...เงียบ! ฉันยังพูดไม่จบเลย! (ถอนหายใจ) ตั้งแต่วันนี้ จงเอาตัวรอดไปจนถึงจุดหมายให้ได้ พวกเรามีแผนที่และเสบียงเตรียมไว้ให้ เห็นไหม ไม่ยากเลย ยังมีอาวุธและอุปกรณ์อื่นดำรงชีพอื่น ๆ อีก จะหยิบหรือขนไปเท่าไรก็ได้ เราไม่จำกัด อย่าห่วงเรื่องอาหารหมด เพราะเรามีบริการเติมอยู่ทุกจุดเซฟโซน อย่าเพิ่งพูดเวลาฉันพูดอยู่”
แขนของเบนเกร็งจนเส้นเลือดขึ้น มือทั้งสองกำแน่น หากมีเล็บแบบผู้หญิงคงจิกเข้าเนื้อไปแล้ว อาวุธ อาหาร จุดเซฟโซน เอาชีวิตให้รอด จะทดสอบเกมเซอร์ไววอลแบบเรียลไทม์อาร์พีจีกันหรือ ฟังดูก็รู้พวกเขาต้องต่อสู้กับบางสิ่งในนั้น และมันคงไม่ใช่หุ่นเป้านิ่งแน่นอน สถานการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้ เบนไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับข้าวของหรูหราอยู่เป็นเดือน! ถ้าเขาเขียนพล็อตเองได้ คงจะเขียนว่า เจ้าหน้าที่กำลังประกาศว่าพวกเขาเป็นแค่ร่างโคลนนิ่ง และเบนคนนี้คือร่างโคลนของ เบนจามิน โรซิเยร์ที่กำลังจะตายและต้องการอวัยวะใหม่ไปเปลี่ยนใหม่ทดแทน
เดี๋ยวก่อน แต่เบนที่กำลังจะตายฟังดูไม่ดีเลยนะ
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามห้ามใจไม่ให้โทสะเข้าแทรก มิฉะนั้น ตัวเองอาจจะเผลอก่อเหตุฆาตกรรมหมู่ในที่นี้ก็ได้ และนั่นก็หมายความว่า มันเป็นการฆ่าตัวตายที่โง่เง่าที่สุดด้วย
แต่อเล็กซ์คุมอารมณ์ไม่เก่งเท่า แรงสั่นสะเทือนราวกับมีแผ่นดินไหวขนาดย่อมหรือไกลออกไปเกิดขึ้นจนข้าวของในห้องสั่นไหวตามแรง ผู้คนมองหน้ากันเพราะนึกว่าเป็นฝีมือของพวกทางการหรือไม่ก็ฝีมือธรรมชาติ เมื่อแรงสั่นสะเทือนหายไป มีเพียงเบนที่รู้ว่าใครทำ
“พวกเธอทำใจให้สงบหน่อยเถอะน่า ฟังฉันให้ดี มีทางออกอยู่สามทางเท่านั้น พวกเราจะไม่ยุ่งว่าจะจับกลุ่มกันอย่างไร จงระวังตัวและตื่นตัวอยู่เสมอ เลือกเพื่อนร่วมทางให้ดี แล้วอย่าลืมใช้นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือซะ มันไม่ใช่แค่บอกเวลาหรือบันทึกข้อมูลหรอกนะ แต่มันสามารถวินิจฉัยร่างกาย อาการบาดเจ็บ ระดับความรุนแรง แถมยังสอนวิธีรักษาพยาบาลให้ด้วย และถ้าพวกเธอตั้งใจฟังวิธีใช้ตอนตรวจสุขภาพ พวกเธอก็จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง รู้ไว้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของการทดลอง ทำตัวเป็นพลเมืองที่ดีเข้าไว้ เอาล่ะ ถึงเวลาเตรียมตัวแล้ว ขอให้โชคดี หวังว่าพวกฉันจะได้เจอพวกเธอที่จุดหมายปลายทางครบทุกคน”
ครบทุกคน...ไอ้รัฐบาลจิตป่วง
ทำไม คำถามนี้ติดอยู่ในหัว ทำไมถึงไม่แจ้งเรื่องนี้ให้พวกเราทราบก่อน
เมื่อพวกเจ้าหน้าที่ปล่อยให้ทั้งหมดจัดการกันเอง สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่ทำคือจับกลุ่มแล้วยืนงงกันเป็นกลุ่มนั่นแหละ
เขายังไม่ขยับ ลังเลว่าจะทำอะไรต่อ “ฉันว่าเราอยู่กันสองคนก็ได้นะ ไม่นับรวมซาร่าห์” หางตาของเขามองตามหญิงสาวที่กำลังวิ่งไปหาพวกเวด
อเล็กซ์ส่ายหน้า “อยู่กับพวกเขามาสองสามอาทิตย์ไม่ได้ช่วยให้นายรู้สึกผูกพันหรือเห็นเป็นเพื่อนกันบ้างเหรอไงวะ ฉันนับรวมซาร่าห์และคนอื่นด้วย อยู่กับเพื่อนน่ะดีแล้ว ปลอดภัยกว่า”
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินตามซาร่าห์ไป เรมีลากเด็กสาวที่มีปัญหาทางสมองมาด้วย บางคนเริ่มหยิบกระเป๋าเป้แล้วเช็กข้าวของข้างใน
“แล้วแผนที่ล่ะ” ซาร่าห์ถามหาสิ่งของแต่ตัวเองยืนเฉย จนโนเอลต้องส่งกระเป๋าเป้ให้เธอ
“มันอยู่ในนี้ครับ คุณนาย”
