สวัสดิการแห่งรัก
- 3 -
เฮือก!!
นี่ฉันฝันเรื่องนี้อีกแล้วเหรอ ทำไมฉันต้องฝันเห็นเด็กผู้ชายคนนั้นบ่อย ๆ ทำไมเขาถึงชอบเข้ามาในฝันของฉันอยู่เรื่อย ฉันฝันเห็นเด็กผู้ชายตัวโตคนหนึ่งมาตลอดเท่าที่จำความได้ เด็กผู้ชายคนนั้นอายุน่าจะห่างจากฉันประมาณหนึ่ง แต่ทุกครั้งที่ฉันฝันถึงเด็กคนนี้ ฉันกลับไม่เคยเห็นหน้าเขาชัด ๆ
หรือบางครั้งที่ฉันเห็นใบหน้านั้นพอฉันลืมตาตื่นขึ้นมา ถึงจะพยายามนึกยังไงไม่ออกเลยสักครั้ง และไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ทุกครั้งที่ฝันถึงฉันกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาและรู้สึกปลอดภัยทุกครั้ง จนบางครั้งฉันก็คิดเล่น ๆ ว่าหรือจะมีผู้ชายคนนี้บนโลกใบนี้จริง ๆ เป็นบุพเพสันนิวาสหรือเนื้อคู่ของฉันหรือเปล่านะ
PPM Korean.
กริ๊ง!
“โต๊ะ 17 จ้า”
เสียงใส ๆ ของพี่น้ำตาลดังออกมาจากด้านในครัวขนาดใหญ่ของร้าน ฉันที่อยู่ใกล้ที่สุดจึงรีบเดินไปรับอาหารถาดนั้นมาเพื่อไปเสิร์ฟให้กับลูกค้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะปิดร้านช่วงปีใหม่ แต่บรรดาลูกค้าก็ยังคงแน่นร้านเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ทั้งลูกค้าประจำ ลูกค้าขาจรพอคิดแบบนั้นแล้วฉันก็เสียดายอย่างบอกไม่ถูก ถ้าหากร้านเปิดในช่วงสิ้นปีคงได้เงินเยอะแน่ ๆ
หลังจากเสิร์ฟอาหารเสร็จแล้วฉันก็ได้ยืนกวาดตามองรอบ ๆ ร้านอีกครั้ง โต๊ะที่ถูกจับจองด้วยลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ คุณหญิง คุณนาย และบรรดาไฮโซแออัดแน่นเต็มทุกโต๊ะ พอฉันเห็นบรรยากาศแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอยากเปิดร้านแบบนี้มั่งจัง
“เป็นยังไงบ้าง งานเหนื่อยมั้ยน้องยาหยี”
พี่มาวินทักขึ้น หลังจากที่เราจัดการเคลียร์ลูกค้าและทำความสะอาดร้านเรียบร้อย ตอนนี้ก็กินเวลาไปได้สี่ทุ่มกว่า ๆ ฉันหันไปยิ้มให้พี่มาวินเล็กน้อย
“ไม่เหนื่อยเท่าไรนะคะ สนุกมาก หยีชอบค่ะ”
ฉันตอบไปอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้จะรู้สึกเมื่อยบ้าง ล้าบ้าง แต่ฉันถือว่าสนุกจริงๆ ปกติฉันไม่เคยทำงานอะไรแบบนี้เลย วันแรก ๆ ที่ได้มาทำบอกได้เลยว่าเหนื่อยมาก ๆ แต่พี่ ๆ และคนอื่น ๆ ดีกับฉันมาก ฉันรู้สึกชอบร้านนี้มากจริง ๆ อบอุ่น เป็นกันเอง ไม่รู้สึกกดดันอะไรเลย
“แล้ววันนี้กลับยังไง นี่ก็ดึกมากแล้วนะ ให้พี่ไปส่งมั้ย?”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหยีกลับพร้อมน้ำขิง ขอบคุณนะคะ”
“ปะ เรียบร้อยแล้วกลับบ้านกันเถอะหยี … อ่าว พี่วินยังไม่กลับอีกเหรอคะ”
“ก็รอดูความเรียบร้อยไง ว่าแต่กลับกันยังไง พี่ไปส่งได้นะมันดึกแล้ว พี่เป็นห่วงพวกเรา”
พี่มาวินพูดแบบจริงจัง มองหน้าฉันที น้ำขิงที ทำให้ฉันหันไปมองน้ำขิงว่าจะเอาไงกันดี น้ำขิงค่อย ๆ ฉีกยิ้มให้ฉันจนตาหยี
“ได้เลยค่ะ ยังไงรบกวนด้วยนะคะ ... ปะ ยาหยี ไปรถพี่วินจะได้ประหยัดค่ารถ ฮ่า ๆ”
เหตุผลของน้ำขิงทำเอาฉันต้องหัวเราะเบา ๆ พอพูดจบพวกเราก็เดินตามพี่มาวินไปขึ้นรถ ซึ่งจอดอยู่หน้าร้าน พวกเราขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นพี่มาวินขยับกระจกมองหลังใช้มือหนา ๆ ของเขาเสยผมเสริมความหล่อเล็กน้อย ก่อนจะหันกระจกกลับตามเดิม
“น้องหยีพักที่ไหนครับ พี่จะได้ไปส่งถูก”
“คอนโด The Sky Tower ค่ะ”
“โลกกลมจัง ไอ้ภูก็อยู่ที่นั่นไม่เคยเจอมันบ้างเหรอ”
“พี่ภูก็พักที่นี่เหรอคะ แต่หยีก็ไม่เคยเจอเลยค่ะ หรืออาจจะเพราะไม่ค่อยได้สังเกตด้วยมั้งคะ”
“อาจจะนะ ไอ้ภูมันพักที่นั่นแหละ แต่อาจจะคนละตึกละมั้งน้องหยีเลยไม่เคยเห็น”
พี่ภูก็อยู่ที่เดียวกับเราเหรอ ครั้งแรกที่ฉันเจอหน้าพี่ภูที่ไปสัมภาษณ์งาน ฉันรู้สึกคุ้นหน้าพี่ภูมาก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกเลยว่าเคยเจอที่ไหน แต่พอเห็นพี่ภูฉันกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าหล่อ ๆ นิ่ง ๆ เวลาอยู่ที่ร้านนั่นทำให้ฉันอดมองไม่ได้จริง ๆ หรือว่าที่ฉันรู้สึกคุ้นนี้อาจจะเพราะฉันเคยเดินผ่านพี่ภูตอนอยู่ที่คอนโดหรือเปล่านะ
