เบนยืนมองร่างอเล็กซ์บนเตียงโรงพยาบาล ห้อมล้อมไปด้วยสมาชิกในครอบครัว เขารอจนกระทั่งพวกโวลคอฟทำท่าจะกลับ แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไป วลาด ผู้มีหน้าตาและรูปร่างคล้ายคลึงกับน้องชายเดินเข้ามาจับไหล่เบน ปลอบโยน
“เบน มันเป็นอุบัติเหตุ”
ไม่ใช่ มันเป็นฝีมือของผม
เด็กหนุ่มกลั้นน้ำตา เขารู้อยู่แก่ใจว่าพี่ชายของเพื่อนกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าสาเหตุแท้จริงมาจากใคร และเขากำลังพูดอยู่กับฆาตกร
“ผมขอโทษ ผมไม่ระวังเอง ผมผิด ความผิดของผมคนเดียว”
“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า นายช่วยชีวิตน้องชายของฉันเอาไว้นะ เข้มแข็งไว้สิ ขอบคุณที่ดูแลน้องของฉันระหว่างรอพวกเรา เบน ตอนนี้นายพักได้แล้วล่ะ เดี๋ยวฉันกับนิคสลับมาเฝ้าเจ้านี่เอง นิคมาพรุ่งนี้ ฉันจองคืนนี้”
“ผมเฝ้าเขาเอง พี่ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ”
“บ้าน่า นี่น้องชายฉันนะ นายไม่ต้องห่วงหรอก แต่ถ้านายอยากจะนั่งเล่นก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่งพวกเขาก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมา”
เขากอดเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ทำไมวลาดต้องเป็นคนดีแล้วยังแสนเพอร์เฟกต์ขนาดนี้ด้วย ระหว่างนั้นฟีโอดอร์ลูบศีรษะเพื่อนลูกชายเบา ๆ เบนมองพวกเขาจนแน่ใจว่ากลับไปจนหมด ถ้าทั้งหมดรู้ความจริงคงไม่ให้อภัยเขาแน่ พวกเขาคงสาปแช่งแทนอเล็กซ์ไม่ได้นอนหลับอย่างที่คิด เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองตามประตู เมื่อดวงตาสีนิลคู่นั้นมองมาที่เบน ดูเหมือนมันกลายเป็นสีแดง
“เอาชีวิตเธอคืนมา”
เบนไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้ตอบ
“เอาชีวิตเธอคืนมา” เขาไอค่อกแค่ก เบนรีบรินน้ำให้เพื่อนดื่ม แต่อเล็กซ์ผลักมือเขาออก แก้วน้ำตกลงบนพื้นแตกกระจาย “ฉันบอกให้นายขับช้าลง ฉันขอให้นายขับช้าลงแล้ว”
ฉันควรฟังนาย
“ฉันรู้ ๆ ฉันขอโทษ ขอโทษ...มันเป็นความผิดของฉัน” เบนยอมรับโดยดุษฎี น้ำตาคลอเบ้า “ให้อภัยฉันได้ไหม”
“ฉันอยากเจอเธอ พวกเขาเก็บร่างเธอไว้ที่ไหน” อเล็กซ์ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง เขาพยายามลุกออกจากเตียง เบนกดตัวเพื่อนไว้ “อย่าเพิ่งขยับ”
“หลีกไป”
“อยู่นี่แหละ เธอไม่อยู่ที่นี่...”
“แล้วเธออยู่ไหน อย่าบอกนะว่าจัดงานศพไปแล้ว”
“ในทะเล”
....อะไรนะ”
เบนกลืนน้ำลายในปากไปจนหมด มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ “มันลึกเกินไป พวกเขาบอกว่าปล่อยให้เธอนอนอยู่ในนั้นดีกว่า ถ้าเรากู้ซากรถขึ้นมา ร่างของเธออาจไม่สมประกอบ และมันก็ต้องใช้เวลา พ่อนายคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป ตอนนี้ศพอยู่ในทะเล ถ้าพวกเราพยายามจะช่วยเธอขึ้นมา เราอาจจะได้แค่ชิ้นส่วน พ่อนายไม่อยากทำลายร่างเธอ”
เมื่อนั้นอเล็กซ์ร้องโหยหวนราวกับหมาป่าที่กำลังใกล้ตาย เขารัวกำปั้นทุบเตียงไม่ยั้ง จากนั้นก้มหน้าแนบกับหมอน นอนนิ่งไม่พูดไม่จา เบนเห็นรอยน้ำตาที่ไหลออกมาจากแก้มสีซีด
“พวกเขาให้อภัยนายง่าย ๆ เพราะไม่รู้ความจริงใช่ไหม ใช่ไหม”
เบนไม่กล้าเผชิญหน้ากับเพื่อน เขาเลือกที่จะนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ก้มหน้าสารภาพ “พ่อบอกให้ฉันโกหกไปแบบนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าฉันเป็นคนขับ แต่คิดว่าแนทเป็นคนขับ”
“เธอนั่งอยู่เบาะหลัง ไม่มีใครดำลงไปดูเลยเหรอวะ ไม่มีเลยเหรอ”
“...ฉันเสียใจ...คือ...พ่อของฉันซื้อพวกทีมกู้ภัยไปหมดแล้ว พวกเขาเลย...คือ...”