เบนหยิบกระเป๋าขึ้นมาใบหนึ่ง ในนั้นมีอาหาร หยูกยา และอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นเตรียมไว้ให้ เขาหยิบพวกยากับเครื่องปฐมพยาบาลออกไปเพื่อลดน้ำหนักกระเป๋าและเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับใส่อาวุธได้มากขึ้น
“ไปดูอาวุธดีกว่า โนเอล พี่ช่วยพวกเราเลือกได้ไหม แล้วพี่ช่วยสอนพวกเราด้วยว่าใช่ยังไง” เทสซ่าถามพี่ชายเสียงหวานกว่าทุกวัน
เบนและอเล็กซ์พอจะคุ้นกับปืนพกและไรเฟิลบางชนิด แต่โนเอลเหมือนจะรู้จักเกือบทั้งหมด ต้องขอบคุณที่เขาทำตัวมีประโยชน์ อย่างน้อยในทีมก็เหลือตัวถ่วงอยู่หกคน เขาไม่เข้าใจว่าอเล็กซ์คิดอะไรอยู่ ทางการย้ำว่านาฬิกาสามารถวินิจฉัยอาการบาดเจ็บได้ แล้วยังพูดถึงอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นหนทางครั้งนี้ไม่หมูแน่ เขาคิดแต่เพียงว่า ทั้งสองคนควรเดินไปทางถึงจุดหมายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าไปเป็นกลุ่มคงหนีไม่พ้นคอยช่วยคนพวกนี้และเวลาก็จะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
“ถึงเวลาได้ใช้สกิลที่ฝึกมาสักทีสินะ” เบนกระซิบ เพื่อนของเขาคงคิดเหมือนกัน ในกลุ่มสิบคน มีเพียงพวกเขา ซาร่าห์และเทสซ่าที่ใช้พลังได้ แม้ความสามารถของเทสซ่ายังเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่มันน่าจะมีประโยชน์พอสมควร อีกอย่าง พี่ชายของเธอยังเคยฝึกทหาร เขาย่อมเชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้และการใช้อาวุธเป็นอย่างดี และมันคงส่งผลดีต่อกลุ่มที่มีแต่เด็กวัยรุ่นไม่รู้ความ ยิ่งตัวถ่วงอีกหกคนแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย เขานึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าพวกที่เหลือจะใช้อาวุธได้หรือไม่และจะสู้อย่างไร
“พวกเธอใช้พวกอูซี่ขนาดเท่านี้ก็แล้วกัน มันเป็นปืนอัตโนมัติแต่ไม่หนักเกินไป ดูให้ดีนะ ฉันจะสอนพวกเธอครั้งเดียว ห้ามยิงเล่นนะ นี่คือวิธีโหลด...”
เบนและอเล็กซ์แยกตัวออกมาเลือกอาวุธเองระหว่างที่โนเอลเร่งสอนคนอื่นโหลดกระสุน ทั้งสองเลือกอาก้าแบบฟูลออโต้ไว้สำหรับถือ เสียบปืนพกอีกสองกระบอกไว้ที่เอวทั้งสองข้างแบบพวกเจ้าหน้าที่เปี๊ยบ เขาไม่ลืมซ่อนมีดพกที่ข้อเท้าแบบที่พวกในหนังทำกัน จากนั้นยัดปืนและอุปกรณ์ชิ้นอื่นลงกระเป๋า เขาได้ยินซาร่าห์บ่นที่ต้องแบกอาวุธหนัก ก็เธอเล่นถือปืนกลขนาดใหญ่ เดินเอียงกระเท่เร่ เขาจึงแนะนำให้เธอถือชนิดเดียวกับที่พวกอเล็กซิสใช้ “ยัยโง่ ใช้ไม่เป็นแล้วจะเลือกอันใหญ่ทำไม”
“ก็ฉันได้ยินโนเอลพูดว่ามันแรงกว่าอันอื่น”
“แล้วยิงยังไง ต้องถือยังไง” เขามองเธอ ซาร่าห์ยืนนิ่ง หน้าบึ้ง “เห็นไหม เปลี่ยนซะ” เขาหยิบปืนขนาดเล็กกว่าและเบากว่าให้ “ห้ามเถียง”เธอทำหน้ารำคาญแต่รับไปเปลี่ยนแต่โดยดี
“นี่ ฉันเหมือนหน่วยคอมมานโดไหม” อเล็กซ์อวดโฉมตัวเองที่เต็มไปด้วยอาวุธครบมือพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้น
“ไม่ว่ะ เหมือนพวกผู้ก่อการร้ายหน้าตาอัปลักษณ์”
“อ้าว ไอ้เชี่ยนี่”
เขาแนะให้ลองพกระเบิดไปด้วย แต่อเล็กซ์ไม่แน่ใจ “เชื่อเถอะ พวกมันไม่ได้ให้พวกเราไปเล่นในสนามเด็กเล่นแล้วสู้กับลูกหมาแน่ ตัวระเบิดปลอดภัยอยู่นะ แถมยังมีตั้งหลายแบบ ฉันเห็นโนเอลพกบ้างเหมือนกัน”
เพื่อนร่างสูงขมวดคิ้วแน่น “สู้? นายคิดว่าพวกเขาต้องการประเมินความสามารถของพวกเราใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วคนที่ไม่มีความสามารถจะทำยังไงล่ะ”
