกกักขังในสถานที่ปิดลดทอนความสดใสในตัวคน ซาร่าห์ตรงหน้าเขาไม่ต่างจากกุหลาบใกล้ตาย เธอบิดริมฝีปากกึ่งเหยียดกึ่งยินดีเมื่อเขายิ้มให้เธอ เขารู้ว่าเธอต้องการอะไร หญิงสาวอาจไม่ผ่านบททดสอบ และแม้ดอกไม้ดอกนี้กำลังแห้งเหี่ยว แต่มันก็ยังดูสวยสง่าในแบบของมัน“ตายแล้ว นี่คือแบตเตอรี่ที่กำลังเสื่อมสภาพหรือเปล่า” ปากเธอว่าอย่างนั้น แต่มือกลับคล้องคอเขา ไม่ว่าจะอยู่ระดับไหน อีตัวก็คืออีตัวอยู่วันยังค่ำ กลิ่นน้ำหอมของหญิงสาวแตะจมูก มันเป็นกลิ่นกุหลาบ“เธอเคยเห็นกระป๋องซุปข้าวโพดที่ไม่ม
เขาเดินเตร็ดเตร่ไปตามทาง พวกเขาอาจจะถูกปล่อยให้เน่าตายอยู่ในนี้ก็ได้ทั้งสองคนตกนรกมาเกือบเดือน มันเริ่มมาจากคืนนั้น เบน อเล็กซ์ และซาร่าห์ ดื่มมากเกินไปหน่อย หรืออาจจะเรียกว่า บริโภคแอลกอฮอล์ไปเกือบถัง ไม่ใช่ถังปกติ แต่ระดับถังกักเก็บน้ำก็เป็นได้ ปกติแล้ว เท่าที่เบนศึกษาจากตัวพวกเขาเอง มนุษย์ที่มีพรสวรรค์ต้านทานฤทธิ์แอลกอฮอล์และยาได้ดีกว่าคนทั่วไปมาก หรืออาจจะเรียกว่าของพวกนี้ทำอะไรเขาไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเขาสูบหรือดื่มในปริมาณขนาดนั้น สุดท้าย ร่างกายก็ยอมแพ้อยู่ดี เมื่อสมองถูกแอลกอฮอล์หรือยาสักชนิดเล่นงาน สติค่อย ๆ ลดลง มันเป็นความประมาทเลินเล่อของพวกเขาด้วย วันนั้น ในห้องเพนต์เฮาส์ของอเล็กซ์ (ของอเล็กซ์จริง ๆ ไม่ใช่ของครอบครัว) ด้วยปราศจากสติสัมปชัญญะ พวกเบนทำเรื่องโง่เง่าที่สุดลงไป นั่นก็คือแสดงพลังเพื่อข่มกันและกันเบนค้นพบความสามารถเหนือมนุษย์มาตั้งแต่เด็ก ส่วนอเล็กซ์ได้รับพลังพิเศษมาจากอุบัติเหตุ สำหรับซาร่าห์ เขาไม่แน่ใจว่าเธอได้มาได้อย่างไร เพราะเธอไม่เคยเล่าให้ฟัง วันนั้นพวกเขาเพียงแค่แสดงความสามารถที่มี ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนใกล้ชิดคิดทรยศ
เครื่องตรวจจับควันถูกติดตั้งแทบทุกตารางนิ้ว ยกเว้นห้องใหม่ที่เพิ่งเปิด พวกเขานึกขอบคุณความสะเพร่าของเจ้าหน้าที่ติดตั้งระบบ เบนกับอเล็กซ์จึงได้โอกาสสูบกัญชาอัดปอดกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งรบกวน น่าแปลกที่ว่า เบนควรรู้สึกว่าเป็นผู้ชนะ (ซึ่งตอนแรกก็รู้สึกแบบนั้น) ทว่าอารมณ์เริงร่ายินดีกับเรื่องนี้หมดลง เมื่อเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ทำตัวแปลกไป นับวันอเล็กซ์ยิ่งมีอาการแย่ลง แย่ลง เขาเอาแต่สิงอยู่ในท้องฟ้าจำลองตั้งแต่ที่พบว่ามันเป็นเขตปลอดเครื่องดักจับควัน คิดไปว่าห้องนี้คือพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง เบนมองว่าอเล็กซ์คงเลือกนอนตายในห้องนี้แน่นอนอเล็กซ์ค่อนข้างหงุดหงิดในช่วงแรกที่คนอื่นรู้ว่ามีห้องใหม่ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบหรือตื่นเต้นไปกับดวงดาวเท่าไรนัก (เหมือนกับเบน) มีไม่เยอะนักที่จะมานั่งแช่นาน ๆ ดังนั้น ไม่กี่วันผ่านไปจึงเหลือไม่กี่คนที่เข้ามาดู อีกเหตุผลหนึ่งที่แขกมีจำนวนน้อย เพราะอเล็กซ์สูบบุหรี่ เมื่อเขาเริ่มจุด คนเริ่มทยอยหนีออกไป เพราะเหตุนี้ ห้องจึงมีกลิ่นกัญชาเกือบตลอดเวลา อเล็กซ์รู้วิธีไล่คนออกไปจากห้อง เขาต้องการยึดห้องนี้ไว้คนเดียว&
