LOGIN“เบ็กกี้ ฉันรู้นะว่าการเจอกันครั้งแรกของพวกเราไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร แต่เพื่อนของฉันไม่ใช่พวกนิสัยไม่ดีอย่างที่เธอเคยเจอแน่ พวกเขาไม่ทำร้ายเธอหรอก จำที่เธอตะโกนใส่หน้าฉันได้ไหม เธอโกรธที่ทุกคนตัดสินเธอ ถูกไหม มันเหมือนกันแหละ เธอก็ตัดสินพวกเราไปแล้ว แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่พวกเราทำกับเธอมันถูกหรอกนะ เรื่องตลกบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับคนอื่น พวกเราเสียใจจริง ๆ นะที่ทำให้เธอรู้สึกอย่างนั้น”
ใบหน้าขาวซีดเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สายตาของเด็กสาวมองต่ำลง “ฉันขอโทษเหมือนกัน ฉันขอโทษที่พูดแบบนั้นกับเธอ”
แน่นอน เธอโล่งอก อเล็กซิสมีบทเรียนกับการที่เธอไม่สนใจที่จะพูด ไม่ยอมสังเกตคนรอบข้าง เพราะเหตุนี้เธอเลยเสียจูนไป แม้ว่าเธอเพิ่งเจอเบ็กกี้ แต่เพราะเห็นว่าเด็กสาวเจอเรื่องเลวร้ายมามากพอสมควร เธอไม่อยากปล่อยเด็กคนนี้อยู่คนเดียว แล้วในสภาพเหมือนถูกขับไล่ออกจากกลุ่มแบบนั้น เบ็กกี้เป็นแค่เด็กผู้หญิงและเป็นเหยื่อของพวกความเชื่อสุดโต่งกับพวกคนเลว
“เอาล่ะ พวกเราจะไปกันได้แล้วหรือยัง”
“ไปไหนเหรอ”
อเล็กซิสกระโดดลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง “กินข้าวไง เธอเป็นสมาชิกใหม่แล้วนะ”
แม้ว่าเบ็กกี้ยอมเชื่อใจอเล็กซิสมากขึ้น แต่แทนที่สาวน้อยผมแดงจะเดินข้างกาย เธอกลับเลือกเดินตามหลังต้อย ๆ ทั้งสองปะกับอเล็กซ์โดยบังเอิญ พอเขาเห็นเบ็กกี้ ชายหนุ่มยิ้มแล้วปรบมือ “ยินดีด้วย สำหรับตำแหน่งพี่เลี้ยงคนใหม่”
“เงียบน่า แล้วเพื่อนซี้นายล่ะ”
“เดี๋ยวมา เฮ้ ทำไมต้องหลบหน้าฉันด้วย ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาบ่นเมื่อเบ็กกี้เกาะหลังเธอแน่น
“เบ็กกี้ เมื่อกี้เขาแซวฉัน ไม่ใช่เธอหรอก”
“เด็กคนนี้ไม่กลัวเธอแล้วเหรอ” อเล็กซ์ถาม คนที่เพิ่งถูกแซวยิ้มกว้าง “มิน่า” เขาชำเลืองมองเบ็กกี้อีกแวบหนึ่ง “จะว่าไป เหลืออีกแค่สามวันเอง เธอคิดถึงห้องนั้นไหม”
พวกเขากำลังเดินไปห้องอาหาร เป็นครั้งแรกที่เธอได้คุยกับอเล็กซ์เป็นการส่วนตัวหลังจากออกมาจากท้องฟ้าจำลอง (แม้จะมีน้องสาวตัวเล็กตามอยู่ข้างหลังก็ตาม) วันนั้นพวกเขาคุยกันจนถึงเช้า ลืมข้าวเช้าไปเสียสนิท มันเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง พวกเขาพูดถึงข้อสงสัยต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ รวมทั้งปัญหาปรัชญามากมายตามความเข้าใจของตัวเอง จนมีแขกคนอื่นเข้ามาในห้อง บทสนทนาจึงจบลง ทว่าความรู้สึกบางอย่างยังติดอยู่ในใจ มันเป็นเหตุการณ์ที่แปลกและน่าจดจำในเวลาเดียวกัน เพราะเธอสามารถคุยกับคนที่เพิ่งเจอได้ถึงขนาดนี้ แถมในหัวข้อที่คุยกับใครไม่ได้นอกจากเขา มันคงเป็นเวทมนตร์หนึ่งที่อเล็กซ์มี
“แต่พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะไม่กลับไปนี่นา”
“ใช่ แต่พวกเราไม่ได้จะกลับไปแบบ...ฉันหมายถึง เรากลับไปคุยกันแบบนั้น จะแหกกฎสักนิดไม่ได้เหรอ” เขาเหล่ตาเอียงคอทำให้ผมสีดำที่ปรกหน้าเลื่อนลงมา อากัปกิริยาที่ทำให้มุมปากของอเล็กซิสกระตุกนิด ๆ
“ก็จริงนะ...มันไม่ได้ตายตัวสักหน่อยเนอะ” เธอเออออ
“ถ้าอย่างนั้น...”