“ปันหยานิ”
เสียงพี่มาวินทักขึ้นมาทำให้ทุกคนหันไปมองที่หน้าคอนโด ก็เห็นพี่ปันหยากำลังเดินออกมาจากคอนโด ด้านหน้ามีรถแท็กซี่จอดรออยู่แล้ว สงสัยพี่ปันหยาก็อยู่คอนโดนี้เหมือนกัน
“พี่วิน พี่ปันหยาก็อยู่ที่นี่เหรอ”
เหมือนน้ำขิงเองก็สงสัยเหมือนกันกับฉันสินะ ใจก็ไม่ได้อยากละลาบละล้วงเรื่องเจ้านายหรอก แต่ไม่รู้ทำไมพอคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพี่ภูผา ฉันกลับอยากรู้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ฉันมองรถแท็กซี่คันนั้นเคลื่อนตัวออกจากหน้าคอนโดไปแล้วแต่สายตาของฉันกลับยังจ้องมองรถคันนั้นจนลับตา เมื่อรถพี่มาวินจอดสนิทที่หน้าคอนโด ฉันจึงได้สติ เปิดประตูและสองเท้าก้าวลงจากรถก่อนจะละสายตาจากรถแท็กซี่มาปิดประตูแล้วยิ้มหวานให้พี่มาวิน
“ขอบคุณค่ะที่มาส่ง”
“ไม่ใช่หรอก สงสัยไอ้หยามาหาไอ้ภูน่ะ เพราะหยาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก ..พี่ไปละนะน้องหยี ไว้เจอกันพรุ่งนี้ ให้พี่มารับไหมพี่ขับผ่านพอดี ไปด้วยกันประหยัดน้ำมัน”
พี่มาวินพูดไปหัวเราะไป ทำฉันอดหัวเราะตามไม่ได้ ฉันที่กำลังจะตอบพี่มาวินว่าก็ดีเหมือนกันก็ต้องกลืนคำพูดตัวเองทุกคำลงคอทันที เมื่อมีฝ่ามือหนา ๆ มาวางบนศีรษะของฉันก่อนจะตามมาด้วยคำพูดนิ่ง ๆ แต่ทรงพลังของเขา
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวยาหยีไปพร้อมกู”
เสียงบุคคลที่สี่ดังขึ้นมาจากด้านหลังฉัน ซึ่งมันใกล้มาก ๆ มากขนาดที่ฉันรู้สึกได้ถึงลมร้อน ๆ ที่ถูกพ่นของมาในตอนที่พูดกับพี่มาวิน ใบหน้าหล่อ ๆ ขาว ๆ โผล่มาอยู่เหนือศีรษะของฉันในระยะที่ใกล้มาก ๆ ซึ่งพอฉันหันไปแหงนมองก็เห็นว่าเป็นพี่ภูผานั่นเองที่ยืนด้านหลังฉัน แต่ด้วยความที่ความสูงของพี่ภู กับความตัวสั้น เอ๊ย! ตัวเล็กของฉัน
ทำให้ต้องแหงนคอมองอย่างทุลักทุเล แต่พอฉันยิ่งมองใกล้ ๆ ก็ยิ่งมองเห็นความหล่อของพี่ภูที่ชัดขึ้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาราวกับไร้รูขุมขน จมูกที่โด่งเป็นสันเขื่อน ดวงตาที่คมกริบราวกับตาเหยี่ยวในขณะที่มอง คนอะไรยิ่งมองยิ่งหล่อ คนอะไรหล่อทุกจุด ทุกที่ทุกระเบียบนิ้ว
“เช็ดน้ำลายก่อนมั้ยยาหยี”
ฉันสะดุ้งเฮือกทันทีที่พี่ภูพูดจบ มือเล็ก ๆ ของฉันก็ยกขึ้นมาเช็ดน้ำลายทันที นี่อาการของฉันออกขนาดนั้นเลยเหรอ พอฉันได้สติถึงได้รู้ว่าฉันโดนพี่ภูแกล้งเข้าแล้ว ฉันได้ยินเสียงพี่ภูหัวเราะในลำคอ ก่อนที่มือหนาของพี่ภูที่วางอยู่บนศีรษะของฉันนั้นจะขยับหมุนให้ฉันหันหน้ากลับไปที่รถของพี่มาวินกับน้ำขิง
“เออ ๆ ยังไงก็ฝากมึงพาน้องไปด้วยละกัน .. ส่วนน้ำขิงพรุ่งนี้ให้พี่ไปรับนะ”
“ขอบคุณนะคะพี่มาวินที่มาส่ง ... น้ำขิง ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
ฉันโบกมือให้พี่มาวิน จนรถขับออกไปจนลับสายตา
“เราอยู่ที่นี่เหรอ พี่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
พี่ภูยกฝ่ามือออกจากศีรษะของฉัน ฉันหันไปแหงนมองพี่ภูอัตโนมัติ คนอะไรยิ่งมองยิ่งหล่อ ยิ่งมองยิ่งนึกว่าเทพบุตร!
“ใช่ค่ะ พี่ภูก็อยู่ที่นี่เหรอคะ โลกกลมจังเลย”
ฉันตอบคำถามพี่ภู พร้อมกับที่ขาสั้น ๆ ก็วิ่งตามพี่ภูต้อย ๆ เข้ามาในลิฟต์ สายตาก็จดจ้องไปที่นิ้วของเขาที่กดไปที่ชั้น 9 ก่อนที่พี่ภูจะหันมามองหน้าเป็นเชิงถามว่าฉันจะไปชั้นที่เท่าไหร่
“ชั้นเดียวกันค่ะ”
กรี๊ด!! โลกจะกลมเกินไปแล้วนะ นอกจากคอนโดเดียวกันยังชั้นเดียวกันไปอีก แล้วต่อมกุลสตรีก็ค่อย ๆ หายไปทีละนิด เพราะตอนนี้ในหัวสมองของยาหยีนี้นั้นอยากรู้ไปหมดทุกอย่างซะแล้วสิ ว่าแต่พี่ภูอยู่ห้องไหนนะ
“โลกกลมจริง ๆ”
“ห๊ะ! พี่ภูว่าไงนะคะหยีไม่ได้ยิน”
“เปล่านะ พี่พูดอะไรเหรอ หูฝาดหรือเปล่าเราน่ะ”
พี่ภูหันมาตอบหน้านิ่ง แต่ยกรอยยิ้มที่มุมปากให้ ยิ่งเห็นแบบนั้นแล้วยิ่งทำให้ฉันอยากกรี๊ดสลบเข้าไปอีก คนอะไรทำอะไรก็น่ารัก
ติ๊ง!
“เราคงไม่ได้อยู่ห้องข้าง ๆ กันเหมือนในนิยายอะไรพวกนั้นหรอกใช่ไหม?”