อเล็กซ์เหมือนไม่อยากฟังข้อแก้ตัวอีกแล้ว เขาหันหลังให้เพื่อน
“อเล็กซ์...ฉันขอโทษ ฉันต้องพูดไปแบบนั้น พ่อบังคับให้ฉันพูดแบบนั้น”
“พอแล้ว ฉันได้ยินมามากพอแล้ว”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจฆ่าเธอ ฉันรักเธอเหมือนที่นายรักเธอ”
“แต่นายก็ฆ่าเธอนี่ นายฆ่าเธอ” ทันใดนั้น อเล็กซ์ไออีกรอบ แต่ครั้งนี้เสียงไอดูน่ากลัวกว่าเดิม
“เฮ้...นายเป็นอะไรหรือเปล่า”
“แก...แค่ก ๆ...ฆ่า...แค่ก ๆ”
เบนเข้าไปใกล้ ๆ “เฮ้ยเพื่อน...” เขาวางมือลงบนหลังอเล็กซ์ แต่เพื่อนรักมีปฏิกิริยาตอบโต้ทันควัน เขาสะบัดมือออก เพียงแต่มันไม่ใช่แค่ไล่เบนออกไป ร่างของเบนลอยไปกระแทกกับฝาผนัง ข้าวของรอบข้างปลิวกระจัดกระจาย ทั้งสองมองหน้ากัน ประหลาดใจ เหมือนมีแผ่นดินไหวชั่วครู่ แล้วมันก็หายไป
“นี่นาย”
“เกิดอะไรขึ้นกับฉัน” เขามองหน้าเบนอย่างขวัญเสีย ราวกับตัวเจ้าปัญหาเป็นคนทำให้เกิดเรื่องประหลาดนี้ขึ้น ราวกับเบนเปลี่ยนเขา “นายทำอะไร นายทำอะไรวะ”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ไอ้แผ่นดินไหวเมื่อกี้ ก็ไม่ใช่ฝีมือฉันและ...” เบนรีบจัดการให้ข้าวของทุกอย่างกลับมาอยู่ที่เดิมก่อนที่พยาบาล หรือวลาดจะเข้ามาแล้วจะสงสัยเอาได้ เด็กหนุ่มรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่าง เขาวิ่งไปที่หน้าต่างเพื่อมองผู้คนเบื้องล่าง ไม่มีใครตกใจ เพียงวูบหนึ่ง เหมือนไฟในหัวจุดติด เขาหันกลับไปมองคนป่วยบนเตียงที่ยังคงอึ้งกับเหตุการณ์เมื่อครู่ “นายเหมือนกับฉัน นายเป็นเหมือนฉัน”
อเล็กซ์สั่นหัว “ทำไมฉันถึง...” เขายกมือขึ้น ทันใดนั้น เหยือกน้ำข้าง ๆ ขยับและตกลงบนพื้น เด็กหนุ่มผงะ เบนมองข้าวของบนโต๊ะสั่นไหวอยู่ชั่วครู่ ความรู้สึกผิดเมื่อกี้หายไป เขาทั้งตื่นเต้น ดีใจ และตื้นตันใจ
“นายเหมือนพวกฉัน อย่างงี้นี่เอง เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงมองนายเหมือนน้องชายแท้ ๆ” เบนสวมกอดเพื่อนสนิทอย่างเต็มรัก “ขอบคุณพระเจ้า นายก็เป็นเหมือนกัน พวกเราเป็นเพื่อนรักและมีพลังพิเศษ นี่สินะ สาเหตุที่นายฟื้นตัวเร็ว”
“นายลืมแนทของนายไปแล้วเหรอ”
เบนปล่อยมือออกจากอเล็กซ์แทบจะในทันที “ไม่มีทาง ไม่มีวันลืม แต่นายจะผลักฉันออกไปไม่ได้ นายต้องการฉัน ให้ฉันช่วยนาย หรือนายอยากให้คนอื่นรู้ว่านายมีพรสวรรค์”
“พรสวรรค์เหรอ” อเล็กซ์หัวเราะผ่านลำคอ “เอามันคืนไป ฉันขอแลกกับทุกสิ่งหากทำให้เธอฟื้นขึ้นมา ฉันต้องการแม่ฉันคืน ไม่ใช่ไอ้พรสวรรค์บ้า ๆ นี่”
สัมผัสริมฝีปากแห้ง ๆ ของเธอยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา เบนถอนหายใจ อเล็กซ์ผลักเพื่อนออกไปให้พ้นทาง เขาจะออกจากห้อง “อย่าไปไหน เราต้องคุยกันก่อน”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนายแล้ว ไม่อยากเห็นหน้านายอีก”
ทันทีที่อเล็กซ์หันกลับไป ท่อนแขนสีซีดล็อกเข้าที่คอ ท่อนแขนนั้นแข็งแรงจนเขาแก้ไม่ออก และมันลากเขาออกไปเรื่อย ๆ “อเล็กซ์!” แต่อเล็กซ์ไม่ได้ยิน ไม่ใช่สิ เขาไม่ได้ยินเบนคนนี้ต่างหาก เบนในวัยสิบห้าวิ่งตามเพื่อนออกไปแล้ว จากนั้นมวลน้ำมหาศาลโอบล้อมรอบกาย เบนที่ยังอยู่ เขากำลังถูกลากลงไปในน้ำ ใช่ เขารู้จักมือที่ลากเขาลงไป ทั้งยังจำกลิ่นของเธอได้แม้เป็นกลิ่นศพ เพราะเธอมักมาหาเขาในลักษณะนี้เสมอ
“แนท”
เขามองไม่เห็นอเล็กซ์และเบนในวัยสิบห้าอีกแล้ว นอกจากน้ำ
“ในนี้เย็นเหลือเกิน เบน มันเย็นมาก”
เขาไม่สามารถร้องไห้ หรือแม้แต่ตะโกนออกมาได้ เขาปล่อยให้เธอดึงเขาลงไป “หนาวเหลือเกิน”
นาตาเลีย โวลคอฟ