เบนยักไหล่ สั่นหัว เขาเบนสายตาไปยังสิ่งรอบตัว พวกเด็กซานโบซ่ากำลังอ่านแผนที่อยู่ “เออจริงสิ พวกเราต้องรู้จักหน้าตาสนามรบก่อนถูกไหม” เขากางแผนที่ทั้งสองคนก้มหน้าอ่านด้วยกัน “เวรเอ๊ย มีตั้งสี่โซน อย่างกับแผนที่สวนสนุก มีธีมแต่ละโซนด้วย สัตว์เอ๊ย ฉันเกลียดธีมและฉากแบบนี้ว่ะ เหมือนพวกเขาภูมิใจงานออกแบบนี้”
สองหนุ่มหันไปมองโนเอล อยากรู้ว่าชายคนนี้จะเตรียมตัวอย่างไร ทั้งตัวโนเอลเต็มไปด้วยสายสะพายกระสุน เขาเหมือนหน่วยคอมมานโดตัวจริง ขณะเดียวกันก็ดูน่ากลัวเหมือนพวกผู้ก่อการร้าย เด็กคนอื่นต่างลองยกปืนเล็ง ลองถอดกระสุน ใส่กระสุน ซาร่าห์หันมาเห็นพวกเขาแล้วทำท่าเหมือนใกล้ตาย
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ทำไมพวกเขาถึงให้พวกเราอยู่กับของพวกนั้น” เธอสงสัยไม่ต่างจากคนอื่นหรอก มีแต่คนตั้งคำถามนี้ทั้งนั้น พอพูดจบเธอก็หันไปคุยกับคู่ของตัวเอง
เพราะรัฐบาลเป็นโคตรพ่อโคตรแม่ของเกรียนล่ะมั้ง
เขามองโนเอลสอนวิธีใช้ปืนแล้วกอดอกแน่น “เอาจริงนะอเล็กซ์ ฉันว่าพวกเราต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กแน่เลยว่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ชิ่งเลยนะ”
“นายไม่หนีหรอกน่า” อเล็กซ์ส่ายหัว
“ฉันชิ่งพร้อมนายนั่นแหละ”
มีเวลาอีกแค่สิบห้านาที พวกเขาตกลงกันเรื่องทิศทาง โนเอลกางแผนที่ลงบนพื้น อธิบายแผนที่ตัวเองวางไว้
“ในเมื่อไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร ฉันว่ายังไงเราก็ควรเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด ดูจากแผนที่แล้ว แค่หนึ่งวันก็น่าจะไปถึงทางออกได้...มั้ง แต่พวกเขาให้เวลาตั้งสิบวันแน่ะ แล้วยังอาวุธพวกนี้อีก คงมีอะไรรออยู่”“หรือว่าเราต้องสู้กับพวกหุ่นยนต์” หนุ่มผมบลอนด์เดา“หรือไม่ก็สัตว์ประหลาด” แม่หนูมินนี่สองเสริม พอทุกคนเงียบที่เธอโพล่งออกมาก็รีบบอก “ขอโทษ ๆ”“ฉันไม่เข้าใจ การทดลองบ้าอะไรก็ไม่รู้ มันดูน่ากลัว เบ็กกี้อาจพูดถูกก็ได้นะ” เทสซ่ารำพัน “แถมพวกเขายังปล่อยให้พวกเราอยู่สบายมาตั้งนาน เพื่ออะไรก็ไม่รู้ อย่างน้อยถ้าให้เตรียมใจสักหน่อยยังจะดีเสียกว่า”“แล้วแผนคืออะไร” เบนตัดบทคนอื่น“คนนั้นบอกว่าให้คอยระวังตัว เหมือนให้พวกเราตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น พวกเราก็ต้องพยายามเกาะกลุ่มกันไว้ มุ่งหน้าไปที่จุดเซฟโซนให้ได้ ดีไหม” โนเอลเสนอ พลางทำเครื่องหมายลงบนแผนที่ “ยึดแค่เส้นทางและจุดหมายก็พอ ถ้าเกิดใครหลงออกจากกลุ่ม ก็พยายามกลับทางเดิม ยังไงก็ต้องไปทางเดียวกัน อาจจะต
“อะไร เกิดอะไรขึ้น”เขายกปืนขึ้น แต่ศัตรูยังไม่โผล่มาเพียงอึดใจเดียว เสียงฝีเท้าคนวิ่งจำนวนมากมายมหาศาลดังขึ้น มันดังปึง ๆ สะท้อนมาแต่ไกล ใกล้ขึ้น ดังขึ้น ใกล้ขึ้น ดังขึ้น จนแม้แต่หัวใจของเขายังเต้นแรงตามจังหวะพวกมัน “หนีเร็ว” ออสโล่เตือนสติ “ทำอะไรกันอยู่”เขาพูดถูก แต่... “ไม่ใช่ทางนั้น มันมาจากทางที่พวกเราจะไป” เบนตะโกน คนทั้งกลุ่มพร้อมใจกันพุ่งตัวไปทางซ้าย ขณะที่บางคนโง่เกินกว่าจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา บ้างยังมึนงงและตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหน จนกระทั่งอเล็กซิสตวาดให้พวกเขาขยับก้นออกจากที่นี่แทนที่จะยืนบื้อโดนกำจัด“พระเจ้า พวกมันมาแล้ว”เหมือนสติไม่อยู่กับตัว เหมือนร่างกายไม่ขยับตามคำสั่ง สิ่งที่พวกเขาต้องสู้คือ มนุษย์...ไม่ใช่ มันไม่ใช่มนุษย์ แต่เหมือนกับมนุษย์ มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ อะไรวะนั่น ดวงตาพวกมันว่างเปล่า การเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติแต่รวดเร็วและมุ่งจู่โจมโดยไม่เลือกหน้า ไ
