พวกเพื่อนต้อนรับเบ็กกี้อย่างอบอุ่น (แก้ตัวจากครั้งแรก) โดยเฉพาะเทสซ่า เพื่อนสาวคนนี้มีนิสัยแบบนี้แหละ ออกหน้าลุยใส่ทุกคนที่คิดร้ายต่อเพื่อนตัวเอง และเมื่อสาวน้อยผมแดงกลายเป็นเพื่อนก็ละอคติซึ่งกันและกัน ความบาดหมางก็จบลง สิ่งเดียวที่อเล็กซิสสอนให้เบ็กกี้คุ้นเคยไว้ก็คือมุกตลกเจ็บแสบของเวดกับเบน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาแท็กทีม
ในห้อง อเล็กซิสนั่งค้นหาเครื่องเล่นซีดีที่อเล็กซ์ขอยืม
เขาจะชวนฉันอีกไหม
เด็กสาวเขกศีรษะตัวเองเบา ๆ อยู่หลายที พอแล้วกับคำถามมากมายในหัว เธอรื้อหาเครื่องเล่นที่ว่าต่อ มันอยู่ลึกสุดใต้กระเป๋า เพราะตั้งแต่มาถึงที่นี่ อเล็กซิสไม่ได้หยิบใช้เลย โดยเฉพาะช่วงที่ยังหมกมุ่นกับความคิดตัวเอง แม้แต่อัลบั้มรูปครอบครัวและเพื่อนที่ตอนแรกอยู่ข้างบน ตอนนี้ลงไปอยู่ก้นกระเป๋าเช่นกัน แน่นอนว่าเธอคิดถึงพวกเขาจะแย่แต่กลัวที่จะเปิดดูภาพเหล่านั้น เพราะถ้าเธอเปิดดู ความรู้สึกสูญเสียก็จะกลับมาเล่นงานอีก
พอนึกถึงข้อกำหนดการเคลื่อนย้าย แม้มีคำสั่งห้าม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอต้องนำเอาของพวกนี้ไปด้วยให้ได้ อย่างน้อยเธอยังได้พกพวกเขาไปด้วย อเล็กซิสได้แต่ภาวนาในใจ อีกแค่สามวันเท่านั้น ความเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้น และครั้งนี้ความกลัวได้ส่งผลต่อจิตใจประมาณหนึ่ง มันเป็นความกลัวที่จะต้องย้ายไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จักอีกรอบ
ใครบางคนเคาะประตู “อเล็กซานเดอร์ โวลคอฟ มาหาคุณ” เสียงสังเคราะห์ของมนุษย์เพศชายดังเป็นสัญญาณแทนกริ่ง เขาต้องมาเอาเครื่องเล่นแน่นอน เธอคว้าอุปกรณ์ เดินไปกดปุ่มเปิดจากนั้นบานประตูเลื่อนไปทางซ้าย อเล็กซ์ยืนอยู่ข้างหน้า ส่วนเบนยืนกอดอกอยู่ฝั่งตรงข้าม
“พวกผู้หญิงมักให้ผู้ชายรอเสมอ” หนุ่มเจ้าเสน่ห์แซว พออเล็กซิสมีโอกาสได้คุยกับเบนบ่อยขึ้น เขาก็แสดงเจตนาอย่างโจ่งแจ้ง ถึงแม้ว่าดวงตาแววโรจน์ของเบนจะมีอิทธิพลกับเธอเหมือนกับที่มันมีผลต่อผู้หญิงคนอื่น ทว่ามันไม่ได้ทำให้เธอหวั่นไหวไปได้มากกว่าชื่นชมรูปลักษณ์ของเขา เธอยังคงฝันถึงเดวี่ เพียงแต่ความถี่นั้นน้อยลง ไม่ว่าจะรักเพื่อสนุกหรือตามหารักอันเป็น
นิรันดร์ เธอไม่หลงเหลือความศรัทธาในด้านไหนเลยเด็กสาวเลือกที่จะไม่สนใจเบน แต่หันไปบ่นอีกคนแทน “ไม่เห็นต้องรีบเลย ฉันเพิ่งกลับมาถึงห้องเอง” เธอส่งเครื่องเล่นซีดีให้อเล็กซ์
“คาร์เมนนะ”
“อื้อ แผ่นอยู่ในเครื่อง”
จากนั้นเขาเสียบหูฟังแล้วหลุดไปอยู่ในโลกส่วนตัว แต่กระนั้น เขาไม่ได้กลับไป เป็นเบนที่เดินเข้ามาคุย
“พวกเราเจอคาร์เมนบ่อย ๆ” เขาเอ่ยถึงนักร้องคนโปรดของเธอ คาร์เมนโด่งดังด้วยสไตล์การร้องและบทเพลงอันมีเอกลักษณ์เฉพาะ ดนตรีของเธอเป็นแนวบัลลาดย้อนยุค บางครั้งผสมอาร์แอนด์บีและแรป แต่สไตล์ ‘คาร์เมน’ น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดในการบรรยายลักษณะดนตรีของเธอ
“ฉันเคยเจอเธอครั้งหนึ่ง จัดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ในเมือง” อเล็กซิสเล่าประสบการณ์ของตัวเอง ระหว่างนั้นก้าวขาออกมาจากห้องก่อนที่จะปล่อยให้เบนเข้ามา ประตูปิดสนิท หากไม่ใช่เจ้าของห้องจะเปิดไม่ได้ “ไม่มีออโต้จูน ไม่มีแดนเซอร์ เธอเป็นคนที่น่าทึ่งมาก ๆ”
