พนักงานคนใหม่
- 2 -
ผมได้แต่นิ่งงัน ร่างกายรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ชื่อของเธอทำไมถึงได้เหมือนเด็กคนนั้นขนาดนี้ และยังคงไม่มีใครเอ่ยปากใด ๆ ออกมาสักคำ เธอก็ได้แต่ยืนจ้องหน้าผมและขมวดคิ้วดูประหม่าไม่น้อย ซึ่งผมเองก็ไม่อาจเดาได้เลย ว่าเธอขมวดคิ้วอยู่นั้นเพราะผมที่เอาแต่เงียบ หรือว่าเธอเองก็คุ้นหน้าผมเหมือนกัน
“เชิญนั่งครับ”
ผมบอกเธอพลางยิ้มให้เล็กน้อย เธอยิ้มตอบก่อนจะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เธอยื่นเอกสารสมัครงานให้ผมทันทีก่อนจะกลับไปนั่งนิ่ง ๆ จ้องหน้าผมตาแป๋ว ราวกับแมวตัวน้อย ๆ ที่นั่งรอเจ้าของ ผมสลัดความคิดของตัวเองออกทันทีแล้วหันมาจดจ่อกับบุคคลตรงหน้า และด้วยบรรยากาศแปลก ๆ นี้ทำให้ผมต้องเปลี่ยนอารมณ์และชวนเธอคุยก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์
“พี่ชื่อภูผานะ คุยแบบเป็นกันเองแล้วกัน น้องยาหยีอายุเท่าไหร่แล้วครับ ถ้าไม่ถึง 18 พี่ไม่รับนะ มันผิดกฎหมาย”
ผมพูดติดตลกเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไปมากนัก ผมแอบเห็นเธอยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานาน ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย เพราะก็แปลว่าตอนนี้เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกกดดันเท่าไหร่
“หนูอายุ 20 แล้วค่ะ”
เธอตอบกลับด้วยใบหน้าที่มั่นใจหนักแน่น เป็นตัวยืนยันว่าเธอไม่ได้โกหก ซึ่งอาการที่เธอแสดงออกมานั้นก็ทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้จริงๆ
“แล้วยาหยีเคยทำงานอะไรมาบ้าง”
“ไม่เคยเลยค่ะ แต่หนูสอนง่าย ไม่ดื้อนะคะ”
ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าทำไมคนที่ไม่เคยทำงานแบบเธอ ถึงอยากมาทำงานร้านอาหารแบบนี้ได้ ซึ่งใคร ๆ ต่างก็รู้กันว่างานในร้านนั้นค่อนข้างหนัก และเหนื่อยระดับหนึ่ง แต่ก็เอาเถอะดูท่าทางจะสอนง่าย สู้งานอยู่
“งั้นพร้อมเริ่มงานเลยไหม ร้านพี่กำลังอยากได้พนักงานด่วนซะด้วยซิ”
ทันทีที่เธอได้ยินเธอก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจพร้อมกับไหว้ขอบคุณแล้วพยักหน้าหงึก ๆ เป็นการตอบรับ เธอยิ้มจนตาหยีเห็นฟันสวยเรียงกันชัดเจน
“งั้นเดี๋ยวพี่พาไปแนะนำกับคนอื่น ๆ เราจะได้เริ่มเรียนรู้งานละกัน”
ผมบอกกับเธอพร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินนำเธอลงมาด้านล่าง และพาเธอเข้าไปที่ห้องพนักงาน ซึ่งมีน้ำขิงที่กำลังเก็บของอยู่ เธอหันมามองผมพร้อมกับยิ้มกว้าง ให้กับบุคคลด้านข้างผม ผมเหลือบมองยาหยีก็เห็นอาการงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มตอบเช่นกัน
“นี่ยาหยี จะเข้ามาทดลองงานที่ร้านเรา อายุน่าจะไล่เลี่ยกับน้ำขิง พี่ฝากเราดูแลด้วยนะ”
เธอพยักหน้าหงึก ๆ ราวกับเด็กน้อยที่ได้เพื่อนใหม่ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ยาหยีอีกครั้ง
“นี่น้ำขิง ทำงานที่นี่มาสักพักแล้ว มีอะไรถามน้ำขิงได้เลย เดี๋ยวพี่จะให้น้ำขิงสอนงานเราละกัน”
ทั้งคู่ไม่ได้ฟังที่ผมบอกเลยด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่พริบตาเดียว ทั้งสองหันไปคุยกันกะหนุงกะหนิงราวกับว่าผมไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อผมเห็นว่าตรงนี้ปล่อยให้น้ำขิงจัดการได้ ก็ทำได้แต่นำตัวเองเดินออกมาด้านนอก สายตาเหลือบไปเห็นว่าแวบหนึ่ง เธอหันมาพยักหน้าทำความเคารพให้กับผมแล้วหันไปยิ้มให้กับน้ำขิงต่อ
ผมเลยจำเป็นต้องเลือกที่จะเดินออกมาให้น้ำขิงดูแล จัดการเรื่องยูนิฟอร์มต่อไป เมื่อเดินมาในร้านก็เห็นลูกค้าเริ่มแออัด ทำให้ชื่นใจขึ้นมาอีกมากโข ร้านเราเป็นร้านกลาง ๆ ประมาณ4คูหาดีไซน์สไตล์เกาหลี พยายามหาจุดที่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ จึงทำให้ค่อนข้างจะมีลูกค้าและนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพราะสไตล์ที่แตกต่างและโดดเด่น
“ไอ้ภู มาช่วยกันดิวะ ยืนหล่ออยู่นั่น เอาไปเสิร์ฟโต๊ะ12 ให้หน่อย เอาหน้าหล่อๆ ของมึงไปให้สาวใหญ่โต๊ะนั้นเชยชมหน่อย”
เสียงไอ้มาวินดังออกมาจากห้องครัว แสดงว่าข้างในน่าจะวุ่นวายน่าดู มันถึงกับเข้าครัวเอง ผมยักคิ้วให้มันทีหนึ่ง ก่อนจะเดินไปรับจานอาหารมาเพื่อไปเสิร์ฟให้ลูกค้า ก็อย่างที่บอกครับ ลูกค้าเราค่อนข้างเยอะในบางช่วง พวกผมก็เลยไม่มีเวลาไปไหนกัน นอกจากต้องมาร้าน ราวกับว่าพวกเรานั้นรักร้านเอามาก ๆ
ผมเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าเรียบร้อย สองเท้าเดินเอาถาดอาหารมาเก็บที่ห้องครัว สายตามองไปเห็นน้ำขิงที่เดินจูงมือพายาหยีที่ถูกสวมด้วยยูนิฟอร์มเรียบร้อย ซึ่งร้านเราจะเน้นใช้ชุดฮันบกเป็นยูนิฟอร์มในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เพื่อสร้างความแตกต่างและแปลกตาให้กับลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามา ซึ่งยาหยีเองก็มาในวันศุกร์พอดี ผมยอมรับเลยว่าเธอสวยมาก ทั้งใบหน้า รูปร่าง และนิสัยที่เงียบนิ่งของเธอนั้นด้วยและมันก็ทำให้ผมกลัวเล็กน้อย กลัวว่าเธออาจจะจะจำผมได้ขึ้นมา..