เขานั่งอยู่ในซากรถของตัวเอง แต่ครั้งนี้นั่งบนเบาะหลังข้างกับผู้หญิงที่เขารัก แต่แนทไม่ใช่แนทที่สวยอ่อนหวานคนเดิม แต่เป็นเพียงซากศพที่กำลังเน่าเปื่อย กลัวหรือไม่ ไม่หรอก ไม่มีทาง มันเป็นความยินดีต่างหาก เขาดีใจที่ได้เห็นเธอ แม้นัยน์ตาของเธอจะปราศจากแสงแห่งชีวิต มือทั้งสองข้างประคองใบหน้านั้นไว้ แนทเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา ดูเหมือนเธออยากจะแก้แค้น แต่สิ่งที่เธอทำได้ทั้งหมดคือลากเขาลงน้ำและปรากฏโฉมเพียงร่างศพ
“คุณมาเข้าฝันผมอีกแล้ว”
ใช่ มันคือความฝัน ความฝันที่แสนหวาน ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ปากไม่ขยับ ถ้าเขาทำให้เธอมีชีวิตได้อีกครั้ง ถ้าเขาทำให้เธอพูดกับเขาได้อีกและพูดกับเขาด้วยปากของเธอเอง ไม่ใช่เสียงที่สื่อสารผ่านจิต เขาอาจจะปลุกให้ตัวเองศรัทธาต่อพระเจ้าที่ไม่เคยมีขึ้นมาในใจก็ได้
เขาจูบแนท
แต่เธอหาใช่เจ้าหญิงนิทราไม่
พระเจ้าไม่อยู่จริง หรืออาจจะละทิ้งมนุษย์ไปแล้ว และสิ่งสำคัญที่สุด เขาไม่เคยเป็นลูกรักของพระเจ้า
พูดกับผมอีกครั้งเถอะ หลอกหลอนผมเท่าที่คุณจะทำได้ ลากผมให้มาเจอคุณอีก ทำให้ผมกลัว ทำให้ผมขวัญผวา มาหาผมในฝันแบบนี้ ปล่อยให้ผมได้อยู่ข้างคุณ ถึงแม้พวกเขาฝังร่างคุณไว้ในทะเล แต่ผมจะฝังคุณไว้กับผม
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ”“ฝันดีต่างหาก”“ฝันถึงแม่ฉันใช่ไหมล่ะ”“อื้อ ฝันดีที่สุดเลย” เบนเน้นเสียงในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ต้องจากหอพักแห่งนี้ วันที่จะได้รู้ความจริง (หรือเปล่า) วันที่...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดห้องโถงอยู่ชั้นล่างสุด ครั้งก่อนมันเป็นที่สำหรับตรวจสุขภาพ บูทคลินิกถมที่ว่างจนเต็ม วันนี้ทั้งห้องกลับเปิดออกโล่ง มีเพียงประตูเหล็กบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงฝั่งตรงข้ามกับทางเข้า และใช่ เมื่อก่อนไม่มีประตูบานนี้ ทุกคนตั้งแถวเรียงหน้ากระดาน เรียงลำดับจากการเข้าพักอาศัยก่อนหลัง สายตาแต่ละคนล้วนเฝ้ารอคำอธิบายอย่างใจจดใจจ่อ บ้างยืนไม่สุข บ้างยืนนิ่งแต่ภายในใจกลับกระวนกระวายว้าวุ่นเบน อเล็กซ์ และซาร่าห์ยืนอยู่แถวหน้าเพราะพวกเขาเป็นกลุ่มแรก เจ้าหนุ่มหัวเงินยืนอยู่ข้างอเล็กซ์ด้วยเช่นกัน พวกโธมัสยืนอยู่แถวที่สองข้างหลังกลุ่มพวกเขาอีกที ส่วนพวกเด็กซานโบซ่าอยู่แถวกลางห้อง เบนยืนหาวพลางกวาดสายตาไปนู้นทีทางนี้ที คนส่วนใหญ่นำกระเป๋าใบเล็กมาด้วยเพื่อเก็บของสำคัญไว้กับตัว ส่วนเขาไม่แบก
...เงียบ! ฉันยังพูดไม่จบเลย! (ถอนหายใจ) ตั้งแต่วันนี้ จงเอาตัวรอดไปจนถึงจุดหมายให้ได้ พวกเรามีแผนที่และเสบียงเตรียมไว้ให้ เห็นไหม ไม่ยากเลย ยังมีอาวุธและอุปกรณ์อื่นดำรงชีพอื่น ๆ อีก จะหยิบหรือขนไปเท่าไรก็ได้ เราไม่จำกัด อย่าห่วงเรื่องอาหารหมด เพราะเรามีบริการเติมอยู่ทุกจุดเซฟโซน อย่าเพิ่งพูดเวลาฉันพูดอยู่”แขนของเบนเกร็งจนเส้นเลือดขึ้น มือทั้งสองกำแน่น หากมีเล็บแบบผู้หญิงคงจิกเข้าเนื้อไปแล้ว อาวุธ อาหาร จุดเซฟโซน เอาชีวิตให้รอด จะทดสอบเกมเซอร์ไววอลแบบเรียลไทม์อาร์พีจีกันหรือ ฟังดูก็รู้พวกเขาต้องต่อสู้กับบางสิ่งในนั้น และมันคงไม่ใช่หุ่นเป้านิ่งแน่นอน สถานการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้ เบนไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับข้าวของหรูหราอยู่เป็นเดือน! ถ้าเขาเขียนพล็อตเองได้ คงจะเขียนว่า เจ้าหน้าที่กำลังประกาศว่าพวกเขาเป็นแค่ร่างโคลนนิ่ง และเบนคนนี้คือร่างโคลนของ เบนจามิน โรซิเยร์ที่กำลังจะตายและต้องการอวัยวะใหม่ไปเปลี่ยนใหม่ทดแทนเดี๋ยวก่อน แต่เบนที่กำลังจะตายฟังดูไม่ดีเลยนะเขาสูด