เธอรู้แล้วว่าทำไมถึงฝันเห็นเลือดสีแดงข้นเต็มไปหมด เบ็กกี้ไม่เคยนับว่าความฝันนั้นเป็นจริงบ่อยแค่ไหน แต่ตอนนี้หนึ่งในนั้นเกิดขึ้นตรงหน้าเธอแล้ว มันเป็นเลือดของเพื่อนร่วมชายคากระซัดกระเซ็นราวกับอยู่ในเทศกาลละเลงมะเขือเทศ กลิ่นคาวรุนแรงเกินบรรยาย อีกไม่นานหรอก เลือดของเธออาจผสมอยู่ในนั้นด้วย เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะติดอยู่ในกับดักสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ ราวไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าคือความฝัน แม้จะมีปืนอยู่ในมือแต่มันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในเมื่อเธอเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแม้แต่ยกปืนเล็ง วิกฤติ ใช่แล้ว วิกฤติที่สุด ห้องนี้คงเป็นเกราะกำบังได้ไม่นาน พวกมันกำลังเข้ามา ความตายกำลังคืบคลานอยู่หน้าประตูพวกผู้กล้ากำลังปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรถึงจะออกไปได้และไม่ถูกกินสด ๆ เธอใช้คำว่า ‘ผู้กล้า’ เพราะแค่จะสู้ต่อเธอยังสั่นขนาดนี้ คนพวกนั้นยังมีอารมณ์ปรึกษาวางแผนกันอีก สายตาของเบ็กกี้จดจ่ออยู่แต่กับประตูและเครื่องกั้นที่เบนตรึงไว้ มันสั่นไหวอย่างรุนแรง เธอกลัวว่ามันจะพังครืนลงมาแล้วประตูเปิด พวกมันวิ่งเข้ามาทึ้งร่างเธอ“ให้ตายเถอะ นายถูกกัดนี่”พลูทักซ์ตะโกนโหวกเหวกใส่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ช่วย
“พี่เป็นไง” มินนี่สั่นแขนพี่สาว “นายสองคนก็ด้วย” แล้วตีหลังของเบนกับอเล็กซ์ ซาร่าห์รีบเบี่ยงตัวหลบเด็กสาววัยละอ่อนไม่ให้ชี้มาที่เธอ“ฉันรู้แล้วจ้ะมินนี่ ฉันหมายถึงคนอื่นนอกจากสี่คนนี้ มีใครอีกไหม”ไม่มีใครยอมรับหรืออ้างตัว“โอเค ถ้างั้น เบน...”“ว่ามา”“นายสร้างเครื่องกำบังกันไม่ให้พวกมันไล่ตาม คือไงล่ะ แบบ...”“ฉันเข้าใจ”“ขอบใจ” สายตาของเธอเลื่อนไปยังเครื่องกำบังที่ประตูเบนพยักหน้า “สบาย”“แล้วก็...พวกมันใส่เสื้อผ้าด้วยนะ” เบ็กกี้และคนอื่นไม่เข้าใจสิ่งที่อเล็กซิสพูดเบนก็เช่นกัน พวกเขาจ้องมองกันนานจนกระทั่ง “เออ ใช่ ฉันมันโง่จริง ๆ”“ส่วนนาย อเล็กซ์”หนุ่มร่างสูงขานรับ “ขอรับ”“นายอยู่ข้างหน้า คอยขับไล่ศัตรูที่จู่โจมเข้ามา ช่วยเคลียร์ทางให้หน่อย”“รับทราบขอรับ คอมแมนเดอร์” แม้เขาจะทำน้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่อง
พอเขายกมือขึ้นทั้งสองข้าง สองเท้าของเธอตั้งมั่น มือสองข้างยกปืนขึ้นเล็งหมายจะเหนี่ยวไกให้ได้สักครั้ง ชั่วพริบตา โต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์รวมทั้งบานประตูกระเด็นหลุดออกไปคล้ายพวกมันมีชีวิต เมื่อประตูเปิดออก เบนพุ่งตัวออกไปทันทีพร้อมกับอเล็กซิส (ที่ขัดคำสั่งของเบน) เรมีพยักหน้า เธอสาวเท้าเร็ว ๆ ตามออกไป ไม่ทันไรเสียงคำรามดั่งฝูงผึ้งโรมรันแล่นเข้าหูเตือนให้รู้ว่าซอมบี้อีกฝูงใหญ่กำลังพุ่งเข้ามา จากนั้น ครืน! ฝูงผึ้งแตกรังกระจายออกไปเพราะอเล็กซ์ ตามมาด้วยเสียงของเธอเทสซ่าที่ทำให้เธอต้องอุดหู เบ็กกี้กับเรมีไม่ได้อยู่รั้งท้ายจึงเห็นว่าทางข้างหน้าเปิดโล่งพร้อมกับหลังอเล็กซ์และโนเอลที่วิ่งห่างออกไปเธอไม่วายอดชำเลืองมองหลังไม่ได้ กำแพงเฟอร์นิเจอร์กั้นเป็นทางตายไม่ให้ศัตรูแหวกเข้ามา และมันกำลังเคลื่อนดันออกไปด้วย เขาไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ยังมีเพื่อนร่วมทางอีกสองสามคนคอยยิงศัตรูที่เหลืออยู่ให้“พวกนายไปซะ เธอด้วย ฉันไม่เสียสละตัวเองหรอกน่า ไม่ต้องห่วง” เบนตะโกนไล่ ดูเหมือนเขาจะกอบกู้สติตัวเองแล้วมั่นใจมากขึ้น“อย่ายืนอยู่แบบนี้ ไปได้แล้วเ