พี่ภูหันมาถามฉันพลางชี้นิ้วไปทางด้านซ้ายของคอนโด เป็นประโยคคำถามที่ติดตลก ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงมองว่ามันค่อนข้างกวนส้นโอ๊ย แต่นี่มันคือพี่ภูไง คนที่ทำอะไรก็ดูน่ามองไปหมดเลย
“คาดว่าจะไม่ใช่ค่ะ แหะ ๆ ห้องของหยีไปทางนั้น”
ฉันตอบพี่ภูเบา ๆ ก่อนจะชี้นิ้วเรียว ๆ ที่คิดว่าสวยมาตลอดไปทางด้านขวาแทนคำตอบ ฉันเห็นพี่ภูมองตามเรียวนิ้วไปช้า ๆ ก่อนจะหันกลับมาพยักหน้าให้เบา ๆ
“โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกัน09.00น. ที่ล็อบบี้นะ ไม่ได้ตื่นสายใช่ไหมเราน่ะ”
“รับทราบค่ะ! ไม่สายแน่นอน”
ฉันยกมือข้างขวาขึ้นมาทำความเคารพให้พี่ภูราวกับทหารตัวน้อยที่รับคำสั่งเจ้านาย ฉันเห็นพี่ภูส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ฝ่ามือของเขาถูกวางที่ศีรษะของฉันอีกครั้งก่อนจะโยกไปมาราวกับว่าฉันเป็นเด็กน้อย ซึ่งมันแปลกมาก ฉันกลับรู้สึกว่าเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย
เพียงไม่นานพี่ภูก็ยกมือออกและหันหลังเดินไปทางห้องของตัวเอง ทิ้งให้ฉันที่ยืนงุนงงกับความรู้สึกตัวเองยืนอยู่ที่เดิมตรงนั้น เมื่อฉันได้สติ มือของฉันก็ยกขึ้นมาวางทับรอยของมือหนา ที่เพิ่งยกออกไปเมื่อสักครู่ ฉันมองตามแผ่นหลังของพี่ภูไปช้า ๆ กลับยิ่งรู้สึกคล้ายว่าเคยรู้จัก รู้สึกได้ว่าเคยเห็น รู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ได้ อธิบายไม่ถูก
นี่ฉันคงไม่ได้หลงรักผู้ชายที่เป็นเจ้านายตัวเองหรอกใช่ไหม? จนฉันเห็นว่าเขากำลังเปิดประตูห้องที่สุดทางเดิน และพี่ภูเองก็หันมามองฉันแวบหนึ่ง ซึ่งมันเรียกสติให้ฉันเอง ก็ต้องรีบหันหลังและก้าวเท้าฉับ ๆ เพื่อกลับเข้าห้องตัวเอง
ฉันเปิดประตูห้องเข้ามา จัดการเปิดไฟก่อนจะเดินตรงไปที่โซฟา พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดอาลัยตายอยาก ในหัวสมองตีวนปนกันไปหมด พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่จะเดินทางไปประเทศที่ฉันใฝ่ฝันอยากไปมาตลอด จะซื้ออะไรมาฝากหม่าม๊ากับปะป๊าดีนะ จะซื้ออะไรฝากป้านภาดีนะ ตื่นเต้นจัง
‘น้องหยีต้องตั้งใจนะรู้ไหม โตขึ้นจะได้เก่งๆ’
‘หยีจะตั้งใจเรียนมากๆ เพื่อที่จะเป็นเจ้าสาวที่เพียบพร้อมให้พี่ภู เหมือนที่หม่าม๊ากับปะป๊าเป็นเลยค่ะ’
‘ถ้าโตขึ้นน้องหยีอาจจะเจอผู้ชายที่ดีกว่าพี่ ถ้าถึงวันนั้น พี่จะเป็นคนจูงมือน้องหยีไปส่งเจ้าบ่าวเอง’
ฉันสะดุ้งตื่นกลางดึกอีกแล้ว มองดูนาฬิกาที่หัวเตียง พบว่าเป็นเวลา 05.39น. แต่ฉันตกใจมากกว่า เพราะปกติฉันฝันไม่เคยเห็นหน้าของผู้ชายที่อยู่ในฝันเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เห็น แต่ผู้ชายคนนั้นกลับเป็นหน้าของพี่ภู ทำไมฉันฝันอะไรแบบนี้ล่ะ หรือว่าฉันจะหมกมุ่นและคิดเรื่องพี่ภูมากไปหรือเปล่านะ
29 ธันวาคม 25xx
08.00 น.
ตี๊ด ตี๊ด
“สวัสดีค่ะ ยาหยีพูดสายค่ะ” ฉันกดรับสายทันที แล้วหยิบโทรศัพท์มาแนบหู พร้อมกับตรวจเช็กของที่จะนำไปด้วยอย่างละเอียด
“พี่เอง เราจัดของเสร็จหรือยัง พี่เรียบร้อยแล้วนะ”
“พี่ภู? อ๋อ หยีเรียบร้อยแล้วค่ะ งั้นเราไปกันเลยมั้ยคะ หยีจะได้ออกไปรอข้างล่างเลย”
“โอเค ยังพอมีเวลาอีกนิดหน่อย เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินก่อนละกัน”
“โอเคค่ะ หยีกำลังจะลงไปนะคะ”
ณ สนามบิน สุวรรณภูมิ
“เห้ย! ไอ้ภู น้องหยีทางนี้ ๆ”
นี่ทุกคนมารอกันพร้อมหมดแล้วเหรอ กลายเป็นฉันกับพี่ภูสายสุดเลยเหรอเนี่ย เพราะมัวแต่ไปกินข้าวแท้ ๆ เลยเชียว
“ทำไมเพิ่งมาถึงวะ กูเห็นมึงบอกว่าออกมาตั้งนานละ”
“กินข้าว”
พี่ภูตอบพี่วินสั้น ๆ ทำเอาทุกคนหันมามองหน้าฉันกับพี่ภูเป็นตาเดียวกันทีเดียว แค่ไปแวะกินข้าวเองนะ ทำไมต้องหันมามองราวกับฉันไปทำอะไรผิดมาอย่างนั้นแหละ
“ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างภูผาจะพาคนอื่นไปกินข้าวได้”
รักที่เป็นไปไม่ได้- 4 -พี่วินพูดพลางหัวเราะเล็ก ๆ แต่ไม่ได้สนใจมากนัก ฉันแอบเห็นพี่ปันหยาหันมามองที่ฉันกับพี่ภูแวบหนึ่งก่อนที่เธอจะเดินลากกระเป๋าไปแบบไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก“ไปกันเถอะ เดี๋ยวตกเครื่อง”พี่ภูตัดจบแล้วพาพวกเราไปรอที่Gate เพื่อรอขึ้นเครื่อง อีก6 ชั่วโมงก็จะถึงที่หมาย ฉันตื่นเต้นมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะออกนอกประเทศ ไม่ใช่ว่าไม่เคยขึ้นเครื่องนะ แต่ส่วนใหญ่ก็แค่เชียงใหม่-กรุงเทพ กรุงเทพ-เชียงใหม่ ก็แค่นั้นสนามบินนานาชาติอินชอน โซล (Incheon International Airport)“ตม.ที่นี่เข้ายากจริง ๆ กว่าจะผ่านมาครบทุกคน ปันหยานี่คือสุดยอด!”“แกก็อย่าบ่นมากเลยไอ้วิน แค่นี้ปันหยาก็เหนื่อยมากพอแล้ว ใครใช้ให้แกทำตัวน่าสงสัยล่ะ”“มึงมองเบ้าหน้าหล่อ ๆ ของกูดี ๆ นะไอ้ภู มันน่าสงสัยตรงไหนวะ”“พอแล้ว ๆ เดี๋ยวเราจะไปที่พักกันนะทุกคน เราต้องใช้บริการรถไฟด่วนของสนามบินเข้าโซลนะ เป็นเส้นทางที่ไวสุดแต่ก็ประมาณ40นาที ตอนนี้ก็16.45 น.ปรับตัวไม่ทันเลยนะเนี่ย เวลาต่างจากที่ไทย2ชั่วโมงจากที่ดูน่าจะอีก 15นาที รถไฟจะมาแล้ว “ทุกคนไปทำธุระส่วนตัวกันเสร็จมาเจอกันตรงนี้นะ”“หยี ๆ เราไปเข้าห้องน้ำกันไหม