“เธออ่านใจฉันเก่งจริง ๆ” นายน้อยจากเมืองหลวงยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอาเถอะ รู้ไว้ว่าอเล็กซ์เป็นเด็กของคาร์เมน เข้าใจความหมายของฉันใช่ไหม” เบนว่า “พวกเราเจอเธอในส่วนวีไอพีเลานจ์ของพ่อฉันอยู่หลายครั้งหลายครา เธอชอบไปที่นั่น ถ้าเธอเป็นแฟนคลับของคาร์เมน น่าจะรู้จักทุกเพลง”
“แน่สิ” พวกเขาเดินคุยกันไปอย่างไม่รู้จุดหมาย มีอเล็กซ์เดินตามข้างหลัง
“เลานจ์ที่ว่า ชื่อ ลิแบลลูล (Libellule)” เบนกระซิบเบา ๆ แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
เลานจ์นั้นเหมือนชื่อเพลงหนึ่งของคาร์เมน
“ฉันรู้ว่ามันเป็นสถานที่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเลานจ์ของนาย ครอบครัวนายทำธุรกิจอะไรเหรอเบน”
เขาไม่ตอบคำถามล่าสุด แต่เพียงยิ้มมุมปากจากนั้นเริ่มร้องเพลงให้ฟัง
“You saw me sitting alone in Libellule, Weak and fragile, under the neon moon. Sweet love, you returned my youth and healed my wound. My midnight eyes, you forget our night in June. เธอคิดว่าหนุ่มในเพลงคนนั้นคือใครล่ะ คนที่มีดวงตาเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน”
เสียงร้องของเขาไม่เลวเลย เขามีพรสวรรค์
อเล็กซิสหันหน้าไปหาอเล็กซ์และเขาหรี่ตามองกลับ เธอจึงเข้าใจ เด็กสาวหยุดเดินแล้วจ้องเบนอย่างเอาเรื่อง “นายชอบยัดความคิดบ้า ๆ ใส่หัวฉันตลอดเลย”
“ใช่ ไอ้หมอนี่ชอบปลูกฝังความคิดแย่ ๆ ให้คนอื่นอยู่เรื่อย” อเล็กซ์สนับสนุนความเห็นนั้น นั่นหมายความว่าเขายังไม่ได้หลุดไปอยู่ในโลกของคาร์เมนเต็มตัว เพราะได้ยินบทสนทนาทั้งหมด
เบนโอบไหล่เธอ “คิดว่ามุกจะใช้ได้ผลซะอีก เธอดูซื่อจนน่าจะเชื่อง่าย ๆ ฉันรู้นะว่าเธอเบื่อคลับแล้ว ทำไมไม่หาที่อื่นที่พวกเราจะใช้เวลาด้วยกันก่อนย้ายที่ เราสองคน...”
เธอดึงแขนเขาออกแล้วไม่สนใจคำชวนนั้น “ซื่อเหรอ” ใบหน้าแฝงรอยยิ้มเยาะ “นี่พวกนาย การที่ฉันอายุอ่อนกว่าไม่กี่ปี ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้อะไรเลยสักหน่อย แล้วนายมาหาฉันเพื่อถามคำถามนี้ซ้ำไปซ้ำมาแค่นั้นเหรอ”
“รู้ ๆ ถ้าเธอไม่สบายใจ ถ้าอย่างนั้นสามคนไหม อ้อ” เบนยักไหล่ “ฉันหมายถึง ฉันกับเธอ และ...เทสซ่า?”
อเล็กซิสเหวี่ยงขาเตะหมายสั่งสอนเบน แต่เจ้าหมาป่าจอมกวนกระโดดหนีพร้อมกับหัวเราะสำราญใจ
“นายนี่มัน...” เธอไม่แน่ใจว่าควรจะใช้คำไหนดี ก็เลยหยุดพูดดื้อ ๆ ถ้าพ่อรู้จักเพื่อนใหม่แต่ละคนละก็...
เธอวิ่งไล่เขา อยากจะเตะและต่อยให้ความถือดีของเจ้าตัวกระเด็นออกไปบ้าง ส่วนคู่กรณีเอาแต่หลบและหัวเราะอย่างเดียว “ฉันเป็นอะไร พูดมาสิแบมบี้ ฉันอยากฟังนะ”
“นายมันดื้อด้าน โอหัง แถมยังหลงตัวเองด้วย”
ชายหนุ่มทั้งสองระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
“เธอไม่จำเป็นต้องใช้คำสุภาพกับหมอนี่หรอก บ้ากาม ไอ้ลูกหมา สารเลว สัตว์นรก” อเล็กซ์เชียร์
เบนทำเสียงกรอดผ่านไรฟันแต่กลับพูดเสียงหวานกับเธอ “แบมบี้ของฉัน เธอรู้จักเลือกใช้คำได้ดีแล้วล่ะ แต่คุณหนูขอรับ จะเคร่งครัดกับตัวเองเกินไปไหม” จากนั้นเขาร้องเพลงขึ้นด้วยทำนองเดียวกับ ลิแบลลูล แต่เปลี่ยนเนื้อเพลงเป็น “Why don’t you let me heal your wound and teach you womanhood?”