“เบ็กกี้ เข้ามาข้างในเร็วเข้าสิ!” เสียงของโนเอลปลุกให้เธอหลุดจากภวังค์ เขายังคงยิงปืนระรัวคุ้มกันไม่ให้พวกมันย่างกรายเข้ามา เธอวิ่งไปหาเขาโดยไม่ได้หันกลับไปมองพวกอเล็กซิสกับเบนอีก พอเข้าไปในห้อง เรมีพุ่งตัวเข้ามา“จะบ้าตาย นึกว่าเธออยู่ข้างฉันเสียอีก!” เหงื่อบนใบหน้าของเขาผุดเต็มไปหมด“ฉันล้ม แล้วก็...” เธอมองหาอเล็กซิส จึงเห็นว่าเด็กสาวคนดังกล่าวเพิ่งเข้ามาข้างในพร้อมกับเบน มือยังคงกุมปืนแน่นแม้จะสั่น ท่าทางที่เบ็กกี้ไม่อาจเลียนแบบได้ ความรู้สึกผิดกลืนกินไปทั้งร่าง มันเป็นความรู้สึกที่แย่ยิ่งกว่าเห็นพวกนั้นรุมทึ้งร่างเหยื่อ ทำไมเธอสงสารเจ้าพวกนั้น“พวกเราเหลือเท่าไร” เธอได้ยินพวกเขาคุยกันเหลือเพียงสามสิบกว่าคนจากห้าสิบกว่า พอเธอเหลือบเห็นนาฬิกาในมือตัวเอง ปากก็ขยับออกไปทันที “พวกมันคือพวกเรา!”ทุกคนจ้องมาที่เธอ เบ็กกี้อธิบาย “ฉันเห็นพวกมันใส่นาฬิกาเหมือนที่พวกเราสวมอยู่ พวกมันเคยเป็นมนุษย์แบบพวกเรา”“ใช่ เธอพูดถูก ฉันสังเกตเห็นเหมือนกัน” เวดเสริม มือข้างหนึ
เสียงวิ้งประหนึ่งมีแมลงบินอยู่ดังก้องในหัวอยู่หลายนาที หูของเธออื้อเมื่อเสียงห่าปืนถล่มเข้ามาในห้องโดยไม่ทันตั้งตัว พอสติสัมปชัญญะกลับคืนมา เธอเห็นห้องพังทลายไม่มีชิ้นดี พร้อมกับอีกหลายชีวิตที่นอนตายเกลื่อนดั่งกลุ่มมดตัวเล็ก บ้างถูกหุ่นยนต์พิฆาตสังหารตายทันทีก่อนที่จะรู้ตัว บ้างบาดเจ็บสาหัสแต่ยังมึนงง อเล็กซิสรู้สึกเหมือนประสาทสัมผัสหยุดทำงานไปชั่วขณะ แม้แต่รับรู้การเคลื่อนไหวตรงหน้านั้นช้าลงราวกับเทปยืดก่อนที่ภาพจะตัดเข้ามาเป็นปกติ ตรงหน้าเธอ ร่างโอ.เจ. ดิ้นเร่า ๆ ประหนึ่งเริงระบำอยู่บนกองไฟที่ลุกโหม จังหวะเดียวกับที่กระสุนหลายสิบนัดทะลุทะลวงเข้าร่าง ไม่นานร่างไร้วิญญาณของเขาล้มลง ห่างออกไปจากจุดที่เธอหมอบอยู่ไม่กี่นิ้ว เขามีสภาพไม่ต่างจากฟองน้ำที่มีรูพรุนไปทั่ว เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขายังมีชีวิต พูดคุย และเสนอไอเดียอยู่เลยโอ. เจ. ซิมมอนส์ เด็กเสิร์ฟวัยยี่สิบสามปี เสียชีวิตมันคงเป็นนิสัยติดตัวของเธอไปซะแล้วที่ชอบตั้งคำถาม การทดลองนี้มีไว้เพื่ออะไรกันแน่ หาสาเหตุหรือทดสอบพลัง? แล้วมนุษย์ธรรมดาอย่างเธอล่ะจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร ในเมื่อมนุษย์นั้นเปราะบางและอ่อนแอเกินกว่า
หุ่นยนต์อีกสองตัวที่เบนสกัดไว้กำลังจะปล่อยลำแสงเลเซอร์สีแดงอีกรอบ พอเบนหลบ พวกมันจึงเป็นอิสระอีกครั้ง พายุกระสุนเริ่มบรรเลงเพลงทำลายล้างอีกรอบแล้วหยุดชะงักเมื่อถูกคุม เทสซ่านอนกุมรอยไหม้ที่แขน แต่ละคนสบถ ก่นด่าทั้งรัฐบาล หุ่นยนต์ ซอมบี้ ศพที่ขวางทาง แม้แต่เศษปูนที่ทำให้สะดุดล้ม ไม่มีใครหยุดอยู่กับที่ อเล็กซิสมองซ้ายขวา พยายามนึกหาวิธีกำจัดพวกซอมบี้ในคราวเดียวกันให้หมด รวมทั้งเจ้าหุ่นยนต์อีกสามตัว แค่ยิงให้ล้มคงไม่พอ และถึงแม้โนเอลจะมีระเบิด แต่จะจัดการพวกหุ่นยนต์ได้หรือเปล่า สีหน้าของเบนนั้นอ่อนล้า เขาดูท่าใช้พลังไปมากที่สุดและถ้าหากเขาไม่ไหว จบเห่อเล็กซิสผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายรอบ หลบแรงเหวี่ยงของอเล็กซ์ที หลบกระสุนคนอื่นที แวบหนึ่งที่เธอเห็นหุ่นตัวที่สู้กับอเล็กซ์กำลังจะปล่อยลำแสง ดูดี ๆ สิ ที่ตาของมันปรากฏแสงไฟกะพริบสีแดงก่อนจะ...เธอล้มตัวหมอบแนบพื้น“โว้ย ไอ้หุ่นระยำ” นั่นคือเสียงของอเล็กซ์ จากนั้นตามมาด้วยเสียงระเบิด อเล็กซ์พิชิตมันได้ในที่สุด เหลืออีกสอง และซอมบี้อีกฝูงที่กำลังรุมกินโต๊ะเพื่อนร่วมทางอีกหลายคน เธอเตะเจ้าตัวที่เข้ามาจะกินเธอเป็น