ทำไมบอกไม่ฟัง- 5 -ฉันไม่ได้ตอบไปตรงๆ แต่เลือกที่จะถามน้ำขิงกลับไป เพื่อดูว่าน้ำขิงจะพูดอะไรต่อ ดีกว่าปล่อยไก่ตัวโตตอบไปว่ามี อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรด้วยแหละถ้าน้ำขิงถามว่าเป็นใคร ก็ไม่กล้าพอที่จะบอกหรอกว่า คนคนนั้นคือพี่ภูผาน่ะนะ“เปล่าหรอก ขิงแค่อยากรู้ว่าถ้าเราหลงรักคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนจบจะเป็นยังไง จะสมหวังไหมหรือสุดท้าย..เราก็ต้องเจ็บอยู่ดี”น้ำขิงพูดไปพลางอมยิ้มไป แต่ช่างปล่อยรอยยิ้มที่ดูเศร้ามาก ดูก็รู้ว่าน้ำขิงคงจะแอบชอบใครเข้าแล้วสักคน แล้วการชอบใครสักคนทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้คงจะเศร้าน่าดูจริง ๆ เพราะฉันก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นเข้าแล้ว“ฮั่นแน่ น้ำขิงของเรามีคนที่ชอบซะแล้ว…ขิงฟังหยีนะ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้ลอง เรายังไม่แม้แต่ที่จะบอกเขา หรือทำให้เขาเห็นเลยด้วยซ้ำ หยีเชื่อเสมอว่าคำตอบนั้นมีแค่สองทาง มันจะมีก็แค่ได้รักกัน หรือ เรารักเขาข้างเดียวก็เท่านั้น”“เห้อ…ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าไม่คุยเรื่องนี้แล้วดีกว่า นี่เพราะขิงเห็นว่าหยีเป็นเพื่อนนะถึงได้ถาม หยีคงไม่รำคาญขิงใช่มั้ย”“ไม่เลย ๆ หยีดีใจนะที่ขิงไว้ใจหยี แล้วมาปรึกษาหยีอะ โอ๋ ๆ มากอดกัน ๆ”ฉันโอบกอ
ทำไมบอกไม่ฟัง 2/2- 5 -“เอาแบบนั้นเหรอ แต่วันนี้หิมะตกหนักมากเลยนะ”“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปแป๊บเดียวเอง ฉันก็อยากไปเหมือนกัน นะนะ นะนะ ไปกันนะหยี”“งั้นเราหาเสื้อผ้าหนา ๆ หน่อยละกัน”“งื้อ ยาหยีน่ารักที่สุด ปะ!”ฉันและน้ำขิงตัดสินใจพากันลงมาที่ล็อบบี้เพื่อไปโซลทาวเวอร์กันเอง เมื่อสักครู่ลองเช็กพยากรณ์อากาศแล้ว หิมะจะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ อีก 48 ชั่วโมงเพราะพายุหิมะเข้า นั่นหมายความว่าอีก 2 วันถ้ารอหิมะหยุดพวกเราคงไม่ได้ไปแน่ ๆ“คุณลูกค้าคะ หิมะตกหนักมาก วันนี้อาจจะไม่สะดวกในการเดินทางไกล ๆ นะคะ”“ขอบคุณค่ะ แต่...เอ่อ... พวกเราแค่จะเดินเล่นรอบ ๆ นี้เท่านั้นค่ะ”“ระวังตัวด้วยนะคะ”พวกเราเดินฝ่าหิมะที่กำลังโปรยปรายหนักขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านมาประมาณ30นาทีเห็นจะได้ และแล้วพวกเราก็มาถึงโซลทาวเวอร์จนได้ ด้านล่างติดป้ายสีแดงเด่นสง่าแม้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน มันทำให้ฉันอ่านตัวหนังสือได้ไม่ถนัดเนื่องจากหิมะตกหนักขึ้น น้ำขิงเดินนำขึ้นไป4-5ขั้นบันได ฉันจึงรีบตามไป ถ้าห่างกันกว่านี้อาจจะคลาดกันก็ได้หิมะตกหนักขึ้นจนฉันรู้สึกได้ ขาที่ก้าวฉับ ๆ ตอนมาเริ่มก้าวช้าลงเพราะความเหน็บหนาวบริเวณรอบ ๆ ที่เคยเห
ปั้นตุ๊กตาหิมะมั้ย 1/2- 6 -“ทำไมพี่ภูมาอยู่ที่นี่ได้คะ?”ถึงแม้ในใจจะเต้นระรัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งหวั่นไหว แต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่ภูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หรือพี่ภูเองก็ขึ้นมาแขวนกุญแจเหมือนกัน“อ๊ะ! พี่ภูคะ พี่ภูเห็นน้ำขิงไหมคะ หยีหลงกับน้ำขิงตั้งแต่อยู่ด้านบนแล้วค่ะ”“น้ำขิง ไอ้วินน่าจะกำลังไปตามหา พี่แยกกับมันตอนมาถึงที่นี่”พี่ภูดูจะไม่สบอารมณ์เอามาก ๆ ทั้งน้ำเสียง แววตา ดูน่ากลัวไปหมดติ๊ง!พี่ภูเปิดโทรศัพท์อ่านข้อความสักพักก็ยื่นหน้าจอมาให้ฉันอ่าน เป็นข้อความของพี่วินที่ส่งมามีใจความว่า ‘กูเจอขิงแล้ว มึงเจอหยีรึยัง ถ้าเจอแล้วงั้นไว้เจอกันที่โรงแรมเลยนะ’ ฉันอ่านจบก็พยักหน้าเบา ๆ ให้พี่ภู พี่ภูพิมพ์ข้อความอีกนิดหน่อยแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ก่อนจะหันมามองหน้าฉันนิ่ง ๆ มันช่างดู … อึดอัด แอ๊!“คือว่า ตอนนี้เรากลับโรงแรมกันไหมคะ เอาหยีลงก็ได้ หยีเดินไหวค่ะ”งื้อออ ถึงแม้จะเสียดายแต่บอกตรง ๆ ว่าใจมันเต้น หัวใจมันฟูมากอ้อมแขนพี่ภูเป็นอะไรที่อบอุ๊นอบอุ่น กลิ่นตัวหอม ๆ ที่ลอยทะลุเสื้อโค้ตออกมา เป็นกลิ่นผู้ชายที่เคยใกล้ชิดขนาดนี้เป็นครั้งแรก หิมะที่ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เริ่มแสบตา