“นายได้พลังมายังไงเหรอ” เบ็กกี้แทรกขึ้น ดวงตาสุกสกาวสะท้อนให้เห็นความคิดข้างในว่าอยากจะมีส่วนร่วมบ้าง สาวน้อยผมแดงอยากคุยด้วยแต่เลือกฝึกทักษะเข้าสังคมผิดเวลาไปหน่อย
อเล็กซิสหวังว่าเธอจะไม่ทำแบบนี้ เพราะเธอรู้สึกว่าอเล็กซ์กำลังจะชวนเธอกลับไปที่นั่นอีกในคืนนี้ และหัวใจของเธอก็ลิงโลดรอคำชวนนั้น ไม่ ไม่สิ ไม่ได้ลิงโลด ฉันแค่ชอบคุยหัวข้อพวกนั้นต่างหาก แค่นั้นเอง เธอเลิกคิดเรื่องไร้สาระในหัว เพราะอเล็กซ์ทำหน้าเหมือนโดนสูบความสุขออกไปจนหมดเมื่อเจอคำถามนี้เข้าไป
เธอพยายามไม่มองหน้าเบ็กกี้เพราะเด็กสาวจะเข้าใจว่าเธอตำหนิ มันคงไม่ใช่คำถามที่เหมาะสมเท่าไรสำหรับคนที่เพิ่งเจอกัน เบ็กกี้แค่ไร้เดียงสาเกินไปที่จะตระหนักถึงข้อนี้
“ฉะ ฉันขอโทษที่ถามแบบนั้น” สาวน้อยผมแดงกล่าวตะกุกตะกัก
อเล็กซ์ยังคงเงียบเหมือนกับจมหายไปกับความคิดในหัว ผิวของเขาขาวซีดเป็นทุนเดิม ดังนั้นเมื่อมีอาการเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง สภาพในตอนนี้จึงไม่ต่างจากแวมไพร์หนุ่ม ชายหนุ่มเป็นคนดูดีมีเสน่ห์แม้เพียงสวมเสื้อยืดและกางเกงยีนสีดำ เขาอาจไม่มีกลิ่นอายอันตรายหรือน่าหลงใหลอย่างเบน ไม่หล่อฮอตอย่างเวด และไม่ได้เทพบุตรจ๋าอย่างหนุ่มผมสีเงิน แต่เขากลับมีเอกลักษณ์พิลึก แปลกแต่ยังเท่ ยิ่งเธอนึกถึงภาพเขาตอนถือบุหรี่ในมือ (และแม้เธอไม่ชอบกลิ่นบุหรี่) ก็ยังดูกวนประสาทแต่ก็คูลในเวลาเดียวกัน ทว่าเมื่อไม่มีมัน บางครั้งเขาก็เหมือนคุณชายมาดดี
“เขาโกรธฉันเหรอ” เบ็กกี้กระซิบถาม
อเล็กซิสสบตากับอเล็กซ์ “เธอไม่ได้ตั้งใจจะถามเรื่องส่วนตัวของนาย”
ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วปัดผมออกไปจากหน้าตัวเอง “ไม่...มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรอก ก็แค่ ฉันอยู่ในโรงพยาบาล...และรู้ว่า...ตัวเองสูญเสีย...”
“...สูญเสีย?” เด็กสาวทั้งสองทวนคำ
“...”