“เออฉันนี่...” เขาหันไปยิงอีกตัว ปืนในมือแสตนเนอร์อานุภาพร้ายแรงกว่าปืนปกติ เพียงนัดเดียวก็เป่าหัวหุ่นเหล็กกระจุย รอบตัวเริ่มชุลมุนหนักขึ้นทุกที เขารู้สึกเหมือนทุกคนเบียดเป็นวงล้อม กลุ่มทหารเปิดวงจรอะไรบางอย่างที่คล้ายกับสร้างเกราะที่มองไม่เห็นขึ้นมากันไม่ให้เขากับอเล็กซิสเป็นลูกหลง (แม้จะแส่หาเรื่องเข้ามาเอง) เมื่อพวกเขาทำลายบานเหล็กได้สำเร็จก็รีบพากันออกมาทั้งหมด“บ้าชะมัด ฉันบอกให้พวกเธอรอ แล้วเข้ามาได้ไง” แสตนเนอร์ตามมาเอ็ด ทั้งเขาและอเล็กซิสคล้องแขนแล้วก้มหน้า ทหารคนหนึ่งรีบดึงดาบในมือออกไปด้วยโดยไม่หันมามองว่าสีหน้าไมเคิลอาลัยมันแค่ไหน ดูเหมือนว่าหุ่นยนต์มีหน้าที่ปกป้องตึก เมื่อผู้บุกรุกออกไป มันกลับไม่ตาม ทั้งหมดมองกลับไปเห็นหุ่นเหล็กยืนสงบ ดวงตาสีแดงอับแสงลง“คุณจะโกรธพวกเราไม่ได้” เพื่อนสาวดูท่าจะรวบรวมความกล้าได้ก่อน “พวกคุณไม่บอกอะไรเราเลย ฉันอยากจะช่วยเบ็กกี้” อเล็กซิสระเบิดออกมาได้แป๊บเดียวเท่านั้น ท่าทางดั่งสิงโตเมื่อกี้หายกลายเป็นลูกแมวเมื่อเธอมองสภาพทหารบางคนที่รอดออกมา ร่างพวกเขาโชกเลือด ไมเคิลรู้ดี
กลุ่มทหารยกพลกันมาสองคันรถ ตัวรถถังกึ่งรถบรรทุกจุคนได้ราวยี่สิบ เขานับเมื่อทั้งหมดออกมาจากรถ บวกกับพลเดินเท้าอีกหยิบมือก็ได้สี่สิบกว่า ทั้งหมดสวมชุดป้องกันและอาวุธพร้อม ไมเคิลตัดสินใจดูเชิงอยู่ห่าง ๆ พวกเขากำลังจะบุกเข้าไปในตึกสูงเจ็ดชั้นซึ่งเมื่อก่อนน่าจะเป็นศูนย์บังคับการกลางของเขตราซา ตัวตึกเป็นทรงห้าเหลี่ยมขนาดกว้างพอดู ไมเคิลกับอเล็กซิสเล็งไว้ว่าจะเข้าไปหลังจากพักเหนื่อยแต่ถูกตัดหน้าเสียก่อน เจ้าหน้าที่รายหนึ่งถือแผ่นจอสกรีนแบบที่พวกเขาชอบพกกัน (มีไว้ครอบครองเพียงแค่ข้าราชการ) กดอะไรบางอย่างแล้วปรึกษากับเจ้าหน้าที่อีกคน สักพัก คนที่สองยกมือหมุนรอบหนึ่ง ทหารทุกนายหันหน้ามาพร้อมเพรียง“ระวังตัวให้มากที่สุด และพยายามหาตัวประกันให้เจอ ผู้ต้องสงสัยทุกรายขอให้จับเป็น แต่หากขัดขืน สังหารทิ้งได้ทันที เราจะไม่เสียกำลังพลของเราเพื่อแลกกับพวกมัน นอกจากปกป้องตัวประกัน คำสั่งของท่านซีโนฮอฟเป็นอันว่าที่สุด”ทั้งหมดยกมือขวาทาบอกตอบพร้อมกันว่า “ขอรับ!”เขามองหน้าอเล็กซิส “ซีโนฮอฟ เธอเคยได้ยินชื่อนี้ไหม”เพื่อนข้างตัวส่ายหน้า &ldqu
รสช็อกโกแลตในปากออกขมมากกว่าหวาน เขาคลี่ซองดูเห็นว่ามันเป็นรสดาร์ก หยิบผิดหรือนี่ อันที่จริงเขาน่าจะพอเดาที่มาอารมณ์หดหู่ของเธอได้ “มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะ”อเล็กซิสยังคงไม่สบตา เขามองเธออย่างเข้าใจ เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการแพทย์ช่วยลบรอยแผลทุกอย่างออกจากตัวเธอ เขาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าเธอถูกกระทำอะไรบ้าง มีเพียงรอยหมัดของหนุ่มผิวแทนคนนั้นที่ฝากไว้บนหน้า สิ่งเดียวที่เขาสังเกตเห็นคือเธอผอมลงและเงียบผิดปกติ มันมีบางอย่างในใจที่เธอเก็บไว้แล้วไม่บอกใคร เขารู้สึกเช่นนั้น เพราะท่าทางของเธอเหมือนกับแม่ยามคิดถึงพ่อ เอาแต่โทษตัวเอง หมกมุ่นกับความคิดร้ายต่าง ๆ นานา และแม้ปาสคาลจะปลอบเธอเท่าไร แม่ก็ไม่เคยสดใสขึ้นอีกเลยเขานั่งลง เผชิญหน้ากับอเล็กซิส “เธออยากมาที่นี่ ส่วนหนึ่งเพื่อหาร่องรอยเบ็กกี้ และอีกส่วนคือเธอไม่อยากเจอคนอื่นใช่ไหม”อเล็กซิสไม่ตอบ เขาไม่ชอบเวลาเธอเงียบแบบนี้เลย ปกติแล้ว มันควรเป็นตัวเขาสิ แต่ตั้งแต่เวดถูกพาตัวไปไหนก็ไม่รู้ จนอเล็กซ์งี่เง่าแล้วพวกเขาเลิกกัน แล้วมาเรื่องนี้เอง ไมเคิลไม่คิดว่าอเล็กซิสคนเดิมจะกล