อเล็กซิสมองตาม เห็นอดีตประธานนักเรียนกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหม่อย่างสนุกสนาน เบลินดาปรับตัวกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับที่เวดทำได้ คงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาเหมือนกัน เธอดูมีความสุขมากขึ้น หากนับจากวันที่ถูกจับมาด้วยกัน“นายยังคุยกับคาร์เตอร์อยู่ ฉันเห็น” อเล็กซิสพูด “นายไม่โกรธเธอเลยเหรอ”เขาสั่นหัว “หายโกรธไปแล้ว พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่นา ฉันค่อนข้างเห็นใจเบลนะ พวกเธอสองคนเย็นชาใส่เขามากไปหน่อย”อเล็กซิสจ้องตาออสโล่เขม็ง ชี้นิ้วไปที่หน้าตัวเอง “ฉันเนี่ยนะ เย็นชาเหรอ เขาตั้งใจจะให้ฉันถูกจับเลยนะ”“ฉันรู้ ๆ อย่างน้อยเธอก็แค่ไม่สนใจเบล ก็ยังดี ฉันก็ไม่ได้จะว่าเธอสักหน่อย”อเล็กซิสถอนหายใจอย่างแรง “ออสโล่ ฉันรู้ว่านายใจอ่อนง่าย โอเค ฉันอาจไม่บ่น ไม่กล่าวโทษคาร์เตอร์ แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะเตือนนายให้ระวังคนแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าคาร์เตอร์คิดอะไรอยู่ แถมเธอยังไม่เคยขอโทษพวกเราเลยด้วยซ้ำ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายยังคุยกับคนแบบนั้นได้ นับถือจริง ๆ”“
วินาทีที่อเล็กซิสหันไปมอง เด็กคนนั้นมองกลับมาอย่างรวดเร็ว มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาด เขามักจะมองกลับมาเร็วเสมอเหมือนรู้สึกตัวตลอดเวลาว่ามีคนมองอยู่ รูปลักษณ์ของเขาดึงดูดสายตาของอเล็กซิสได้สนิท ทั้งผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าเข้ม สีหน้าของเขาเหมือนกับกระจกสะท้อนสีหน้าของอเล็กซิสเช่นกัน เธอสอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีเรดาร์ติดตัวหรืออย่างไร ในเมื่อเขาสามารถจับสายตาคนได้ตลอด เธอจำเด็กหนุ่มคนนี้ได้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ พวกเขาเหมือนรู้จักกันมาก่อน อันที่จริง ควรใช้คำว่า พอคุ้นหน้าคุ้นตามากกว่า“เด็กคนนั้น” โนเอลพึมพำ “เขาไม่คุยกับใครเลย พวกเราพยายามจะเป็นเพื่อนกับเขา แต่เขากลับอยากอยู่คนเดียว เป็นเด็กที่แปลกจริง ๆ ไม่มีใครรู้ชื่อเขาเลยด้วย”“ไมเคิล” อเล็กซิสตอบ“เธอรู้จักเขาเหรอ” เวดถาม เริ่มกระวนกระวายขึ้นมาทันที“อื้อ เราเคยเจอกันนานพอสมควร ฉันว่าเขาน่าจะเป็นคนขี้อายมาก ๆ ...หรือไม่ก็ ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่สิ ไม่ชอบคน”“แล้วไปรู้จักกันตอนไหน”“ตอนที่ไปเทสต์หน้ากล้อง”
“หวัดดี พวกนาย!” เทสซ่าเดินเข้ามา สวยเด่นมาแต่ไกล พอมาถึงก็เอามือเท้าเอว ส่วนอีกข้างเกาะขอบเก้าอี้ไว้ เทสซ่าสวมเสื้อสายเดี่ยวสีดำครึ่งตัวกับกางเกงทหารสีกากี ศีรษะของเธออยู่ประมาณหูของอเล็กซิส“ได้เวลาพอดีเลย ลุยเลยเพื่อน!” เวดเชียร์เมื่อพวกพี่น้องโธมัสโผล่มาเทสซ่าอายุสิบเก้า เป็นเพื่อนคนแรกของพวกเขา เธอทำตัวเหมือนกับเป็นเจ้าของที่นี่ คอยให้คำแนะนำและพาเดินชมรอบ ๆ จนพวกอเล็กซิสรู้ว่าที่ไหนเป็นอะไรบ้าง พวกเทสซ่าแทบจะเป็นประชากรกลุ่มแรกเลยก็ว่าได้ เพราะอยู่ที่มาก่อนเด็กซานโบซ่าราว ๆ สามอาทิตย์ เธอเล่าว่า ตอนแรกมีคนไม่เยอะเท่าไรนัก แต่เมื่อมีหน้าใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ ที่นี่ก็เริ่มแน่นขึ้นอย่างที่เห็น“อเล็กซิสจ๊ะ ฉันแอบเห็นเธอถามหาจอห์น ลีลอยด์ที่โรงหนังด้วยนะ ถ้าพวกฉันไม่เห็นเขา ก็ไม่มีใครเห็นแล้วล่ะ เชื่อเถอะ” เทสซ่าว่า สายตามองไปยังเสื้อแจ๊กเกตของเพื่อนสาว “ตัวนี้ก็สวยจัง”ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้างหลังเทสซ่าคือ มินนี่และโนเอล มินนี่เป็นน้องเล็กสุด อายุสิบเจ็ดปี แม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่มินนี่ไม่เหมือนเทสซ่า เด็กสาว
เสียงเพลงในเลานจ์ดังพอสมควร แม้ดนตรีจะเป็นแจ๊สแต่ก็ออกมาจากตู้เพลง หาใช่ฝีมือนักดนตรีไม่ ครั้งแรกที่เธอเข้ามาที่นี่อดทึ่งและประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างขับเคลื่อนอัตโนมัติ ปราศจากหุ่นยนต์หรือแรงงานมนุษย์คอยควบคุม หรืออาจจะอยู่เบื้องหลัง มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายคอยปรนเปรอ ทุกอย่างเหมือนดีกว่าที่คิดไว้ อย่างน้อยเธอยังมีเพื่อน ทว่าความเหงาไม่ได้ทุเลาลงเลยหากอยากฟังเพลงอะไร อยากดื่มอะไร เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอหรือออกคำสั่งด้วยเสียง ไม่กี่วินาทีของที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอเคยเห็นเทคโนโลยีแบบนี้แค่ในหนังเท่านั้น รัฐบาลโกหกประชาชนไว้หลายอย่าง พวกเขาปิดกั้นความรู้ไม่ให้ชาวนิวโฮปเข้าถึงดั่งอดัมกับอีฟ ทุกคนอยู่ในโลกอนาคต แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนคนในยุคก่อน และความจริงที่เธอรับรู้ในตอนนี้อาจเป็นเพียงความจริงเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความจริงทั้งหมดก็ได้ไม่มีใครให้คำตอบหรืออธิบายข้อสงสัยอะไรทั้งสิ้น คนที่ถูกจับทั้งหมดถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่ในเกาะปลีกวิเวกสุดหรู อเล็กซิสเฝ้าถามตัวเองว่า ที่นี่มีไว้ทำอะไรกัน เธอไม่รู้ว่ามันอยู่ไกลกว่าบ้านหรือเปล่า หรือว่าอยู่ใน
“เออ ไม่มีน่ะสิ”พวกเขาหยุดอยู่หน้าประตูโลหะสีดำ มันเป็นสีดำ เพราะอย่างนี้นี่เอง ห้องนี้จึงโดดเด่นขึ้นมาจากห้องอื่น เพราะสีที่ต่างกับที่อื่นทำให้เบนรู้สึกถูกใจขึ้นมาทันที แม้ยังไม่เห็นว่าข้างในเป็นอย่างไรก็ตาม สีดำเป็นสีคลาสสิกและสะท้อนรสนิยม เพราะสีดำมีสไตล์ในตัวมันเองอเล็กซ์เปิดประตูนำเข้าไป ดวงตาสีดำเปิดประกายเจิดจ้าขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาอยู่ในห้องเหมือนเด็กที่เห็นของเล่นถูกใจ ที่แท้ ห้องนี้คือห้องท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่ ทรงกลม มีโปรเจ็คเตอร์ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง พร้อมกับที่นั่งรอบกำแพงจำนวนสิบที่ ท้องฟ้าจำลองยามค่ำคืนอวดดวงดาวนับพันที่กำลังส่องแสงระยิบระยิบ ตรงข้ามกับอเล็กซ์ เบนกลับผิดหวังที่มันเป็นท้องฟ้าจำลอง เพราะเขาไม่ใช่คนที่สนใจดูดาวพวกนี้เลย ทั้งความเงียบและท้องฟ้ามืด ๆ ดาวอะไรก็ไม่รู้ เบนไม่รู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้น เขายอมอยู่ในห้องฉายภาพยนตร์ที่มีแต่หนังโรแมนติกเก่า ๆ เล่าเรื่องราวความรักน้ำเน่ายังดีกว่า อเล็กซ์เดินวนไปวนมา จ้องมองท้องฟ้าข้างบนด้วยท่าทางครึกครื้น“นี่นะเหรอ...ที่ที่นายบอกว่าเจ๋ง”“เดี๋ยวสิวะ อ