“ในเมื่อไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร ฉันว่ายังไงเราก็ควรเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด ดูจากแผนที่แล้ว แค่หนึ่งวันก็น่าจะไปถึงทางออกได้...มั้ง แต่พวกเขาให้เวลาตั้งสิบวันแน่ะ แล้วยังอาวุธพวกนี้อีก คงมีอะไรรออยู่”“หรือว่าเราต้องสู้กับพวกหุ่นยนต์” หนุ่มผมบลอนด์เดา“หรือไม่ก็สัตว์ประหลาด” แม่หนูมินนี่สองเสริม พอทุกคนเงียบที่เธอโพล่งออกมาก็รีบบอก “ขอโทษ ๆ”“ฉันไม่เข้าใจ การทดลองบ้าอะไรก็ไม่รู้ มันดูน่ากลัว เบ็กกี้อาจพูดถูกก็ได้นะ” เทสซ่ารำพัน “แถมพวกเขายังปล่อยให้พวกเราอยู่สบายมาตั้งนาน เพื่ออะไรก็ไม่รู้ อย่างน้อยถ้าให้เตรียมใจสักหน่อยยังจะดีเสียกว่า”“แล้วแผนคืออะไร” เบนตัดบทคนอื่น“คนนั้นบอกว่าให้คอยระวังตัว เหมือนให้พวกเราตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น พวกเราก็ต้องพยายามเกาะกลุ่มกันไว้ มุ่งหน้าไปที่จุดเซฟโซนให้ได้ ดีไหม” โนเอลเสนอ พลางทำเครื่องหมายลงบนแผนที่ “ยึดแค่เส้นทางและจุดหมายก็พอ ถ้าเกิดใครหลงออกจากกลุ่ม ก็พยายามกลับทางเดิม ยังไงก็ต้องไปทางเดียวกัน อาจจะต
“อะไร เกิดอะไรขึ้น”เขายกปืนขึ้น แต่ศัตรูยังไม่โผล่มาเพียงอึดใจเดียว เสียงฝีเท้าคนวิ่งจำนวนมากมายมหาศาลดังขึ้น มันดังปึง ๆ สะท้อนมาแต่ไกล ใกล้ขึ้น ดังขึ้น ใกล้ขึ้น ดังขึ้น จนแม้แต่หัวใจของเขายังเต้นแรงตามจังหวะพวกมัน “หนีเร็ว” ออสโล่เตือนสติ “ทำอะไรกันอยู่”เขาพูดถูก แต่... “ไม่ใช่ทางนั้น มันมาจากทางที่พวกเราจะไป” เบนตะโกน คนทั้งกลุ่มพร้อมใจกันพุ่งตัวไปทางซ้าย ขณะที่บางคนโง่เกินกว่าจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา บ้างยังมึนงงและตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหน จนกระทั่งอเล็กซิสตวาดให้พวกเขาขยับก้นออกจากที่นี่แทนที่จะยืนบื้อโดนกำจัด“พระเจ้า พวกมันมาแล้ว”เหมือนสติไม่อยู่กับตัว เหมือนร่างกายไม่ขยับตามคำสั่ง สิ่งที่พวกเขาต้องสู้คือ มนุษย์...ไม่ใช่ มันไม่ใช่มนุษย์ แต่เหมือนกับมนุษย์ มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ อะไรวะนั่น ดวงตาพวกมันว่างเปล่า การเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติแต่รวดเร็วและมุ่งจู่โจมโดยไม่เลือกหน้า ไ
เธอรู้แล้วว่าทำไมถึงฝันเห็นเลือดสีแดงข้นเต็มไปหมด เบ็กกี้ไม่เคยนับว่าความฝันนั้นเป็นจริงบ่อยแค่ไหน แต่ตอนนี้หนึ่งในนั้นเกิดขึ้นตรงหน้าเธอแล้ว มันเป็นเลือดของเพื่อนร่วมชายคากระซัดกระเซ็นราวกับอยู่ในเทศกาลละเลงมะเขือเทศ กลิ่นคาวรุนแรงเกินบรรยาย อีกไม่นานหรอก เลือดของเธออาจผสมอยู่ในนั้นด้วย เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะติดอยู่ในกับดักสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ ราวไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าคือความฝัน แม้จะมีปืนอยู่ในมือแต่มันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในเมื่อเธอเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแม้แต่ยกปืนเล็ง วิกฤติ ใช่แล้ว วิกฤติที่สุด ห้องนี้คงเป็นเกราะกำบังได้ไม่นาน พวกมันกำลังเข้ามา ความตายกำลังคืบคลานอยู่หน้าประตูพวกผู้กล้ากำลังปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรถึงจะออกไปได้และไม่ถูกกินสด ๆ เธอใช้คำว่า ‘ผู้กล้า’ เพราะแค่จะสู้ต่อเธอยังสั่นขนาดนี้ คนพวกนั้นยังมีอารมณ์ปรึกษาวางแผนกันอีก สายตาของเบ็กกี้จดจ่ออยู่แต่กับประตูและเครื่องกั้นที่เบนตรึงไว้ มันสั่นไหวอย่างรุนแรง เธอกลัวว่ามันจะพังครืนลงมาแล้วประตูเปิด พวกมันวิ่งเข้ามาทึ้งร่างเธอ“ให้ตายเถอะ นายถูกกัดนี่”พลูทักซ์ตะโกนโหวกเหวกใส่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ช่วย