ปั้นตุ๊กตาหิมะมั้ย 2/2- 6 - ฉันตื่นเต้นและดีใจมาก ถึงแม้มันจะแค่ก้อนกลมๆ ก็เถอะ แต่ใช้เวลานานอยู่นะกว่าจะได้มันขึ้นมา ก็ต้องดีใจแหละ พี่ภูยิ้มให้เล็ก ๆ แล้วพยักหน้ารับก่อนจะพยักพเยิดหน้าที่กองหิมะอีกกองที่พี่ภูปั้นให้ กองนี้ค่อนข้างเล็กกว่าที่ฉันปั้นนิดหน่อย ฉันเลยเคลียร์พื้นที่แล้วเอาเจ้าก้อนของฉันวางบนเก้าอี้ พี่ภูเอื้อมไปหยิบเจ้าก้อนของพี่ภูมาวางทับด้านบน ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะมันกำลังดูเหมือนว่าฉันกับพี่ภูกำลังช่วยกันปั้นเจ้าหิมะตัวนี้เลย“หยีจะปั้นหัวน้องแล้วนะ พี่ภูช่วยเอาหิมะให้หยีหน่อยค่ะ”พี่ภูขยับร่างกายนิดหน่อย ใช้มือที่สวมด้วยถุงมือคู่หนากอบหิมะโกยมาให้ ฉันค่อย ๆ ปั้นเจ้าก้อนเล็ก ๆ อีกหนึ่งก้อน เพื่อไปวางด้านบน ฉันหยิบกิ่งไม้มาปักที่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง สำเร็จ! ฉันปั้นเจ้าหิมะนี่ออกมาได้จริง ๆ แต่มันรู้สึกขาด ๆ อะไรไป ตา จมูก ปาก ไม่มีเลยแฮะ พี่ภูที่ยืนมองอยู่ไม่กี่วินาที เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตของตัวเองควานหาอะไรสักพักก็หยิบกระดุมเสื้อมาให้สองเม็ดฉันรับมาแล้วจิ้มไปที่ตำแหน่งตาทั้งสองข้าง และฉันก็นึกออกว่าฉันติดกิ๊บติดผมมา ขนาดค่อนข้างยาว น่าจะแทนจมูกได้ ฉั
พี่บอกหรอว่าเราจะกลับโรงแรม 1/2- 7 -“เธอไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ”ฉันได้สติแล้วแต่เปลือกตามันไม่สามารถสั่งให้ขยับลืมขึ้นได้ดั่งใจเลยสักนิด หูได้ยินเสียงพี่ภูที่กำลังถามใครสักคน ไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหนหรือฉันเป็นอะไร และพี่ภูคุยกับใคร ฉันพยายามขยับเปลือกตาที่หนักอึ้งนี่เพื่อให้เปิดขึ้นแล้วความพยายามของฉันก็สำเร็จ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นกับเพดานสีขาวสะอาดตารอบห้องสีขาว ฉันขยับตัวเล็กน้อยและพบกับความเจ็บแปลบที่ข้อมือ เมื่อฉันยกมือขึ้นก็เห็นสายน้ำเกลือที่ระโยงระยาง ที่นี่คือโรงพยาบาลสินะ“ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ แค่ตากหิมะนานเกินไปและร่างกายปรับตัวไม่ทันเท่านั้นนอนพักผ่อนให้มากหน่อย พยายามอย่าให้ไข้ขึ้นก็พอครับ”ฉันหันไปตามเสียงก็เห็นพี่ภูที่ยืนคุยกับคุณหมอด้วยใบหน้าแบบใดฉันมองไม่เห็น พี่ภูพยักหน้าให้คุณหมอครั้งหนึ่ง ก่อนที่พี่ภูจะหันมาก็เห็นฉันที่ได้สตินั่งมองพี่ภูกับคุณหมอตาแป๋ว พี่ภูเองก็สะกิดบอกคุณหมอทันที คุณหมอตรวจอาการเบื้องต้นฉันสักพักเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็อธิบายแนะนำอีกเล็กน้อยและเดินออกจากห้องพักไปเพื่อตรวจคนไข้คนอื่นต่อ พี่ภูเดินมานั่งข้าง ๆ มองหน้าฉันนิ่งไม่ม
พี่บอกหรอว่าเราจะกลับโรงแรม 2/2- 7 - ฉันได้ยินเสียงพี่ภูวางโทรศัพท์เสียงกระทบกับกระจก น่าจะวางที่โต๊ะกลมหน้าโซฟา ฉันได้ยินเสียงเท้าค่อย ๆ เดินมาที่ข้างเตียงแล้วผ้าห่มก็ถูกดึงขึ้นมาคลุมตัวฉัน ฉันรีบหลับตาลงทันที ผ่านไปสักพักก็สัมผัสได้ถึงปลายนิ้วมือค่อยๆ ปัดปอยผมที่ปิดหน้าของฉันออก ฉันรู้สึกอบอุ่นมากแบบบอกไม่ถูก เคยคิดว่าพี่ภูอาจจะเกลียดฉันหลังจากที่ฉันสร้างปัญหาไว้ให้มากมาย ฉันกลัวมากนะกลัวว่าพี่ภูจะเกลียดกลัวว่าพี่ภูจะไม่ชอบฉัน พี่ภูผละออกจากเตียงและได้ยินเสียงปิดประตูเบา ๆ ฉันค่อย ๆ ลืมตาและขยับหันไปมองที่ประตู ก็เห็นว่าพี่ภูออกไปแล้ว เฮ้อ! กลั้นหายใจแทบตาย ฉันยิ้มอย่างอารมณ์ดี จากการกระทำแสดงว่าพี่ภูไม่ได้โกรธฉันหรอก ใช่ไหม?ฉันเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยา ตื่นมาเห็นพี่ภูกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่โซฟาข้างเตียง ฉันขยับตัวลุกขึ้นเล็กน้อย ก็เห็นว่าพี่ภูเองก็หันมามองและภาพที่ฉันเห็นนั้นคือพี่ภูที่กำลังกัดน่องไก่น่องใหญ่อวดทันที ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มันน่ากินมากจริง ๆ ฉันได้แต่ทำตาปริบ ๆ มองน่องไก่น่องใหญ่นั่น เห็นพี่ภูกลั้นหัวเราะเบา ๆ“พี่ซื้อโจ๊กมาให้ เราทานได้แต่โจ๊ก น่องไ