อเล็กซิสจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำที่ส่งกลับความเศร้าหมองและโหยหา และทันใดนั้นเธอกลับเหมือนหลุดเข้าไปในอวกาศ เห็นดวงดาวรอบตัว เขาพกจักรวาลของตัวเองมาด้วย เขายืนอยู่ใกล้ ใกล้พอสมควร อย่างน้อยไหล่ชนกัน ราวกับทั้งคู่ลืมว่ายังมีอีกคนอยู่ด้วย เมื่อไม่มีกลิ่นบุหรี่ กลิ่นหอมจากตัวเขามาจากสบู่ คล้ายกับว่าอเล็กซ์มีแม่เหล็กคอยดึงเธออยู่ เบ็กกี้อยู่ด้วย เวทมนตร์ของเขามีผลกับเธอมากกว่าที่คิด มันปลุกความรู้สึกประหลาดและเธอพยายามจะหยุดมันไว้ เบ็กกี้อยู่ด้วย แต่เพราะตาคู่นั้น มันมีพลังในระดับหลุมดำขนาดยักษ์ที่พยายามจะกลืนกินเธอ อเล็กซิสเบือนหน้าไปทางอื่นเมื่อรู้สึกว่าสายตาของเบ็กกี้กำลังเพ่งมองอย่างสงสัย
เธอค่อยดึงสติกลับมาเป็นตัวของตัวเอง อเล็กซ์เหมือนอยากจะพูดบางสิ่งแต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ “ฉันจำได้ว่าเธอเอาเครื่องเล่นซีดีมาด้วย ขอยืมได้ไหม” คำถามนี้เหมือนผุดขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน และเขาทำเหมือนเบ็กกี้ไม่ได้ถามอะไรเลย
“อ้อ ใช่ ได้สิ ตอนนี้เลยเหรอ”
เขาพยักหน้า
อเล็กซิสปรับสีหน้า “ดะ ได้ เดี๋ยวกลับห้องไปเอาให้”
“แล้วกินข้าวล่ะ ฉัน...ฉันไม่ไปคนเดียวนะ” สาวน้อยผมแดงท้วง
เด็กสาวผมสีน้ำตาลอยากตบหน้าตัวเองให้ตื่นสักที “เธอมากับฉัน เอ่อ ไม่ใช่” เป็นอะไรไปนะเรา “อเล็กซ์ ฉันให้เครื่องเล่นหลังกินข้าวได้ไหม”
“อ้อ ได้สิ” เขาพยักหน้าตอบ “เออนี่ เธอทำให้เด็กคนนี้ตามเธอต้อย ๆ ได้ไง” พูดแล้วพยักพเยิดไปทางเบ็กกี้ “เหมือนลูกหมาตัวเล็ก ๆ เลย”
“นี่” เธอตีแขนชายหนุ่ม “อย่าพูดแบบนี้ได้ไหม” เบ็กกี้อาจจะคล้ายมินนี่ แต่ก็มีจุดต่างเหมือนกัน นั่นคืออ่อนไหวต่อคำพูด ส่วนมินนี่นั้นไม่ได้สนใจ
หนุ่มร่างสูงยิ้มล้อ “งั้นแสดงว่าเธอล้างสมองเด็กคนนี้ได้สำเร็จสินะ”
“ไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย”
“เธอไม่ได้ทำแบบนั้น”
อเล็กซ์เอียงคอแล้วยิ้มแบบ เห็นไหมล่ะ จากนั้นพูดว่า “แล้วมีรายชื่อคนที่จะฆ่าแล้วยัง กี่คนล่ะ"
“สอง นายล่ะ”
“เยอะแยะ”
เด็กสาวหัวเราะ อเล็กซ์ยื่นหน้าถามเบ็กกี้ “แล้วเธอล่ะ”
คนตัวเล็กสุดส่ายหน้า
“อ้อ เด็กดี ๆ“ แล้วเขาก็ยกมือลูบหัวเบ็กกี้แผ่วเบา ซึ่งน่าแปลก เบ็กกี้ดูหายอึดอัดมากขึ้นแม้เขาจะทำเหมือนเธอเป็นลูกหมาก็ตาม บางทีเธออาจจะเลือกให้อเล็กซ์แสดงท่าทีเอ็นดูแบบนี้มากกว่ากวนประสาท หรือมองเธอเป็นตัวประหลาด
“โอเค กลับไปหัวข้อก่อนหน้า ถ้าเธออยาก...เธอมีแผ่นของศิลปินคนไหนบ้างนะ”
อาการปวดหัวตุบ ๆ เกิดขึ้นอีกครั้งที่สองข้างขมับ ข้อเสียของอเล็กซ์คือเดี๋ยวผีเข้าผีออก “คาร์เมน เดอะ ดาร์ก เอจ แล้วก็ เอกโค่ ออฟ มายน์”