อเล็กซิสหัวเราะเสียงใส เธอหยุดไล่เตะเบนทันที พวกเขาคิดว่าฉันยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอสินะ “นายนี่มันหัวไวดี แต่ชอบใช้ในทางผิด ฉันให้สิบคะแนนสำหรับการดึงเอาเพลงของคาร์เมนมาใช้ แต่เหลือศูนย์คะแนน เพราะฉันไม่ชอบความหมายนั้น”
พอมองรอบกายจึงรู้ว่าตัวเองวิ่งไล่มาจนถึงหน้าห้องสปา วิ่งอย่างกับรถแข่งเลยแฮะ สายตาสังเกตเห็นสาวบางคนส่งสายตาสื่อความนัยให้ชายหนุ่มทั้งสอง อเล็กซ์นั้นปิดกล่องรับข้อความ ส่วนเบนเปิดรับทุกช่องทางแถมส่งกลับอีกต่างหาก ไม่ว่าจะอ่อนกว่าหรือโตกว่า เขาต้อนรับทุกคน บางครั้งเขาได้รับข้อความแย่ ๆ เช่นกัน ที่เธอเห็นบ่อย ๆ คือ ‘สารเลว’ กับ ‘ไปตายซะ’ แต่คำพวกนี้ไม่ได้ทำให้เบนระคายเลย“ว่าอะไรไปก็ไม่เข้าหูนายหรอก เหมือนพูดใส่กำแพง นายไม่เบื่อเหรอไง รู้อะไรไหม ตอนแรกนายโคตรจะดูดีเลย อย่างกับเจ้าชายจำแลง แต่ตอนนี้...”“แต่อะไร” เขาหรี่ตา“นายทำลายภาพนั้นเสียย่อยยับ เลิกทำตัวเป็นหมาป่าสักที ฉันไม่ใช่หนูน้อยหมวกแดงนะ แล้วก็เลิกเรียกฉันว่าแบมบี้ด้วย ฉันไม่ชอบ”“ถ้าฉันเป็นหมาป่า เวดเป็นอะไรดี หมีขี้โมโหดีไหม”ชายหนุ่มทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน เห็นเป็นเรื่องตลก“นิสัยปกติของนายเป็นแบบนี้เหรอ ชอบล่อลวงผู้หญิงทุกคนที่นายเจอ” อเล็กซิสถาม สงสัยอย่างจริงจัง“ไม่ทุกคนห
ม้าเหล็กสีแดงพุ่งทะยานรอบภูเขา เด็กหนุ่มวัยละอ่อนผู้มีดวงตาสีอำพันคุมบังเหียนลูกรักคันใหม่ โมเดลรุ่นล่าสุดที่กลุ่มบริษัทโวลคอฟเรียกมันว่า สปีดโบลท์ ความเร็วในระดับที่สื่อทุกแขนงยกยอว่ามันเป็นเทพเจ้าสายฟ้า นวัตกรรมใหม่ที่ไม่ว่าเจ้าไหนก็ตามไม่ทัน คงไม่แปลกนักหากโวลคอฟจะเป็นผู้นำธุรกิจยานยนต์อันดับหนึ่ง พ่อเป็นคนมอบของขวัญชิ้นนี้ให้เขาเอง นั่นเพราะว่าเบนเป็นลูกคนโปรดเท้าข้างขวากระทืบคันเร่งเพิ่มระดับความเร็วจนเข็มมาตรวัดหมุนไปยังเลขที่สูงขึ้น สูงขึ้น แม้มันยังไม่ถึงระดับสูงสุด อันเนื่องจากยังมีผู้โดยสารอีกสองคนซึ่งก็คืออเล็กซ์และนาตาเลียนั่งอยู่ ทว่าความเร็วระดับนี้สามารถทำให้ผู้โดยสารทั้งสองหวั่นไหวพอสมควร นาตาเลียยืนกรานจะนั่งด้วย เพราะเด็กหนุ่มทั้งสองอายุแค่สิบห้าปีเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเบนกำลังฝ่าฝืนกฎหมายการจราจร แต่ด้วยฐานะทางสังคมที่จัดว่าอยู่ในระดับชนชั้นสูงของชนชั้นสูงอีกที ไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวล ถ้าตำรวจกล้าเรียกให้เขาหยุด ก็เพียงแค่จ่ายเงินปิดปากสักก้อน ต่อให้รู้นามสกุลหรือไม่รู้ พวกตำรวจจะเดินออกไปเอง ยิ้มร่าพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งสำหรับจ่ายหนี้ต่าง ๆ หรืออาจจะพอรับประทานม
เบนยืนมองร่างอเล็กซ์บนเตียงโรงพยาบาล ห้อมล้อมไปด้วยสมาชิกในครอบครัว เขารอจนกระทั่งพวกโวลคอฟทำท่าจะกลับ แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไป วลาด ผู้มีหน้าตาและรูปร่างคล้ายคลึงกับน้องชายเดินเข้ามาจับไหล่เบน ปลอบโยน“เบน มันเป็นอุบัติเหตุ”ไม่ใช่ มันเป็นฝีมือของผมเด็กหนุ่มกลั้นน้ำตา เขารู้อยู่แก่ใจว่าพี่ชายของเพื่อนกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าสาเหตุแท้จริงมาจากใคร และเขากำลังพูดอยู่กับฆาตกร“ผมขอโทษ ผมไม่ระวังเอง ผมผิด ความผิดของผมคนเดียว”“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า นายช่วยชีวิตน้องชายของฉันเอาไว้นะ เข้มแข็งไว้สิ ขอบคุณที่ดูแลน้องของฉันระหว่างรอพวกเรา เบน ตอนนี้นายพักได้แล้วล่ะ เดี๋ยวฉันกับนิคสลับมาเฝ้าเจ้านี่เอง นิคมาพรุ่งนี้ ฉันจองคืนนี้”“ผมเฝ้าเขาเอง พี่ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ”“บ้าน่า นี่น้องชายฉันนะ นายไม่ต้องห่วงหรอก แต่ถ้านายอยากจะนั่งเล่นก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่งพวกเขาก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมา”เขากอดเด็กห