ก็ไม่มีอะไรพิเศษ 1/2- 8 -พี่ภูตอบนิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ แต่ฉันนี่สิถึงกับเบิกตาโพลง อะไรนะ จะพาไปเกาะเชจูเหรอ ซึ่งมันห่างจากที่นี่มากเลยนะ แล้วจะกลับมาทันได้ยังไง หรือทุกคนก็อยู่ที่เกาะเชจู“เกาะเชจู”ฉันทวนคำพูดของพี่ภูอีกครั้ง แต่พี่ภูก็ยังพยักหน้าให้ฉันเป็นการยืนยัน ฉันยิ้มแกล้มปริอย่างดีใจ นึกว่าจะไม่ได้ไปซะแล้ว“ขอบคุณมากนะคะพี่ภูที่พาหยีไป ทุกคนอยู่ที่เกาะเชจูกันเหรอคะ?”“เปล่า ทริปนี้ไม่ได้ไปเกาะเชจู”ฉันแสดงอาการงุนงงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าทุกคนไม่ไปแล้วทำไมพี่ภูอยากพาฉันไปเกาะเชจูหรือพี่ภูเองก็อยากไปอยู่แล้วกันนะ แต่จะเหตุผลอะไรก็ตามฉันดีใจมากเลยจริง ๆ“แต่ก่อนไปเกาะเชจู พี่อยากขึ้นไปแขวนกุญแจก่อนเรายังอยากไปอีกรอบไหม?”พี่ภูหันมาถามฉันอย่างจริงจัง ฉันได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับช้า ๆ พี่ภูชวนฉันไปแขวนกุญแจเหรอ ถึงแม้จะเป็นการไปแขวนแบบต่างคนต่างแขวน แต่ว่านะ แต่ว่า แต่ว่า ฉันจะได้ไปแขวนกับพี่ภูจริงเหรอ ทำไมพระเจ้าเห็นใจยาหยีแล้วเหรอ ไม่เคยรู้สึกดีใจอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ หลังจากที่เรานัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เก็บสัมภาระอันน้อยนิดออกมาจากโรงพยาบาลทันที พี่ภูพาฉันขึ
สุดท้าย..ก็เป็นเธอ- 21 -“พี่ภูคะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันหยุดเท้าที่กำลังเดินตามพี่ภูลง ทำให้ผู้ชายด้านหน้าเองก็หยุดชะงักพร้อมกันนั้นพี่ภูเองก็หันหน้ามามองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากคนขี้เล่น เป็นสายตาที่ดูจริงจังละกังวล“ทำไมยาหยีถึงถามเรื่องนี้กับพี่อีกแล้วคะ หรือไปรู้อะไรมาเหรอ” พี่ภูยืนนิ่งอยู่ที่เดิมถามฉันด้วยน้ำเสียงกังวล“ทุกครั้งที่ยาหยีถาม พี่ภูจะกังวลเรื่องนี้ทุกครั้ง พี่ภูดูมีพิรุธนะคะ มีอะไรอยากเล่าให้หยีฟังไหม” ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้ความฝันที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ หรือภาพที่เห็นมันคือเรื่องจริงหรือสิ่งที่ฉันมโนขึ้น จะบอกว่าเป็นเพราะความฝัน มันก็ดูจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากไม่มีเค้าโครงความจริงอะไร ทำไมพี่ภูไม่เคยปฏิเสธ“ยาหยีจะเป็นเจ้าสาวของพี่ภูคนเดียวเท่านั้น..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...” ฉันเงียบฟังคำที่พี่ภูเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่งงเหมือนไก่ตาแตก และฉันมั่นใจว่านั่นมันคือความฝันที่ฉันฝันเห็นและได้ยินบ่อย ๆ แล้วทำไมพี่ภูเองถึงรู้ความฝันนั้นฉันได้ละ“ถ้ายาหยีโตขึ้น ยาหยีก็จะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดของพี่คนเดียว ยาหยีสัญญาเลยค่ะ..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...”“หนูตอบพี่สิ
ตัดสินใจยุติข้อห้าม- 20 -“พี่ภูคะ..พี่ภูกับหยี เคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันสังเกตเห็นแววตาของพี่ภูที่สั่นไหวแบบแปลกไป แต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น พี่ภูก็ปรับอารมณ์กลับมาได้ปกติ“หนูเป็นอะไรคะ เมื่อกี้พี่ตกใจมากรู้ไหม นั่งตัวแข็งทื่อ พี่เรียกก็ไม่หือไม่อือ จนพวกพี่จะโทรเรียกรถพยาบาลแล้วนะคะ” พี่ภูยังคงเอ่ยถามฉันด้วยท่าทางกังวล“น้องตกใจมากนะภู พาไปโรงพยาบาลก่อนไหม” พี่ปันหยาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเรียบเฉย แต่น้ำเสียงแสดงออกถึงอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียง“ทำไมพี่ ๆ มาอยู่ที่นี่กันได้คะ” ฉันที่พอจะรู้สึกตัวเองดีแล้ว หันมองพี่ ๆ ทุกคนหลังจากเอ่ยถามไปด้วยความไม่เข้าใจ เพราะจำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือฉันไม่ได้ลุกขึ้นไปเปิดประตู และพี่ภูเองก็นอนหลับอยู่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย“เรื่องนี้พี่ก็อยากรู้ค่ะ ว่าทำไมภูผากับยาหยีถึงมาอยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสอง..หวังว่าแกจะจำสิ่งที่แกรับปากพวกฉันได้นะภูผา” พี่ปันหยาเอ่ยย้ำในสิ่งที่ทุกคนในห้องนี้รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ด้วยสายตาที่จริงจัง จนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานอยู
ความทรงจำที่หายไป- 19 -กว่าที่ฉันจะแกะมือปลาหมึกของพี่ภูออกมาได้ ก็เล่นเอาหอบเหนื่อยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพี่ภูนั้นเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา แต่พอฉันรวบรวมความกล้าที่มีตวาดลั่นดุพี่ภูอย่างจริงจัง ผู้ชายคนนี้ก็หน้าหงิกเป็นเด็กน้อยแล้วหันหลังใส่ฉันพร้อมกับนอนหลับไปเสียอย่างนั้นครืด!ฉันลุกขึ้นไปหยิบมือถือของตัวเองที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมา ก็เห็นว่าเป็นพี่มาวินที่โทรเข้ามาหลายสายแล้ว แต่เวลานั้นฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย“ค่ะพี่มาวิน” ฉันกรอกเสียงลงไปอย่างรีบร้อน เพราะไม่รู้เลยว่าพี่มาวินมีธุระอะไรหรือไม่“น้องหยี ไอ้ภูอยู่ห้องน้องไหม มันเมาแล้วบอกจะกลับห้อง แล้วออกไปเลย พี่หามันไม่เจอ” ฉันฟังเสียงที่ตื่นตกใจของพี่มาวิน พร้อมกับมองบุคคลที่ถามถึงก่อนจะกดเปิดวิดีโอคอล แล้วชูหน้าจอไปที่คนที่หลับไม่ได้สติ“ไอ้ภู! พี่ก็วิ่งหามันทั่วคอนโด ไม่คิดว่ามันจะเมาแล้วเรื้อนขนาดนี้ งั้นพี่ฝากน้องหยีดูมันด้วยนะ พี่ลงมาข้างล่างแล้วคงไม่กลับขึ้นไปแล้ว” พี่มาวินร่ายยาว ใบหน้าแสดงอาการทั้งดมโห ทั้งขำ ปนเปกันไปหมด ฉันพยักหน้าให้เป็นการรับปากแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้กดวางมือถือ เสียงของผู้หญิงที่แทร
สิบห้าปี..ยังหนีไม่พ้น- 18 -“ไอ้ภู! มึงกับน้อง..” พี่มาวินตาโต นิ้วชี้ค้างกลางอากาศ แต่มีหรือพี่ภูจะสนใจ ฉันเองได้แต่นั่งนิ่ง หยิบขนมมาเคี้ยว “ไอ้ภูเอ๊ย”“เลิกเรียกกูได้แล้ว จะกินมั้ยเหล้าอะ” พี่ภูเดินมาทิ้งตัวลงข้างฉัน ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นไปหยิบแก้วใสมาวางให้สองใบ พร้อมกันนั้นก็หยิบหอบข้าวของไปแกะใส่จานมาวางไว้ให้ทั้งคู่“งั้นหนูกลับห้องก่อนนะคะ” ฉันเอื้อมมือไปหยิบขนมอีกชิ้นในซองมาเคี้ยวก่อนจะทำท่าจะเดินออกจากห้อง “อ่อ..พี่ภูพรุ่งนี้ไปดูทำเลร้านพร้อมหนูไหมคะ ถ้าไปก็อย่าดื่มมากนะคะ”“ครับ” ผมยิ้มหวานให้เด็กสาว เธอเองก็ยิ้มตอบก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป“เล่า!” ทันทีที่ในห้องเหลือเพียงผมกับไอ้วิน วิญญาณนักข่าวก็เข้าสิงมันทันที“ก็อย่างที่มึงเห็น กูคบกับน้อง” ผมพูดจบพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอย่างสบายอารมณ์“แล้วเรื่องกฎของร้านมึงจะทำไง” ไอ้วินเองก็ถามคำ กินเหล้าคำพอ ๆ กับผม แต่จากสายตาของผม มันเองก็ดูเหมือนจะมีอะไรในใจเหมือนกัน“ก็ไม่ทำไง เดิมทีกูก็จะปรึกษาพวกมึงเรื่องนี้”“แล้วทำไมไม่ปรึกษา”“ยาหยีอยากออกจากที่ร้าน”“ทำไมวะ เพราะกฎนี้นะเหรอ เฮ้ย! มันต้องมีทางออกอื่น”“น้องอยากทำธุรกิจ
คนนี้ของยาหยี 2/2- 17 -เธอใช้สองมือลูบแก้มตัวเองป้อย ๆ แก้เขิน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากแกล้งเธอมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก“ไม่ชอบจริงเหรอ” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนผู้หญิงด้านหน้า จนเธอหันมามองหน้าผมชัด ๆในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะเปิดออก เธอเลือกที่จะหอมแก้มหนัก ๆ ของผมฟอดใหญ่ด้วยความเร็วและรีบวิ่งออกจากลิฟต์กลับไปทางห้องของตัวเองแบบไม่หันกลับมามองผมเลยสักนิด ผมยืนนิ่งอยู่ในลิฟต์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินออกมายืนมองเธอที่รีบกดรหัสผ่านเข้าห้องไปด้วยความเอ็นดูติ๊ง!‘พี่ภูเป็นแฟนกับยาหยีนะคะ’ ผมเปิดอ่านข้อความที่มาจากคนตัวเล็กส่งมาหลังจากที่ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มในห้องนอนของตัวเอง‘พี่ต้องเป็นคนขอไม่ใช่เหรอ’‘รอพี่ภูขอ หยีแก่ตายพอดี’'ยาหยี..เป็นแฟนพี่นะครับ’‘ตกลงค่ะ!’ผมได้แต่นอนยิ้มให้กับหน้าจอมือถือราวกับคนบ้า เราเริ่มสนทนากันมากขึ้น เริ่มศึกษานิสัยและความชอบของกันและกันมากขึ้น เวลาผ่านไปหลายเดือนที่เราใช้ชีวิตด้วยกันแบบไม่ได้บอกผู้ใหญ่หรือครอบครัว โดยเฉพาะกับคนที่ร้าน“พี่ว่าจะบอกไอ้วินกับปันหยา เรื่องของเรา” พี่ภูวางหนังสือที่กำลังอ่านลงบนหน้าอกพูดขึ้นในขณะที่ยังนอนหนุนตักของฉันที
คนนี้ของยาหยี 1/2- 17 -“คืออะไรกันคะ ทำไม..” ฉันได้แต่ยืนมองหน้าป้านภาสลับกับมองหน้าพี่ภู โดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันจะต้องพูดหรือรู้สึกอย่างไร ป้านภาเป็นคนแนะนำให้ฉันมาสมัครที่ร้านนี้แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นร้านของใคร และพี่ภูคือลูกชายของป้านภาแต่ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้จักมาก่อนทั้งที่บ้านเราทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่ฉันจำความได้“ป้าก็อยากรู้ว่าทำไมเจ้าของรองเท้าเบอร์สามสิบแปดที่จอดหน้าห้องเจ้าภูถึงเป็นของหนูยาหยี” ป้านภามองหน้าฉันสลับกับพี่ภูอย่างต้องการหาคำตอบ แต่ยังเป็นแววตาที่เอ็นดูฉันเหมือนเดิม“มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดแน่นอนครับ พอดีผมขอให้น้องมาทายาให้เฉย ๆ”“ยา..ทายาอะไรลูกเป็นอะไร” ป้านภาตรงดิ่งเข้ามาหาพี่ภู จับลูกชายของเขาหมุนซ้ายหมุนขวา โดยที่ใบหน้าของพี่ภูยังคงดุตกใจเหลอหลาอย่างเห็นได้ชัด “ไหน”“แม่ครับ แม่ใจเย็น ๆ ก่อน ภูไม่ได้เป็นอะไรมาก” พี่ภูจับไหล่ของป้านภาก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่“คุณ พาหนูหยีกลับเข้าไปในห้องก่อนเลยค่ะ” เสียงของหญิงสูงวัยหันไปเอ่ยกับผู้เป็นสามีที่ยืนเงียบ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร “หนูยาหยีเข้าห้องไปก่อนนะจ๊ะ ป้ามีเรื่องอยากคุยกับเราสองคน”ฉันนึกขึ้นได้จึงยกมือไหว้ป