“รสนิยมดีนี่ วงโปรดฉันหมดเลย แต่อยากฟังคาร์เมนสำหรับคืนนี้ วันนี้เธอจะกินอะไรล่ะ”
เด็กสาวทั้งสองสบตากัน “เอาจริงนะอเล็กซ์ ฉันตามนายไม่ทันอะ แป๊บ ๆ นายก็เปลี่ยนหัวข้อ ไหวไหม”
“ก็คนมันท้องว่าง สมองก็เลยโล่งไปด้วย ฉันหิวมากน่ะ” เขาพูดแล้วสาวเท้านำหน้าไปไกล ปล่อยให้คนที่เหลือยืนงง
เมื่อเห็นว่าพวกเธอไม่ตามไป เขาหันกลับมา “ไปทางเดียวกันไหมคุณ”
อเล็กซิสถอนหายใจแล้วหันหน้าไปหาเบ็กกี้ “ถ้ามีคนบอกว่าเธอแปลกละก็อย่าไปใส่ใจเลย เธอกำลังจะมีเพื่อนแบบเดียวกันแล้วล่ะ”
ไม่ต้องรอว่าเบ็กกี้จะเข้าใจหรือไม่ พี่สาวป้ายแดงจับมือน้องเล็กแล้วผละจากจุดนั้น
ภายในห้องเงียบ แม้แต่สองแฝดยังหันมาปิดปากกันและกัน สายตามองพวกผู้ใหญ่อย่างสงสัย อเล็กซิสเพียงกอดอกนิ่ง“ถือว่าอายุไม่ยืนนักสำหรับคนที่นั่น” เจสซี่ว่า “แต่คนตายแล้ว เราจะไม่อะไรก็แล้วกัน”“เรื่องผ่านมาแล้วด้วย” อเล็กซิสเสริม“ใช่ ๆ”“จะว่าไปเราเตรียมแชมเปญไว้เยอะเลยที่รัก” อเล็กซ์บอก “เอาสักขวดดีไหม”“ดีสิ!” เธอเห็นด้วย และทุกคนต่างปรบมือว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยสักพักเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นเหมือนเดิม บรรยากาศกลับมาเฮฮาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรืออาจจะสนุกกว่าเดิมหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ระหว่างที่สามีของเธอลงไปชั้นใต้ดิน อเล็กซิสเห็นเจสซี่ลุกขึ้นจึงชวนเขาไปช่วยยกขนมในห้องครัวออกมาพี่ชายเริ่มคุยเรื่องงานของเขากับโวลคอฟ แม้ไม่ได้ใช้นามสกุลโวลคอฟ แต่เขาเหมือนเป็นญาติสนิทกับทางนั้นไปแล้ว เมื่อเธอกับอเล็กซ์มาอยู่ที่ลูม งานสิทธิมนุษยชนที่เขาทำอยู่ดึงให้ต้องไปเกี่ยวพันกับโวลคอฟที่สนใจจับกิจกรรมเพื่อสังคมด้านนี้เช่นกัน และเป็นนิโคไล น้องชายของอเล็กซ์ที่ทุ่มให
“เวนดี้ที่รัก น้องชายหนูหลับอยู่น้า” คาเลบบอกหลานสาวเสียงอบอุ่น“ดอมนี่ขี้เซา!” พูดแล้วเวนดี้ก็ตบก้นน้องดังป๊าบ เจ้าโดมินิกวัยสามขวบลืมตาทันที แต่ไม่ได้ร้องไห้จ้าเพียงแต่งอแงยุกยิกบนตัวปู่“โอ๋ ๆ” คาเลบเขย่าตัวปลอบใหญ่ แต่สุดท้ายโดมินิกก็หัวเราะแล้วยืดแขนขาไปมา พอเห็นหน้าอเล็กซิสก็เรียก “มัมมัม”เธอยิ้มให้ลูกชายแล้วทำสัญญาณมือให้พ่อจัดการก่อน คาเลบพยักหน้ารับ“เวนดี้มานี่!” อเล็กซ์เอ่ยเสียงดุแต่หน้ายิ้ม เด็กหญิงวิ่งไปหาพ่อโดยไม่เกร็งกลัว ส่วนวิวิก้าในอ้อมกอดเอโลดี้ก็ดิ้นจะมาหาอเล็กซิส เพื่อนเธอเลยจับอุ้มแล้วส่งให้เลยด้วยความสุภาพบุรุษในบ้านเธอไม่มีใครรับมือกับหน้าที่โฮสต์ได้ดีเท่า อเล็กซิสจึงส่งวิวิก้าให้อเล็กซ์ที่ยังไล่จับเวนเดอร์ลินไมเคิลตบไหล่เธอแล้วทักทายเจสซี่กับอาคุสะที่นั่งหัวเราะเพราะในบ้านเริ่มป่วน เธอสังเกตว่าทุกครั้งที่น้องชายฝาแฝดเจอพี่ชายบุญธรรม พวกเขาจะสบตากันแวบหนึ่งแล้วปรับสีหน้าปกติ เป็นเช่นนี้มาสามสิบปี แม้เจสซี่กลับไปคบกับแฟนเก่าและรัก ๆ เลิก ๆ มาตลอด แถมยังสร้า