“เด็กใหม่เหรอวะ ชื่อไรอะไอ้ภู”
มาวินที่เพิ่งเดินหน้าหล่อออกมาจากห้องครัวตรงดิ่งมาที่ผม แล้วเจอกับยาหยีพอดี สายตาของมันมองยาหยีราวกับเสือที่จ้องจะตะครุบเหยื่อก็ไม่ปาน
“ยาหยี”
ผมตอบมันออกไป โดยที่สายตาไม่ได้ละออกจากยาหยีเลยสักนิด ในหัวผมได้แต่คิดเรื่องเดิมซ้ำๆ เรื่องที่ผมต้องฝันร้ายแทบทุกคืน เรื่องที่เป็นเหมือนตราบาปให้ชีวิตของผม เรื่องที่ผมวิ่งหนีมาตลอดสิบห้าปี แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับคนแบบภูผา ที่อยู่ ๆ ก็ส่งให้เธอโคจรกลับเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้ง
“ชื่อก็น่ารักซะด้วย ถ้าไม่ติดว่าเป็นกฎของพวกเราว่าห้ามจีบเด็กในร้านนะ คนนี้ สเปกเลยว่ะ”
คำว่าจะจีบของไอ้มาวิน ช่วยกระชากสายตาผมออกจากยาหยีแทบจะทันที ผมยืนจ้องหน้ามันนิ่งๆ มันก็หันมาจ้องหน้าผมแบบยิ้มทะเล้น ๆ ตามนิสัยของมันสักพัก พอมันเห็นว่าผมไม่เล่นมันก็ยิ้มเจื่อนๆ แทบจะทันที
“กูพูดอะไรผิดปะวะ ทำไมมึงมองหน้ากูแรงจัง”
“เปล่า กูแค่กลัวมึงจะลืมกฎของพวกเรา”
ผมบอกมันอย่างปัดๆ พวกเรา3คน ตั้งกฎตั้งแต่เปิดร้านไว้ว่า จะไม่มีการคบกับเด็กในร้านเด็ดขาด เพื่อป้องกันคำครหาจากเพื่อนร่วมงาน และป้องกันปัญหาต่างๆ ในภายภาคหน้า
“กูไปทำงานต่อก่อน มึงจะเข้าครัวอยู่มั้ย”
“ไม่ละ ในครัวน่าจะทันละ ว่าจะไปคิดหาแผนโปรโหมดร้านเพิ่มอีกสักหน่อย.. ว่าแต่สิ้นปีนี้มีแพลนพาเด็กๆ ไปเที่ยวไหนวะ”
พอไอ้มาวินทักขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ ในสิ้นปีพวกเราจะพาเด็ก ๆ ในร้านไปพักผ่อน ชาร์จแบต เป็นการขอบคุณที่ทุกคนอยู่ช่วยกันมา นี่ก็อีกแค่ครึ่งเดือนก็จะสิ้นปีแล้ว คงต้องหาที่เตรียมพร้อมเสียแล้ว
“ขึ้นเหนือไหม เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน”
ผมเสนอความคิดไปพลางๆ ก็เห็นมันพยักหน้ารับ
“ก็ดีนะ จะได้แวะไปเยี่ยมแม่ด้วย ไม่ได้เจอแม่มานานแล้ว”
ผมกับมาวินเป็นคนเชียงใหม่ ส่วนปันหยาเป็นคนกรุงเทพ ช่วงนี้งานที่ร้านค่อนข้างเยอะ มันกับผมก็ไม่ได้กลับบ้านพอ ๆ กัน
“งั้นปีนี้ไปเที่ยวเหนือกัน ว่าแต่จะไปที่ไหนดี”
ผมพูดพลางหันไปถามไอ้มาวินเป็นเชิงขอความคิดเห็น
“กำลังคิดเรื่องพักร้อนกันเหรอ ฉันกำลังจะมาคุยเรื่องนี้เลย”
“เธอมีที่แนะนำเหรอปันหยา ไอ้ภูเสนอไปเที่ยวเหนือ เธอว่าไง”
“ฉันเสนอไปเกาหลี พวกนายว่าไง”
ผมกับไอ้มาวินถึงกับมองหน้ากันเพราะปกติไม่เคยออกนอกประเทศเลย ยิ่งรู้ ๆ กันอยู่ว่าปันหยารายนี้นั้น ดูแลค่าใช้จ่ายของร้านทุกอย่างเธอจึงเป็นคนที่ค่อนข้างประหยัดและคิดคำนวณรอบคอบมากที่สุดในกลุ่ม
“หมายความว่าไงวะปันหยา ทำไมครั้งนี้อยากไปต่างประเทศ เธออย่ามาหลอกให้ดีใจนะเว้ย ฉันยิ่งอยากไปส่องสาว ๆ เกาหลีอยู่ด้วย ใช่ไหมวะไอ้ภู ฮ่า ๆ”
“เธอทำบัญชีใกล้ปิดปีเสร็จแล้วเหรอปันหยา ถึงชวนไปเกาหลี ยอดปิดปีนี้โอเคใช่ไหม”
ผมไม่ได้ติดอะไรหรอก ถ้าเราจะพากันไปเที่ยวต่างประเทศ แต่ทุกอย่างก็ต้องทำเพื่อปากท้อง ผมเห็นปันหยามองหน้าพวกผมแล้วยิ้มมุมปาก ทำให้พวกผมค่อย ๆ ยิ้มตามอย่าลุ้นคำตอบ
“ตามคาดเลยจ้ะ ฉันทำบัญชีถึงปัจจุบันแล้ว เราได้กำไรมาเยอะเลยเว้ย ฉันคำนวณค่าใช้จ่ายที่จะไปเที่ยวแล้ว ยังเหลือเพื่อขยายกิจการอีกนิดหน่อยด้วย เหลือแค่ในส่วนก่อนปิดปี ถ้าไม่มีอะไรผิดคาด งานนี้ไปเกาหลีได้สบาย!”
“เชรด ค่อยสมกับที่พวกเราเหนื่อยมาทั้งปีหน่อยเว้ย ไอ้ภูเปลี่ยนแผนๆ กูว่าไปเกาหลีกัน ๆ”
“ถ้าทุกคนโอเค ฉันจะทำเรื่องจองตั๋วแล้วนะเว้ย แกอะมาวินฉันไม่ถามหรอก แต่ภู แกละว่าไง”
‘พี่ภู ๆ พี่ภูรู้ไหมว่าประเทศไหนที่ยาหยีอยากไปเที่ยวมากที่สุด’
‘พี่คิดไม่ออกเลย ยาหยีอยากไปประเทศไหนคะ บอกพี่ภูหน่อยซิคะ’
‘ยอมแพ้แล้วใช่ไหม ยาหยีจะบอกพี่ภูแค่คนเดียวนะคะ ยาหยีอยากไปเกาหลีค่ะ พี่ภูสัญญากับยาหยีนะว่าถ้ายาหยีโตขึ้น พี่ภูต้องพายาหยีไปเกาหลีนะคะ แล้วยาหยีก็จะเป็นเจ้าสาวของพี่ภูด้วย’
‘โอเค ถ้ายาหยีโตขึ้น พี่จะพายาหยีไปเที่ยวเกาหลีนะคะ ถ้าโตขึ้นยาหยีจะมาเป็นเจ้าสาวของพี่อย่างที่พูดตอนนี้มั้ยน้า ถ้าโตขึ้นมาจำพี่ไม่ได้ พี่จะเป็นหม้ายมั้ยน้า’
‘ถ้ายาหยีโตขึ้น ยาหยีก็จะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดของพี่ภูคนเดียว ยาหยีสัญญาเลยค่ะ’
ผมลูบหัวเด็กตัวเล็กที่พูดจาเจื้อยแจ้วตรงหน้า อย่างเอ็นดูและทะนุถนอม ยาหยีคือน้องที่ผมรักมาก ไม่ว่าเธอจะทำอะไรผมจะคอยดูเธอเสมอ ยาหยีเป็นเด็กที่มีความคิดตั้งแต่เด็ก และติดผมมากๆ ด้วยความที่เป็นเด็ก เธออาจจะพูดอะไรไปแบบไม่คิด แต่ผมก็ไม่เคยถือสาเธอเลย
“ไอ้ภูเว้ย!”