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ”“ฝันดีต่างหาก”“ฝันถึงแม่ฉันใช่ไหมล่ะ”“อื้อ ฝันดีที่สุดเลย” เบนเน้นเสียงในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ต้องจากหอพักแห่งนี้ วันที่จะได้รู้ความจริง (หรือเปล่า) วันที่...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดห้องโถงอยู่ชั้นล่างสุด ครั้งก่อนมันเป็นที่สำหรับตรวจสุขภาพ บูทคลินิกถมที่ว่างจนเต็ม วันนี้ทั้งห้องกลับเปิดออกโล่ง มีเพียงประตูเหล็กบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงฝั่งตรงข้ามกับทางเข้า และใช่ เมื่อก่อนไม่มีประตูบานนี้ ทุกคนตั้งแถวเรียงหน้ากระดาน เรียงลำดับจากการเข้าพักอาศัยก่อนหลัง สายตาแต่ละคนล้วนเฝ้ารอคำอธิบายอย่างใจจดใจจ่อ บ้างยืนไม่สุข บ้างยืนนิ่งแต่ภายในใจกลับกระวนกระวายว้าวุ่นเบน อเล็กซ์ และซาร่าห์ยืนอยู่แถวหน้าเพราะพวกเขาเป็นกลุ่มแรก เจ้าหนุ่มหัวเงินยืนอยู่ข้างอเล็กซ์ด้วยเช่นกัน พวกโธมัสยืนอยู่แถวที่สองข้างหลังกลุ่มพวกเขาอีกที ส่วนพวกเด็กซานโบซ่าอยู่แถวกลางห้อง เบนยืนหาวพลางกวาดสายตาไปนู้นทีทางนี้ที คนส่วนใหญ่นำกระเป๋าใบเล็กมาด้วยเพื่อเก็บของสำคัญไว้กับตัว ส่วนเขาไม่แบก
...เงียบ! ฉันยังพูดไม่จบเลย! (ถอนหายใจ) ตั้งแต่วันนี้ จงเอาตัวรอดไปจนถึงจุดหมายให้ได้ พวกเรามีแผนที่และเสบียงเตรียมไว้ให้ เห็นไหม ไม่ยากเลย ยังมีอาวุธและอุปกรณ์อื่นดำรงชีพอื่น ๆ อีก จะหยิบหรือขนไปเท่าไรก็ได้ เราไม่จำกัด อย่าห่วงเรื่องอาหารหมด เพราะเรามีบริการเติมอยู่ทุกจุดเซฟโซน อย่าเพิ่งพูดเวลาฉันพูดอยู่”แขนของเบนเกร็งจนเส้นเลือดขึ้น มือทั้งสองกำแน่น หากมีเล็บแบบผู้หญิงคงจิกเข้าเนื้อไปแล้ว อาวุธ อาหาร จุดเซฟโซน เอาชีวิตให้รอด จะทดสอบเกมเซอร์ไววอลแบบเรียลไทม์อาร์พีจีกันหรือ ฟังดูก็รู้พวกเขาต้องต่อสู้กับบางสิ่งในนั้น และมันคงไม่ใช่หุ่นเป้านิ่งแน่นอน สถานการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้ เบนไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับข้าวของหรูหราอยู่เป็นเดือน! ถ้าเขาเขียนพล็อตเองได้ คงจะเขียนว่า เจ้าหน้าที่กำลังประกาศว่าพวกเขาเป็นแค่ร่างโคลนนิ่ง และเบนคนนี้คือร่างโคลนของ เบนจามิน โรซิเยร์ที่กำลังจะตายและต้องการอวัยวะใหม่ไปเปลี่ยนใหม่ทดแทนเดี๋ยวก่อน แต่เบนที่กำลังจะตายฟังดูไม่ดีเลยนะเขาสูด
“ในเมื่อไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร ฉันว่ายังไงเราก็ควรเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด ดูจากแผนที่แล้ว แค่หนึ่งวันก็น่าจะไปถึงทางออกได้...