“พี่เป็นไง” มินนี่สั่นแขนพี่สาว “นายสองคนก็ด้วย” แล้วตีหลังของเบนกับอเล็กซ์ ซาร่าห์รีบเบี่ยงตัวหลบเด็กสาววัยละอ่อนไม่ให้ชี้มาที่เธอ“ฉันรู้แล้วจ้ะมินนี่ ฉันหมายถึงคนอื่นนอกจากสี่คนนี้ มีใครอีกไหม”ไม่มีใครยอมรับหรืออ้างตัว“โอเค ถ้างั้น เบน...”“ว่ามา”“นายสร้างเครื่องกำบังกันไม่ให้พวกมันไล่ตาม คือไงล่ะ แบบ...”“ฉันเข้าใจ”“ขอบใจ” สายตาของเธอเลื่อนไปยังเครื่องกำบังที่ประตูเบนพยักหน้า “สบาย”“แล้วก็...พวกมันใส่เสื้อผ้าด้วยนะ” เบ็กกี้และคนอื่นไม่เข้าใจสิ่งที่อเล็กซิสพูดเบนก็เช่นกัน พวกเขาจ้องมองกันนานจนกระทั่ง “เออ ใช่ ฉันมันโง่จริง ๆ”“ส่วนนาย อเล็กซ์”หนุ่มร่างสูงขานรับ “ขอรับ”“นายอยู่ข้างหน้า คอยขับไล่ศัตรูที่จู่โจมเข้ามา ช่วยเคลียร์ทางให้หน่อย”“รับทราบขอรับ คอมแมนเดอร์” แม้เขาจะทำน้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่อง
พอเขายกมือขึ้นทั้งสองข้าง สองเท้าของเธอตั้งมั่น มือสองข้างยกปืนขึ้นเล็งหมายจะเหนี่ยวไกให้ได้สักครั้ง ชั่วพริบตา โต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์รวมทั้งบานประตูกระเด็นหลุดออกไปคล้ายพวกมันมีชีวิต เมื่อประตูเปิดออก เบนพุ่งตัวออกไปทันทีพร้อมกับอเล็กซิส (ที่ขัดคำสั่งของเบน) เรมีพยักหน้า เธอสาวเท้าเร็ว ๆ ตามออกไป ไม่ทันไรเสียงคำรามดั่งฝูงผึ้งโรมรันแล่นเข้าหูเตือนให้รู้ว่าซอมบี้อีกฝูงใหญ่กำลังพุ่งเข้ามา จากนั้น ครืน! ฝูงผึ้งแตกรังกระจายออกไปเพราะอเล็กซ์ ตามมาด้วยเสียงของเธอเทสซ่าที่ทำให้เธอต้องอุดหู เบ็กกี้กับเรมีไม่ได้อยู่รั้งท้ายจึงเห็นว่าทางข้างหน้าเปิดโล่งพร้อมกับหลังอเล็กซ์และโนเอลที่วิ่งห่างออกไปเธอไม่วายอดชำเลืองมองหลังไม่ได้ กำแพงเฟอร์นิเจอร์กั้นเป็นทางตายไม่ให้ศัตรูแหวกเข้ามา และมันกำลังเคลื่อนดันออกไปด้วย เขาไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ยังมีเพื่อนร่วมทางอีกสองสามคนคอยยิงศัตรูที่เหลืออยู่ให้“พวกนายไปซะ เธอด้วย ฉันไม่เสียสละตัวเองหรอกน่า ไม่ต้องห่วง” เบนตะโกนไล่ ดูเหมือนเขาจะกอบกู้สติตัวเองแล้วมั่นใจมากขึ้น“อย่ายืนอยู่แบบนี้ ไปได้แล้วเ
“เบ็กกี้ เข้ามาข้างในเร็วเข้าสิ!” เสียงของโนเอลปลุกให้เธอหลุดจากภวังค์ เขายังคงยิงปืนระรัวคุ้มกันไม่ให้พวกมันย่างกรายเข้ามา เธอวิ่งไปหาเขาโดยไม่ได้หันกลับไปมองพวกอเล็กซิสกับเบนอีก พอเข้าไปในห้อง เรมีพุ่งตัวเข้ามา“จะบ้าตาย นึกว่าเธออยู่ข้างฉันเสียอีก!” เหงื่อบนใบหน้าของเขาผุดเต็มไปหมด“ฉันล้ม แล้วก็...” เธอมองหาอเล็กซิส จึงเห็นว่าเด็กสาวคนดังกล่าวเพิ่งเข้ามาข้างในพร้อมกับเบน มือยังคงกุมปืนแน่นแม้จะสั่น ท่าทางที่เบ็กกี้ไม่อาจเลียนแบบได้ ความรู้สึกผิดกลืนกินไปทั้งร่าง มันเป็นความรู้สึกที่แย่ยิ่งกว่าเห็นพวกนั้นรุมทึ้งร่างเหยื่อ ทำไมเธอสงสารเจ้าพวกนั้น“พวกเราเหลือเท่าไร” เธอได้ยินพวกเขาคุยกันเหลือเพียงสามสิบกว่าคนจากห้าสิบกว่า พอเธอเหลือบเห็นนาฬิกาในมือตัวเอง ปากก็ขยับออกไปทันที “พวกมันคือพวกเรา!”ทุกคนจ้องมาที่เธอ เบ็กกี้อธิบาย “ฉันเห็นพวกมันใส่นาฬิกาเหมือนที่พวกเราสวมอยู่ พวกมันเคยเป็นมนุษย์แบบพวกเรา”“ใช่ เธอพูดถูก ฉันสังเกตเห็นเหมือนกัน” เวดเสริม มือข้างหนึ