ผมหลุดจากภวังค์ความคิดทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนของไอ้มาวินข้างหู หัวใจจะวาย
“มึงจะตะโกนทำห่าอะไรวะ อยู่กันใกล้แค่นี้เองไอ้วิน”
“เป็นไรหรือเปล่าภู พวกเราเรียกตั้งนาน แกก็เอาแต่ยืนนิ่งพวกเราตกใจนะเว้ย หรือถ้าไม่อยากไปเกาหลี ก็ไม่เป็นไร ค่อยหาที่ใหม่ก็ได้ แกไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ พวกเราเป็นห่วงแกนะเว้ย”
“กูไม่อยากไปก็ได้ ถ้ามึงไม่โอเคอะ”
“ปันหยาเธอจองตั๋วได้เลยแล้วก็แพลนที่เที่ยวมาด้วยนะ ปีนี้เราจะไปเกาหลีกัน”
ผมบอกปันหยา ทำเอาทั้งสองคนกระโดดดีใจกันยกใหญ่
“ไอ้ภู มึงยังฝันร้ายอยู่เปล่าวะ ช่วงนี้มึงดูโทรมไปนะ เหมือนไม่ได้นอนเลย”
ไอ้มาวินหันมาถามผมหลังจากที่ปันหยารีบไปจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินของทุกคน ผมกับไอ้มาวินแทบไม่เคยมีอะไรปิดบังกันเลยสักเรื่อง และผมก็เล่าเรื่องน้องสาวของผมให้มันฟังบ่อย ๆ รวมถึงเหตุการณ์นั้นด้วยเหตุการณ์เมื่อสิบห้าปีก่อน ผมไม่ได้ตอบมันทันที แต่มองหน้ามันแล้วพยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบคำถามมัน มือหนาตบที่ไหล่ของผมเป็นการปลอบใจ ผมเลี่ยงมันเดินขึ้นมาในห้องทำงานสายตาจับจ้องไปที่ผู้หญิงด้านล่างอย่างเงียบ ๆ เธอจำผมไม่ได้จริง ๆ หรือเธอไม่อยากจำผมกันนะ เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ในวันนั้นตอนนี้โตเป็นสาวขนาดนี้แล้วเหรอ
“น้ำขิงปกติพี่เขามาร้านทุกวันเลยเหรอ พี่เขาดุมั้ย”
“พี่เขามาทุกวันแหละ พี่เขารักร้านนี้กันจะตาย ตั้งแต่ขิงอยู่มา ไม่เคยเห็นพี่เขาดุใครเลยนะ ใจดีมาก ก.ไก่ล้านตัว”
การแสดงออกของน้ำขิงที่พูดถึงพี่ๆ เจ้าของร้านไม่ว่าจะสายตา ท่าทางพร้อมกับยิ้มหวานหยดที่แทบจะละลายกันเลยทีเดียว แค่นี้ก็พอดูรู้แล้วว่าพี่ ๆ เขาคงจะใจดีน่าดู
“สงสัยจะใจดีจริง ๆ แหละเนอะ แค่พูดถึงก็เอาซะเคลิ้มเชียวนะ ปะ! ทำงานกันเถอะหยีกลัวโดนหักเงิน อิอิ”
ไลน์!
#ปันหยา: แจ้งน้อง ๆ ทุกคน สวัสดิการจาก PPM Korean สถานที่พักร้อนปีนี้ของเรานั้น เราจะไปแดนกิมจิกันนะคะทุกคน! อนุมัติโดยท่านประธานภูผาเรียบร้อยจ้า! ขอน้อง ๆ ส่งพาสปอร์ต และวีซ่าให้พี่ด้วยนะคะ พี่จะได้จัดการเรื่องตั๋วจ้า
#มาวิน: อย่าลืมเตรียมตัวกันให้พร้อมนะทุกคน โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ ก่อนที่ไอ้คุณพี่ภูผาของทุกคนจะเปลี่ยนใจ ฮ่า ๆ
#ภูผา: (ยิ้ม)
#นัดภพ: เสียใจมากเลย ไม่ได้ไปกับทุกคน ยังไงก็ขอให้ เที่ยวกันให้สนุกนะครับ
#น้ำขิง: พี่นัดต้องอยู่ต่อแล้วค่า
#นัดพบ: ถ้าพี่จัดการเรื่องแม่เรียบร้อยจะกลับมาสมัครเป็นรุ่นน้องน้ำขิงนะครับ อิอิ
#น้ำขิง: ได้เลย เดี๋ยวน้ำขิงจะสอนงานเป็นพิเศษเลยค่า แต่ไม่ต้องห่วงนะพี่นัด ไว้ขิงจะซื้อขนมมาฝาก อิอิ
#น้ำตาล: ยาหยีมาได้จังหวะมากเลยนะ มาทำงานปุ๊บ! ก็ได้ไปเที่ยวเกาหลีเลย อิอิ
#ยาหยี: (ยิ้ม)
#ยาหยี: หยีน่าจะมาพร้อมกับดวงแหละค่ะพี่น้ำตาล (หัวเราะ)
#ปันหยา: เอาล่ะ ๆ ไว้พี่จัดการเรื่องเอกสารและเรื่องตั๋วเครื่องบินสำหรับทุกคนเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พี่จะจองรอบวันที่ 29 ธันวา นะทุกคน มีใครไม่สะดวกไหม
#ภูผา: พี่นัดจะไปด้วยกันก็ได้นะครับ เดี๋ยวเรื่องคนดูแลแม่พี่ ผมจะจัดการให้
#มาวิน: นั่นนะซิ ไปกันหลายคนสนุกนะพี่ ไปด้วยกันเถอะ
#นัดพบ: ขอบคุณครับ แต่ผมว่าไม่เป็นไรดีกว่า แม่ก็อายุมากแล้ว ผมดูแลเองจะสะดวกกว่า ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ
#ปันหยา: เอาไว้มีโอกาส ร้านเรายินดีต้อนรับพี่นัดเสมอนะคะ หากมีปัญหาอะไรที่พวกเราช่วยได้พวกเรายินดีค่ะ เพราะพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันเนอะ
#นัดพบ: ขอบคุณครับ (ยิ้ม)
‘ถ้ายาหยีโตขึ้น ยาหยีก็จะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดของพี่คนเดียว ยาหยีสัญญาเลยค่ะ’
‘ไม่ใช่ว่าโตขึ้น หนูจะลืมพี่ใช่ไหม ถ้าสัญญากับพี่แบบนี้ พี่คิดจริงนะ’
เด็กผู้หญิงอายุประมาณ 5 ขวบนั่งเกี่ยวก้อยทำสัญญากับเด็กผู้ชายตัวโตอยู่บนม้านั่ง ภาพด้านหลังของเธอคือสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่รายล้อมไปด้วยผู้คนมากมายที่กำลังออกกำลังกายกันอย่าสนุกสนาน วิ่งจ๊อกกิ้ง โยคะ เต้นแอโรบิก บางกลุ่มก็มาแบบครอบครัว มีเครื่องเล่นเด็กขนาดใหญ่อยู่บริเวณนั้น กับรอยยิ้มละมุนจากผู้ชายตัวโต มือของเขาเอื้อมมาลูบหัวเด็กผู้หญิงเบา ๆ อย่างเอ็นดู
เฮือก!!