มั้ง แต่พวกเขาให้เวลาตั้งสิบวันแน่ะ แล้วยังอาวุธพวกนี้อีก คงมีอะไรรออยู่”“หรือว่าเราต้องสู้กับพวกหุ่นยนต์” หนุ่มผมบลอนด์เดา“หรือไม่ก็สัตว์ประหลาด” แม่หนูมินนี่สองเสริม พอทุกคนเงียบที่เธอโพล่งออกมาก็รีบบอก “ขอโทษ ๆ”“ฉันไม่เข้าใจ การทดลองบ้าอะไรก็ไม่รู้ มันดูน่ากลัว เบ็กกี้อาจพูดถูกก็ได้นะ” เทสซ่ารำพัน “แถมพวกเขายังปล่อยให้พวกเราอยู่สบายมาตั้งนาน เพื่ออะไรก็ไม่รู้ อย่างน้อยถ้าให้เตรียมใจสักหน่อยยังจะดีเสียกว่า”“แล้วแผนคืออะไร” เบนตัดบทคนอื่น“คนนั้นบอกว่าให้คอยระวังตัว เหมือนให้พวกเราตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น พวกเราก็ต้องพยายามเกาะกลุ่มกันไว้ มุ่งหน้าไปที่จุดเซฟโซนให้ได้ ดีไหม” โนเอลเสนอ พลางทำเครื่องหมายลงบนแผนที่ “ยึดแค่เส้นทางและจุดหมายก็พอ ถ้าเกิดใครหลงออกจากกลุ่ม ก็พยายามกลับทางเดิม ยังไงก็ต้องไปทางเดียวกัน อาจจะต
“อะไร เกิดอะไรขึ้น”เขายกปืนขึ้น แต่ศัตรูยังไม่โผล่มาเพียงอึดใจเดียว เสียงฝีเท้าคนวิ่งจำนวนมากมายมหาศาลดังขึ้น มันดังปึง ๆ สะท้อนมาแต่ไกล ใกล้ขึ้น ดังขึ้น ใกล้ขึ้น ดังขึ้น จนแม้แต่หัวใจของเขายังเต้นแรงตามจังหวะพวกมัน “หนีเร็ว” ออสโล่เตือนสติ “ทำอะไรกันอยู่”เขาพูดถูก แต่... “ไม่ใช่ทางนั้น มันมาจากทางที่พวกเราจะไป” เบนตะโกน คนทั้งกลุ่มพร้อมใจกันพุ่งตัวไปทางซ้าย ขณะที่บางคนโง่เกินกว่าจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา บ้างยังมึนงงและตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหน จนกระทั่งอเล็กซิสตวาดให้พวกเขาขยับก้นออกจากที่นี่แทนที่จะยืนบื้อโดนกำจัด“พระเจ้า พวกมันมาแล้ว”เหมือนสติไม่อยู่กับตัว เหมือนร่างกายไม่ขยับตามคำสั่ง สิ่งที่พวกเขาต้องสู้คือ มนุษย์...ไม่ใช่ มันไม่ใช่มนุษย์ แต่เหมือนกับมนุษย์ มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ อะไรวะนั่น ดวงตาพวกมันว่างเปล่า การเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติแต่รวดเร็วและมุ่งจู่โจมโดยไม่เลือกหน้า ไ
เธอรู้แล้วว่าทำไมถึงฝันเห็นเลือดสีแดงข้นเต็มไปหมด เบ็กกี้ไม่เคยนับว่าความฝันนั้นเป็นจริงบ่อยแค่ไหน แต่ตอนนี้หนึ่งในนั้นเกิดขึ้นตรงหน้าเธอแล้ว มันเป็นเลือดของเพื่อนร่วมชายคากระซัดกระเซ็นราวกับอยู่ในเทศกาลละเลงมะเขือเทศ กลิ่นคาวรุนแรงเกินบรรยาย อีกไม่นานหรอก เลือดของเธออาจผสมอยู่ในนั้นด้วย เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะติดอยู่ในกับดักสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ ราวไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าคือความฝัน แม้จะมีปืนอยู่ในมือแต่มันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในเมื่อเธอเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแม้แต่ยกปืนเล็ง วิกฤติ ใช่แล้ว วิกฤติที่สุด ห้องนี้คงเป็นเกราะกำบังได้ไม่นาน พวกมันกำลังเข้ามา ความตายกำลังคืบคลานอยู่หน้าประตูพวกผู้กล้ากำลังปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรถึงจะออกไปได้และไม่ถูกกินสด ๆ เธอใช้คำว่า ‘ผู้กล้า’ เพราะแค่จะสู้ต่อเธอยังสั่นขนาดนี้ คนพวกนั้นยังมีอารมณ์ปรึกษาวางแผนกันอีก สายตาของเบ็กกี้จดจ่ออยู่แต่กับประตูและเครื่องกั้นที่เบนตรึงไว้ มันสั่นไหวอย่างรุนแรง เธอกลัวว่ามันจะพังครืนลงมาแล้วประตูเปิด พวกมันวิ่งเข้ามาทึ้งร่างเธอ“ให้ตายเถอะ นายถูกกัดนี่”พลูทักซ์ตะโกนโหวกเหวกใส่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ช่วย