ฝนตกเหมือนไม่มีวันหยุด แม้ไมเคิลสวมชุดกันฝนไว้แต่มันไม่ได้สบายตัวเท่าไรนัก เพราะเมื่อขยับจะเกิดเสียงเสียดสี ทำไมตกกระหน่ำอย่างนี้วะ มันเหมือนกับไม่ใช่ฝน แต่เป็นมวลน้ำเทโครมลงบนหัว แถมยังรู้สึกว่าน้ำซึมผ่านเสื้อข้างใน เขาไม่ชอบให้ตัวเปียกเหนอะหนะ“ตกหนักชะมัด ตกหนักที่สุดเท่าที่เคยอยู่มาแล้ว” เรมีกอดอก ส่วนอเล็กซิสยืนรอเงียบ ๆ คนอื่นอาจหาว่าบ้าที่พวกเขาตัดสินใจลักลอบเข้าเขตราซาโดยใช้เวลาไตร่ตรองไม่ถึงนาทีดี ในเมื่อมีกฎห้ามไม่ให้เข้า แต่ใช่ว่าไม่มีคนทำ ตรงกันข้าม มีคนลักลอบเข้าไปเยอะแยะ เมื่อวานก่อน ไมเคิลกับเรมีเข้าไปในตลาดมือสองแล้วพบว่าพวกพ่อค้านำสินค้าราคาถูกมาจากเขตนี้ พวกเขาลักลอบเข้าไปหยิบของเหลือทิ้งมาขายต่อหรือใช้เองบ่อยครั้ง สบู่แชมพูอายุสองปี เศษเสื้อผ้า ทุกอย่างที่ยังไม่หมดอายุ ราคาของในตลาดจึงถูกกว่าในซูเปอร์ และเมื่อเขาบอกเรื่องนี้กับอเล็กซิส เธอต้องการตามหาเบ็กกี้ที่นี่เรมีมองนาฬิกาแล้วก้มตัวลงหยิบอิฐออกทีละก้อน ปากบ่นไป “เทสซ่าจะยอมให้หมอนั่นมาหรือเปล่า พักหลังทำตัวเป็นคุณแม่ขี้บ่นอยู่”ไมเคิลไม่คิดว่าเธอทำตัวเป็นคุณแม่หรอก เทสซ่าห่างไกลจากคำนี้มาก แต่เพราะเธอต้องทำหน้า
เธอกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง อเล็กซิสพยายามปลุกสติตัวเอง เล็บของเบ็กกี้จิกลึกมากขึ้นทุกที เลือดไหลทะลักจากใต้ผิว ทุกอย่างช้าลงตรงข้ามกับความรู้สึกที่ทวีคูณ เล็บค่อย ๆ ฉีกออกจากกัน บางนิ้วฝังแล้วกรีดลงบนเนื้อเธอ หนังค่อย ๆ ปริแยกออกพร้อมลาวาสีเลือดเอ่อล้น กล้ามเนื้อขึ้นเป็นเส้นหนาเกร็งไปจนถึงขมับ ตัวเธอถูกยกขึ้นสูงแล้วดิ่งลงปะทะกับพื้น ริมฝีปากชิมน้ำสกปรกและคราบเลือด ใบหน้าถูไถลไป...ตื่น!เธอลืมตาโพล่ง ความทรงจำชัดขึ้นทุกทีจนอเล็กซิสแทบไม่อยากนอน แต่แล้วจำต้องหลับตาอีกรอบเพราะเจ็บเบ้าตาก่อนจะสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดก่อนไอสำลักออกมา มือใครสักคนแปะอยู่บนศีรษะแล้วเลื่อนมาจับไหล่เธอไว้ อเล็กซิสลุกขึ้นนั่งทันที ตกใจ พอมองเต็มตาจึงเห็นดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องกลับมา“ไมเคิล...”คงเรียกว่าเป็นเด็กหนุ่มผมเงินไม่ได้แล้ว เพราะเฉดผมสีน้ำตาลเริ่มโผล่ออกมามากขึ้น มุมปากของเขาเชิดขึ้น อมยิ้มบาง ๆ “เธอผอมไปนะ”ทันใดนั้น อเล็กซิสโผเข้ากอดเขา เธอไม่ได้ฝันไป และข้างหลังไมเคิลคือเรมีที่นั่งมองพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น เธอกวาดตามอง
เธอนิ่งคิดเมื่อเดสซิเรถามคำถามนี้ เพราะเหตุนี้วันนี้เธอจึงตัดสินใจจะพบไมเคิล แต่ขณะเดียวกันก็ไม่แน่ใจความคิดตัวเอง “ก็...”ข้างหลังตึกมีพื้นที่โล่ง ๆ ขนาดเท่าครึ่งสนามบาสเกตบอล เอมอนสวมเสื้อกล้ามเผยผิวแทนแกว่งแขนไปมา เขาพยักหน้าให้หญิงสาวข้างอเล็กซิสแต่นัยน์ตานั้นเป็นประกายปิดบังความสนใจของตัวเองไม่อยู่ แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะอธิบายเป็นคำพูดยาก สิ่งหนึ่งที่อเล็กซิสมั่นใจคือ เอมอนหลงรักเดสซิเร เขาไม่ได้มองเธอเป็นเพื่อน-กิน-กัน-มัน-ดีแต่อย่างใด แต่ฝ่ายหญิงคิดอย่างไร เธอเดาไม่ออกเด็กสาวกวาดตามองโดยรอบแต่ไม่เห็นอุปกรณ์ใด ๆ เลยนอกจากนวมสีน้ำเงิน“นายนี่นะ จะฝึกสาว” เดสซิเรกอดอก ทำเสียงดูแคลน “แน่ใจรึ”ชายหนุ่มยักไหล่ “ก็...ฉันทำร้ายผู้หญิงไม่ลงเธอก็รู้” เขาโยนนวมชกให้อเล็กซิส “ดังนั้น เริ่มบทเรียนด้วยการโดนตัวฉันให้ได้ดีกว่า”เดสซิเรผิวปาก ทึ่ง “เข้าใจคิดนี่”ทว่าคนที่ถูกฝึกกลับผิดหวัง อเล็กซิสอยากให้เขาทำให้เธอแข็งแกร่ง“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเสียใจสิ จ