สวัสดิการแห่งรัก- 3 -เฮือก!!นี่ฉันฝันเรื่องนี้อีกแล้วเหรอ ทำไมฉันต้องฝันเห็นเด็กผู้ชายคนนั้นบ่อย ๆ ทำไมเขาถึงชอบเข้ามาในฝันของฉันอยู่เรื่อย ฉันฝันเห็นเด็กผู้ชายตัวโตคนหนึ่งมาตลอดเท่าที่จำความได้ เด็กผู้ชายคนนั้นอายุน่าจะห่างจากฉันประมาณหนึ่ง แต่ทุกครั้งที่ฉันฝันถึงเด็กคนนี้ ฉันกลับไม่เคยเห็นหน้าเขาชัด ๆหรือบางครั้งที่ฉันเห็นใบหน้านั้นพอฉันลืมตาตื่นขึ้นมา ถึงจะพยายามนึกยังไงไม่ออกเลยสักครั้ง และไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ทุกครั้งที่ฝันถึงฉันกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาและรู้สึกปลอดภัยทุกครั้ง จนบางครั้งฉันก็คิดเล่น ๆ ว่าหรือจะมีผู้ชายคนนี้บนโลกใบนี้จริง ๆ เป็นบุพเพสันนิวาสหรือเนื้อคู่ของฉันหรือเปล่านะPPM Korean.กริ๊ง!“โต๊ะ 17 จ้า”เสียงใส ๆ ของพี่น้ำตาลดังออกมาจากด้านในครัวขนาดใหญ่ของร้าน ฉันที่อยู่ใกล้ที่สุดจึงรีบเดินไปรับอาหารถาดนั้นมาเพื่อไปเสิร์ฟให้กับลูกค้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะปิดร้านช่วงปีใหม่ แต่บรรดาลูกค้าก็ยังคงแน่นร้านเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ทั้งลูกค้าประจำ ลูกค้าขาจรพอคิดแบบนั้นแล้วฉันก็เสียดายอย่างบอกไม่ถูก ถ้าหากร้านเปิดในช่วงสิ้นปีคงได้เงินเยอะแน่ ๆหลังจากเสิร์ฟอาหารเส
รักที่เป็นไปไม่ได้- 4 -พี่วินพูดพลางหัวเราะเล็ก ๆ แต่ไม่ได้สนใจมากนัก ฉันแอบเห็นพี่ปันหยาหันมามองที่ฉันกับพี่ภูแวบหนึ่งก่อนที่เธอจะเดินลากกระเป๋าไปแบบไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก“ไปกันเถอะ เดี๋ยวตกเครื่อง”พี่ภูตัดจบแล้วพาพวกเราไปรอที่Gate เพื่อรอขึ้นเครื่อง อีก6 ชั่วโมงก็จะถึงที่หมาย ฉันตื่นเต้นมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะออกนอกประเทศ ไม่ใช่ว่าไม่เคยขึ้นเครื่องนะ แต่ส่วนใหญ่ก็แค่เชียงใหม่-กรุงเทพ กรุงเทพ-เชียงใหม่ ก็แค่นั้นสนามบินนานาชาติอินชอน โซล (Incheon International Airport)“ตม.ที่นี่เข้ายากจริง ๆ กว่าจะผ่านมาครบทุกคน ปันหยานี่คือสุดยอด!”“แกก็อย่าบ่นมากเลยไอ้วิน แค่นี้ปันหยาก็เหนื่อยมากพอแล้ว ใครใช้ให้แกทำตัวน่าสงสัยล่ะ”“มึงมองเบ้าหน้าหล่อ ๆ ของกูดี ๆ นะไอ้ภู มันน่าสงสัยตรงไหนวะ”“พอแล้ว ๆ เดี๋ยวเราจะไปที่พักกันนะทุกคน เราต้องใช้บริการรถไฟด่วนของสนามบินเข้าโซลนะ เป็นเส้นทางที่ไวสุดแต่ก็ประมาณ40นาที ตอนนี้ก็16.45 น.ปรับตัวไม่ทันเลยนะเนี่ย เวลาต่างจากที่ไทย2ชั่วโมงจากที่ดูน่าจะอีก 15นาที รถไฟจะมาแล้ว “ทุกคนไปทำธุระส่วนตัวกันเสร็จมาเจอกันตรงนี้นะ”“หยี ๆ เราไปเข้าห้องน้ำกันไหม
ทำไมบอกไม่ฟัง- 5 -ฉันไม่ได้ตอบไปตรงๆ แต่เลือกที่จะถามน้ำขิงกลับไป เพื่อดูว่าน้ำขิงจะพูดอะไรต่อ ดีกว่าปล่อยไก่ตัวโตตอบไปว่ามี อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรด้วยแหละถ้าน้ำขิงถามว่าเป็นใคร ก็ไม่กล้าพอที่จะบอกหรอกว่า คนคนนั้นคือพี่ภูผาน่ะนะ“เปล่าหรอก ขิงแค่อยากรู้ว่าถ้าเราหลงรักคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนจบจะเป็นยังไง จะสมหวังไหมหรือสุดท้าย..เราก็ต้องเจ็บอยู่ดี”น้ำขิงพูดไปพลางอมยิ้มไป แต่ช่างปล่อยรอยยิ้มที่ดูเศร้ามาก ดูก็รู้ว่าน้ำขิงคงจะแอบชอบใครเข้าแล้วสักคน แล้วการชอบใครสักคนทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้คงจะเศร้าน่าดูจริง ๆ เพราะฉันก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นเข้าแล้ว“ฮั่นแน่ น้ำขิงของเรามีคนที่ชอบซะแล้ว…ขิงฟังหยีนะ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้ลอง เรายังไม่แม้แต่ที่จะบอกเขา หรือทำให้เขาเห็นเลยด้วยซ้ำ หยีเชื่อเสมอว่าคำตอบนั้นมีแค่สองทาง มันจะมีก็แค่ได้รักกัน หรือ เรารักเขาข้างเดียวก็เท่านั้น”“เห้อ…ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าไม่คุยเรื่องนี้แล้วดีกว่า นี่เพราะขิงเห็นว่าหยีเป็นเพื่อนนะถึงได้ถาม หยีคงไม่รำคาญขิงใช่มั้ย”“ไม่เลย ๆ หยีดีใจนะที่ขิงไว้ใจหยี แล้วมาปรึกษาหยีอะ โอ๋ ๆ มากอดกัน ๆ”ฉันโอบกอ