หิมะหนาปูเป็นพรมอยู่หน้าลาน หุ่นยนต์ทำความสะอาดหลายตัวจึงต้องกวาดเพื่อเปิดทางอำนวยความสะดวก ด้านข้างคลินิกของชุมชนมีต้นสนประดับลูกบอลของขวัญ ดาวระยิบระยับ และสายไฟสีทอง ร่มเงาสูงใหญ่ยิ่งทำให้ต้นคริสต์มาสนี้ดูงดงามโอฬาร ขณะเดียวกันบ้านเรือนรอบ ๆ ต่างประดับไฟและสิ่งของเหมือนกันหมด ลานด้านหน้าสวนหินมีซุ้มหลังคากระจกที่วางไฟไว้อีกทีบ่งบอกให้เห็นว่าเป็นช่วงงานเทศกาล เนื่องจากเมื่อก่อนผู้อาศัยมีจำนวนน้อย ชาวลูมจึงฉลองวันคริสต์มาสพร้อมกันทั้งหมู่บ้าน ต่อมาชุมชนขยายขึ้น งานก็เริ่มใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นงานเทศกาลประจำปี พอถึงวันคริสต์มาส หน้าบ้านแต่ละคนก็จะตั้งโต๊ะนำอาหารขนมและเครื่องดื่มออกมาแบ่งปัน เสียงเพลงจะดังกระหึ่มไปทั่ว อาณาเขตของงานยังเลยไปถึงหลังบ้านเรมีซึ่งอยู่ด้านในติดกับทะเลสาบ ในฤดูหนาว น้ำจะแข็งตัวกลายเป็นลานสเกตขนาดใหญ่ ที่นั่นก็จะยิ่งครึกครื้นลูมเติบโตขึ้นมาก แต่ก็ยังถือว่าเป็นชุมชนเล็กอันเงียบสงบ หลายปีที่ผ่านมานี้มีนายหน้าจากทั้งสามรัฐต้องการซื้อที่ดินเพื่อทำรีสอร์ต รวมถึงพื้นที่ในทอยซิตี้ก็เคยถูกขอซื้อเพื่อพัฒนาเป็นโครงการหมู่บ้านจัดสรร บ้านพักตากอากาศ หรือสถานที
รอยยิ้มของชายหนุ่มหายไป ทุกคนทราบดีว่าเขาเลิกจูนมาได้สิบปีแล้ว ตอนนั้นเอมิกะแปดขวบ แม้ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะเอมิกะแสดงออกชัดเจนว่าจะอยู่กับพ่อ ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองจึงค่อนข้างขมขื่นอยู่หลายปีกว่ากลับมาพูดคุยกันอีกครั้งเพื่อทำหน้าที่พ่อแม่ให้ดี ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเลิกกันเพราะอะไร ทะเลาะกันหรือไม่ อาคุสะและจูนต่างพูดเสียงเดียวกันว่าตกลงเลิกกันก็เท่านั้น แต่กระนั้นการที่เอมิกะไม่เลือกอยู่กับแม่ทำให้ทุกคนแปลกใจไม่น้อย และข้อนี้แหละที่ทุกคนเห็นว่าจูนค่อนข้างเสียใจมาก“ก่อนมาที่นี่ เธอสบายดี ตอนนี้เดตนักแสดงรุ่นน้องน่ะ”เจสซี่ผิวปากทันที “ฉันนึกว่าเธอจะชอบคนแก่กว่าซะอีก”อาคุสะยักไหล่ “ตอนนี้เขาแก่แล้วนี่”ทันใดนั้นทั้งสองหัวเราะผสานเสียงดังจนแอนเซลกับเอมิกะหันมามองงง ๆ แต่ไม่นานจากที่หัวเราะสะใจก็เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้น เจสซี่สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตลกออกมาจากใจ พอนึกถึงชีวิตคู่ของตัวเองก็ถอนหายใจ“ฉันเพิ่งเลิกกับโจชัวเมื่อวานนี้ เราแยกกันอยู่ กลับมาคุยกัน เลิกกัน วนไปแบบนี้ตลอด&r