ผ้าห่มสีขาวสะอาดส่งกลิ่นหอมจากการอบความร้อนฆ่าเชื้อ เธอพยายามลุกขึ้นแต่เหมือนติดอยู่ในร่างนี้ เสียงกรีดร้องของเอเลน่าดังเข้าโสตประสาทประหนึ่งมีพลังสั่นคลอนสะเทือนไปจนถึงแกนหูข้างใน อเล็กซิสหันไปเห็นเธออยู่ในสภาพมัดติดกับเตียง เธอร้องระบายความเจ็บปวดข้างในจนขากรรไกรแทบฉีกออกจากกัน “ฆ่าฉันซะ ฆ่าฉันซะ” ราวเหล็กบนเตียงกระตุกรัว อเล็กซิสมองดูเหมือนเตียงจะถล่มตามแรงเคลื่อนไหว เสียงหวีดร้องกรีดหัวใจจนอยากตะโกนบอกให้พวกเขา...ฆ่าเธอซะ ทำตามที่เธออ้อนวอน“เราจะทำอย่างไรดีคะคุณหมอ” “ทำตามที่เธอปรารถนา เราช่วยเธอไม่ได้แล้ว” อเล็กซิสมองทรอย เห็นแต่เพียงแผ่นหลังและผมสีเทา พวกเขาเข็นเตียงเธอออกไปตามคำสั่ง ไม่นานเสียงเอเลน่าสงบลง และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเด็กสาว“มันอยู่ในตัวเธอด้วย”เธอส่ายหน้า “ฉันกำลังจะตายเหมือนเธอเหรอคะ”ทรอยไม่ตอบ“มันอยู่ในตัวเธอ”“มันอยู่ในตัวเธอ”อเล
“อย่าปล่อยเด็ดขาด”น้ำตาเด็กสาวไหลรินหยดลงบนแขน ความเค็มของน้ำตาทำให้แผลแสบร้อนนิด ๆ นิ้วของเบ็กกี้จิกลึกลงบนแขนจนเลือดไหลซิบ อเล็กซิสกัดฟันทนความเจ็บปวดทุกอย่าง ขืนตัวรั้งเพื่อนไว้ไม่ให้พวกมันเอาตัวไปได้ ชายสองคนต่างพยายามแยกพวกเธอออกจากกันราวกับเล่นชักเย่อ “ใช้มันซะ เบ็กกี้ ได้โปรด” เธอขอร้อง “ได้โปรด...” เด็กสาวหวีดร้อง เล็บที่จิกอยู่กับเนื้อฉีกขาดฝังอยู่ข้างในเนื้อของเธอ บางนิ้วมีเล็บแข็งเกินจึงเฉือนฉวัดขูดผิวเป็นรอยยาว เสียงดังตุบกลางหลังเด็กสาว เบ็กกี้ล้มฟุบลงกับพื้น ยูฟุนแบกร่างเธอออกไปพร้อมกับเด็กอีกคน“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” เกรกอรี่พึมพำแล้วเหวี่ยงตัวอเล็กซิสลงไปกองกับพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำโสโครกผสมเลือดเจิ่งนอง เธอตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นไม่ทันไรก็ล้มลง เด็กแฝดที่ยังเหลืออีกคนถูกโขกกับกำแพงดังจนคล้ายกับกะโหลกแตก ร่างอ่อนปวกเปียกไถลครูดลงเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต อเล็กซิสปากสั่น เกรกอรี่ย่างสามขุมแล้วกดหน้าเธอลงกับพื้นก่อนจะมัดมือไพล่หลัง เธอดิ้นจนแขนเสียดสีกับเชือก รอยแผลที่เบ็กก
อาคุสะนอนอยู่บนเตียงนิ่งเหมือนไม่ได้ยินใครทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงมากที่สุดคือออร่าหลากสีที่ล้อมเป็นรัศมีรอบตัวเขา พอเธอเขยิบเข้าไป อเล็กซ์ดึงแขนรั้งไว้ทันที “อย่า มันอันตราย”ชายหนุ่มเกาแก้มตัวเอง “ฉันโดนแล้ว มันเหมือนกับพลังของเขากระจายรอบตัว ถ้าเธอเข้าไปในรัศมีนั้นจะเหมือนคนบ้า ทั้งร้องไห้ หัวเราะ ด่าทุกสิ่ง ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะสงบลงได้”หญิงสาวเขยิบถอยหลังทันที ออร่าที่พุ่งออกมาทำให้อาคุสะเหมือนกับเจ้าชายนิทราต้องสาปประมาณนั้น “มันเกิดอะไรขึ้น เพราะแบบนี้ใช่ไหม พวกนายถึงไม่ส่งข่าวมา”เขาพยักหน้า ชายหนุ่มเชื้อเชิญให้เธอหาที่นั่งเอง ส่วนเขาเดินเก็บของผ่านหน้าไปมา ปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น “พวกเราชนะเควสทั้งสองระดับ วันต่อมาระดับสามเปิด พวกเราก็เลยลอง”“บ้าไปแล้ว” เทสซ่าร้อง“ก็จริง” เขาหัวเราะ เธอไม่ได้เห็นเสียงหัวเราะของเขามานานแล้วตั้งแต่เบนจากไป หนุ่มผมดำผู้นี้มีลักษณะเหมือนคนหลายบุคลิก บางครั้งยียวน บางครั้งเงียบขรึม บางครั้งกราดเกรี้ยว “อาคุสะเกือบตาย