ทำไมบอกไม่ฟัง 2/2- 5 -“เอาแบบนั้นเหรอ แต่วันนี้หิมะตกหนักมากเลยนะ”“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปแป๊บเดียวเอง ฉันก็อยากไปเหมือนกัน นะนะ นะนะ ไปกันนะหยี”“งั้นเราหาเสื้อผ้าหนา ๆ หน่อยละกัน”“งื้อ ยาหยีน่ารักที่สุด ปะ!”ฉันและน้ำขิงตัดสินใจพากันลงมาที่ล็อบบี้เพื่อไปโซลทาวเวอร์กันเอง เมื่อสักครู่ลองเช็กพยากรณ์อากาศแล้ว หิมะจะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ อีก 48 ชั่วโมงเพราะพายุหิมะเข้า นั่นหมายความว่าอีก 2 วันถ้ารอหิมะหยุดพวกเราคงไม่ได้ไปแน่ ๆ“คุณลูกค้าคะ หิมะตกหนักมาก วันนี้อาจจะไม่สะดวกในการเดินทางไกล ๆ นะคะ”“ขอบคุณค่ะ แต่...เอ่อ... พวกเราแค่จะเดินเล่นรอบ ๆ นี้เท่านั้นค่ะ”“ระวังตัวด้วยนะคะ”พวกเราเดินฝ่าหิมะที่กำลังโปรยปรายหนักขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านมาประมาณ30นาทีเห็นจะได้ และแล้วพวกเราก็มาถึงโซลทาวเวอร์จนได้ ด้านล่างติดป้ายสีแดงเด่นสง่าแม้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน มันทำให้ฉันอ่านตัวหนังสือได้ไม่ถนัดเนื่องจากหิมะตกหนักขึ้น น้ำขิงเดินนำขึ้นไป4-5ขั้นบันได ฉันจึงรีบตามไป ถ้าห่างกันกว่านี้อาจจะคลาดกันก็ได้หิมะตกหนักขึ้นจนฉันรู้สึกได้ ขาที่ก้าวฉับ ๆ ตอนมาเริ่มก้าวช้าลงเพราะความเหน็บหนาวบริเวณรอบ ๆ ที่เคยเห
ปั้นตุ๊กตาหิมะมั้ย 1/2- 6 -“ทำไมพี่ภูมาอยู่ที่นี่ได้คะ?”ถึงแม้ในใจจะเต้นระรัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งหวั่นไหว แต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่ภูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หรือพี่ภูเองก็ขึ้นมาแขวนกุญแจเหมือนกัน“อ๊ะ! พี่ภูคะ พี่ภูเห็นน้ำขิงไหมคะ หยีหลงกับน้ำขิงตั้งแต่อยู่ด้านบนแล้วค่ะ”“น้ำขิง ไอ้วินน่าจะกำลังไปตามหา พี่แยกกับมันตอนมาถึงที่นี่”พี่ภูดูจะไม่สบอารมณ์เอามาก ๆ ทั้งน้ำเสียง แววตา ดูน่ากลัวไปหมดติ๊ง!พี่ภูเปิดโทรศัพท์อ่านข้อความสักพักก็ยื่นหน้าจอมาให้ฉันอ่าน เป็นข้อความของพี่วินที่ส่งมามีใจความว่า ‘กูเจอขิงแล้ว มึงเจอหยีรึยัง ถ้าเจอแล้วงั้นไว้เจอกันที่โรงแรมเลยนะ’ ฉันอ่านจบก็พยักหน้าเบา ๆ ให้พี่ภู พี่ภูพิมพ์ข้อความอีกนิดหน่อยแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ก่อนจะหันมามองหน้าฉันนิ่ง ๆ มันช่างดู … อึดอัด แอ๊!“คือว่า ตอนนี้เรากลับโรงแรมกันไหมคะ เอาหยีลงก็ได้ หยีเดินไหวค่ะ”งื้อออ ถึงแม้จะเสียดายแต่บอกตรง ๆ ว่าใจมันเต้น หัวใจมันฟูมากอ้อมแขนพี่ภูเป็นอะไรที่อบอุ๊นอบอุ่น กลิ่นตัวหอม ๆ ที่ลอยทะลุเสื้อโค้ตออกมา เป็นกลิ่นผู้ชายที่เคยใกล้ชิดขนาดนี้เป็นครั้งแรก หิมะที่ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เริ่มแสบตา
ปั้นตุ๊กตาหิมะมั้ย 2/2- 6 - ฉันตื่นเต้นและดีใจมาก ถึงแม้มันจะแค่ก้อนกลมๆ ก็เถอะ แต่ใช้เวลานานอยู่นะกว่าจะได้มันขึ้นมา ก็ต้องดีใจแหละ พี่ภูยิ้มให้เล็ก ๆ แล้วพยักหน้ารับก่อนจะพยักพเยิดหน้าที่กองหิมะอีกกองที่พี่ภูปั้นให้ กองนี้ค่อนข้างเล็กกว่าที่ฉันปั้นนิดหน่อย ฉันเลยเคลียร์พื้นที่แล้วเอาเจ้าก้อนของฉันวางบนเก้าอี้ พี่ภูเอื้อมไปหยิบเจ้าก้อนของพี่ภูมาวางทับด้านบน ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะมันกำลังดูเหมือนว่าฉันกับพี่ภูกำลังช่วยกันปั้นเจ้าหิมะตัวนี้เลย“หยีจะปั้นหัวน้องแล้วนะ พี่ภูช่วยเอาหิมะให้หยีหน่อยค่ะ”พี่ภูขยับร่างกายนิดหน่อย ใช้มือที่สวมด้วยถุงมือคู่หนากอบหิมะโกยมาให้ ฉันค่อย ๆ ปั้นเจ้าก้อนเล็ก ๆ อีกหนึ่งก้อน เพื่อไปวางด้านบน ฉันหยิบกิ่งไม้มาปักที่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง สำเร็จ! ฉันปั้นเจ้าหิมะนี่ออกมาได้จริง ๆ แต่มันรู้สึกขาด ๆ อะไรไป ตา จมูก ปาก ไม่มีเลยแฮะ พี่ภูที่ยืนมองอยู่ไม่กี่วินาที เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตของตัวเองควานหาอะไรสักพักก็หยิบกระดุมเสื้อมาให้สองเม็ดฉันรับมาแล้วจิ้มไปที่ตำแหน่งตาทั้งสองข้าง และฉันก็นึกออกว่าฉันติดกิ๊บติดผมมา ขนาดค่อนข้างยาว น่าจะแทนจมูกได้ ฉั
พี่บอกหรอว่าเราจะกลับโรงแรม 1/2- 7 -“เธอไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ”ฉันได้สติแล้วแต่เปลือกตามันไม่สามารถสั่งให้ขยับลืมขึ้นได้ดั่งใจเลยสักนิด หูได้ยินเสียงพี่ภูที่กำลังถามใครสักคน ไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหนหรือฉันเป็นอะไร และพี่ภูคุยกับใคร ฉันพยายามขยับเปลือกตาที่หนักอึ้งนี่เพื่อให้เปิดขึ้นแล้วความพยายามของฉันก็สำเร็จ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นกับเพดานสีขาวสะอาดตารอบห้องสีขาว ฉันขยับตัวเล็กน้อยและพบกับความเจ็บแปลบที่ข้อมือ เมื่อฉันยกมือขึ้นก็เห็นสายน้ำเกลือที่ระโยงระยาง ที่นี่คือโรงพยาบาลสินะ“ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ แค่ตากหิมะนานเกินไปและร่างกายปรับตัวไม่ทันเท่านั้นนอนพักผ่อนให้มากหน่อย พยายามอย่าให้ไข้ขึ้นก็พอครับ”ฉันหันไปตามเสียงก็เห็นพี่ภูที่ยืนคุยกับคุณหมอด้วยใบหน้าแบบใดฉันมองไม่เห็น พี่ภูพยักหน้าให้คุณหมอครั้งหนึ่ง ก่อนที่พี่ภูจะหันมาก็เห็นฉันที่ได้สตินั่งมองพี่ภูกับคุณหมอตาแป๋ว พี่ภูเองก็สะกิดบอกคุณหมอทันที คุณหมอตรวจอาการเบื้องต้นฉันสักพักเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็อธิบายแนะนำอีกเล็กน้อยและเดินออกจากห้องพักไปเพื่อตรวจคนไข้คนอื่นต่อ พี่ภูเดินมานั่งข้าง ๆ มองหน้าฉันนิ่งไม่ม