30 ปีต่อมา23 ธันวาคม 3044 ณ นิคมอุตสาหกรรมเครือบริษัทโวลคอฟ“เฮย์ลี่ตื่นเต้นมาก เธอไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน ผมจำได้ว่าสี่ปีก่อนเธอติดเข้าค่าย พอครอบครัวกลับมา เทรเวอร์โม้ไม่หยุด น่าเสียดายที่พักหลัง ช่วงคริสต์มาสต่อมา ครอบครัวมิลเลอร์เลือกฉลองส่วนตัว พอปีนี้ได้ไปลูม ถ้าไม่ติดว่าพ่อเธอจะให้ไปเป็นครอบครัวคงตามเรามาแล้ว”ชายหนุ่มผิวดำวัยยี่สิบสามพูดไม่หยุดปากตั้งแต่ออกจากบ้านมา ผมสีดำตัดสั้นอยู่ใต้หมวกแก๊ปสีดำทับด้วยฮู้ดของเสื้อตัวใน แจ็กเกตกันหนาวสีส้มตัดกับกางเกงสีดำและเป็นสีเดียวกับรองเท้าผ้าใบหนัง ผู้ชายสูงวัยกว่าที่นั่งกอดอกอยู่ข้าง ๆ ชำเลืองมองแล้วถอนหายใจ“ลูกพูดถึงเฮย์ลี่ตั้งแต่ออกจากบ้านจนถึงที่นี่ พ่อรู้แล้วว่าเธอจะมาฉลองคริสต์มาสที่ลูมด้วย บอกมาตรง ๆ เถอะ คบกันแล้วใช่ไหมถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้?”พอเจสซี่ถามอย่างรู้ทัน แอนเซล ลูกชายบุญธรรมคนเล็กก็ยิ้มเขินทันที เขาเพิ่งเรียนจบงานออกแบบและตัดต่อภาพเคลื่อนไหว เป็นคนเดียวจากสามคนที่เลือกเส้นทางศิลปะ “ก็ผมอยากให้เธอไปนี่ครับ แต่ก็กลัวว่าเธออาจจะไม่ชอบเหมือนซันเดย์ เฮย์ลี
หญิงสาวหรี่ตาขณะที่แฟนหนุ่มล้อเลียน แต่อเล็กซ์พูดถูก เธออดไม่ได้นี่ แม้ว่าตอนจบจะไม่ใช่ภาพที่เคยวาดฝันไว้ อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาแบบนี้เปรียบเสมือนของขวัญที่มีค่าที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเห็นคาเลบคุยกับไมเคิลอยู่นานสองนาน พวกเขาเหมือนมีเรื่องคุยกันไม่รู้จักหยุดหย่อน แต่กลับเป็นภาพที่เธอชอบมอง และเมื่อเธอมองหาเจสซี่ก็เห็นเขายืนคุยทำสายตากรุ้มกริ่มกับญาติหนุ่มคนหนึ่งของลู บางครั้งเธอบังเอิญสบตากับเจสซี่แล้วเห็นเขามองคนในครอบครัวอย่างอบอุ่น สีหน้าของพี่ชายผ่อนคลายเมื่อไม่มีห่วง ทุกอย่าง...สมบูรณ์แบบ“จะว่าไป พวกเขาพยายามรักษาระยะห่างกันหรือเปล่า” อเล็กซ์ถามขึ้น ทั้งสองพากันมานั่งดื่มน้ำพันช์พักขา เขาเพิ่งทราบเมื่อเดือนก่อนตอนที่เจสซี่แวะมาเยี่ยม พวกหนุ่ม ๆ นั่งดื่มและพี่ชายเธอเมาเผลอพูดออกไป อเล็กซิสจำสีหน้าแฟนหนุ่มได้ดีว่าเขาช็อกมากขนาดไหน“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่เคยถามอีกเลย แต่ว่าพวกเขาคงคิดว่ามันดีแล้วมั้ง”อเล็กซ์พยักหน้าแล้วชี้ไปทางซุ้มสวนหิน เธอเห็นอาคุสะจับมือกับจูนปลีกตัวออกจากงาน และเมื่อมองตรงกลางฟลอร์จะเห็นมินนี่เต้นกับเทสซ่า