“เออฉันนี่...” เขาหันไปยิงอีกตัว ปืนในมือแสตนเนอร์อานุภาพร้ายแรงกว่าปืนปกติ เพียงนัดเดียวก็เป่าหัวหุ่นเหล็กกระจุย รอบตัวเริ่มชุลมุนหนักขึ้นทุกที เขารู้สึกเหมือนทุกคนเบียดเป็นวงล้อม กลุ่มทหารเปิดวงจรอะไรบางอย่างที่คล้ายกับสร้างเกราะที่มองไม่เห็นขึ้นมากันไม่ให้เขากับอเล็กซิสเป็นลูกหลง (แม้จะแส่หาเรื่องเข้ามาเอง) เมื่อพวกเขาทำลายบานเหล็กได้สำเร็จก็รีบพากันออกมาทั้งหมด“บ้าชะมัด ฉันบอกให้พวกเธอรอ แล้วเข้ามาได้ไง” แสตนเนอร์ตามมาเอ็ด ทั้งเขาและอเล็กซิสคล้องแขนแล้วก้มหน้า ทหารคนหนึ่งรีบดึงดาบในมือออกไปด้วยโดยไม่หันมามองว่าสีหน้าไมเคิลอาลัยมันแค่ไหน ดูเหมือนว่าหุ่นยนต์มีหน้าที่ปกป้องตึก เมื่อผู้บุกรุกออกไป มันกลับไม่ตาม ทั้งหมดมองกลับไปเห็นหุ่นเหล็กยืนสงบ ดวงตาสีแดงอับแสงลง“คุณจะโกรธพวกเราไม่ได้” เพื่อนสาวดูท่าจะรวบรวมความกล้าได้ก่อน “พวกคุณไม่บอกอะไรเราเลย ฉันอยากจะช่วยเบ็กกี้” อเล็กซิสระเบิดออกมาได้แป๊บเดียวเท่านั้น ท่าทางดั่งสิงโตเมื่อกี้หายกลายเป็นลูกแมวเมื่อเธอมองสภาพทหารบางคนที่รอดออกมา ร่างพวกเขาโชกเลือด ไมเคิลรู้ดี
กลุ่มทหารยกพลกันมาสองคันรถ ตัวรถถังกึ่งรถบรรทุกจุคนได้ราวยี่สิบ เขานับเมื่อทั้งหมดออกมาจากรถ บวกกับพลเดินเท้าอีกหยิบมือก็ได้สี่สิบกว่า ทั้งหมดสวมชุดป้องกันและอาวุธพร้อม ไมเคิลตัดสินใจดูเชิงอยู่ห่าง ๆ พวกเขากำลังจะบุกเข้าไปในตึกสูงเจ็ดชั้นซึ่งเมื่อก่อนน่าจะเป็นศูนย์บังคับการกลางของเขตราซา ตัวตึกเป็นทรงห้าเหลี่ยมขนาดกว้างพอดู ไมเคิลกับอเล็กซิสเล็งไว้ว่าจะเข้าไปหลังจากพักเหนื่อยแต่ถูกตัดหน้าเสียก่อน เจ้าหน้าที่รายหนึ่งถือแผ่นจอสกรีนแบบที่พวกเขาชอบพกกัน (มีไว้ครอบครองเพียงแค่ข้าราชการ) กดอะไรบางอย่างแล้วปรึกษากับเจ้าหน้าที่อีกคน สักพัก คนที่สองยกมือหมุนรอบหนึ่ง ทหารทุกนายหันหน้ามาพร้อมเพรียง“ระวังตัวให้มากที่สุด และพยายามหาตัวประกันให้เจอ ผู้ต้องสงสัยทุกรายขอให้จับเป็น แต่หากขัดขืน สังหารทิ้งได้ทันที เราจะไม่เสียกำลังพลของเราเพื่อแลกกับพวกมัน นอกจากปกป้องตัวประกัน คำสั่งของท่านซีโนฮอฟเป็นอันว่าที่สุด”ทั้งหมดยกมือขวาทาบอกตอบพร้อมกันว่า “ขอรับ!”เขามองหน้าอเล็กซิส “ซีโนฮอฟ เธอเคยได้ยินชื่อนี้ไหม”เพื่อนข้างตัวส่ายหน้า &ldqu
รสช็อกโกแลตในปากออกขมมากกว่าหวาน เขาคลี่ซองดูเห็นว่ามันเป็นรสดาร์ก หยิบผิดหรือนี่ อันที่จริงเขาน่าจะพอเดาที่มาอารมณ์หดหู่ของเธอได้ “มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะ”อเล็กซิสยังคงไม่สบตา เขามองเธออย่างเข้าใจ เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแพทย์ช่วยลบรอยแผลทุกอย่างออกจากตัวเธอ เขาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าเธอถูกกระทำอะไรบ้าง มีเพียงรอยหมัดของหนุ่มผิวแทนคนนั้นที่ฝากไว้บนหน้า สิ่งเดียวที่เขาสังเกตเห็นคือเธอผอมลงและเงียบผิดปกติ มันมีบางอย่างในใจที่เธอเก็บไว้แล้วไม่บอกใคร เขารู้สึกเช่นนั้น เพราะท่าทางของเธอเหมือนกับแม่ยามคิดถึงพ่อ เอาแต่โทษตัวเอง หมกมุ่นกับความคิดร้ายต่าง ๆ นานา และแม้ปาสคาลจะปลอบเธอเท่าไร แม่ก็ไม่เคยสดใสขึ้นอีกเลยเขานั่งลง เผชิญหน้ากับอเล็กซิส “เธออยากมาที่นี่ ส่วนหนึ่งเพื่อหาร่องรอยเบ็กกี้ และอีกส่วนคือเธอไม่อยากเจอคนอื่นใช่ไหม”อเล็กซิสไม่ตอบ เขาไม่ชอบเวลาเธอเงียบแบบนี้เลย ปกติแล้ว มันควรเป็นตัวเขาสิ แต่ตั้งแต่เวดถูกพาตัวไปไหนก็ไม่รู้ จนอเล็กซ์งี่เง่าแล้วพวกเขาเลิกกัน แล้วมาเรื่องนี้เอง ไมเคิลไม่คิดว่าอเล็กซิสคนเดิมจะกล