พี่บอกหรอว่าเราจะกลับโรงแรม 2/2- 7 - ฉันได้ยินเสียงพี่ภูวางโทรศัพท์เสียงกระทบกับกระจก น่าจะวางที่โต๊ะกลมหน้าโซฟา ฉันได้ยินเสียงเท้าค่อย ๆ เดินมาที่ข้างเตียงแล้วผ้าห่มก็ถูกดึงขึ้นมาคลุมตัวฉัน ฉันรีบหลับตาลงทันที ผ่านไปสักพักก็สัมผัสได้ถึงปลายนิ้วมือค่อยๆ ปัดปอยผมที่ปิดหน้าของฉันออก ฉันรู้สึกอบอุ่นมากแบบบอกไม่ถูก เคยคิดว่าพี่ภูอาจจะเกลียดฉันหลังจากที่ฉันสร้างปัญหาไว้ให้มากมาย ฉันกลัวมากนะกลัวว่าพี่ภูจะเกลียดกลัวว่าพี่ภูจะไม่ชอบฉัน พี่ภูผละออกจากเตียงและได้ยินเสียงปิดประตูเบา ๆ ฉันค่อย ๆ ลืมตาและขยับหันไปมองที่ประตู ก็เห็นว่าพี่ภูออกไปแล้ว เฮ้อ! กลั้นหายใจแทบตาย ฉันยิ้มอย่างอารมณ์ดี จากการกระทำแสดงว่าพี่ภูไม่ได้โกรธฉันหรอก ใช่ไหม?ฉันเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยา ตื่นมาเห็นพี่ภูกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่โซฟาข้างเตียง ฉันขยับตัวลุกขึ้นเล็กน้อย ก็เห็นว่าพี่ภูเองก็หันมามองและภาพที่ฉันเห็นนั้นคือพี่ภูที่กำลังกัดน่องไก่น่องใหญ่อวดทันที ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มันน่ากินมากจริง ๆ ฉันได้แต่ทำตาปริบ ๆ มองน่องไก่น่องใหญ่นั่น เห็นพี่ภูกลั้นหัวเราะเบา ๆ“พี่ซื้อโจ๊กมาให้ เราทานได้แต่โจ๊ก น่องไ
สุดท้าย..ก็เป็นเธอ- 21 -“พี่ภูคะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันหยุดเท้าที่กำลังเดินตามพี่ภูลง ทำให้ผู้ชายด้านหน้าเองก็หยุดชะงักพร้อมกันนั้นพี่ภูเองก็หันหน้ามามองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากคนขี้เล่น เป็นสายตาที่ดูจริงจังละกังวล“ทำไมยาหยีถึงถามเรื่องนี้กับพี่อีกแล้วคะ หรือไปรู้อะไรมาเหรอ” พี่ภูยืนนิ่งอยู่ที่เดิมถามฉันด้วยน้ำเสียงกังวล“ทุกครั้งที่ยาหยีถาม พี่ภูจะกังวลเรื่องนี้ทุกครั้ง พี่ภูดูมีพิรุธนะคะ มีอะไรอยากเล่าให้หยีฟังไหม” ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้ความฝันที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ หรือภาพที่เห็นมันคือเรื่องจริงหรือสิ่งที่ฉันมโนขึ้น จะบอกว่าเป็นเพราะความฝัน มันก็ดูจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากไม่มีเค้าโครงความจริงอะไร ทำไมพี่ภูไม่เคยปฏิเสธ“ยาหยีจะเป็นเจ้าสาวของพี่ภูคนเดียวเท่านั้น..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...” ฉันเงียบฟังคำที่พี่ภูเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่งงเหมือนไก่ตาแตก และฉันมั่นใจว่านั่นมันคือความฝันที่ฉันฝันเห็นและได้ยินบ่อย ๆ แล้วทำไมพี่ภูเองถึงรู้ความฝันนั้นฉันได้ละ“ถ้ายาหยีโตขึ้น ยาหยีก็จะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดของพี่คนเดียว ยาหยีสัญญาเลยค่ะ..คำนี้คุ้นไหมคะ”“...”“หนูตอบพี่สิ
ตัดสินใจยุติข้อห้าม- 20 -“พี่ภูคะ..พี่ภูกับหยี เคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหมคะ” ฉันสังเกตเห็นแววตาของพี่ภูที่สั่นไหวแบบแปลกไป แต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น พี่ภูก็ปรับอารมณ์กลับมาได้ปกติ“หนูเป็นอะไรคะ เมื่อกี้พี่ตกใจมากรู้ไหม นั่งตัวแข็งทื่อ พี่เรียกก็ไม่หือไม่อือ จนพวกพี่จะโทรเรียกรถพยาบาลแล้วนะคะ” พี่ภูยังคงเอ่ยถามฉันด้วยท่าทางกังวล“น้องตกใจมากนะภู พาไปโรงพยาบาลก่อนไหม” พี่ปันหยาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเรียบเฉย แต่น้ำเสียงแสดงออกถึงอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียง“ทำไมพี่ ๆ มาอยู่ที่นี่กันได้คะ” ฉันที่พอจะรู้สึกตัวเองดีแล้ว หันมองพี่ ๆ ทุกคนหลังจากเอ่ยถามไปด้วยความไม่เข้าใจ เพราะจำได้ว่าครั้งสุดท้ายคือฉันไม่ได้ลุกขึ้นไปเปิดประตู และพี่ภูเองก็นอนหลับอยู่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย“เรื่องนี้พี่ก็อยากรู้ค่ะ ว่าทำไมภูผากับยาหยีถึงมาอยู่ด้วยกันในห้องสองต่อสอง..หวังว่าแกจะจำสิ่งที่แกรับปากพวกฉันได้นะภูผา” พี่ปันหยาเอ่ยย้ำในสิ่งที่ทุกคนในห้องนี้รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ด้วยสายตาที่จริงจัง จนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานอยู
ความทรงจำที่หายไป- 19 -กว่าที่ฉันจะแกะมือปลาหมึกของพี่ภูออกมาได้ ก็เล่นเอาหอบเหนื่อยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพี่ภูนั้นเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา แต่พอฉันรวบรวมความกล้าที่มีตวาดลั่นดุพี่ภูอย่างจริงจัง ผู้ชายคนนี้ก็หน้าหงิกเป็นเด็กน้อยแล้วหันหลังใส่ฉันพร้อมกับนอนหลับไปเสียอย่างนั้นครืด!ฉันลุกขึ้นไปหยิบมือถือของตัวเองที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมา ก็เห็นว่าเป็นพี่มาวินที่โทรเข้ามาหลายสายแล้ว แต่เวลานั้นฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย“ค่ะพี่มาวิน” ฉันกรอกเสียงลงไปอย่างรีบร้อน เพราะไม่รู้เลยว่าพี่มาวินมีธุระอะไรหรือไม่“น้องหยี ไอ้ภูอยู่ห้องน้องไหม มันเมาแล้วบอกจะกลับห้อง แล้วออกไปเลย พี่หามันไม่เจอ” ฉันฟังเสียงที่ตื่นตกใจของพี่มาวิน พร้อมกับมองบุคคลที่ถามถึงก่อนจะกดเปิดวิดีโอคอล แล้วชูหน้าจอไปที่คนที่หลับไม่ได้สติ“ไอ้ภู! พี่ก็วิ่งหามันทั่วคอนโด ไม่คิดว่ามันจะเมาแล้วเรื้อนขนาดนี้ งั้นพี่ฝากน้องหยีดูมันด้วยนะ พี่ลงมาข้างล่างแล้วคงไม่กลับขึ้นไปแล้ว” พี่มาวินร่ายยาว ใบหน้าแสดงอาการทั้งดมโห ทั้งขำ ปนเปกันไปหมด ฉันพยักหน้าให้เป็นการรับปากแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้กดวางมือถือ เสียงของผู้หญิงที่แทร
สิบห้าปี..ยังหนีไม่พ้น- 18 -“ไอ้ภู! มึงกับน้อง..” พี่มาวินตาโต นิ้วชี้ค้างกลางอากาศ แต่มีหรือพี่ภูจะสนใจ ฉันเองได้แต่นั่งนิ่ง หยิบขนมมาเคี้ยว “ไอ้ภูเอ๊ย”“เลิกเรียกกูได้แล้ว จะกินมั้ยเหล้าอะ” พี่ภูเดินมาทิ้งตัวลงข้างฉัน ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นไปหยิบแก้วใสมาวางให้สองใบ พร้อมกันนั้นก็หยิบหอบข้าวของไปแกะใส่จานมาวางไว้ให้ทั้งคู่“งั้นหนูกลับห้องก่อนนะคะ” ฉันเอื้อมมือไปหยิบขนมอีกชิ้นในซองมาเคี้ยวก่อนจะทำท่าจะเดินออกจากห้อง “อ่อ..พี่ภูพรุ่งนี้ไปดูทำเลร้านพร้อมหนูไหมคะ ถ้าไปก็อย่าดื่มมากนะคะ”“ครับ” ผมยิ้มหวานให้เด็กสาว เธอเองก็ยิ้มตอบก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป“เล่า!” ทันทีที่ในห้องเหลือเพียงผมกับไอ้วิน วิญญาณนักข่าวก็เข้าสิงมันทันที“ก็อย่างที่มึงเห็น กูคบกับน้อง” ผมพูดจบพร้อมกระดกเหล้าเข้าปากอย่างสบายอารมณ์“แล้วเรื่องกฎของร้านมึงจะทำไง” ไอ้วินเองก็ถามคำ กินเหล้าคำพอ ๆ กับผม แต่จากสายตาของผม มันเองก็ดูเหมือนจะมีอะไรในใจเหมือนกัน“ก็ไม่ทำไง เดิมทีกูก็จะปรึกษาพวกมึงเรื่องนี้”“แล้วทำไมไม่ปรึกษา”“ยาหยีอยากออกจากที่ร้าน”“ทำไมวะ เพราะกฎนี้นะเหรอ เฮ้ย! มันต้องมีทางออกอื่น”“น้องอยากทำธุรกิจ
คนนี้ของยาหยี 2/2- 17 -เธอใช้สองมือลูบแก้มตัวเองป้อย ๆ แก้เขิน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากแกล้งเธอมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก“ไม่ชอบจริงเหรอ” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนผู้หญิงด้านหน้า จนเธอหันมามองหน้าผมชัด ๆในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะเปิดออก เธอเลือกที่จะหอมแก้มหนัก ๆ ของผมฟอดใหญ่ด้วยความเร็วและรีบวิ่งออกจากลิฟต์กลับไปทางห้องของตัวเองแบบไม่หันกลับมามองผมเลยสักนิด ผมยืนนิ่งอยู่ในลิฟต์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินออกมายืนมองเธอที่รีบกดรหัสผ่านเข้าห้องไปด้วยความเอ็นดูติ๊ง!‘พี่ภูเป็นแฟนกับยาหยีนะคะ’ ผมเปิดอ่านข้อความที่มาจากคนตัวเล็กส่งมาหลังจากที่ผมทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มในห้องนอนของตัวเอง‘พี่ต้องเป็นคนขอไม่ใช่เหรอ’‘รอพี่ภูขอ หยีแก่ตายพอดี’'ยาหยี..เป็นแฟนพี่นะครับ’‘ตกลงค่ะ!’ผมได้แต่นอนยิ้มให้กับหน้าจอมือถือราวกับคนบ้า เราเริ่มสนทนากันมากขึ้น เริ่มศึกษานิสัยและความชอบของกันและกันมากขึ้น เวลาผ่านไปหลายเดือนที่เราใช้ชีวิตด้วยกันแบบไม่ได้บอกผู้ใหญ่หรือครอบครัว โดยเฉพาะกับคนที่ร้าน“พี่ว่าจะบอกไอ้วินกับปันหยา เรื่องของเรา” พี่ภูวางหนังสือที่กำลังอ่านลงบนหน้าอกพูดขึ้นในขณะที่ยังนอนหนุนตักของฉันที
คนนี้ของยาหยี 1/2- 17 -“คืออะไรกันคะ ทำไม..” ฉันได้แต่ยืนมองหน้าป้านภาสลับกับมองหน้าพี่ภู โดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันจะต้องพูดหรือรู้สึกอย่างไร ป้านภาเป็นคนแนะนำให้ฉันมาสมัครที่ร้านนี้แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นร้านของใคร และพี่ภูคือลูกชายของป้านภาแต่ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้จักมาก่อนทั้งที่บ้านเราทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่ฉันจำความได้“ป้าก็อยากรู้ว่าทำไมเจ้าของรองเท้าเบอร์สามสิบแปดที่จอดหน้าห้องเจ้าภูถึงเป็นของหนูยาหยี” ป้านภามองหน้าฉันสลับกับพี่ภูอย่างต้องการหาคำตอบ แต่ยังเป็นแววตาที่เอ็นดูฉันเหมือนเดิม“มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดแน่นอนครับ พอดีผมขอให้น้องมาทายาให้เฉย ๆ”“ยา..ทายาอะไรลูกเป็นอะไร” ป้านภาตรงดิ่งเข้ามาหาพี่ภู จับลูกชายของเขาหมุนซ้ายหมุนขวา โดยที่ใบหน้าของพี่ภูยังคงดุตกใจเหลอหลาอย่างเห็นได้ชัด “ไหน”“แม่ครับ แม่ใจเย็น ๆ ก่อน ภูไม่ได้เป็นอะไรมาก” พี่ภูจับไหล่ของป้านภาก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่“คุณ พาหนูหยีกลับเข้าไปในห้องก่อนเลยค่ะ” เสียงของหญิงสูงวัยหันไปเอ่ยกับผู้เป็นสามีที่ยืนเงียบ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร “หนูยาหยีเข้าห้องไปก่อนนะจ๊ะ ป้ามีเรื่องอยากคุยกับเราสองคน”ฉันนึกขึ้นได้จึงยกมือไหว้ป