“เออฉันนี่...” เขาหันไปยิงอีกตัว ปืนในมือแสตนเนอร์อานุภาพร้ายแรงกว่าปืนปกติ เพียงนัดเดียวก็เป่าหัวหุ่นเหล็กกระจุย รอบตัวเริ่มชุลมุนหนักขึ้นทุกที เขารู้สึกเหมือนทุกคนเบียดเป็นวงล้อม กลุ่มทหารเปิดวงจรอะไรบางอย่างที่คล้ายกับสร้างเกราะที่มองไม่เห็นขึ้นมากันไม่ให้เขากับอเล็กซิสเป็นลูกหลง (แม้จะแส่หาเรื่องเข้ามาเอง) เมื่อพวกเขาทำลายบานเหล็กได้สำเร็จก็รีบพากันออกมาทั้งหมด“บ้าชะมัด ฉันบอกให้พวกเธอรอ แล้วเข้ามาได้ไง” แสตนเนอร์ตามมาเอ็ด ทั้งเขาและอเล็กซิสคล้องแขนแล้วก้มหน้า ทหารคนหนึ่งรีบดึงดาบในมือออกไปด้วยโดยไม่หันมามองว่าสีหน้าไมเคิลอาลัยมันแค่ไหน ดูเหมือนว่าหุ่นยนต์มีหน้าที่ปกป้องตึก เมื่อผู้บุกรุกออกไป มันกลับไม่ตาม ทั้งหมดมองกลับไปเห็นหุ่นเหล็กยืนสงบ ดวงตาสีแดงอับแสงลง“คุณจะโกรธพวกเราไม่ได้” เพื่อนสาวดูท่าจะรวบรวมความกล้าได้ก่อน “พวกคุณไม่บอกอะไรเราเลย ฉันอยากจะช่วยเบ็กกี้” อเล็กซิสระเบิดออกมาได้แป๊บเดียวเท่านั้น ท่าทางดั่งสิงโตเมื่อกี้หายกลายเป็นลูกแมวเมื่อเธอมองสภาพทหารบางคนที่รอดออกมา ร่างพวกเขาโชกเลือด ไมเคิลรู้ดี
กลุ่มทหารยกพลกันมาสองคันรถ ตัวรถถังกึ่งรถบรรทุกจุคนได้ราวยี่สิบ เขานับเมื่อทั้งหมดออกมาจากรถ บวกกับพลเดินเท้าอีกหยิบมือก็ได้สี่สิบกว่า ทั้งหมดสวมชุดป้องกันและอาวุธพร้อม ไมเคิลตัดสินใจดูเชิงอยู่ห่าง ๆ พวกเขากำลังจะบุกเข้าไปในตึกสูงเจ็ดชั้นซึ่งเมื่อก่อนน่าจะเป็นศูนย์บังคับการกลางของเขตราซา ตัวตึกเป็นทรงห้าเหลี่ยมขนาดกว้างพอดู ไมเคิลกับอเล็กซิสเล็งไว้ว่าจะเข้าไปหลังจากพักเหนื่อยแต่ถูกตัดหน้าเสียก่อน เจ้าหน้าที่รายหนึ่งถือแผ่นจอสกรีนแบบที่พวกเขาชอบพกกัน (มีไว้ครอบครองเพียงแค่ข้าราชการ) กดอะไรบางอย่างแล้วปรึกษากับเจ้าหน้าที่อีกคน สักพัก คนที่สองยกมือหมุนรอบหนึ่ง ทหารทุกนายหันหน้ามาพร้อมเพรียง“ระวังตัวให้มากที่สุด และพยายามหาตัวประกันให้เจอ ผู้ต้องสงสัยทุกรายขอให้จับเป็น แต่หากขัดขืน สังหารทิ้งได้ทันที เราจะไม่เสียกำลังพลของเราเพื่อแลกกับพวกมัน นอกจากปกป้องตัวประกัน คำสั่งของท่านซีโนฮอฟเป็นอันว่าที่สุด”ทั้งหมดยกมือขวาทาบอกตอบพร้อมกันว่า “ขอรับ!”เขามองหน้าอเล็กซิส “ซีโนฮอฟ เธอเคยได้ยินชื่อนี้ไหม”เพื่อนข้างตัวส่ายหน้า &ldqu
รสช็อกโกแลตในปากออกขมมากกว่าหวาน เขาคลี่ซองดูเห็นว่ามันเป็นรสดาร์ก หยิบผิดหรือนี่ อันที่จริงเขาน่าจะพอเดาที่มาอารมณ์หดหู่ของเธอได้ “มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะ”อเล็กซิสยังคงไม่สบตา เขามองเธออย่างเข้าใจ เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแพทย์ช่วยลบรอยแผลทุกอย่างออกจากตัวเธอ เขาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าเธอถูกกระทำอะไรบ้าง มีเพียงรอยหมัดของหนุ่มผิวแทนคนนั้นที่ฝากไว้บนหน้า สิ่งเดียวที่เขาสังเกตเห็นคือเธอผอมลงและเงียบผิดปกติ มันมีบางอย่างในใจที่เธอเก็บไว้แล้วไม่บอกใคร เขารู้สึกเช่นนั้น เพราะท่าทางของเธอเหมือนกับแม่ยามคิดถึงพ่อ เอาแต่โทษตัวเอง หมกมุ่นกับความคิดร้ายต่าง ๆ นานา และแม้ปาสคาลจะปลอบเธอเท่าไร แม่ก็ไม่เคยสดใสขึ้นอีกเลยเขานั่งลง เผชิญหน้ากับอเล็กซิส “เธออยากมาที่นี่ ส่วนหนึ่งเพื่อหาร่องรอยเบ็กกี้ และอีกส่วนคือเธอไม่อยากเจอคนอื่นใช่ไหม”อเล็กซิสไม่ตอบ เขาไม่ชอบเวลาเธอเงียบแบบนี้เลย ปกติแล้ว มันควรเป็นตัวเขาสิ แต่ตั้งแต่เวดถูกพาตัวไปไหนก็ไม่รู้ จนอเล็กซ์งี่เง่าแล้วพวกเขาเลิกกัน แล้วมาเรื่องนี้เอง ไมเคิลไม่คิดว่าอเล็กซิสคนเดิมจะกล