ตู้เสื้อผ้าที่รัก 2/2- 16 -“แม่!ซ่อน..ซ่อนที่ไหนละ” เสียงของเธอสั่นระริก ดวงตาแดงก่ำคลอไปด้วยน้ำตาที่คล้ายกับว่าจะไหลออกมาเสียให้ได้ก๊อก!ก๊อก!“ตู้เสื้อผ้า หนูไปหลบในนั้นก่อนนะ” ผมชี้นิ้วไปที่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ ยาหยีเองก็ไม่ชักช้า เธอรีบหยิบกระเป๋าของตัวเองวิ่งเข้าไปในตู้หลังนั้นอย่างว่าง่าย “อยู่ในนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่รีบมา”“มาแล้วครับ” ผมตะโกนเสียงดังพร้อมสวมเสื้อนอนแขนยาวปิดทับรอยฟกช้ำ เดินมายังประตูหน้าห้อง กดบิดลูกบิดออก เผยให้เห็นผู้เป็นแม่ยืนหน้าไม่รับแขกอยู่ด้านหน้า ถัดไปนั้นมีคุณพ่อที่ยืนหล่อจ้องหน้าผมเขม็งเช่นกัน“ทำไมเพิ่งเปิด แม่ได้ยินเสียงเราบิดลูกบิดนานแล้วนะตาภู” ทันทีที่แม่เดินเข้ามาในห้อง สายตาคมดุจเหยี่ยวสาวจับจ้องไปทุกมุมห้อง ราวกับหาความผิดปกติ “แกซ่อนอะไรหรือเปล่า”“ภูจะไปซ่อนอะไรคุณแม่ได้ละครับ” ผมเดินไปกอดผู้หญิงสูงวัยที่ยืนทำหน้าดุส่งมาให้อย่างออดอ้อน “คิดถึงแม่จังเลยครับ ทำไมมาดึกเลย”“ทำไมแม่จะมาหาลูกดึก ๆ ไม่ได้ละ” คนเป็นแม่ยังจ้องหน้าผมอย่างไม่ลดละ ทำให้ผมเดินพาคุณนายแม่นั้นมานั่งที่โซฟาให้ใจเย็น ๆ แต่แม่ก็คือแม่ เพราะพริบตาเดียวแม่เดินเข้าไปสำรวจหาความผ
ตู้เสื้อผ้าที่รัก 1/2- 16 -“พี่ภู..ทายาบ้างหรือเปล่าคะ” ฉันเอ่ยถามหลังจากวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอาหาร“ทาซิ” พี่ภูตอบพร้อมหลุบตาหนี ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เก็บจานไปวางที่ซิงก์ล้างจานฉันลุกขึ้นเดินตามพี่ภูไปยืนซ้อนที่ด้านหลัง ถือวิสาสะดึงชายเสื้อของพี่ภูขึ้น เผยให้เห็นรอยจ้ำสีม่วงที่บัดนี้มันขึ้นสีเขียวน่ากลัวอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าพี่ภูทายา ทำไมเป็นเยอะขนาดนี้ละคะ”“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เจ็บสักนิด” พี่ภูตอบแบบขอไปที พร้อมกับล้างจานจนเรียบร้อย“ทำหน้าอะไรแบบนั้น” พี่ภูหัวเราะขบขันให้ฉัน ก่อนจะโยกหัวฉันไปมาอย่างเช่นทุกครั้ง“พี่ภูไปอาบน้ำซิ เดี๋ยวหยีทายาให้” เดาได้เลยว่าที่แผ่นหลังขาว ๆ ไม่ยอมหายแบบนี้ แน่นอนว่าพี่ภูจะต้องทาไม่ถึงแน่ ๆ “ทาไม่ถึงใช่ไหมละคะ”“ไม่กลัวพี่ทำมิดีมิร้ายเหรอ” พี่ภูยังคงทำหน้าทะเล้นส่งให้ฉัน“กลัวว่าพี่ภูจะหนียาหยีอีกนะซิคะ” ฉันเอ่ยแบบพึมพำส่งให้ผู้ชายด้านหน้า ที่บัดนี้หัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจไปแล้ว“งั้นพี่รบกวนด้วยนะครับ พี่ไปอาบน้ำก่อน” พี่ภูโยกหัวฉันอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนฉันใช้เวลาเดินเล่นในห้องพี่ภู รูปภาพของเด็กผู้ชายคนนี้คุ้นตาฉันมากจนฉันเริ่มสงสัย ฉั
หัวใจเต้นตึกตักแต่แบบว่ารักกันไม่ได้ 2/2- 15 -“พอดีขิงง่วงแล้วค่ะพี่วิน ขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ” น้ำขิงเอ่ยจบเธอหันหลังเตรียมพร้อมจะเดินออกจากตรงนี้ แต่ทันทีที่พี่วินเห็นเช่นนั้น เขารีบวิ่งมาจับแขนของเธอให้หยุดชะงัก“เรื่องสำคัญ” พี่วินยังคงไม่ลดละ ฉันที่ยืนทำหน้างงได้แต่มองเขาทั้งสองสลับไปมาพร้อมกับเกาหัวแกรก ๆ “ง่วงเหรอ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้อง”“ขิงจะกลับกับหยีค่ะ” น้ำขิงพูดกับพี่มาวินแต่หันมาทำสายตาขอความช่วยเหลือกับฉัน ซึ่งฉันก็ได้แต่ยืนทำหน้างง พี่มาวินเองก็หันมามองฉันด้วยสายตาที่ฉันก็ไม่รู้ความหมาย “ใช่มั้ยยาหยี”“ใช่ค่ะ เดี๋ยวหยีไปส่งเอง” ฉันตอบออกไปด้วยความงง แต่ก็ไม่ได้โกหกนะ เพราะเมื่อกี้ฉันคุยกับน้ำขิงไว้แล้วว่าจะไปส่ง “พี่มาวินมีธุระสำคัญเหรอคะ”“ใช่ เดี๋ยวพี่ไปส่งขิงเอง หยีกลับคนเดียวได้ใช่ไหม เมื่อเช้าพี่เห็นเราขี่รถมา” พี่มาวินเอ่ยกับฉันก็จริง แต่สายตายังคงจดจ้องมองไปที่น้ำขิงไม่กะพริบ ฉันมองทั้งสองคนด้วยความรู้สึกแบบไม่ชอบมาพากล แต่ในเมื่อน้ำขิงไม่ได้พูดอะไร ฉันจึงเลือกที่จะพยักหน้าให้ทั้งคู่ ก่อนจะปลีกตัวเองเดินมาที่มอเตอร์ไซต์สุดที่รักแทน“หรือว่าฉันตกข่าวอะไรไปนะ” ฉัน