ตู้เสื้อผ้าที่รัก 2/2- 16 -“แม่!ซ่อน..ซ่อนที่ไหนละ” เสียงของเธอสั่นระริก ดวงตาแดงก่ำคลอไปด้วยน้ำตาที่คล้ายกับว่าจะไหลออกมาเสียให้ได้ก๊อก!ก๊อก!“ตู้เสื้อผ้า หนูไปหลบในนั้นก่อนนะ” ผมชี้นิ้วไปที่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ ยาหยีเองก็ไม่ชักช้า เธอรีบหยิบกระเป๋าของตัวเองวิ่งเข้าไปในตู้หลังนั้นอย่างว่าง่าย “อยู่ในนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่รีบมา”“มาแล้วครับ” ผมตะโกนเสียงดังพร้อมสวมเสื้อนอนแขนยาวปิดทับรอยฟกช้ำ เดินมายังประตูหน้าห้อง กดบิดลูกบิดออก เผยให้เห็นผู้เป็นแม่ยืนหน้าไม่รับแขกอยู่ด้านหน้า ถัดไปนั้นมีคุณพ่อที่ยืนหล่อจ้องหน้าผมเขม็งเช่นกัน“ทำไมเพิ่งเปิด แม่ได้ยินเสียงเราบิดลูกบิดนานแล้วนะตาภู” ทันทีที่แม่เดินเข้ามาในห้อง สายตาคมดุจเหยี่ยวสาวจับจ้องไปทุกมุมห้อง ราวกับหาความผิดปกติ “แกซ่อนอะไรหรือเปล่า”“ภูจะไปซ่อนอะไรคุณแม่ได้ละครับ” ผมเดินไปกอดผู้หญิงสูงวัยที่ยืนทำหน้าดุส่งมาให้อย่างออดอ้อน “คิดถึงแม่จังเลยครับ ทำไมมาดึกเลย”“ทำไมแม่จะมาหาลูกดึก ๆ ไม่ได้ละ” คนเป็นแม่ยังจ้องหน้าผมอย่างไม่ลดละ ทำให้ผมเดินพาคุณนายแม่นั้นมานั่งที่โซฟาให้ใจเย็น ๆ แต่แม่ก็คือแม่ เพราะพริบตาเดียวแม่เดินเข้าไปสำรวจหาความผ
ตู้เสื้อผ้าที่รัก 1/2- 16 -“พี่ภู..ทายาบ้างหรือเปล่าคะ” ฉันเอ่ยถามหลังจากวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอาหาร“ทาซิ” พี่ภูตอบพร้อมหลุบตาหนี ก่อนจะลุกจากเก้าอี้เก็บจานไปวางที่ซิงก์ล้างจานฉันลุกขึ้นเดินตามพี่ภูไปยืนซ้อนที่ด้านหลัง ถือวิสาสะดึงชายเสื้อของพี่ภูขึ้น เผยให้เห็นรอยจ้ำสีม่วงที่บัดนี้มันขึ้นสีเขียวน่ากลัวอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าพี่ภูทายา ทำไมเป็นเยอะขนาดนี้ละคะ”“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เจ็บสักนิด” พี่ภูตอบแบบขอไปที พร้อมกับล้างจานจนเรียบร้อย“ทำหน้าอะไรแบบนั้น” พี่ภูหัวเราะขบขันให้ฉัน ก่อนจะโยกหัวฉันไปมาอย่างเช่นทุกครั้ง“พี่ภูไปอาบน้ำซิ เดี๋ยวหยีทายาให้” เดาได้เลยว่าที่แผ่นหลังขาว ๆ ไม่ยอมหายแบบนี้ แน่นอนว่าพี่ภูจะต้องทาไม่ถึงแน่ ๆ “ทาไม่ถึงใช่ไหมละคะ”“ไม่กลัวพี่ทำมิดีมิร้ายเหรอ” พี่ภูยังคงทำหน้าทะเล้นส่งให้ฉัน“กลัวว่าพี่ภูจะหนียาหยีอีกนะซิคะ” ฉันเอ่ยแบบพึมพำส่งให้ผู้ชายด้านหน้า ที่บัดนี้หัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจไปแล้ว“งั้นพี่รบกวนด้วยนะครับ พี่ไปอาบน้ำก่อน” พี่ภูโยกหัวฉันอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนฉันใช้เวลาเดินเล่นในห้องพี่ภู รูปภาพของเด็กผู้ชายคนนี้คุ้นตาฉันมากจนฉันเริ่มสงสัย ฉั
หัวใจเต้นตึกตักแต่แบบว่ารักกันไม่ได้ 2/2- 15 -“พอดีขิงง่วงแล้วค่ะพี่วิน ขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ” น้ำขิงเอ่ยจบเธอหันหลังเตรียมพร้อมจะเดินออกจากตรงนี้ แต่ทันทีที่พี่วินเห็นเช่นนั้น เขารีบวิ่งมาจับแขนของเธอให้หยุดชะงัก“เรื่องสำคัญ” พี่วินยังคงไม่ลดละ ฉันที่ยืนทำหน้างงได้แต่มองเขาทั้งสองสลับไปมาพร้อมกับเกาหัวแกรก ๆ “ง่วงเหรอ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้อง”“ขิงจะกลับกับหยีค่ะ” น้ำขิงพูดกับพี่มาวินแต่หันมาทำสายตาขอความช่วยเหลือกับฉัน ซึ่งฉันก็ได้แต่ยืนทำหน้างง พี่มาวินเองก็หันมามองฉันด้วยสายตาที่ฉันก็ไม่รู้ความหมาย “ใช่มั้ยยาหยี”“ใช่ค่ะ เดี๋ยวหยีไปส่งเอง” ฉันตอบออกไปด้วยความงง แต่ก็ไม่ได้โกหกนะ เพราะเมื่อกี้ฉันคุยกับน้ำขิงไว้แล้วว่าจะไปส่ง “พี่มาวินมีธุระสำคัญเหรอคะ”“ใช่ เดี๋ยวพี่ไปส่งขิงเอง หยีกลับคนเดียวได้ใช่ไหม เมื่อเช้าพี่เห็นเราขี่รถมา” พี่มาวินเอ่ยกับฉันก็จริง แต่สายตายังคงจดจ้องมองไปที่น้ำขิงไม่กะพริบ ฉันมองทั้งสองคนด้วยความรู้สึกแบบไม่ชอบมาพากล แต่ในเมื่อน้ำขิงไม่ได้พูดอะไร ฉันจึงเลือกที่จะพยักหน้าให้ทั้งคู่ ก่อนจะปลีกตัวเองเดินมาที่มอเตอร์ไซต์สุดที่รักแทน“หรือว่าฉันตกข่าวอะไรไปนะ” ฉัน