ฝนตกเหมือนไม่มีวันหยุด แม้ไมเคิลสวมชุดกันฝนไว้แต่มันไม่ได้สบายตัวเท่าไรนัก เพราะเมื่อขยับจะเกิดเสียงเสียดสี ทำไมตกกระหน่ำอย่างนี้วะ มันเหมือนกับไม่ใช่ฝน แต่เป็นมวลน้ำเทโครมลงบนหัว แถมยังรู้สึกว่าน้ำซึมผ่านเสื้อข้างใน เขาไม่ชอบให้ตัวเปียกเหนอะหนะ“ตกหนักชะมัด ตกหนักที่สุดเท่าที่เคยอยู่มาแล้ว” เรมีกอดอก ส่วนอเล็กซิสยืนรอเงียบ ๆ คนอื่นอาจหาว่าบ้าที่พวกเขาตัดสินใจลักลอบเข้าเขตราซาโดยใช้เวลาไตร่ตรองไม่ถึงนาทีดี ในเมื่อมีกฎห้ามไม่ให้เข้า แต่ใช่ว่าไม่มีคนทำ ตรงกันข้าม มีคนลักลอบเข้าไปเยอะแยะ เมื่อวานก่อน ไมเคิลกับเรมีเข้าไปในตลาดมือสองแล้วพบว่าพวกพ่อค้านำสินค้าราคาถูกมาจากเขตนี้ พวกเขาลักลอบเข้าไปหยิบของเหลือทิ้งมาขายต่อหรือใช้เองบ่อยครั้ง สบู่แชมพูอายุสองปี เศษเสื้อผ้า ทุกอย่างที่ยังไม่หมดอายุ ราคาของในตลาดจึงถูกกว่าในซูเปอร์ และเมื่อเขาบอกเรื่องนี้กับอเล็กซิส เธอต้องการตามหาเบ็กกี้ที่นี่เรมีมองนาฬิกาแล้วก้มตัวลงหยิบอิฐออกทีละก้อน ปากบ่นไป “เทสซ่าจะยอมให้หมอนั่นมาหรือเปล่า พักหลังทำตัวเป็นคุณแม่ขี้บ่นอยู่”ไมเคิลไม่คิดว่าเธอทำตัวเป็นคุณแม่หรอก เทสซ่าห่างไกลจากคำนี้มาก แต่เพราะเธอต้องทำหน้า
เธอกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง อเล็กซิสพยายามปลุกสติตัวเอง เล็บของเบ็กกี้จิกลึกมากขึ้นทุกที เลือดไหลทะลักจากใต้ผิว ทุกอย่างช้าลงตรงข้ามกับความรู้สึกที่ทวีคูณ เล็บค่อย ๆ ฉีกออกจากกัน บางนิ้วฝังแล้วกรีดลงบนเนื้อเธอ หนังค่อย ๆ ปริแยกออกพร้อมลาวาสีเลือดเอ่อล้น กล้ามเนื้อขึ้นเป็นเส้นหนาเกร็งไปจนถึงขมับ ตัวเธอถูกยกขึ้นสูงแล้วดิ่งลงปะทะกับพื้น ริมฝีปากชิมน้ำสกปรกและคราบเลือด ใบหน้าถูไถลไป...ตื่น!เธอลืมตาโพล่ง ความทรงจำชัดขึ้นทุกทีจนอเล็กซิสแทบไม่อยากนอน แต่แล้วจำต้องหลับตาอีกรอบเพราะเจ็บเบ้าตาก่อนจะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดก่อนไอสำลักออกมา มือใครสักคนแปะอยู่บนศีรษะแล้วเลื่อนมาจับไหล่เธอไว้ อเล็กซิสลุกขึ้นนั่งทันที ตกใจ พอมองเต็มตาจึงเห็นดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องกลับมา“ไมเคิล...”คงเรียกว่าเป็นเด็กหนุ่มผมเงินไม่ได้แล้ว เพราะเฉดผมสีน้ำตาลเริ่มโผล่ออกมามากขึ้น มุมปากของเขาเชิดขึ้น อมยิ้มบาง ๆ “เธอผอมไปนะ”ทันใดนั้น อเล็กซิสโผเข้ากอดเขา เธอไม่ได้ฝันไป และข้างหลังไมเคิลคือเรมีที่นั่งมองพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น เธอกวาดตามอง
เธอนิ่งคิดเมื่อเดสซิเรถามคำถามนี้ เพราะเหตุนี้วันนี้เธอจึงตัดสินใจจะพบไมเคิล แต่ขณะเดียวกันก็ไม่แน่ใจความคิดตัวเอง “ก็...”ข้างหลังตึกมีพื้นที่โล่ง ๆ ขนาดเท่าครึ่งสนามบาสเกตบอล เอมอนสวมเสื้อกล้ามเผยผิวแทนแกว่งแขนไปมา เขาพยักหน้าให้หญิงสาวข้างอเล็กซิสแต่นัยน์ตานั้นเป็นประกายปิดบังความสนใจของตัวเองไม่อยู่ แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะอธิบายเป็นคำพูดยาก สิ่งหนึ่งที่อเล็กซิสมั่นใจคือ เอมอนหลงรักเดสซิเร เขาไม่ได้มองเธอเป็นเพื่อน-กิน-กัน-มัน-ดีแต่อย่างใด แต่ฝ่ายหญิงคิดอย่างไร เธอเดาไม่ออกเด็กสาวกวาดตามองโดยรอบแต่ไม่เห็นอุปกรณ์ใด ๆ เลยนอกจากนวมสีน้ำเงิน“นายนี่นะ จะฝึกสาว” เดสซิเรกอดอก ทำเสียงดูแคลน “แน่ใจรึ”ชายหนุ่มยักไหล่ “ก็...ฉันทำร้ายผู้หญิงไม่ลงเธอก็รู้” เขาโยนนวมชกให้อเล็กซิส “ดังนั้น เริ่มบทเรียนด้วยการโดนตัวฉันให้ได้ดีกว่า”เดสซิเรผิวปาก ทึ่ง “เข้าใจคิดนี่”ทว่าคนที่ถูกฝึกกลับผิดหวัง อเล็กซิสอยากให้เขาทำให้เธอแข็งแกร่ง“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเสียใจสิ จ