ฝนตกเหมือนไม่มีวันหยุด แม้ไมเคิลสวมชุดกันฝนไว้แต่มันไม่ได้สบายตัวเท่าไรนัก เพราะเมื่อขยับจะเกิดเสียงเสียดสี ทำไมตกกระหน่ำอย่างนี้วะ มันเหมือนกับไม่ใช่ฝน แต่เป็นมวลน้ำเทโครมลงบนหัว แถมยังรู้สึกว่าน้ำซึมผ่านเสื้อข้างใน เขาไม่ชอบให้ตัวเปียกเหนอะหนะ“ตกหนักชะมัด ตกหนักที่สุดเท่าที่เคยอยู่มาแล้ว” เรมีกอดอก ส่วนอเล็กซิสยืนรอเงียบ ๆ คนอื่นอาจหาว่าบ้าที่พวกเขาตัดสินใจลักลอบเข้าเขตราซาโดยใช้เวลาไตร่ตรองไม่ถึงนาทีดี ในเมื่อมีกฎห้ามไม่ให้เข้า แต่ใช่ว่าไม่มีคนทำ ตรงกันข้าม มีคนลักลอบเข้าไปเยอะแยะ เมื่อวานก่อน ไมเคิลกับเรมีเข้าไปในตลาดมือสองแล้วพบว่าพวกพ่อค้านำสินค้าราคาถูกมาจากเขตนี้ พวกเขาลักลอบเข้าไปหยิบของเหลือทิ้งมาขายต่อหรือใช้เองบ่อยครั้ง สบู่แชมพูอายุสองปี เศษเสื้อผ้า ทุกอย่างที่ยังไม่หมดอายุ ราคาของในตลาดจึงถูกกว่าในซูเปอร์ และเมื่อเขาบอกเรื่องนี้กับอเล็กซิส เธอต้องการตามหาเบ็กกี้ที่นี่เรมีมองนาฬิกาแล้วก้มตัวลงหยิบอิฐออกทีละก้อน ปากบ่นไป “เทสซ่าจะยอมให้หมอนั่นมาหรือเปล่า พักหลังทำตัวเป็นคุณแม่ขี้บ่นอยู่”ไมเคิลไม่คิดว่าเธอทำตัวเป็นคุณแม่หรอก เทสซ่าห่างไกลจากคำนี้มาก แต่เพราะเธอต้องทำหน้า
เธอกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง อเล็กซิสพยายามปลุกสติตัวเอง เล็บของเบ็กกี้จิกลึกมากขึ้นทุกที เลือดไหลทะลักจากใต้ผิว ทุกอย่างช้าลงตรงข้ามกับความรู้สึกที่ทวีคูณ เล็บค่อย ๆ ฉีกออกจากกัน บางนิ้วฝังแล้วกรีดลงบนเนื้อเธอ หนังค่อย ๆ ปริแยกออกพร้อมลาวาสีเลือดเอ่อล้น กล้ามเนื้อขึ้นเป็นเส้นหนาเกร็งไปจนถึงขมับ ตัวเธอถูกยกขึ้นสูงแล้วดิ่งลงปะทะกับพื้น ริมฝีปากชิมน้ำสกปรกและคราบเลือด ใบหน้าถูไถลไป...ตื่น!เธอลืมตาโพล่ง ความทรงจำชัดขึ้นทุกทีจนอเล็กซิสแทบไม่อยากนอน แต่แล้วจำต้องหลับตาอีกรอบเพราะเจ็บเบ้าตาก่อนจะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดก่อนไอสำลักออกมา มือใครสักคนแปะอยู่บนศีรษะแล้วเลื่อนมาจับไหล่เธอไว้ อเล็กซิสลุกขึ้นนั่งทันที ตกใจ พอมองเต็มตาจึงเห็นดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องกลับมา“ไมเคิล...”คงเรียกว่าเป็นเด็กหนุ่มผมเงินไม่ได้แล้ว เพราะเฉดผมสีน้ำตาลเริ่มโผล่ออกมามากขึ้น มุมปากของเขาเชิดขึ้น อมยิ้มบาง ๆ “เธอผอมไปนะ”ทันใดนั้น อเล็กซิสโผเข้ากอดเขา เธอไม่ได้ฝันไป และข้างหลังไมเคิลคือเรมีที่นั่งมองพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น เธอกวาดตามอง
เธอนิ่งคิดเมื่อเดสซิเรถามคำถามนี้ เพราะเหตุนี้วันนี้เธอจึงตัดสินใจจะพบไมเคิล แต่ขณะเดียวกันก็ไม่แน่ใจความคิดตัวเอง “ก็...”ข้างหลังตึกมีพื้นที่โล่ง ๆ ขนาดเท่าครึ่งสนามบาสเกตบอล เอมอนสวมเสื้อกล้ามเผยผิวแทนแกว่งแขนไปมา เขาพยักหน้าให้หญิงสาวข้างอเล็กซิสแต่นัยน์ตานั้นเป็นประกายปิดบังความสนใจของตัวเองไม่อยู่ แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะอธิบายเป็นคำพูดยาก สิ่งหนึ่งที่อเล็กซิสมั่นใจคือ เอมอนหลงรักเดสซิเร เขาไม่ได้มองเธอเป็นเพื่อน-กิน-กัน-มัน-ดีแต่อย่างใด แต่ฝ่ายหญิงคิดอย่างไร เธอเดาไม่ออกเด็กสาวกวาดตามองโดยรอบแต่ไม่เห็นอุปกรณ์ใด ๆ เลยนอกจากนวมสีน้ำเงิน“นายนี่นะ จะฝึกสาว” เดสซิเรกอดอก ทำเสียงดูแคลน “แน่ใจรึ”ชายหนุ่มยักไหล่ “ก็...ฉันทำร้ายผู้หญิงไม่ลงเธอก็รู้” เขาโยนนวมชกให้อเล็กซิส “ดังนั้น เริ่มบทเรียนด้วยการโดนตัวฉันให้ได้ดีกว่า”เดสซิเรผิวปาก ทึ่ง “เข้าใจคิดนี่”ทว่าคนที่ถูกฝึกกลับผิดหวัง อเล็กซิสอยากให้เขาทำให้เธอแข็งแกร่ง“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเสียใจสิ จ