ผ้าห่มสีขาวสะอาดส่งกลิ่นหอมจากการอบความร้อนฆ่าเชื้อ เธอพยายามลุกขึ้นแต่เหมือนติดอยู่ในร่างนี้ เสียงกรีดร้องของเอเลน่าดังเข้าโสตประสาทประหนึ่งมีพลังสั่นคลอนสะเทือนไปจนถึงแกนหูข้างใน อเล็กซิสหันไปเห็นเธออยู่ในสภาพมัดติดกับเตียง เธอร้องระบายความเจ็บปวดข้างในจนขากรรไกรแทบฉีกออกจากกัน “ฆ่าฉันซะ ฆ่าฉันซะ” ราวเหล็กบนเตียงกระตุกรัว อเล็กซิสมองดูเหมือนเตียงจะถล่มตามแรงเคลื่อนไหว เสียงหวีดร้องกรีดหัวใจจนอยากตะโกนบอกให้พวกเขา...ฆ่าเธอซะ ทำตามที่เธออ้อนวอน“เราจะทำอย่างไรดีคะคุณหมอ” “ทำตามที่เธอปรารถนา เราช่วยเธอไม่ได้แล้ว” อเล็กซิสมองทรอย เห็นแต่เพียงแผ่นหลังและผมสีเทา พวกเขาเข็นเตียงเธอออกไปตามคำสั่ง ไม่นานเสียงเอเลน่าสงบลง และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเด็กสาว“มันอยู่ในตัวเธอด้วย”เธอส่ายหน้า “ฉันกำลังจะตายเหมือนเธอเหรอคะ”ทรอยไม่ตอบ“มันอยู่ในตัวเธอ”“มันอยู่ในตัวเธอ”อเล
“อย่าปล่อยเด็ดขาด”น้ำตาเด็กสาวไหลรินหยดลงบนแขน ความเค็มของน้ำตาทำให้แผลแสบร้อนนิด ๆ นิ้วของเบ็กกี้จิกลึกลงบนแขนจนเลือดไหลซิบ อเล็กซิสกัดฟันทนความเจ็บปวดทุกอย่าง ขืนตัวรั้งเพื่อนไว้ไม่ให้พวกมันเอาตัวไปได้ ชายสองคนต่างพยายามแยกพวกเธอออกจากกันราวกับเล่นชักเย่อ “ใช้มันซะ เบ็กกี้ ได้โปรด” เธอขอร้อง “ได้โปรด...” เด็กสาวหวีดร้อง เล็บที่จิกอยู่กับเนื้อฉีกขาดฝังอยู่ข้างในเนื้อของเธอ บางนิ้วมีเล็บแข็งเกินจึงเฉือนฉวัดขูดผิวเป็นรอยยาว เสียงดังตุบกลางหลังเด็กสาว เบ็กกี้ล้มฟุบลงกับพื้น ยูฟุนแบกร่างเธอออกไปพร้อมกับเด็กอีกคน“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” เกรกอรี่พึมพำแล้วเหวี่ยงตัวอเล็กซิสลงไปกองกับพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำโสโครกผสมเลือดเจิ่งนอง เธอตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นไม่ทันไรก็ล้มลง เด็กแฝดที่ยังเหลืออีกคนถูกโขกกับกำแพงดังจนคล้ายกับกะโหลกแตก ร่างอ่อนปวกเปียกไถลครูดลงเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต อเล็กซิสปากสั่น เกรกอรี่ย่างสามขุมแล้วกดหน้าเธอลงกับพื้นก่อนจะมัดมือไพล่หลัง เธอดิ้นจนแขนเสียดสีกับเชือก รอยแผลที่เบ็กก
อาคุสะนอนอยู่บนเตียงนิ่งเหมือนไม่ได้ยินใครทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงมากที่สุดคือออร่าหลากสีที่ล้อมเป็นรัศมีรอบตัวเขา พอเธอเขยิบเข้าไป อเล็กซ์ดึงแขนรั้งไว้ทันที “อย่า มันอันตราย”ชายหนุ่มเกาแก้มตัวเอง “ฉันโดนแล้ว มันเหมือนกับพลังของเขากระจายรอบตัว ถ้าเธอเข้าไปในรัศมีนั้นจะเหมือนคนบ้า ทั้งร้องไห้ หัวเราะ ด่าทุกสิ่ง ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะสงบลงได้”หญิงสาวเขยิบถอยหลังทันที ออร่าที่พุ่งออกมาทำให้อาคุสะเหมือนกับเจ้าชายนิทราต้องสาปประมาณนั้น “มันเกิดอะไรขึ้น เพราะแบบนี้ใช่ไหม พวกนายถึงไม่ส่งข่าวมา”เขาพยักหน้า ชายหนุ่มเชื้อเชิญให้เธอหาที่นั่งเอง ส่วนเขาเดินเก็บของผ่านหน้าไปมา ปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น “พวกเราชนะเควสทั้งสองระดับ วันต่อมาระดับสามเปิด พวกเราก็เลยลอง”“บ้าไปแล้ว” เทสซ่าร้อง“ก็จริง” เขาหัวเราะ เธอไม่ได้เห็นเสียงหัวเราะของเขามานานแล้วตั้งแต่เบนจากไป หนุ่มผมดำผู้นี้มีลักษณะเหมือนคนหลายบุคลิก บางครั้งยียวน บางครั้งเงียบขรึม บางครั้งกราดเกรี้ยว “อาคุสะเกือบตาย