ผ้าห่มสีขาวสะอาดส่งกลิ่นหอมจากการอบความร้อนฆ่าเชื้อ เธอพยายามลุกขึ้นแต่เหมือนติดอยู่ในร่างนี้ เสียงกรีดร้องของเอเลน่าดังเข้าโสตประสาทประหนึ่งมีพลังสั่นคลอนสะเทือนไปจนถึงแกนหูข้างใน อเล็กซิสหันไปเห็นเธออยู่ในสภาพมัดติดกับเตียง เธอร้องระบายความเจ็บปวดข้างในจนขากรรไกรแทบฉีกออกจากกัน “ฆ่าฉันซะ ฆ่าฉันซะ” ราวเหล็กบนเตียงกระตุกรัว อเล็กซิสมองดูเหมือนเตียงจะถล่มตามแรงเคลื่อนไหว เสียงหวีดร้องกรีดหัวใจจนอยากตะโกนบอกให้พวกเขา...ฆ่าเธอซะ ทำตามที่เธออ้อนวอน“เราจะทำอย่างไรดีคะคุณหมอ” “ทำตามที่เธอปรารถนา เราช่วยเธอไม่ได้แล้ว” อเล็กซิสมองทรอย เห็นแต่เพียงแผ่นหลังและผมสีเทา พวกเขาเข็นเตียงเธอออกไปตามคำสั่ง ไม่นานเสียงเอเลน่าสงบลง และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเด็กสาว“มันอยู่ในตัวเธอด้วย”เธอส่ายหน้า “ฉันกำลังจะตายเหมือนเธอเหรอคะ”ทรอยไม่ตอบ“มันอยู่ในตัวเธอ”“มันอยู่ในตัวเธอ”อเล
“อย่าปล่อยเด็ดขาด”น้ำตาเด็กสาวไหลรินหยดลงบนแขน ความเค็มของน้ำตาทำให้แผลแสบร้อนนิด ๆ นิ้วของเบ็กกี้จิกลึกลงบนแขนจนเลือดไหลซิบ อเล็กซิสกัดฟันทนความเจ็บปวดทุกอย่าง ขืนตัวรั้งเพื่อนไว้ไม่ให้พวกมันเอาตัวไปได้ ชายสองคนต่างพยายามแยกพวกเธอออกจากกันราวกับเล่นชักเย่อ “ใช้มันซะ เบ็กกี้ ได้โปรด” เธอขอร้อง “ได้โปรด...” เด็กสาวหวีดร้อง เล็บที่จิกอยู่กับเนื้อฉีกขาดฝังอยู่ข้างในเนื้อของเธอ บางนิ้วมีเล็บแข็งเกินจึงเฉือนฉวัดขูดผิวเป็นรอยยาว เสียงดังตุบกลางหลังเด็กสาว เบ็กกี้ล้มฟุบลงกับพื้น ยูฟุนแบกร่างเธอออกไปพร้อมกับเด็กอีกคน“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” เกรกอรี่พึมพำแล้วเหวี่ยงตัวอเล็กซิสลงไปกองกับพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำโสโครกผสมเลือดเจิ่งนอง เธอตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นไม่ทันไรก็ล้มลง เด็กแฝดที่ยังเหลืออีกคนถูกโขกกับกำแพงดังจนคล้ายกับกะโหลกแตก ร่างอ่อนปวกเปียกไถลครูดลงเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต อเล็กซิสปากสั่น เกรกอรี่ย่างสามขุมแล้วกดหน้าเธอลงกับพื้นก่อนจะมัดมือไพล่หลัง เธอดิ้นจนแขนเสียดสีกับเชือก รอยแผลที่เบ็กก
อาคุสะนอนอยู่บนเตียงนิ่งเหมือนไม่ได้ยินใครทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงมากที่สุดคือออร่าหลากสีที่ล้อมเป็นรัศมีรอบตัวเขา พอเธอเขยิบเข้าไป อเล็กซ์ดึงแขนรั้งไว้ทันที “อย่า มันอันตราย”ชายหนุ่มเกาแก้มตัวเอง “ฉันโดนแล้ว มันเหมือนกับพลังของเขากระจายรอบตัว ถ้าเธอเข้าไปในรัศมีนั้นจะเหมือนคนบ้า ทั้งร้องไห้ หัวเราะ ด่าทุกสิ่ง ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะสงบลงได้”หญิงสาวเขยิบถอยหลังทันที ออร่าที่พุ่งออกมาทำให้อาคุสะเหมือนกับเจ้าชายนิทราต้องสาปประมาณนั้น “มันเกิดอะไรขึ้น เพราะแบบนี้ใช่ไหม พวกนายถึงไม่ส่งข่าวมา”เขาพยักหน้า ชายหนุ่มเชื้อเชิญให้เธอหาที่นั่งเอง ส่วนเขาเดินเก็บของผ่านหน้าไปมา ปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น “พวกเราชนะเควสทั้งสองระดับ วันต่อมาระดับสามเปิด พวกเราก็เลยลอง”“บ้าไปแล้ว” เทสซ่าร้อง“ก็จริง” เขาหัวเราะ เธอไม่ได้เห็นเสียงหัวเราะของเขามานานแล้วตั้งแต่เบนจากไป หนุ่มผมดำผู้นี้มีลักษณะเหมือนคนหลายบุคลิก บางครั้งยียวน บางครั้งเงียบขรึม บางครั้งกราดเกรี้ยว “อาคุสะเกือบตาย